10
สงคราม
ฉิมพลียามนี้แน่นขนัดไปด้วยเหล่าทหารหาญ และประชาชนชายจากเหล่าวิหคทุกเผ่าพันธุ์ที่สามารถร่วมรบในศึกครานี้ แม้แต่เหล่าชายชาตรีจากเผ่ายูงหรือยูงทอง ซึ่งสืบสายเลือดร่วมกับพิลาสมยุราก็เกณฑ์ไพร่พลที่สามารถกวัดแกว่งดาบได้มาร่วมด้วย
วิหรุตยืนมองกำลังพลที่ถูกเกณฑ์มาร่วมขบวนศึกด้วยความวิตก ถึงแม้ในใจจะร้อนรุ่มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความกระวนกระวาย แต่ก็มิอาจแสดงสิ่งใดออกมาให้ไพร่ฟ้าเห็นได้ว่าบัดนี้ตนทุกข์ใจเพียงใด
ราชาครุฑหันไปมองเจ้าของเสียงทุ้มนุ่มที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง เมื่อเห็นเจ้าของเสียงมีสีหน้าร้อนใจมิแพ้ตนแล้วก็พลันคิดถึงบุตรชายผู้สืบสายโลหิตโดยตรง ที่บัดนี้ยังมิตื่นจากบรรทม และมิได้เป็นเดือดเป็นร้อนใดๆ กับศึกสงครามที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยววินาทีนับจากนี้ไป
“พระองค์ทรงได้พักผ่อนพระวรกายบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าข่มตานอนมิลงหรอกหนา...” กล่าวพลางพาหลานชายมาทิ้งกายลงนั่งยังศาลาไม้หอม ที่ซึ่งจัดไว้สำหรับประทับขณะวางแผนการศึกซึ่งอยู่มิไกลจากลานรวมพลมากนัก ถึงแม้จะรู้ดีว่ามิควรคิดเปรียบเทียบบุตรชายกับหลานชายผู้นี้ แต่เขาก็อดคิดมิได้ว่าทำไมกันหนอ ทั้งที่ทั้งคู่มีอายุไล่เลี่ยกัน แต่อนิลกลับดูเอาการเอางานมากกว่าลลินพรตซึ่งไร้หัวคิดแม้แต่ด้านการวางตน มัวแต่หลงระเริงกับเรื่องสนุกสนาน “การรบครานี้ดูท่าว่าท่านภูชาเคนทร์จักมิยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย หากต้องการลดจำนวนไพร่พลที่จักล้มตาย ข้าคงต้องลงบัญชาการศึกเอง”
“ทรงวางแผนการไว้เช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”
สายลมเย็นพัดพาเอากลิ่นหอมจากเนื้อไม้มาบำรุงดวงจิตของผู้ที่ได้สูดดม ราชาครุฑทอดสายตามองไปยังกระดานไม้ที่แสดงถึงภูมิประเทศของแดนหิมพานต์ การศึกครานี้มิใช้การดำเนินโดยการบุกหรือซุ่มจู่โจม แต่เป็นศึกที่ตรงไปตรงมา การวางแผนการรบจึงเป็นไปได้ยากยิ่ง แต่เขาก็หมายให้ทั้งบุตรแลหลานชายอยู่รอดปลอดภัยในการออกรบครานี้ทั้งคู่ จึงค่อนข้างวิตกกังวลในความหุนหันพลันแล่นของลลินพรต ที่ใจร้อนไม่ฟังคำใดจากเขา
“เจ้ายังเด็กนักอนิล...” วิหรุตเผยยิ้ม นัยน์ตาจับจ้องที่ใบหน้าใสซื่อแล้วพลันหวนคิดถึงเชษฐาที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว เขารู้ดีถึงความกตัญญูของครุฑหนุ่ม แต่เขามิอยากให้หลานชายต้องมาเสี่ยงชีวิตเพราะกระแสกรรมแห่งตัวเขาเอง “เจ้าออกจากฉิมพลีแล้วจากไปเงียบๆ เสียเถิด ข้ามิอยากให้เจ้าข้องแวะในศึกครานี้”
