3
“ไม่ได้นอนหลับเต็มอิ่มแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วเนี่ย ฝันดีอีกต่างหาก” กฤตพจน์บิดตัวยืดเส้นบนที่นอนในช่วงเช้าตรู่ของวันถัดมา ใบหน้าหล่อร้ายคลี่ยิ้มเมื่อทอดสายตามองร่างจ้ำม้ำของเด็กชายบุญรักษาและเด็กหญิงบุศย์น้ำเพชรที่นอนแผ่หลาเต็มเตียง
คนร่างสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดห้าเซนติเมตรค่อยๆ ขยับเข้าไปชื่นใจแก้มยุ้ยของหลานรักทั้งสอง ก่อนที่จะผละตัวออกไปทำธุระส่วนตัวในห้องนอนของตนที่ตั้งอยู่บนชั้นสองของบ้าน ห้องนอนที่พี่ชายทั้งสามช่วยกันออกแบบและหาช่างฝีมือดีมาเนรมิตให้อย่างสวยงาม ทว่าเจ้าของห้องกลับใช้ห้องนี้เฉพาะอาบน้ำ แต่งตัว และทำงานเท่านั้น ส่วนในยามวิกาล นับตั้งแต่พี่ชายฝาแฝดเป็นฝั่งเป็นฝา เสือหมายเลขสี่ก็หอบหมอน กอดผ้าห่มมาเกาะเตียงหลานสาวและหลานชายที่ตั้งอยู่บนชั้นสามของบ้านนับแต่นั้น
“คุณปรางค์โทร. มาแจ้งว่าคุณลิยามารอพบนายที่ออฟฟิศนะครับ” ประวีร์รายงานหลังจากผู้เป็นนายเข้าไปนั่งประจำที่บนรถแล้ว
“ไม่ได้นัดไว้ก่อนอีกแล้วหรือ” กฤตพจน์เลิกคิ้วถาม ด้วยตนพลาดเองที่เคยแทรกคิวให้เธอเข้าพบในช่วงเช้าก่อนเริ่มงาน ดังนั้นนลิยา ทายาทเจ้าของร้านเพชรชื่อดังที่ทำการค้ากับ โภคิน จิวเอลรี มาหลายปีจึงอาศัยช่วงเวลานี้มาดักพบเขาเสมอ
“ครับนาย ไม่ได้โทร. มานัดล่วงหน้า” ประวีร์ตอบพร้อมยิ้ม
“วันนี้จะมาพบเรื่องอะไรล่ะ” ผู้เป็นนายถามต่อ
“เรื่องขยายสาขาร้านเพชรไปยุโรปครับ” คนสนิทคนเดิมตอบ
“เฮ้อ บางครั้งก็อยากขี้เหร่” ผู้อำนวยการบริหาร โภคิน จิวเอลรี ถอนหายใจยาวแล้วเอนหลังพิงเบาะรถ ก่อนที่จะเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเมื่อคืนให้คนสนิทฟัง “หลายคืนที่ผ่านมาฉันฝันดีมากเลย แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าฝันอะไร รู้แต่ว่าในฝันฉันมีความสุขมาก มีอะไรนุ่มนิ่มล้อมตัวไปหมด”
“นุ่มนิ่มหรือครับนาย” ทินกรถาม
“อืม เหมือนนอนทับอะไรที่นุ่มและยืดหยุ่นดีมาก”
“ฟองน้ำหรือเปล่าครับ” ทินกรถามต่อ
“ฟองน้ำยังสากมือกว่าสัมผัสที่ฉันได้รับในฝันเยอะเลย มีวิธีไหนบ้างถ้าคืนนี้ฉันอยากฝันต่ออีก” เสือหมายเลขสี่ขอความช่วยเหลือ
“ผมเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่บอกว่า ให้กลับหมอนนอน แล้วเราจะกลับมาฝันเรื่องเดิมอีก” ทินกรแนะนำ
“จริงเหรอ” กฤตพจน์พยักหน้าคิดตาม “คืนนี้จะลองดู”
“คุณเล็ก” หญิงสาวในชุดเดรสสีขาว คาดเข็มขัดแดงที่รับกันกับรองเท้าส้นสูงสีแดงเข้ม ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวขาเข้าไปหาทันทีที่กฤตพจน์เดินออกมาจากลิฟต์ผู้บริหาร
