2

ผู้ของเพื่อน

2

ผู้ของเพื่อน


“หมออีกแล้วเหรอ!/หมออีกแล้วเหรอ!” พัชนีและมทิราโพล่งขึ้นมาพร้อมกัน

    บิวตีบล็อกเกอร์สาวพยักหน้าเบาๆ “อื้อ”

    “ใครน้าประกาศว่าชาตินี้จะไม่ชอบหมออีกแล้ว” พัชนีทำทีหันไปถามมทิรา ทั้งที่รู้ว่าคนคนนั้นคือใคร

    “คนพูดน่าจะอยู่แถวๆ นี้ไหมแก แต่ท่าทางมันจะจำไม่ได้แล้วละ” เลขาฯ สาวขยี้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ผู้ชายคนแรกที่เพื่อนเธอชอบจนถึงคนล่าสุดเป็นหมอล้วนๆ และทั้งที่ประกาศกร้าวว่าจะไม่ชอบหมออีกแล้วหลังจากอกหักครั้งล่าสุด แต่สุดท้ายก็ตกหลุมรักหมออีกจนได้

“แหม พวกแกก็ มันก็แค่บังเอิญที่เขาเป็นหมอ ถึงเขาจะทำอาชีพอื่น ฉันก็ชอบเขาอยู่ดีนั่นแหละ เพราะวินาทีแรกที่เห็นหน้าเขาอ้ะ ใจฉันมันก็บอกว่าคนนี้แหละพ่อของลูก” ม่านมุกเอ่ยพลางจินตนาการภาพครอบครัวที่มีหมอปรินซ์เป็นพ่อ มีเธอเป็นแม่ และมีลูกชายกับลูกสาวที่แสนน่ารักอีกสองคน คงจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่นที่สุดเลยละ 

    “จ้าาา”/“จ้าาา” คราวนี้พัชนีและมทิราเป็นฝ่ายกลอกตาใส่เธอบ้าง

    “ว่าแต่คราวนี้หมออะไร” เออีสาวคาดเดาคำตอบบางอย่างไว้ในใจ

    “หมอเมด” หมอเมดก็คือชื่อเรียกย่อๆ ของหมออายุรกรรมนั่นเอง

    “เนี่ยยย ขนาดแผนกมันยังไม่เปลี่ยนเลย ถ้ามันบอกว่าชอบหมอออร์โธฯ หมอศัลย์ หมอสูฯ หรือหมอเด็กก็ยังถือว่าเปลี่ยนอยู่นะ”  

    “ฉันเคยได้ยินว่าคนเรามักจะตกหลุมรักคนไทป์เดิมซ้ำๆ แต่อีมุกคือซ้ำมากไปแล้วค่าาา หมอเมดทั้งสิบคนเลย มีใครให้มากกว่านี้ไหมคะ” 

    พัชนีและมทิราเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

    “พวกแกอย่าชอบผู้ชายไทป์เดียวกับคนเก่าบ้างแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะขยี้ยันลูกบวชเลย” ม่านมุกคาดโทษเพื่อนไว้ล่วงหน้า 

    หลังจากช่วงของการ ‘ขยี้’ คนที่เคยลั่นวาจาว่าจะไม่ชอบหมออีกแล้วผ่านพ้นไป ก็ถึงช่วง ‘เผือก’ ประวัติ ‘ผู้’ ของเพื่อนบ้าง เพลงถูกปิดลงชั่วคราว เพื่อให้การเผือกมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

    “เขาชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ เป็นหมออยู่โรง’บาลไหน เป็นผู้ชายแท้หรือเปล่า โสดหรือมีแฟนแล้ว” มทิรารัวคำถามเป็นชุด

    ม่านมุกกลอกตามองบน “อีมิลค์คะ ทีละคำถามก็ได้ไหมคะ”

    “เออๆ เขาชื่ออะไร” เลขาฯ สาวที่ใจร้อนอยากรู้เร็วๆ เริ่มถามใหม่

    “หมอปรินซ์ นายแพทย์ปริญญ์ ภัทรไพศาลสกุล แค่ชื่อก็หล่อแล้วใช่ไหมล่ะ” หญิงสาวยิ้มกรุ้มกริ่ม