“พระองค์ชุบเลี้ยงกระหม่อมมิต่างจากพระบิดา...” อนิลเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาคมกริบฉายแววจริงจังจนคู่สนทนารู้สึกได้ถึงพลังอำนาจที่แฝงอยู่ภายใน “กระหม่อมคงหนีเอาตัวรอดไปเพียงลำพังมิได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเลือกทิ้งนางไว้เบื้องหลังเช่นนั้นหรือ”
“นาง...” เมื่อได้ยินผู้เป็นอาเอ่ยเช่นนั้น อนิลก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ภายใน เพราะมิรู้ว่าควรวางตนอย่างไร เกล็ดมณีนาคีผู้นี้ถึงแม้จะหลุดออกจากราชวงศ์ขององค์วิหรุตแล้ว แต่คราหนึ่งก็เคยเสกสมรสเข้ามาเป็นสะใภ้แห่งฉิมพลี หรือจะพูดให้ง่ายคือนางเคยเป็นพระสนมเอกของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเสด็จอาของเขามาก่อน ทว่าแม้ภายในใจของเขาจะว้าวุ่นเพียงใด แต่กลับมีความไว้เนื้อเชื่อใจนางอย่างแปลกประหลาด “นางมิเห็นด้วยกับศึกครานี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าถึงบอกให้เจ้าไปอย่างไรเล่า”
“หม่อมฉันมิอาจอกตัญญูต่อฉิมพลีได้” เขายังยืนกรานปฏิเสธ
“มันก็แน่อยู่แล้ว!” เสียงกร้าวของผู้ที่วางตนเหนือกว่าอนิลดังมาแต่ไกล ลลินพรตในชุดพร้อมออกรบเต็มยศเดินเคียงข้างมากับพิลาสมยุราที่เดินนวยนาดด้วยท่วงท่าสง่างาม อนิลลุกออกจากที่นั่งหมายให้ลลินพรตเข้ามาแทนที่ แต่เขากลับแสดงท่าทีรังเกียจตั่งเงินตัวนั้น แล้วยืนสนทนากับบิดาแทน “ข้าพร้อมออกบัญชาการรบแทนเสด็จพ่อ และจะกุดหัวราชานาคาตนนั้นมาให้จงได้”
“อย่าหลงระเริงไปเลยลลินพรต...” วิหรุตเอ่ยเสียงราบเรียบ พยายามข่มความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ภายใน “ท่านภูชาเคนทร์นาคามิใช่ผู้ที่จักโค่นล้มได้โดยง่าย หรือแม้แต่ข้าเองที่เคยสู้รบปรบมือกับท่านมาหลายร้อยปีก็ยังมิอาจเอาชนะได้ เจ้าเกิดหลังข้ากว่าเก้าร้อยปี ไยจักสู้ท่านภูชาเคนทร์ได้กันเล่า”
“มันก็แค่นาค เราเป็นครุฑ เราได้เปรียบกว่าเป็นไหนๆ”
“การออกรบที่สมพระเกียรติของเผ่าพันธุ์ มิได้รบกันด้วยร่างแห่งครุฑหรือนาคหรอกหนา...” ลลินพรตขมวดคิ้วมุ่น วิหรุตจึงได้ระบายลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย ก่อนอธิบายให้บุตรชายได้รับรู้ “ในการทำสงครามกันมาแต่ไหนแต่ไร พวกเราสองเผ่าพันธุ์ต่างรบกันด้วยร่างแห่งทิพย์ของรูปลักษณ์มนุษย์เช่นนี้ ประมือกันด้วยคมหอก คมดาบ เพื่อมิให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบหรือเสียเปรียบในร่างเดิม มันเป็นเช่นนี้มาหลายยุคหลายสมัย หากสู้รบด้วยร่างทิพย์จนรู้แพ้รู้ชนะกันแล้ว ก็จักรู้ได้ว่าเผ่าพันธุ์ใดเหนือกว่า”
