พิมพ์พิสุทธิ์กินขนมและน้ำหวานที่เธอซื้อมาไปเรื่อยๆ ตลอดทาง จนคนที่ทำหน้าที่ขับรถเห็นแล้วหมั่นไส้ขึ้นมาที่หญิงสาวช่างมีความสุขเสียจริง ไม่ได้คิดหวาดระแวงเขาเลยสักนิด ทำไมถึงได้ไว้ใจคนง่ายและมองโลกในแง่ดีขนาดนี้ นี่ถ้าเป็นญาติหรือเป็นน้องเป็นนุ่ง เขาคงต้องจับมาอบรมสักชุดใหญ่
“นี่คุณ...กินแต่อาหารไม่มีประโยชน์ สมองก็ยิ่งฝ่อๆ อยู่ จะไม่ยิ่งเลวร้ายไปกว่าเดิมเเหรอ”
ได้ยินที่ภูรินท์บ่นเธอ ดวงตากลมโตก็เบิกกว้าง “คุณ! คนเขาก็กินกันออกตั้งเยอะตั้งแยะอะ มันก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นมั้ง คุณนั่นแหละที่คิดในแง่ร้ายเกินไป”
“ผมไม่ได้คิดในแง่ร้ายเกินไป ผมแค่จะบอกให้คุณลองคิดอีกด้าน ไหนจะโรคอ้วน และสารพัดโรคตามมาอีก ผู้หญิงสมัยนี้เขาฮิตเทรนด์รักสุขภาพกันนะ”
“พริ้มกินไปแค่นิดเดียวเอง ไม่ได้กินเยอะขนาดนั้นสักหน่อย”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...ลด ละ หรือเลิกกินซะ จะดีที่สุด” ชายหนุ่มย้ำอย่างเป็นห่วง เพราะเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งช่วงนี้สมองได้รับการกระทบกระเทือนจนความจำหายไปด้วยแล้ว เขาจำต้องช่วยเมมแต่สิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์เซฟเก็บไว้ในสมองเธอ แต่เหมือนเด็กดื้อจะไม่สนใจและไม่ใส่ใจเลยสักนิด แถมยังมุ่ยหน้าใส่เขาทันควัน
“แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง คุณทำท่าซะเหมือนกับว่าเรากำลังจะไปเที่ยวต่างจังหวัดยังไงยังงั้น นี่ถามจริง ไม่กลัวผมพาไปทำมิดีมิร้ายเลยหรือยังไง”
พิมพ์พิสุทธิ์มองชายหนุ่มอย่างอึ้งๆ และตาก็เบิกกว้างกว่าเดิม หัวสมองนึกสรรหาคำพูดออกมาโต้ตอบไม่ทัน
“คุณควรจะระวังตัวไว้บ้าง เพราะยังไงคุณก็เป็นผู้หญิง อย่าไปเที่ยวไว้ใจคนอื่นง่ายๆ แบบนี้อีก”
หญิงสาวอ้าปากค้าง ก่อนจะเผลอตวาดเสียงดัง “คุณ! สรุปแล้วคุณเป็นคนยังไงกันแน่!” เธอจ้องเขาไม่วางตา ทั้งโกรธและโมโห จริงอยู่ที่เขาพูดด้วยความหวังดี แต่ถ้าไม่ใช่เพราะ ‘อุบัติเหตุ’ เธอจะต้องมาอยู่ในสภาพนี้หรือ
“คุณเป็นคนเสนอหนทางนี้เพื่อช่วยพริ้มที่ยังจำอะไรไม่ได้ ซึ่งพริ้มก็คิดว่ามันน่าจะโอเคที่สุด แต่แล้วคุณก็พูดอีกแบบหนึ่ง สรุปแล้วคุณต้องการอะไรกันแน่! พูดอย่างคนหวังดีกับเพื่อนมนุษย์ พูดเพื่อให้ตัวเองดูดี หรือแค่พูดเพื่อตัดปัญหา!” เธอพูดออกไปเสียงดัง ความกรุ่นโกรธพุ่งพรวดขึ้นอย่างมากมาย