    “ไหนคะรูปประกอบ ถ้าไม่มี เพื่อนขอไม่เชื่อนะคะ” พัชนีว่า

    บิวตีบล็อกเกอร์สาวหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมา ปัดหน้าจอสี่ห้าครั้ง ก่อนจะโชว์รูปให้เพื่อนๆ ดู “นี่ไง” รูปนั้นเป็นรูปที่เธอแคปมาจากหน้าประวัติแพทย์ในเว็บไซต์ของโรงพยาบาลเอกชนที่หมอหนุ่มทำงานอยู่ “มีรูปเดียวนี่แหละ ฉันลองเซิร์ชชื่อเขาในเฟซกับไอจีแล้วไม่เจออะ สงสัยไม่ได้เล่น”

    พัชนีและมทิราชะโงกหน้าเข้ามาดู ก่อนที่สองสาวจะพยักหน้าพร้อมกัน

    “ก็หล่อนะ”

    “อือ จัดว่าหล่อ”

    “จะบอกว่าตัวจริงหล่อกว่านี้มากกก นี้โดนกล้องทำร้ายอะ แต่ก็ยังหล่อมากอยู่ดี” ดวงตากลมโตเป็นประกายชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง

    มทิราตวัดสายตาไปหาพัชนี “นี่มันคืออาการหลงผู้ใช่ไหมอีแพท” 

    เออีสาวพยักพเยิด “ใช่ หลงมากด้วย”

    “เว่อร์ ก็ไม่ได้ขนาดนั้นไหม”

    “จ้ะ ไม่ก็ไม่ ว่าแต่แกมั่นใจใช่ไหมว่าเขาเป็นผู้ชายแท้” เลขาฯ สาวถามต่อ

    “จากที่ฉันเจอเขามาหนึ่งครั้ง ฉันมั่นใจว่าหมอปรินซ์ไม่ได้เป็นเกย์แน่นอน”

    พัชนีทำหน้าทึ่ง “เดี๋ยวๆ ได้เหรอ เจอแค่ครั้งเดียวเองนะ”

    “เออน่า ฉันเชื่อเซนส์ตัวเอง ที่ผ่านมาเรื่องนี้ฉันไม่เคยพลาดเลยนะ หรือพวกแกจะเถียง”

    “อืม จริงของมัน” เออีสาวยอมรับว่าเพื่อนมีเกย์ดาร์ที่แม่นมาก แม้ว่าม่านมุกจะเป็นผู้หญิงแท้ก็ตาม

    “แล้วเขาโสดแน่ใช่ไหม” 

    “ฉันแอบดูนิ้วนางข้างซ้ายของเขา ยังไม่มีแหวน แบบนี้ก็น่าจะโสดปะ”

    “บ้า แกจะสรุปแบบนี้ไม่ได้นะ บางคนเขาก็ไม่ชอบใส่เครื่องประดับ ไม่มีแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย แต่อาจจะไม่ได้หมายความว่าโสดก็ได้” การเป็นเลขาฯ ของผู้บริหารทำให้มทิราต้องคิดรอบด้าน 

    “จริงๆ ฉันก็ว่าจะมาสืบจากเฟซหรือไอจีให้มั่นใจว่าเขาโสดจริงๆ ค่อยเดินหน้าจีบนั่นแหละ แต่หาแอ็กเคานต์ของเขาไม่เจอนี่สิ”

    “มันก็มีวิธีอื่นปะ ไม่จำเป็นต้องสืบจากเฟซหรือไอจีอย่างเดียวสักหน่อย ฉันว่า...แกลองไปถามคนที่ทำงานที่นั่นไหม” เออีสาวเสนอไอเดีย

    “แต่ฉันไม่อยากให้หมอปรินซ์รู้อ้ะแก”