“ไยต้องทำให้เป็นเรื่องเสียเปรียบเช่นนั้นด้วยเล่าเสด็จพ่อ เพราะเมื่อเหล่าเผ่าวิหคกลับสู่ร่างครุฑ พวกเราก็จับนาคเหล่านั้นมาฉีกทึ้งได้อย่างง่ายดาย”
“เกียรติของเจ้าอยู่ที่ใดกันเล่าลลินพรต...” ผู้เป็นบุตรชายคล้ายถูกตบหน้าแรงๆ ฉาดหนึ่ง ใบหน้าของวิหรุตยามนี้ยังแสดงออกถึงการดูถูกดูแคลนอย่างเห็นได้ชัด นั่นเพราะนอกจากอีกฝ่ายจักมิมีหัวคิดแล้ว วาจายังพล่อยคล้ายกับมิได้รับการอบรมสั่งสอน “เกียรติและศักดิ์ศรีของเจ้าอยู่ที่ใดกัน”
พิลาสมยุรที่เห็นบุตรชายกำหมัดแน่นจึงได้วางมือบางลงบนบ่าแกร่งเพื่อปลอบประโลม ก่อนแทรกกายมายืนเบื้องหน้า
“สวามีเพคะ ลูกมิเคยออกศึกมาก่อน ลูกจักเข้าใจได้อย่างไร”
“เจ้าให้ท้ายลูกเกินไปแล้วนะพิลาสมยุรา”
“หม่อมฉันแค่มิอยากให้พ่อลูกต้องผิดใจกัน...” กล่าวพลางเหลียวไปมองใบหน้าเลอลักษณ์ของอนิลที่ยืนนิ่งสงบมิห่างจากองค์วิหรุตมากนัก lใบหน้างามเชิดหน้าขึ้นอย่างยะโส ก่อนเอ่ยข่มผู้ที่มีความสามารถเด่นกว่าบุตรแห่งตน “ยิ่งแถวนี้มีลูกเสือลูกตะเข้อยู่ด้วยแล้ว มันยิ่งอันตรายนะเพคะ”
“อนิล...” วิหรุตวางทีท่าไม่สนใจพิลาสมยุราจนนางเผลอเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง พยายามข่มความน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้ภายใน ผู้ถูกเอ่ยนามก้มหัวรอฟังในสิ่งที่เสด็จอาของเขากำลังจะสั่งการ “ตอบข้ามาทีว่าเหตุใดในการรบแต่ละครา ครุฑกับนาคจึงยากจักหาข้อสรุปว่าผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะ”
“เพราะด้วยสัตย์ปฏิญาณสองข้อพ่ะย่ะค่ะ”
“ลลินพรต ข้อแรกว่าไว้อย่างไร...” ผู้เป็นบิดาเหลียวไปหาบุตรชายที่เมื่อครู่วางมาดราวกับเป็นผู้บัญชาการศึก แต่ฝ่ายนั้นกลับเชิดหน้าขึ้นคล้ายกับปฏิเสธการตอบ ราชาครุฑเห็นดังนั้นจึงส่ายหน้า “เจ้ามิรู้หรอกรึ”
“สวามี ลูกยังมิเคยผ่านการออกรบมาก่อนนะเพคะ”
“ไหนเจ้าลองตอบข้ามาซิ...” วิหรุตหันไปขอคำตอบจากผู้ที่มีอายุไล่เลี่ยกับบุตรชายของตนแทน “อนิล”
“หนึ่งคือจักมิมีการกลับกลายร่างสู่วงวารแต่เดิม...” อนิลตอบเสียงแผ่ว เพราะยามนี้ญาติผู้พี่กำลังกำหมัดแน่นด้วยรู้สึกเสียหน้า เหตุที่เขาทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เพราะผู้เป็นบิดามักพร่ำสอนเขาเกี่ยวกับเรื่องยามออกศึก แม้แต่สัตย์ปฏิญาณ พระองค์ก็ทรงอบรมบ่มเพาะจนบุตรชายจำจนขึ้นใจ “สองคือจักมิมีการใช้ศาสตราวุธวิเศษใดๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องแค่นี้เจ้ามิรู้หรือ” วิหรุตหันไปคาดคั้นบุตรชายที่เอาแต่เชิดหน้านิ่งงัน