ภูรินท์ไม่ทันคิดว่าที่ตัวเองพูดๆ บ่นๆ ออกไปอย่างไม่ได้คิดอะไรนักจะกลับกลายเป็นว่าไปสะกิดแผลที่ยังไม่หายสนิทของหญิงสาวให้เปิดกว้างขึ้น
“ผมขอโทษ...ที่พูดแบบไม่คิด”
เขารีบเอ่ยคำขอโทษอย่างไม่อิดออด ด้วยความที่เป็นห่วงเธอมากเกินไป เขาจึงเผลอตักเตือนเธอราวกับเพื่อนหรือญาติพี่น้องคนหนึ่ง ลืมไปว่าเธอกับเขาไม่ได้สนิทสนมกันมากถึงขนาดนั้น
“คุณอย่าถือสาหาความผมเลยนะ ผมเผลอคิดไปว่าคุณเป็นญาติหรือเพื่อนสนิทของผมจึงพูดออกไปแบบนั้น” เขาอธิบาย และนั่นก็ทำให้แววตาโกรธขึ้งของหญิงสาวอ่อนลง
คล้ายกับพิมพ์พิสุทธิ์หลุดเข้าสู่วังวน ก่อนจะเบือนหน้าออกไปมองทิวทัศน์นอกรถพร้อมพึมพำเสียงเบา “ช่างมันเถอะค่ะ ฉันเข้าใจ...เพราะฉันเองก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้”
ถึงแม้ว่าหญิงสาวจะพึมพำเสียงเบาแค่ไหน มันก็ยังดังก้องในหัวของภูรินท์อยู่ดี ต้นเหตุของเรื่องอย่างเขาก็เลยได้แต่รู้สึกผิด ใจนึกอยากเขกกะโหลกตัวเองแรงๆ สักสองสามทีฐานที่ปากไวเท่าความคิด เขายอมรับผิดเต็มๆ และก็สมควรแล้วที่เธอจะไม่ยอมหันมาพูดคุยกับเขา
หลังจากนั้นพิมพ์พิสุทธิ์ก็ไม่ยอมพูดคุยกับเขา ทั้งยังไม่ยอมหันมามองหน้าเขา หญิงสาวหันหน้าไปทางประตูรถ ไม่นานก็ผล็อยหลับไป ภายในรถจึงมีเพียงเสียงเพลงสากลที่เขาชื่นชอบ
ผ่านไปเกือบหกชั่วโมงแล้วตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล อีกไม่ถึงสามชั่วโมงพวกเขาก็คงถึงจุดหมาย เนื่องจากวันนี้ไม่ใช่วันหยุด การจราจรจึงไม่ติดขัด ขับรถต่อไปได้สักพักหนึ่ง คนข้างๆ เขาก็ค่อยๆ ขยับตัว
จากหางตาเขาเห็นว่าคนข้างๆ ตื่นขึ้นมาควานหาของในถุงที่หิ้วมาจากร้านสะดวกซื้อที่เบาะหลังรถ ก่อนจะหยิบขวดน้ำดื่มออกมาดื่มแก้กระหาย เห็นแล้วเขาก็อยากดื่มบ้าง เพราะขับรถติดต่อกันมาหลายชั่วโมงแล้ว
“เอ่อคุณ ผมหิวน้ำอะ ขอน้ำให้ผมมั่งสิ” เขาพูดขึ้นหลังจากที่เธอดื่มน้ำเสร็จ
พิมพ์พิสุทธิ์หันมามองหน้าเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมไปหยิบขวดน้ำอีกขวดที่ยังไม่ได้เปิดมายื่นให้เขา
“คุณ ผมขับรถอยู่อะ มือไม่ว่าง”
เห็นความเรื่องมากของชายหนุ่มแล้วเธอก็เริ่มโมโห “คุณก็จอดรถข้างทางก่อนก็ได้ค่ะ จะได้พักเหนื่อยไปด้วย”
“ไม่เอาอะ จอดบ่อยๆ เสียเวลา เดี๋ยวกลับถึงบ้านดึกกว่าเดิมพอดี”