    “เขาไม่รู้หรอกน่า ถ้าเขาหล่อมากแบบที่แกว่า วันๆ คงมีผู้หญิงไปถามเรื่องนี้เยอะแน่ๆ”

    “เออ ก็จริงเนอะ งั้นพรุ่งนี้ฉันจะรีบไปสืบเลย” ดวงตากลมโตฉายประกายหมายมาด

    บอกไว้ตรงนี้เลยนะว่าม่านมุกจะไม่ใช้นามสกุลของผู้ชายคนไหน นอกจากนามสกุล ‘ภัทรไพศาลสกุล’ ของ ‘หมอปรินซ์’ คนเดียวเท่านั้น


ธรรศและกรวิชญ์ล่วงหน้ามาที่ร้านลาบจ่าโฮมก่อนดุลยวัต เพราะอีกฝ่ายมีเคสติดพันจึงไม่ได้ลงเวรตามเวลาเลิกงาน แต่ก็คาดว่าแพทย์หนุ่มน่าจะตามมาถึงในอีกไม่นานนี้ เพราะทางโรงพยาบาลมีกฎไม่ให้แพทย์ทำงานเกินเวลาที่กำหนดอยู่แล้ว 

ธรรศและกรวิชญ์เลือกเปิดห้องคาราโอเกะขนาดเล็กสำหรับสามถึงห้าคนเพราะอยากร้องเพลงคลายเครียด เนื่องจากวันนี้เจอเคสยากที่ทั้งกดดันและใช้พลังงานมากมา แต่ถึงอย่างนั้นทีมแพทย์ก็ช่วยเหลือคนไข้จนปลอดภัยในท้ายที่สุด

สองหนุ่มสั่งปีกไก่ทอดและทอดมันกุ้งมากินเป็นออร์เดิร์ฟระหว่างรอดุลยวัต พร้อมทั้งเปิดเพลงเพื่อชีวิตจังหวะเบาๆ คลอเคล้าบรรยากาศไปด้วย

กริ๊ง กริ๊ง

เสียงโทรศัพท์มือถือของธรรศดังขึ้นระหว่างที่เขากับกรวิชญ์กำลังคุยกัน 

“เดย์โทร. มา สงสัยมาถึงแล้ว” ธรรศบอกหมอรุ่นน้อง ก่อนจะกดรับสาย “ว่าไงเดย์”

“ผมถึงแล้วนะพี่ธรรศ อยู่ห้องเบอร์ไหนกันครับ” 

พวกเขาและดุลยวัตตกลงกันแล้วว่าวันนี้จะเปิดห้องคาราโอเกะ แต่ธรรศยังไม่ได้บอกฝ่ายนั้นว่าอยู่ที่ห้องเบอร์อะไร

“กูกับไอ้ไกด์อยู่ห้องเบอร์...” ทันใดนั้นธรรศก็นึกอะไรสนุกๆ ขึ้นมาได้ “เบอร์ห้า มึงเปิดประตูเข้ามาได้เลย”

“โอเคครับพี่”


หลังวางสายจากหมอรุ่นพี่ ดุลยวัตก็เดินมายังโซนคาราโอเกะของร้านลาบจ่าโฮม ซึ่งมีห้องคาราโอเกะกว่าสิบห้อง เสียงร้องเพลงอย่างเมามันดังลอดออกมาจากประตูของแต่ละห้อง ผิดคีย์บ้าง คร่อมจังหวะบ้าง แต่คนที่มาร้องคาราโอเกะส่วนมากก็มาเพื่อปลดปล่อยความเครียดอยู่แล้ว ความไพเราะจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ

เจ้าของร่างสูงโปร่งที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดและกางเกงสแล็กสีดำกวาดตามองหมายเลขที่ติดอยู่หน้าประตูห้อง เมื่อเห็นห้องเบอร์ห้า ดุลยวัตก็เดินไปที่ห้องนั้นทันที