“สวัสดีครับลิยา ลมอะไรหอบคุณมาหาผมแต่เช้า” เสือหมายเลขสี่ยิ้มหล่อพร้อมกับเอ่ยถาม
“ลมคิดถึงน่ะสิคะ” นลิยายิ้มหวาน หวานเช่นนี้หากเป็นเมื่อก่อนเขาอาจจะชอบและหลงใหล ทว่าความรู้สึกในขณะนี้รอยยิ้มหวานเมื่อสักครู่มีอิทธิพลแค่เพียงทำให้ขนในกายหนุ่มลุกชันด้วยความไม่ไว้วางใจเท่านั้น
กฤตพจน์เป่าลมออกปากช้าๆ แล้วยกมือทั้งสองข้างขึ้นห้ามเมื่อนลิยากำลังจะเอื้อมมือมาเกาะแขน “คุณปรางค์พาลิยาไปรอผมที่ห้องประชุมก่อน” พลางหันไปสั่งการกับเลขานุการส่วนตัว
“ค่ะบอส” ปรางค์ขวัญรับคำสั่งแล้วผายมือให้ไฮโซสาวเดินตาม
“ฉันมีความรู้สึกแปลกๆ ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง อยู่ๆ ฉันก็ไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงคนไหนเลย” กฤตพจน์ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ก่อนที่จะเอ่ยกับคนสนิทด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
ประวีร์และทินกรเบิกตาโพลงแล้วกระถดตัวก้าวถอยหลังอัตโนมัติ “นายคงไม่ได้เอ่อ ...” ประวีร์ทำสีหน้าปั้นยาก
“สาบานได้ว่าฉันไม่ได้เบี่ยงเบน” เสือหมายเลขสี่กุมขมับด้วยเข้าใจในสิ่งที่คนสนิทกำลังสื่อเป็นอย่างดี
“ค่อยโล่งอกหน่อย” ทินกรเกาท้ายทอย แต่กระนั้นก็ยังคงเว้นระยะห่างจากผู้เป็นนายอยู่เช่นเดิม ก่อนที่จะวิเคราะห์ต่อ
“ถ้าไม่ได้เลิกชอบผู้หญิง...นายก็อาจจะเจอกับคนที่ใช่แล้ว นายถึงได้ไม่อยากอยู่ใกล้กับผู้หญิงคนไหนอีก”
กฤตพจน์หรี่ตามองสองคนสนิทแล้วคิดตาม “คนที่ใช่...” ชายหนุ่มเอ่ยลอยๆ “ใครกัน”
“ถ้าหากนายไม่สบายใจ ก็น่าจะต้องลองไปปรึกษาจิตแพทย์ดู” ประวีร์เสนอ
“ก็ดีเหมือนกัน เย็นนี้จะลองถามพี่กลางดู” ผู้เป็นนายว่า ก่อนที่เสียงสมาร์ตโฟนของทินกรจะดังขึ้น ชายหนุ่มค้อมศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงขออนุญาตก่อนที่จะกดรับสาย
“ครับคุณปรางค์ ว่าไงนะ อยู่ไหนแล้ว ได้ๆ คุณให้คนดูเธอไว้ก่อนก็แล้วกัน” บทสนทนาของทินกรพาให้กฤตพจน์และประวีร์มองตามด้วยความสงสัย
“มีอะไรกร เสียงตื่นเต้นเชียว” ผู้เป็นนายถาม
ทินกรยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนที่จะรายงาน “คุณณัชชามาครับนาย ตอนนี้อยู่ที่ล็อบบี คนของเรายังสกัดไว้อยู่”
กฤตพจน์ผุดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยถาม “วันนี้ไม่มีประชุมด่วนอะไรใช่ไหม”
“ไม่มีครับนาย วันนี้มีแต่เรียกแบบคอลเล็กชันใหม่มาดูความคืบหน้าเท่านั้น” ทินกรตอบ
“งั้น...สลายตัว” เสือเล็กว่าก่อนที่จะส่งสัญญาณให้คนสนิทเดินนำพาเลี่ยงเข้าทางลับ แล้วขึ้นรถออกจากบริษัทไปอย่างรวดเร็ว
...