“สวามี...” พิลาสมยุราเอ่ยเรียกพร้อมใบหน้าที่บึ้งตึง แต่ครานี้วิหรุตกลับตวัดนัยน์ตาคมกริบดุจคมดาบกลับไป ทำให้นางต้องลดความยโสลง “ลูกยังต้องเรียนรู้อีกมากหนาเพคะ”
“พ่ะย่ะค่ะ” เขารับคำก่อนถวายบังคมต่อทั้งสองพระองค์
เมื่ออนิลเดินหายลับไปจากสายตาของราชาครุฑ เขาก็เหลียวไปมองใบหน้างามที่ยังวางท่าปั้นปึ่งอีกครั้ง เพราะมิพอใจที่สวามีให้ความเอ็นดูหลานชายมากเกินไป ทีท่าเอาแต่ใจเช่นนี้วิหรุตได้เห็นบ่อยครั้ง และทุกครั้งขาก็มักจะง้อนางด้วยทองคำหรืออัญมณี แต่ครานี้คงปล่อยให้เป็นเช่นนั้นมิได้
“การศึกอยู่เบื้องหน้า ไยเจ้ายังคิดเรื่องมิเป็นเรื่องอยู่กันเล่า”
“สวามีเพคะ หม่อมฉันแค่มองว่าครุฑนั่นเลือกไปแล้วที่จะอยู่เคียงข้างเหล่านาค หม่อมฉันมิเห็นว่าเขาจักสมควรได้รับความเมตตาใดๆ จากพระองค์”
“อนิลเลือกร่วมรบข้างข้า...” วิหรุตเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แฝงแววตำหนิอยู่ในที “กำลังพลของเราเหลือน้อยนิดนัก การจะให้ลลินพรตไปเสี่ยงกับข้าก็เกรงว่าจักยากกระมัง ข้าเองก็หมายปกป้องลูก”
“มิต้องปกป้องข้า...” ผู้ถูกพาดพิงรีบโพล่งออกมาด้วยความหุนหันพลันแล่น ใบหน้าของเขาฉายชัดถึงความภาคภูมิใจ เขายืดอกเชิดหน้า ท่าทีหยิ่งทะนงมิต่างจากมารดา บัดนี้เขาโตขึ้นมากก็จริง แต่ขาดความสุขุมที่เหมือนกับบิดาเมื่อครายังหนุ่มแน่น “ข้าเติบใหญ่พอที่จักดูแลตัวเองได้แล้ว และศึกครานี้ ข้ามั่นใจว่าจักเอาชัยมาให้เสด็จพ่อได้”
“อย่ามั่นใจจนเกินไปลูกข้า”
“เสด็จพ่อทรงมอบหมายศึกครานี้ให้ข้าเป็นแม่ทัพเถิด”
“ท่านภูชาเคนทร์หมายสู้กับข้าโดยตรงเพื่อลดการล้มตาย...” วิหรุตหันไปหาบุตรชายที่ทำหน้ามุ่งมั่นหมายจะเผด็จศึกครานี้ด้วยตนเอง แต่หาได้รู้จักการสูญเสียมาก่อนไม่ “ศึกครานี้ข้าคงเลี่ยงมิได้ที่ต้องเป็นผู้ลงบัญชาการด้วยตนเอง เจ้าแค่คอยบัญชาการทัพเสริมแลทัพหลังก็เพียงพอ”
“แล้วหากเสด็จพ่อทรงพลาดท่าเสียทีให้กับนาคาตนนั้นเล่า”
“เจ้าก็จักได้ขึ้นเป็นกษัตริย์อย่างไรเล่าลูกรัก” ผู้เป็นบิดาตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด
พิลาสมยุรายกมือปิดปากด้วยมิคิดว่าจะได้ยินถ้อยคำเช่นนั้นจากปากของสวามี เช่นเดียวกับลลินพรตที่เผยใบหน้าแห่งความวิตกอย่างเห็นได้ชัด ถึงจักดื้อด้านเพียงไร แต่ในใจก็ยังเป็นห่วงบิดาอยู่มากโข