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

มือหนายกขึ้นเคาะประตูให้สัญญาณ ก่อนจะหมุนลูกบิดเปิดเข้าไป

“มาแล้วครับ” ขาที่กำลังจะก้าวเข้าไปในห้องชะงัก ดวงตาเรียวสองชั้นฉายแววประหลาดใจเมื่อพบว่าคนที่นั่งอยู่ในห้องเบอร์ห้าไม่ใช่ธรรศกับกรวิชญ์ แต่เป็น ‘ผู้หญิงสามคน’

ต่างฝ่ายต่างมีเครื่องหมายคำถามบนใบหน้า เกิดโมเมนต์เงียบงันขึ้นราวห้าวินาที ก่อนผู้หญิงที่นั่งตรงกลางจะอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงเซอร์ไพรส์

“หมอปรินซ์!” สาวร่างเล็กที่มัดผมดังโงะสองข้างทำตาโตพร้อมยกมือขึ้นมาปิดปาก เธอเรียกชื่อใครบางคนที่ไม่ใช่เขา แต่วินาทีต่อมาเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มก็ดูไม่แน่ใจ ริมฝีปากอิ่มสีชมพูพึมพำบางอย่างที่เขาได้ยินไม่ถนัด 

“ขอโทษครับ ผมมาผิดห้อง” หลังจากตั้งสติได้ ดุลยวัตก็รีบเอ่ยขออภัย เขาปิดประตูห้อง และคาดโทษธรรศในใจ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโดนฝ่ายนั้นวางยาเข้าให้แล้ว

กริ๊ง กริ๊ง

เสียงโทรศัพท์ของแพทย์หนุ่มดังขึ้นในจังหวะที่เขาจะหยิบมันออกมา เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวโทร. มาพอดี ดุลยวัตก็รับสายด้วยเสียงเหี้ยม

“พี่ธรรศ”

“เฮ้ย! ไอ้เดย์ กูจะโทร. มาบอกว่ากูจำเบอร์ห้องผิด กูกับไอ้ไกด์อยู่ห้องเบอร์เจ็ดนะ ไม่ใช่เบอร์ห้า”

“ไม่ทันแล้วพี่! ผมเปิดเข้าไปในห้องเบอร์ห้าแล้วเมื่อกี้” ห้องเบอร์เจ็ดกับเบอร์ห้านี่มันใกล้เคียงกันมากเลยเนอะ


ธรรศและกรวิชญ์หัวเราะจนตัวงอเมื่อดุลยวัตเปิดประตูเข้าไปในห้อง ด้านคนถูกแกล้งก็แยกเขี้ยวใส่อีกสองหนุ่มที่รวมหัวแกล้งเขาด้วยความเจ็บใจ

    “ระวังตัวไว้ดีๆ เหอะ ทั้งพี่ธรรศ ทั้งไอ้ไกด์เลย” แพทย์หนุ่มทำหน้าโหด แต่ก็แค่แกล้งขู่ไปอย่างนั้น ไม่ได้ถือสาหรือแค้นเคืองอะไร เพราะปกติพวกเขาก็ชอบแกล้งกันสนุกๆ แบบนี้อยู่แล้ว

    ในแผนกออร์โธปิดิกส์ ดุลยวัตสนิทกับธรรศและกรวิชญ์มากที่สุด ใครๆ ก็เรียกพวกเขาว่า ‘แก๊งบอยแบนด์ออร์โธฯ’ เพราะด้วยความที่ทั้งสามมีหน้าตาหล่อเหลาสไตล์โอปป้า และแต่ละคนก็สูงมากกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร แถมยังมีเสน่ห์ไปคนละแบบ เวลาเดินไปไหนมาไหนพร้อมกันจึงดูเหมือนบอยแบนด์เกาหลียังไงยังงั้น

    “กูไม่เกี่ยวนะเว้ย ความคิดพี่ธรรศคนเดียวเลย” กรวิชญ์ที่กลัวโดนเอาคืนรีบโบ้ย

    “อ้าว ไอ้ไกด์ ไหงโยนให้กูคนเดียววะ มึงก็เห็นด้วยไม่ใช่เหรอตอนที่เล่าแผนให้ฟัง” ธรรศโวยวาย