“ไปไหนดีครับนาย” ประวีร์ถาม หลังจากที่รถเริ่มเคลื่อนออกจากบริษัท
“นั่นสิ ขับไปเรื่อยๆ ก่อนก็แล้วกัน” ผู้เป็นนายเอนหลังพิงเบาะ ทอดสายตามองบริเวณถนนที่มีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา ช่วงเวลาก่อนเริ่มงานเช่นนี้ ทุกชีวิตต้องรีบเร่งเพื่อให้ถึงที่ทำงานทันเวลา คงมีแต่หญิงสาวร่างเล็กในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนเท่านั้นที่ย่อตัวลงซื้อข้าวต้มมัดจากคุณยายที่นั่งขายของอยู่บนทางเท้าอยู่นานสองนาน โดยไม่มีทีท่าว่าจะรีบเร่งดั่งเช่นคนอื่น ครั้นเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นจากกระจาด ฉับพลันใบหน้าหล่อก็กระตุกยิ้มร้าย
“หยุดรถ” กฤตพจน์ออกคำสั่ง ก่อนที่จะเดินลงจากรถไปอย่างรวดเร็ว
“อร่อยจังข้าวต้มมัดไส้เผือก” หญิงสาวแกะใบตองออกจากข้าวต้มมัดแล้วละเลียดชิม ใบหน้าจิ้มลิ้มยิ้มกว้างเมื่อหยุดยืนอยู่หน้าร้านชาไข่มุก
“โกโก้ปั่นใส่ไข่มุกแก้วหนึ่งจ้ะ” เจ้าของเสียงหวานร้องสั่งเมนูที่ตนอยากดื่มกับป้าเจ้าของร้าน โดยที่มือบางข้างขวายังถือข้าวต้มมัดไส้เผือกอยู่ในระดับคางเพื่อรอรับประทานต่อหลังจากสั่งน้ำหวานเสร็จ
“อร่อยจริงๆ ด้วย” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นข้างหู หลังจากที่โฉบจับมือข้างที่ถือข้าวต้มมัดเอาไว้แล้วดึงมากินอย่างหน้าตาเฉย
“คุณ!” เจ้าของมือบางถลึงตามองจอมโจรขโมยข้าวต้มมัดที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาเจอตามท้องถนนเช่นนี้
“ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วย มีของอร่อยๆ ก็ต้องรู้จักแบ่งปันสิครับคุณครูตามฉัน เอ๊ย ตามฝัน” ชายหนุ่มว่าพร้อมกับยักคิ้วให้รัวๆ
“อยากกินทำไมไม่ไปซื้อเองเล่า มาขโมยของคนอื่นแบบนี้ได้ยังไงกัน” มาติกาทำหน้ามุ่ย เช้านี้อากาศไม่ร้อนเหมือนเช่นทุกวันเธอจึงรีบลุกขึ้นจากเตียง เพื่อมาเดินตามล่าหาของอร่อยที่เคยกินเสมอก่อนย้ายไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่แล้ววันดีๆ อากาศดีๆ ก็พังครืนระเนระนาด เพราะดันมาเจอคนประหลาดก่อกวนแบบนี้
“ได้แล้วจ้า” ป้าเจ้าของร้านชาไข่มุกร้องบอก
“ขอบคุณครับ” กฤตพจน์ขยับตัวเข้าไปรับแก้วพลาสติกที่ด้านในบรรจุน้ำโกโก้ปั่นใส่ไข่มุกมาดูดอึกใหญ่ ก่อนที่จะยื่นแก้วที่ตนเปิดปฐมฤกษ์ชิมไปเรียบร้อยแล้วคืนให้แก่เจ้าของตัวจริง “อันนี้ก็อร่อย เอ้า รับไปสิ”
“ใครจะกล้ากินต่อกัน อ้าปากกว้างงับหลอดไปเป็นครึ่งขนาดนั้น” มาติกาขมวดคิ้วทำหน้ามุ่ยตุ้ย แล้วหันไปเอ่ยกับป้าเจ้าของร้านอีกรอบ “ขอแบบนี้อีกแก้วค่ะป้า”
กฤตพจน์อมยิ้มแล้วสะกิดเรียวแขนกลมกลึง มาติกาปัดมือแมงมุมออกแล้วกระแทกลมหายใจยาว “อะไรอีกคะคุณกฤตพจน์”
“ขอข้าวต้มอีก” ชายหนุ่มว่า แล้วโน้มใบหน้าลงงับข้าวต้มมัดในมือเธออย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นยืดตัวตรงเคี้ยวของอร่อยของหญิงสาวตุ้ยๆ
ประวีร์และทินกรหรี่ตามองกันเป็นเชิงถาม ด้วยยังไม่เคยเห็นผู้เป็นนายแกล้งและหยอกล้อหญิงสาวคนใดเช่นนี้มาก่อน เพราะโดยปกติวิสัยแล้ว เจ้านายของตนจะถนัดงานโปรยเสน่ห์เป็นที่หนึ่ง