เธอตวัดตามองเขาเล็กน้อย ก่อนจะเปิดขวดน้ำแล้วเสียบหลอด แล้วยื่นไปใกล้ๆ มือเขาที่กุมพวงมาลัยอยู่
“ถ้าไม่ลำบากคุณจนเกินไป คุณช่วยป้อนหน่อยสิ...มือผมไม่ว่างอะ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งขอร้อง แต่ทำไมใจเจ้ากรรมของเธอถึงรู้สึกว่ามันช่างออดอ้อนเสียนี่
“นะคุณ...เกิดขับไปด้วย กินน้ำไปด้วยนี่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุนะ” ชายหนุ่มยังคงร่ายยาวถึงเหตุผล
เธอยังคงเงียบ
“นะ ป้อนผมหน่อย”
ประโยคนั้นสั่นคลอนหัวใจของเธอไปชั่ววินาที ก่อนที่เธอจะเผลอคิดฟุ้งซ่านไปไกลกว่านี้ มือบางก็ยกขวดน้ำดื่มขึ้นจ่อที่ริมฝีปากได้รูป เมื่อเขาดื่มจนพอใจแล้วเธอจึงดึงขวดน้ำออกมาแทบจะทันที ก่อนจะปิดฝาแล้วเก็บที่เดิม แต่ประโยคต่อมาของเขาทำให้วูบวาบที่หัวใจจนเธอเกือบปล่อยขวดน้ำหลุดมือ
“เฮ้อ! ค่อยชื่นใจหน่อย” ภูรินท์พูดอย่างที่รู้สึก เพราะเขากระหายน้ำนานแล้ว แต่จะให้ปลุกเธอขึ้นมาหยิบน้ำให้ก็กลัวเธอจะยิ่งเคืองไปใหญ่ จะจอดรถแวะพักก็กลัวจะกลับถึงบ้านไร่ดึกดื่นเกินไป
ภูรินท์พาหญิงสาวมาถึงบ้านไร่ที่เชียงใหม่เกือบสี่ทุ่ม มีเด็กในบ้านคอยเปิดประตูรับและช่วยขนของอยู่สองสามคน เนื่องจากชายหนุ่มได้โทร. มาแจ้งล่วงหน้าแล้วว่าเขาจะกลับมาวันนี้ และให้เด็กๆ ในบ้านจัดห้องรับรับรองแขกเตรียมไว้ให้ด้วยอีกหนึ่งห้อง โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากเพื่อนสนิทเขาจะมาพักอยู่ด้วย
ภูรินท์จอดรถนิ่งๆ พักเครื่องยนต์โดยการปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานต่ออีกสักพักใหญ่ เนื่องจากขับต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานาน
เมื่อพิมพ์พิสุทธิ์เห็นภูรินท์เปิดประตูก้าวลงจากรถ หญิงสาวจึงเปิดประตูรถตามลงไป เด็กรับใช้ในบ้านก็รีบเข้ามายกกระเป๋าเป้ของชายหนุ่มไปเก็บไว้ที่ห้องโดยไม่ต้องรอให้สั่ง แต่เมื่อมองไปยังแขกคนสำคัญของผู้เป็นนายก็ได้แต่มองกันเลิ่กลั่ก เนื่องจากแขกที่นายบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทนั้นดันเป็นผู้หญิง อีกทั้งหน้าตาก็สะสวยราวกับดารา หุ่นหรือก็ปานนางแบบ แถมมองแล้วมองอีกก็ยังไม่เห็นสัมภาระของอีกฝ่ายเลย
ภูรินท์เห็นท่าทีของสาวใช้จึงรีบแนะนำ “นี่คุณพริ้ม เป็นแขกของฉัน แล้วห้องที่สั่งให้จัดไว้ เรียบร้อยดีใช่มั้ย”
“เรียบร้อยค่ะคุณภู เอ่อ แล้วกระเป๋าของคุณ...”