    “ก็พี่ธรรศเป็นรุ่นพี่ รุ่นพี่ว่าไง รุ่นน้องก็ต้องว่าตามสิคร้าบ”

    “เอาตัวรอดเก่งนะมึง หึๆ” ธรรศมองรุ่นน้องด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะหันไปถามดุลยวัตที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกตัว “ว่าแต่ตอนมึงเปิดประตูเข้าไปในห้องเบอร์ห้าเป็นไงบ้างวะ”

    “ถามได้ ก็เลิ่กลั่กทั้งสองฝ่ายอะดิพี่ ผมนี่โคตรอายเลย” 

“แล้วคนที่อยู่ในห้องเบอร์ห้าเป็นใคร” รุ่นพี่หนุ่มถามต่อ

“แก๊งสาวสวยสามคน” ดุลยวัตตอบพลางนึกถึงใบหน้าจิ้มลิ้มของผู้หญิงที่เรียกเขาว่า ‘หมอปรินซ์’ 

    ปกติก็มีคนจำเขากับพี่ชายผิดบ่อยๆ เพราะหน้าเขากับปริญญ์คล้ายกัน แต่ถ้าคนที่รู้จักดีก็จะแยกออก และบอกว่าจริงๆ แล้วไม่เหมือนกันเลยสักนิด

“สาวสวยเหรอ”/“สาวสวยเหรอ” ธรรศและกรวิชญ์ถามขึ้นพร้อมกัน ดวงตาของแต่ละคนเปล่งแสงวิบวับแสดงความสนใจ

“ใช่” ริมฝีปากหยักลึกสีระเรื่อยกยิ้มน้อยๆ 

“ยิ้มแบบนี้หมายความว่ามึงสนใจเขาเหรอ” ธรรศหรี่ตามองอย่างจับผิด

“ไวไฟนะไอ้เดย์ เห็นหน้าเขาแค่ไม่กี่วิก็ตกหลุมรักแล้วเหรอวะ”

ดุลยวัตส่ายหน้า “เปล่า ก็แค่คิดว่าน่ารักดี” แพทย์หนุ่มตอบด้วยเสียงเรียบเรื่อย ก่อนจะตัดบท “พี่กับไอ้ไกด์สั่งอาหารกันหรือยัง”

“เอ้า เปลี่ยนเรื่องเฉย”

“ก็มันไม่มีประเด็นอะไรนี่นา ที่สำคัญตอนนี้ผมหิวโคตรๆ สั่งอาหารมากินกันก่อนดีกว่า” แม้ปากจะบอกว่าไม่มีประเด็นอะไร แต่ใจดุลยวัตยังคงสงสัยอย่างมากว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงเรียกเขาว่า ‘หมอปรินซ์’ 

เธอรู้จักพี่ชายเขาเหรอ 

หรือจริงๆ แล้วเธออาจไม่ได้รู้จักปริญญ์ แต่หญิงสาวนัด ‘หมอปรินซ์’ ที่เป็นคนละคนกับพี่ชายเขาไว้ พอเขาเปิดประตูเข้าไป เธอเลยนึกว่าฝ่ายนั้นมาถึงแล้ว มันอาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญ 

คงไม่มีใครรู้คำตอบนี้นอกจากเธอ


อีกด้านหนึ่ง

    “ผู้ชายคนเมื่อกี้คือหมอปรินซ์เหรอ” พัชนีถาม ขณะที่มทิราก็รอฟังคำตอบอย่างอยากรู้เช่นกัน

    “แวบแรกฉันคิดว่าใช่ แต่พอแวบต่อมาไม่ใช่อะ ถึงโครงหน้าจะเหมือนหมอปรินซ์ แต่ดูดีๆ แล้วไม่เหมือน เพราะหมอปรินซ์ของแท้ต้องตาสองชั้นหลบใน แต่หมอนั่นตาสองชั้นชัดเจน แล้วก็เหมือนจะสูงกว่าหมอปรินซ์นิดหน่อยด้วย” ว่าแต่อีตานั่นเป็นใครนะ ทำไมถึงได้หน้าตาเหมือนหมอปรินซ์ของเธอจัง