หลังจากจ่ายเงินค่าน้ำปั่นเรียบร้อยแล้ว มาติกาจึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งพยายามจะหนีห่างจากเสือหมายเลขสี่ผู้เลื่องชื่อให้ไกลมากที่สุด แต่ด้วยช่วงขาของสตรีหรือจะสู้บุรุษได้ กฤตพจน์ยังคงเดินตามมาด้วยท่วงท่าสบายๆ ในขณะที่คนเดินหนีเริ่มเหนื่อยหอบ
“เอาละๆ ฉันยอมแล้ว คุณจะเอายังไงก็ว่ามา ฉันเหนื่อย” หญิงสาวชะลอฝีเท้าแล้วหันหลังกลับมาเจรจาดีๆ เพราะไม่ว่าจะพยายามลัดเลาะซอยเล็กซอยน้อยแค่ไหนก็หนีไม่พ้น และเธอก็มั่นใจว่าในสถานการณ์เช่นนี้คงต้องติดปีกบินเท่านั้น เธอจึงจะสลัดคนหน้ามึนคนนี้ไปได้
“คุณจะรีบไปไหนตามฝัน” กฤตพจน์เอ่ยถาม
“ฉันต้องรีบไปสอนเด็กๆ ร้องเพลงค่ะ พอใจหรือยังคะ”
“งั้นผมไปด้วย”
คำตอบของกฤตพจน์ไม่ได้แค่เพียงสร้างความตกใจให้แก่มาติกาเท่านั้น หากประโยคดังกล่าวยังทำให้ประวีร์และทินกรแตกตื่นไม่แพ้กัน
“คงถึงช่วงเวลาหฤหรรษ์ของเราสองคนแล้วสินะ” ประวีร์เอ่ยเสียงแผ่วเพื่อให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“อืม แค่วันแรกก็เดินตามกันจะสองกิโลแล้วเนี่ย นึกว่ากำลังถ่ายหนังบอลลีวูดอยู่” ทินกรตอบ สองคนสนิทเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของผู้เป็นนายแล้วก็ได้แต่กะพริบตาปริบๆ
“คุณไม่มีงานทำหรือคะ” มาติกาเอ่ยถามเสียงคล้ายละเมอ แค่ลำพังให้เธอเจอเขาเป็นครั้งคราวเวลาไปสอนดนตรีเด็กๆ ที่บ้านโภคินอภิวัฒน์ก็ยุ่งยากและวุ่นวายมากพอแล้ว แต่นี่เขายังจะตามมาหลอกหลอนเธอในชีวิตประจำวันเช่นนี้อีก แค่คิดไมเกรนก็ขึ้นจนแทบจะต้องควักยามากินประทังความปวดหัวแล้ว
“วันนี้ผมว่าง และผมก็อยากรู้ว่าคุณเก่งและน่าไว้วางใจจริงๆ เหมือนที่น้องบัวนำเสนอหรือเปล่า”
มาติกากลอกตาพร้อมกับถอนลมหายใจยาว “งั้นก็ตามใจ แต่ฉันต้องกลับไปเอารถก่อน คุณจะไปรอที่โรงเรียนก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวจะบอกทางให้”
“ไม่ต้อง ไปรถผมดีกว่า ไว้สอนเสร็จจะไปส่ง” ชายหนุ่มว่าแล้วผายมือเชิญหญิงสาวขึ้นรถ
มาติกากรีดร้องอยู่ในใจ แต่กระนั้นก็ยินยอมเดินตามไปขึ้นรถสปรินเตอร์คันหรูที่จอดชิดทางเท้าข้างหน้าแต่โดยดี เผื่อว่าการที่เขาได้เห็นเธอสอนนักเรียนในวันนี้แล้ว จะทำให้เขาหายข้องใจว่าเธอสามารถเป็นครูที่ดีให้แก่หลานชายและหลานสาวของเขาได้ เพราะนั่นคือสิ่งที่เธอปรารถนา ปรารถนาที่จะเป็นครูที่ดี และทำหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพโดยไม่มีใครคอยระแวงแคลงใจเช่นนี้
“ครูตาม/ครูตามมาแล้ว” เสียงใสดังเซ็งแซ่เมื่อเห็นว่าคุณครูสาวเดินเข้ามาภายในบ้าน บ้านอันเป็นสถานที่พำนักของเยาวชนตัวเล็กตัวน้อยผู้ไร้ที่พึ่ง ไร้คนเหลียวแล ทว่าสำหรับมาติกาแล้ว สถานที่แห่งนี้คือพื้นที่สีขาว อันเป็นศูนย์รวมความรักอันบริสุทธิ์
ตั้งแต่ก่อนเดินทางไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ หญิงสาวก็มักจะแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนหนูน้อยที่บ้านแห่งนี้เสมอ และหลังสำเร็จการศึกษาแล้ว เธอจึงติดต่อแจ้งความจำนงเข้ามาสอนดนตรีที่นี่สัปดาห์ละหนึ่งวัน