พิลาสมยุราส่ายหน้าช้าๆ กับการตัดสินใจในครานี้ของสวามี นางพอจักคาดเดาได้ว่าราชาครุฑหมายให้เกิดสิ่งใดขึ้นในศึกครานี้
“พระองค์จะทรงเสียท่ามิได้นะเพคะ”
“ชะตาของข้าอาจสิ้นสุดตรงนี้ก็ได้...” วิหรุตเผยยิ้ม มันมิใช่รอยยิ้มของผู้เสียสติ แต่เป็นรอยยิ้มของผู้ที่ปล่อยวางจนเหมือนกับว่าเขาหมดแล้วซึ่งความห่วงใดๆ และอาจมอบความตายของตนเพื่อยุติศึกในครานี้ ให้สมใจภูชาเคนทร์นาคราช “หากข้าเป็นอะไรขึ้นมา เจ้าต้องช่วยลูกปกครองเหล่าครุฑให้รุ่งเรือง ครองตนโดยธรรม อย่าได้ข่มเหงรังแกผู้ที่อ่อนแอ เจ้าเข้าใจในสิ่งที่ข้าสั่งใช่หรือไม่”
“สวามี อย่าตรัสเป็นลางเช่นนี้เลยเพคะ”
“พวกเจ้าไปพักผ่อนเสียเถิด ข้าอยากอยู่ตามลำพัง”
พิลาสมยุราจำต้องพาลลินพรตเดินออกมาจากศาลาไม้หอมพร้อมกับน้ำตาที่รื้นขึ้นมา ปล่อยให้ราชาครุฑนั่งนิ่ง พินิจถึงเรื่องราวต่างๆ เพียงลำพังตามที่ต้องการ นางหวั่นวิตกในสิ่งที่สวามีได้ตรัสเมื่อครู่ ภายในอุระคล้ายถูกเปลวความร้อนแห่งความห่วงหาแผดเผาทำลายทรวง ด้วยหวาดเกรงว่าจักพ่ายต่อเหล่านาคา นางรู้ดีว่าการแลกด้วยหนึ่งชีวิตของสวามีย่อมเป็นสิ่งที่คุ้มค่ากว่าการต้องสูญเสียเหล่าทิพยปักษาทั้งปวง
พระองค์หมายจะไปดับสิ้นชีวิตของตนเอง...
ตลอดการเดินทางมายังวิมานของตน พิลาสมยุราลอบกรรแสงอย่างเงียบๆ สิ่งที่นางคิดไม่ผิดจากที่วิหรุตตัดสินใจ เขาหมายชดใช้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจากตัวเขาเองให้แก่เกล็ดมณีด้วยการจบชีวิตลง เพื่อมิให้สงครามเกิดขึ้นในยุคสมัยของลลินพรต แต่พิลาสมยุราจักมิยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่
“ลลินพรต” นางหันไปเอ่ยเรียกบุตรชายที่เดินอยู่เคียงข้าง
“ว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”
นางสาวเท้าเดินนำบุตรชายด้วยความร้อนใจ เป้าหมายี่นางจักให้บุตรชายกระทำในครานี้ใหญ่หลวงเกินกว่าที่นางจักขออนุญาตผู้ใดได้ และหากพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ผลที่ตามมาอาจเลวร้ายถึงขั้นทำให้นางและบุตรชายต้องโทษประหาร แต่ถึงอย่างนั้นนางก็มิอาจปล่อยให้สวามีจบชีวิตลงอย่างที่เขาหมายได้
ถึงแม้ลลินพรตจะสงสัยในทีท่าร้อนรนของมารดาอยู่บ้าง แต่เขาก็ยอมสาวเท้าตามนางไปติดๆ ด้วยความระแวดระวังทุกย่างก้าว นางพาเขามายังวิมานหลวงที่วิหรุตกับนางพำนักอยู่ แล้วตรงเข้าไปยังส่วนที่อยู่ลึกสุดของวิมาน สถานที่ที่มิเคยมีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าไปในทันใด
ข้าจักมิยอมให้สวามีต้องมาพ่ายให้แก่นาคเป็นอันขาด!