“โห อีมุกคะ เก็บรายละเอียดเร็วเว่อร์ เขาโผล่มาไม่ถึงห้าวินาทีเอง” มทิรามองเพื่อนด้วยสายตาทึ่ง

“เออ นี่ก็รู้แต่ว่าเขาหล่อ ไม่ทันได้ดูหรอกว่าตากี่ชั้น”

“คนมีพรสวรรค์ก็งี้” ม่านมุกไหวไหล่ เวลาเห็นผู้ชายหล่อ สมองเธอจะประมวลผลด้วยความเร็วมากกว่าคอมพิวเตอร์เครื่องที่เร็วที่สุดในโลกห้าเท่า แต่ถ้าเป็นเรื่องวิชาการ มันจะทำงานช้ายิ่งกว่าเต่าป่วยคลาน

ม่านมุกยอมรับว่าผู้ชายคนนั้นหล่อ แต่ถึงยังไงก็สู้ว่าที่สามีของเธอไม่ได้

‘ก็หมอปรินซ์ไง จะใครล่ะ’

“แต่เขาหน้าเหมือนหมอปรินซ์มากจนทำให้แกเข้าใจผิดแบบนี้ มันเป็นไปได้ไหมว่าเขาอาจจะเป็นพี่ชายหรือน้องชายของหมอปรินซ์” เลขาฯ สาวตั้งข้อสังเกต

เธอยกมือขึ้นกอดอกและพยักหน้าหงึกๆ “ก็เป็นไปได้ แต่เขาจะเป็นอะไรกับหมอปรินซ์หรือเปล่าก็ไม่สำคัญหรอก เพราะฉันจะจีบหมอปรินซ์ ไม่ได้จีบอีตานั่น!” สำหรับม่านมุก หมอปรินซ์ อีส เดอะ เบสท์ค่ะ

“เอ้อ แล้วแกเจอหมอปรินซ์ได้ไง” พัชนีนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนยังไม่ได้เล่าเรื่องนี้

“ก็วันก่อนฉันไม่สบาย เลยไปหาหมอที่โรง’บาล แล้วก็ได้ตรวจกับหมอปรินซ์นี่แหละ” หญิงสาวยังจำโมเมนต์ตอนที่เจอหมอปรินซ์ได้อยู่เลย ตอนนั้นหัวใจเธอเต้นแรงมากจนเหมือนมันจะทะลุออกมาจากอกยังไงยังงั้น

“อ้าว แกเป็นไรอ้ะ” มทิราถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“ฉันปวดหัวติดต่อกันหลายวันน่ะ กินยาแล้วก็ไม่หาย เลยไปให้หมอตรวจ หมอบอกว่ามันเกิดจากความเครียด แต่ไม่อันตราย แค่ไม่เครียดมันก็หายละ”

“เรื่องที่บ้านสินะ” พัชนีคาดเดา เพราะไม่น่ามีเรื่องอื่น

“อือ” บิวตีบล็อกเกอร์สาวถอนหายใจเบาๆ 

“เล่าให้พวกฉันฟังได้นะเว้ย” มทิราพร้อมแบ่งเบาความทุกข์ของเพื่อนเสมอ

“ใช่ มีปัญหาอะไรอย่าเก็บเอาไว้คนเดียว”

ม่านมุกยู่หน้า “ก็พ่ออ้ะดิ”

ว่าแล้วหญิงสาวก็เล่าเรื่องที่ทำให้เธอเครียดให้เพื่อนๆ ฟัง

“แต่พวกแกไม่ต้องห่วงนะ หลังจากได้เจอหมอปรินซ์ อาการปวดหัวของฉันก็หายไปเป็นปลิดทิ้งเลยละ” พูดจบม่านมุกก็หัวเราะคิก

สองสาวพร้อมใจกันมองแรงใส่เพื่อน “แรด!”/“แรด!” 