กฤตพจน์ทำสีหน้าประหลาดใจตั้งแต่แรกเห็นตัวอักษรขนาดใหญ่ด้านหน้าที่ระบุว่าสถานที่แห่งนี้คือ ‘สถานสงเคราะห์บ้านสีขาว’ ชายหนุ่มพยายามส่งสายตามองหญิงสาวเพื่อขอคำตอบ แต่มาติกากลับส่งภาษากายมาแค่ยักไหล่และยักคิ้วเพียงเท่านั้น เสือหมายเลขสี่ถอนหายใจ จำยอมละความสงสัยทั้งมวลเอาไว้ในรถ แล้วก้าวขาตามหญิงสาวเข้าไปด้านใน
แต่แล้วความประหลาดใจก็ย้อนกลับเข้ามาเป็นทวีคูณ เมื่อร่างแน่งน้อยเดินตรงเข้าไปนั่งคุกเข่าประนมมือกราบไหว้พระภูมิเจ้าที่และศาลตายายที่ตั้งอยู่ข้างกำแพง จากนั้นจึงเดินไปกราบรูปปั้นบรมครูพ่อแก่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกล
มาติกาจะสวดบทบูชาและขอพรเช่นนี้ทุกครั้งก่อนเริ่มทำการสอนหรือแสดงดนตรี และเหตุที่สถานสงเคราะห์บ้านสีขาวมีรูปปั้นบรมครูพ่อแก่นั้นก็เป็นเพราะว่าผู้ก่อตั้งก็ศรัทธาในศาสตร์นี้มากเช่นกัน
“ละ...เล่นของ” กฤตพจน์ทำหน้าตาเหลอหลาแล้วหันมาเอ่ยกับคนสนิทด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กนักเรียนนอกจะท่องคาถาได้นานและชวนให้ขนลุกได้ถึงเพียงนี้
“ศิลปิน นักดนตรีมีครูบาอาจารย์อยู่แล้วครับนาย” ประวีร์ตอบพร้อมยิ้ม
“ผมเคยได้ยินมาว่าท่านมีบารมีมาก ด้านเมตตามหานิยม” ทินกรเอ่ยต่อ
“เสน่ห์ยาแฝด!!!” ใบหน้าหล่อชะงักแล้วร้องเสียงหลง กฤตพจน์ประนมมือไหว้ปลกๆ พร้อมทั้งเอ่ยถึงเจตนาบริสุทธิ์ซ้ำไปซ้ำมา “ผมเป็นคนดีนะครับท่าน ที่ตามมาไม่ได้ก่อกวน แค่อยาก เอ่อ...อยากรู้จักตัวตนที่แท้จริงของครูตามฝันก็เท่านั้นเอง”
“สวัสดีจ้ะเด็กๆ” มาติกาส่งยิ้มหวานทักทาย ซึ่งโดยปกติแล้วหากเธอเดินเข้าห้องเรียนมาเช่นนี้ เด็กๆ จะต้องกรูเข้ามาหา ทว่าวันนี้นักเรียนทั้งชั้นนั่งนิ่งอยู่กับที่ แววตาใสแป๋วมองข้ามไหล่ของเธอไปทางด้านหลัง
หญิงสาวเอี้ยวตัวมองตามแววตาใสซื่อเหล่านั้น และก็พบคำตอบว่าเหตุใดห้องเรียนทั้งชั้นจึงตกอยู่ในภาวะชะงักงันเช่นนี้ เพราะภาพขบวนเจ้าพ่อผิวขาวขายาวที่เดินตามหลังเธอเข้ามานั้นไม่ต่างกับฉากในภาพยนตร์เจ้าพ่อของต่างชาติเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังสวมแว่นกันแดดสีดำกันครบทีมตั้งแต่เจ้านายจนกระทั่งผู้ติดตาม
มาติกาโคลงศีรษะไปมา ก่อนที่จะเดินเข้าไปลากแขนหัวหน้าแก๊งออกไปเจรจานอกห้อง
“โอ๊ย...พวกคุณคิดว่า กำลังเข้าฉากแสดงหนังเป็นเจ้าพ่อหรือยังไงถึงได้เปิดตัวอลังการแบบนี้”
“อ้าว คุณนี่ยังไงอยู่ๆ ก็ลากผมออกมาชมว่าหล่อเหมือนพระเอกหนัง ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นก็ได้ ไว้เสร็จธุระแล้วค่อยบอกก็ยังทัน” กฤตพจน์แบมือทั้งสองข้างพร้อมกับยักไหล่น้อยๆ
“ฉัน...ประ...ชด” มาติกาแยกเขี้ยวแล้วเน้นทีละคำอย่างช้าๆ “เอาละค่ะคุณกฤตพจน์ ฉันต้องการสมาธิในการสอน และเด็กๆ เองก็ต้องมีสมาธิในการเรียน เพราะฉะนั้นถ้าหากคุณจะอยู่ดูการสอน ก็ช่วยกรุณาอยู่อย่างสงบ แต่ถ้าไม่ก็ ชะ...”