วิมานใต้สระลึกลับช่างเงียบงัน เกล็ดมณีพยายามข่มใจให้สงบภายใต้การทำสมาธิเพื่อบำเพ็ญบารมี รอยจูบวาบหวามที่นางได้รับยังมิทำลายสมาธิของนาง เทียบเท่าเรื่องของสงครามที่ผู้เป็นพระบิดากำลังจะยกทัพมาต่อสู้กับเหล่าครุฑพวกนั้น
ข้าเป็นห่วงท่านเหลือเกินเสด็จพ่อ...
อาการกระสับกระส่ายทำให้นางมิอาจเข้าสมาธิได้จึงล้มเลิกการพยายามในที่สุด นางลืมตาขึ้นมาท่ามกลางราตรีดึกสงัด มิมีสรรพเสียงสำเนียงใดเล็ดลอดเข้ามาในวิมานยามนี้ นางลุกเดินออกไปเบื้องนอก โดยปกติธารทิพย์จะนอนเฝ้านางอยู่หน้าห้อง แต่บัดนี้กลับมีเพียงผ้าแพรผืนบางที่พับไว้บนหมอนนุ่มหุ้มแพรสีมรกต ความว่างเปล่านี้ทำให้นางรู้สึกเป็นห่วงนาคีรับใช้ขึ้นมา
เกล็ดมณีรีบสาวเท้าออกไปเบื้องนอกในบัดดล ท่ามกลางราตรีเงียบสงัด นาคีรับใช้กำลังนั่งคุกเข่ายนพื้นหินทรายเย็นเยียบ พนมมือสวดภาวนาอย่างใจจดใจจ่อ กระแสแห่งดวงจิตบริสุทธิ์แผ่ซ่านออกมาทำให้ผู้เป็นนายจิตใจสงบลงได้ในทันที นางสวดขอพรแด่องค์วิษณุเทพและพระแม่ลักษมีด้วยมิอยากให้เกิดการสูญเสียระหว่างสองเผ่าพันธุ์
สุรเสียงที่เปล่งออกมายามนี้คล้ายแก้วกังวาน นาคีรับใช้รีบเหลียวมามองเบื้องหลัง เห็นผู้เป็นนายยืนนิ่งอยู่ที่หน้าวิมานจึงรีบลุกขึ้นแล้วตรงเข้าหาทันที
“หม่อมฉันทำให้องค์หญิงทรงเสียสมาธิหรือเพคะ”
“เปล่าหรอก จิตใจข้ากระสับกระส่ายอยู่ก่อนแล้ว หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับเจ้าไม่”
“ราตรีนี้หนาวเหน็บ องค์หญิงเสด็จเข้าด้านในก่อนเถิดเพคะ”
“หยุดก่อนเถิด...” เกล็ดมณีเอ่ยห้ามนาคีรับใช้ที่พยายามจะพานางเขาไปพักด้านใน “ข้าเป็นห่วงเสด็จพ่อ”
เมื่อพบว่าบัดนี้นายเหนือหัวน้ำตาคลอคล้ายจะกรรแสง นางจึงขยับเข้าไปใกล้เกล็ดมณีมากขึ้น หมายปลอบประโลมผู้ที่ตนดูแลรับใช้มาหลายร้อยปีให้สบายใจจากเรื่องราวที่วิตก
“ข้าอยากไปที่นครบาดาลเพื่อดูว่าพวกท่านเป็นอย่างไรบ้างเสียจริงธารทิพย์”
“แต่องค์หญิงต้องบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่นะเพคะ”