“จะถือว่าพวกแกชมว่าฉันสวยแล้วกันนะ”

“แรดกับสวยมันคนละความหมายปะวะ” เออีสาวขมวดคิ้วเรียวเข้าหากัน

“เออ ไม่ใกล้เคียงกันเลยสักนี้ด”

“ในพจนานุกรมของม่านมุก แรดแปลว่าสวย เข้าใจตรงกันนะคะเพื่อนๆ” บิวตีบล็อกเกอร์สาวยิ้มทะเล้น

จากนั้นพวกเธอก็คุยเรื่องหมอปรินซ์กันต่อ โดยพัชนีและมทิราผลัดกันถาม ส่วนม่านมุกก็ตอบเท่าที่รู้ เพราะเธอก็เพิ่งเจอหมอปรินซ์แค่ครั้งเดียว จึงยังไม่รู้ประวัติเขาโดยละเอียด


สามสิบนาทีต่อมา

“ปวดฉี่อ้ะ มีใครจะไปห้องน้ำไหม” มทิราลุกขึ้นและถามเพื่อนอีกสองคน

“ไปๆ ปวดเหมือนกัน” พัชนีเอื้อมมือไปหยิบสมาร์ตโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะและลุกขึ้นจากโซฟา

“ฉันยังไม่ปวดอ้ะ พวกแกไปกันเลย” ม่านมุกที่กำลังแทะปีกไก่ทอดจนปากมันบอก

“โอเค งั้นเดี๋ยวฉันกับไอ้แพทมานะ”

“อื้อ” บิวตีบล็อกเกอร์สาวพยักหน้ารับรู้ 

เมื่อเพื่อนออกไปแล้ว เธอก็นั่งวางแผนว่าพรุ่งนี้จะไปโรงพยาบาลที่หมอปรินซ์ทำงานอยู่ตอนกี่โมงดี และจะถามใครเรื่องสถานะของเขา รวมถึงถามยังไงไม่ให้ดูน่าเกลียด

‘ถ้าอยากรู้เรื่องหมอปรินซ์ก็ต้องถามคนในวอร์ดอายุรกรรม งั้นถามป้าแม่บ้านแล้วกัน’ 

ม่านมุกคิดว่าป้าแม่บ้านน่าจะรู้เรื่องของคนในวอร์ดดีกว่าใคร

ส่วนคำถาม...

‘ป้าคะ หนูอยากรู้ว่าหมอปรินซ์มีเมียยังอ้ะคะ’ มันตรงเกินไปเนอะ

‘ป้าพอจะทราบไหมคะว่าหมอปรินซ์ยังโสดอยู่หรือเปล่า’ นี่ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไร

บิวตีบล็อกเกอร์สาวนั่งครุ่นคิด ไม่นานก็ได้ไอเดียใหม่

เอางี้ ทำทีเป็นฝากขนมกับพยาบาลดีกว่า ไม่ต้องถามตรงๆ แต่ก็ได้คำตอบที่ต้องการเหมือนกัน

‘ขอโทษนะคะ ฉันเป็นคนไข้ของหมอปรินซ์ค่ะ รบกวนฝากขนมให้หมอปรินซ์หน่อยได้ไหมคะ ฉันอยากขอบคุณที่คุณหมอช่วยรักษาฉันจนหายน่ะค่ะ แล้วก็นี่...ฝากให้แฟนของหมอปรินซ์นะคะ’

ถ้าพยาบาลไม่เอ่ยแก้ เธอก็คงต้องตัดใจจากหมอปรินซ์ เพราะถ้าจะให้แย่งเขามาจากคนรัก มันก็เลวไป ถึงเธอจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่ก็ไม่เคยและไม่คิดจะทำเรื่องผิดศีลธรรมแบบนั้น แต่หากพยาบาลทำหน้างงๆ และบอกว่าหมอปรินซ์ยังไม่มีแฟนละก็ ม่านมุกก็จะลุยจีบคุณหมอเต็มที่เลย

เธอจะต้อง ‘ตัดใจ’ หรือ ‘ใส่เกียร์รุก’ เดี๋ยวพรุ่งนี้รู้กัน!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น