“กระเป๋ามีแค่นั้นแหละ ไม่มีอะไรแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ” เขาบอกอย่างเกรงใจ ด้วยรู้ดีว่าบรรดาเด็กรับใช้จะเข้านอนแต่หัวค่ำ เพราะต้องตื่นตั้งแต่เช้าตรู่
หลังจากที่บรรดาเด็กรับใช้แยกย้ายไปพักแล้ว ภูรินท์ก็หันมามองคนข้างๆ ที่ยืนนิ่งตั้งแต่เขาพาเธอเดินมาหยุดที่โถงกลางของตัวบ้านราวกับหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้
“หวังว่าคุณคงจะพออยู่ได้นะ” เขาพูดเหมือนกังวลนิดๆ
เธอเพียงพยักหน้าเบาๆ
“ห้องคุณอยู่ชั้นสอง ปีกซ้ายมือนะ ห้องริมสุด ผมให้เด็กๆ มาทำความสะอาดไว้เรียบร้อยแล้ว”
“...” เธอพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ
“อ้อ! แล้วก็ห้องผมอยู่ชั้นสอง ปีกขวามือ ห้องริมสุดเหมือนกัน ถ้ามีอะไรก็ไปเคาะเรียกผมที่ห้องนั้นแล้วกันนะ”
“เอ่อ...ค่ะ”
“อืม ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะ วันนี้ผมขับรถมาทั้งวัน เมื่อยขาชะมัด อ้อ! จริงสิ ลืมถามเลย...คุณหิวหรือเปล่า ยังไม่ได้ทานมื้อเย็นเลยนี่ เดี๋ยวผมไปเรียกเด็กมาทำให้ทาน”
“เอ่อ ไม่หิวค่ะ คุณไม่ต้องไปตามเด็กๆ หรอก เกรงใจเขา ดึกแล้ว แล้วคุณล่ะคะ หิวหรือเปล่า ฉันมีแซนด์วิชเหลือจากที่ซื้อตุนมา คุณจะรับไปสักชิ้นมั้ยคะ”
“อืม ก็ดีนะ กินอะไรเบาๆ รองท้องก่อนนอนอาจหลับง่ายขึ้น งั้นผมขอสักสองชิ้นแล้วกัน”
พิมพ์พิสุทธิ์รีบหยิบแซนด์วิชให้เขาทันที แล้วทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไร
ชายหนุ่มเห็นแบบนั้นจึงเอ่ยถามขึ้น “คุณมีอะไรจะถามผมหรือเปล่า”
“คือ...” หญิงสาวลำบากใจที่ต้องพูดออกไป “เอ่อ...คือพริ้ม...ไม่มีชุดเปลี่ยนน่ะค่ะ”
เนื่องจากวันนี้วุ่นกับการเตรียมออกจากโรงพยาบาล เธอเลยลืมไปเสียสนิท ชุดที่สวมอยู่นี่ภูรินท์ก็จัดเตรียมมาให้ เธอไม่มีอะไรติดตัวมาเลยสักอย่าง
“เฮ้ย! ผมลืมไปสนิทเลย!” ภูรินท์เองก็ตกใจ เขาลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเช่นกัน
“ถ้างั้นคืนนี้คุณทนใส่เสื้อผ้าผมไปก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวผมจะไปหาตัวที่เล็กที่สุดและผมไม่ค่อยได้ใส่มาให้”
หญิงสาวมองเขาอย่างที่เขาเองก็อธิบายไม่ถูก “เอาน่า ผมไม่ได้เป็นโรคติดต่อร้ายแรงหรอกน่า ไว้ใจได้ คืนนี้คุณก็ทนๆ ใส่ไปก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปหาซื้อใหม่”
จริงๆ เธอก็ไม่ได้แสดงอาการรังเกียจออกไปนะ แต่พอเขาพูดแบบนั้นก็น่าคิดนะ
“ขึ้นห้องเถอะ ดึกแล้วยุงเยอะ เดี๋ยวผมไปเอาชุดมาให้ แล้วจะไปเคาะเรียกที่ห้อง”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันรอตรงนี้ก็ได้” เธอบอกอย่างเกรงใจ