“ผมจะอยู่” ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะเอ่ยจบประโยค ชายหนุ่มก็ยกมือข้างขวาขึ้นเป็นเชิงบอกให้หยุด แล้วเอ่ยขัดขึ้นอย่างรู้ทันว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ตามมาถึงขนาดนี้แล้วจะไล่ให้กลับง่ายๆ ไม่มีทางเสียหรอก
“งั้นก็เชิญเคลื่อนขบวนไปด้านหลังห้องเลยค่ะ” มาติกาผายมือไปทางประตูหลังห้อง ก่อนที่จะหมุนตัวเดินแยกออกไปอีกทาง
กฤตพจน์อ้าปากค้างมองตามแผ่นหลังบางของคนฝีปากกล้าที่อาจหาญออกปากไล่ และจัดที่จัดทางให้สุดยอดผู้บริหารหนุ่มในดวงใจที่สาวๆ ทั้งประเทศลงความเห็นว่าอยากใกล้ชิดมากที่สุดไปนั่งหลังห้องด้วยความตะลึง ก่อนจะหันไปสบตาคณะผู้ติดตาม “นี่ฉันโดนไล่ให้ไปอยู่ไกลๆ ใช่ไหม”
“ครับนาย คุณมาติกาเชิญพวกเราไปอยู่หลังห้อง” ประวีร์ตอบเสียงกลั้วหัวเราะ
“แสบจริงๆ” คนถูกเมินพ่นลมออกจมูก แล้วจึงเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับคนสนิทเสียงเข้ม “เอ๊า เขาสั่งแล้วยังเฉยกันอีก ไปสิไปนั่งหลังห้อง” ว่าพลางเดินนำคณะไปประจำจุดที่หญิงสาวกำหนดให้แต่โดยดี
“นึกว่าจะประท้วง” ทินกรกลั้นขำแล้วทำปากขมุบขมิบเอ่ยกับประวีร์
“แววมาตั้งแต่เริ่ม” ประวีร์ตอบยิ้มๆ แล้วเดินไปยืนขนาบข้างผู้เป็นนายที่ตอนนี้ถอดแว่นกันแดดออก ยกมือขึ้นกอดอก นั่งอมยิ้มตั้งใจเรียนวิชาขับร้องยิ่งกว่านักเรียนคนใดในชั้น
“ขอบคุณครูตามฝันมากเลยนะคะ” เจ้าหน้าที่สถานสงเคราะห์เดินมาส่งมาติกาและคณะที่รถ
มาติกาส่งยิ้มหวานจนตาหยี แล้วเอื้อมมือไปกุมมือของเจ้าหน้าที่ท่านนั้นเอาไว้ ซึ่งช่องว่างระหว่างมือของผู้หญิงทั้งสองคือซองสีขาวที่มีขนาดหนาพอสมควร “เกือบลืมไปเลยค่ะ นี่ค่าเทอมของน้องต่อกับน้องแทนนะคะ”
กฤตพจน์หรี่ตามองพร้อมกับขยับตัวเข้าไปใกล้ หมายจะร่วมรับรู้ในบทสนทนาอันแผ่วเบาก่อนหน้านี้ให้จงได้ ทว่าทั้งสองกลับหยุดบทสนทนาไว้แต่เพียงเท่านั้น เมื่อมาติกาหมุนตัวกลับแล้วก้าวขึ้นไปนั่งบนรถอย่างรวดเร็ว
“ผมขอตัวก่อนนะครับ ไว้จะมาเยี่ยมอีก” ชายหนุ่มเอ่ยกับเจ้าหน้าที่แล้วก้าวขึ้นไปนั่งบนเบาะติดกันกับหญิงสาวเจ้าของเรื่องราวทั้งหมดในวันนี้
แค่เพียงปรายตาเหลือบเห็นขายาวๆ ก้าวขึ้นรถ มาติกาก็แสร้งปล่อยตัวพิงเบาะรถแล้วหลับตาลงทันที
“ลูกไม้ตื้นๆ” กฤตพจน์กระตุกยิ้มร้ายพึมพำเสียงในลำคอ พลางเอื้อมมือไปสะกิดเรียวแขนบางแล้วร้องเรียก “คุณ... คุณ”
“อือ...” หญิงสาวผู้มีลูกไม้ตื้นๆ ยังคงแกล้งหลับลึกทั้งที่เพิ่งขึ้นมานั่งบนรถได้ไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำไป
“ประวีร์ ด้านหน้ามีม่านรูดช่วยแวะที” เสียงทุ้มร้องสั่งการกับคนสนิท และนั่นก็ได้ผลชะงัด เมื่อคนหลับลึกเมื่อครู่เด้งตัวนั่งหลังตรงอย่างทันทีทันใด
“แวะทำไม” เสียงหวานร้องถาม
“อ้าว นึกว่าหลับ ก็เลยจะพาไปนอนสบายๆ จะได้ไม่ต้องทนนั่งคอพับคออ่อนอยู่แบบนี้” กฤตพจน์ตอบพร้อมกับยักคิ้วให้
“ฉันหายง่วงแล้ว ไม่ต้องแวะไหนทั้งนั้น จะถามอะไรก็ว่ามาเลยค่ะ สะกิดอยู่ได้”
“อ้าว หลับอยู่แล้วรู้ได้ไงว่าโดนสะกิด” คนรู้ทันกลั้นขำ เมื่อเห็นหญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากทันทีที่เอ่ยจบประโยค
“ผมแค่จะถามว่าคุณมาสอนดนตรีที่นี่ได้ยังไง” คนอยากรู้เอ่ยถามเมื่อสบโอกาส
“ความจริงก่อนที่จะไปเรียนต่อ ฉันก็มาช่วยงานที่นี่ประจำอยู่แล้ว พอเรียนจบเลยมาขอสอนดนตรีให้เด็กๆ”
“อืม ดีจริง ที่นี่คงมีงบสนับสนุนเยอะน่าดู ถึงจ้างครูจบนอกมาสอนได้” คนกวนก็ยังคงกวนอยู่วันยังค่ำ อยากจะรู้อะไรมากกว่านี้ แต่กลับเลือกใช้คำพูดยียวนแทนการตั้งคำถามแบบที่คนปกติทำกัน
มาติกาถอนหายใจก่อนตอบ “ฉันเสนอตัวมาสอนฟรีค่ะ”
“ฟรี?” กฤตพจน์เบิกตากว้าง คาดไม่ถึงว่าคุณครูสอนพิเศษหลานๆ คนนี้จะมีอีกมุมที่น่าสนใจ
ใช่เขาไม่ปฏิเสธว่าความประหลาดของเธอน่าสนใจ ยิ่งเจ้าดูมๆ นั่นก็ด้วยที่มีแรงดึงดูดสายตาอย่างเหลือเชื่อ ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สวยจัดจ้าน แต่ใบหน้าจิ้มลิ้มของเธอทำให้เขาอยากแกล้งตลอดเวลา
“ค่ะ ฉันสอนฟรี”
“แล้วมาบ่อยแค่ไหน” เสียงทุ้มเอ่ยถามต่อ
“สอนพุธเว้นพุธค่ะ”
“ดี ต่อไปผมจะมาด้วย”
“...”