“ผมบอกก็ทำตามที่บอกเถอะ เดี๋ยวยุงก็ดูดเลือดหมดตัวพอดี” เขาดุอย่างผู้ใหญ่ดุเด็ก
พิมพ์พิสุทธิ์ขี้เกียจต่อความยาวจึงยอมทำตามที่เขาบอก เดินขึ้นไปยังฝั่งปีกซ้ายห้องริมสุด
ตัวบ้านทำจากไม้สัก เฟอร์นิเจอร์เกือบทุกชิ้นก็ล้วนทำมาจากไม้ ให้ความรู้สึกเรียบง่าย คลาสสิก กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเครื่องนอนชวนให้อยากทิ้งตัวลงนอนซุกอยู่ใต้ผ้านวมผืนหนา อากาศเย็นสบาย ไม่ร้อนระอุเหมือนกรุงเทพฯ ยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่าชีวิตเงียบสงบดี
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามครั้ง ก่อนที่เสียงของชายหนุ่มจะดังตามมา “ผมขอเข้าไปนะ” ไม่นานบานประตูก็ถูกเปิดออก
“ผมเอาชุดมาให้น่ะ คุณก็รีบอาบน้ำนอนซะนะ เดี๋ยวเปลี่ยนที่เปลี่ยนบรรยากาศเกิดไม่สบายขึ้นมาแล้วอย่าหาว่าผมไม่เตือนนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“นี่ก็ดึกแล้ว งั้นผมไปละนะ ถ้ามีอะไรก็ไปเคาะเรียกผมที่ห้องแล้วกัน”
เธอพยักหน้ารับ ชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป พลันเธอก็คิดอะไรขึ้นได้ ไหนๆ วันนี้เขาก็ทำให้เธอโมโห ก่อนนอนขอรวนสักหน่อยก็แล้วกัน หญิงสาวก้าวไปยังประตู เปิดประตูออกไปก็เห็นว่าเขาเพิ่งเดินไปไม่ไกลนัก
“คุณภูรินท์!” เธอรีบรั้งเขาไว้
เมื่อชายหนุ่มหันหน้ากลับมามองพร้อมยกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม เธอก็รีบเอ่ยคำถามออกไปทันที
“คุณ...ไม่ได้เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังหรอกใช่มั้ยคะ”
จากที่งงในตอนแรก ภูรินท์ก็หัวเสียทันที นี่เธอคิดว่าเขาน่ารังเกียจ สกปรกมากขนาดนั้นเลยหรือไง ถึงเขาจะ ‘ได้’ เรื่อยๆ แต่ก็เซฟตัวเองตลอดเหอะ! คิดแบบนั้นได้ยังไง ว่าแล้วก็ส่งสายตาดุไปให้
คนร่างบางไม่สะทกสะท้าน ซ้ำยังดูระรื่นที่รวนเขาให้หน้าหงิกได้อีก
“หวังว่าผลตรวจสุขภาพล่าสุดของคุณจะปราศจากโรคติดต่อใดๆ นะคะ ฉันจะได้สบายใจ หายกังวล ฉันไม่ได้รังเกียจนะคะ แค่พยายามหลีกเลี่ยง...หวังว่าคุณคงจะเข้าใจฉัน” พูดเสร็จก็รีบปิดประตูทันทีราวกับกลัวว่าเขาจะกระโจนมาเอาเรื่อง
ดูที่พูดนั่น นี่เขาแค่ให้เธอสวมเสื้อผ้าของเขานะ แล้วมันก็เป็นของนอกกาย ไม่ใช่ของ ‘ส่วนตัว’ แบบ ‘ลึกซึ้ง’ ยังพูดแบบนี้ ทำอย่างกับว่าถ้าเขาเป็นโรคติดต่อจริงๆ เธอจะหลีกเลี่ยงพ้นอย่างนั้นละ แล้วที่พูดมานั่นเพราะว่าสมองยังไม่สมบูรณ์ดี หรือแค่อยากจะกวนประสาทเขาก่อนนอน
แต่ดูจากรอยยิ้มกว้างเปื้อนดวงหน้าเมื่อครู่ น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า
ความคิดเห็น |
---|