จบประโยคของเสือหมายเลขสี่ รถทั้งคันก็มีแต่ความเงียบ เงียบตั้งแต่คู่สนทนาสาวยาวไปจนถึงคนสนิทและชุดติดตาม
“คะ...คุณจะมาทำอะไรคะ” มาติกาถามเมื่อตั้งสติได้แล้ว
“ผมก็อยากมาดูแลเด็กๆ ที่นี่บ้าง ไหนๆ คุณก็มาเป็นประจำอยู่แล้ว ก็มาพร้อมกันไปเลยจะได้ไม่เสียเวลา” กฤตพจน์เอ่ยในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด แม้กระทั่งคณะผู้ติดตามที่อยู่ในรถยังต้องลอบสบตากันด้วยความประหลาดใจ
“ตามใจ ทีนี้หมดคำถามหรือยังคะ” หญิงสาวตอบและถามในคราวเดียวกัน ถึงแม้นว่าความจริงแล้วเธออยากจะถามว่าอยากจะมาทำไมไม่มาเอง ทำไมต้องเกาะเธอมาพร้อมกันด้วย แต่มั่นใจว่าเธอคงไม่ได้คำตอบที่มีประโยชน์จากเขาเป็นแน่ ดังนั้นถึงเลือกที่จะตามน้ำไปก่อน สู้เก็บพลังอันน้อยนิดที่หลงเหลืออยู่ในตอนนี้ไว้ทำอย่างอื่นดีกว่า
“ยัง ผมอยากรู้ว่าเมื่อกี้คุณยื่นอะไรให้ครูคนนั้น” กฤตพจน์ถามต่อ
มาติกาถอนหายใจเป็นรอบเท่าไรของวันแล้วก็ไม่อาจนับได้ เธอรู้แต่เพียงว่าตั้งแต่เจอผู้ชายคนนี้เธอถอนหายใจทิ้งบ่อยขึ้นทุกขณะ “ฉันจำเป็นต้องรายงานคุณทุกเรื่องเลยหรือคะ”
“ใช่ เผื่อคุณลักลอบทำอะไรไม่ดี แบบนี้หลานผมก็แย่สิ” ชายหนุ่มยกมือยกไม้ขยายความ
“มีใครเคยบอกคุณหรือเปล่าคะ ว่าคุณเป็นผู้ชายที่กวนประสาทที่สุด” หญิงสาวกลอกตามองหลังคารถอย่างเหลืออด
“ไม่เคย คุณเป็นคนแรก ปกติมีแต่คนชมว่าหล่อ”
“สายตาผู้หญิงสมัยนี้ แยกคำจำกัดความบางอย่างผิดเพี้ยนไปเยอะเลยนะคะ คุณว่าไหม”
กฤตพจน์เกือบจะหลุดขำ ก่อนที่จะแสร้งทำหน้าขรึม แล้วเอ่ยตอบเสียงหล่อ “ผมว่าคุณมากกว่าที่หน่วยประมวลผลผิดเพี้ยน”
“ฉันฝากเงินให้ครูเอาไปจ่ายค่าเทอมของเด็กที่ฉันส่งเรียนค่ะ พอใจหรือยังคะ หรือยังมีอะไรอยากถามอีก”
“มี” ชายหนุ่มตอบทันควัน และนั่นก็ทำให้มาติกาสะบัดหน้าส่งค้อนมาให้พร้อมกับกระแทกลมหายใจแรงๆ
“ผมแค่จะถามว่าทางกลับบ้านคุณไปทางไหน” คนขี้แกล้งลอบยิ้ม เมื่อเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มอ้าปากคล้ายจะต่อคำ ทว่าก็เงียบเสียงลง แล้วเลือกที่จะร้องบอกทางกับคนสนิทของเขาที่นั่งอยู่ด้านหน้าแทน
“พักที่นี่ด้วยหรือ แปลว่าไม่ธรรมดา” กฤตพจน์พึมพำกับตัวเอง เมื่อหญิงสาวเดินคล้อยหลังเข้าไปในคอนโดหรูระดับห้าดาว
“ได้มาทำกิจกรรมแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกันนะ” เสือหมายเลขสี่เอ่ยกับคนสนิท หลังจากรถเริ่มเคลื่อนตัวอีกรอบ
ประวีร์และทินกรยิ้มแห้งพร้อมกับค้อมศีรษะลงน้อยๆ โดยทิ้งเรื่องที่เตรียมจะรายงานไว้เบื้องหลัง ด้วยเห็นแก่อารมณ์สุนทรีของผู้เป็นนายที่กำลังฮัมทำนองเพลงที่มาติกาสอนเด็กๆ ในวันนี้อย่างไพเราะ หารู้ไม่ว่าระหว่างที่ตนกำลังสนุกกับบทเรียนดนตรีอยู่นั้น ที่บริษัทร้อนเป็นไฟเช่นไรในการรับมือกับณัชชาและนลิยา สองสาวผู้ที่ถูกทิ้งไว้ตามยถากรรม
ความคิดเห็น |
---|