“ข้าจึงอยากวานให้เจ้าช่วยไปดูแทนข้าได้หรือไม่”
“หม่อมฉันจะรีบไปรีบกลับเพคะ” นางรีบรับคำด้วยอยากให้องค์หญิงของนางคลายความกังวลใจ
ธารทิพย์รีบออกเดินทางในบัดดล นางชำนาญเส้นทางระหว่างหิมพานต์มายังบาดาลนครเบื้องลึกแห่งห้วงกระแสธารอยู่แล้ว จึงใช้เวลาไม่นานนักในการข้ามห้วงแห่งกระแสพลังใสเย็นมาเยือนยังนครเดิมที่เคยสถิตแห่งนี้
กระแสทิพย์ใสเย็นกำจายไปถ้วนทั่วด้วยพลังแห่งวารีวิสุทธิ์ ผืนน้ำที่นางก้าวข้ามลงมาเป็นกระแสแห่งความปรวนแปรที่มิเคยได้สัมผัสมานานเนิ่น ทั่วทั้งผืนน้ำเต็มไปด้วยมวลมัจฉาแห่งมนุษยภูมิหลากพันธุ์ แต่หากเป็นมวลมัจฉาที่เหล่านาคคุ้นชิน เห็นจะเป็นเหล่าบึกยักษ์กระมัง ธารทิพย์มุ่งไปยังเบื้องลึกสุดแห่งทางเชื่อมเข้าสู่นครเบื้องล่าง และมุ่งสู่วิมานหลวงแห่งบาดาลนครทันที
วิมานยังบาดาลนครถือเป็นอีกวิมานโสภีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ตัววิมานหลวงเป็นหินศิลาแลงที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นมาอย่างวิจิตร ยามราตรีทอแสงระยิบระยับมิต่างจากแก้วมณีสีฟ้าอ่อน ทั่วทุกพื้นที่ล้วนเต็มไปด้วยสระบัวสีสันงดงาม ส่งกลิ่นหอมเชิญชวน เหล่าผู้ที่อาศัยสวมอาภรณ์สีเขียวบ้าง มรกตบ้าง หรือเลื่อมครามบ้างตามวรรณะแห่งนาคของตน พื้นที่ทางเดินเป็นหินศิลาแลงแผ่นใหญ่ทอดยาว เรียงรายด้วยเสานางเรียงสองข้างทางประดับดอกบัวจงกลนีแบ่งบาน
ธารทิพย์ปรากฏกายขึ้นที่เบื้องหน้าของวิมานชั้นใน ซึ่งมีเหล่านาคีรับใช้เดินขวักไขว่อย่างร้อนรน เพราะเบื้องนอกเหล่าบุรุษกำลังรวมพลเพื่อจัดทัพอย่างอลหม่าน
สิ่งที่พระนางทรงกังวลจักเกิดขึ้นในมิช้า...
ธารทิพย์สาวเท้าไปตามทางเดิน มุ่งตรงสู่พระตำหนักชั้นใน ซึ่งเป็นสถานที่พำนักของเชื้อพระวงศ์ ทุกการก้าวย่างของนางล้วนตกอยู่ในสายตาของเหล่าข้าทาสบริวารบริเวณนั้น เพราะถึงแม้การแต่งกายจะมิต่างจากนาคีรับใช้ตนอื่นๆ แต่กระแสทิพย์ที่บริสุทธิ์กลับฟุ้งกำจายออกมาจนนาคีเหล่านั้นต้องเหลียวแลด้วยความเลื่อมใส
น้ำเสียงนั้นคล้ายการกรีดร้อง แต่มันเต็มไปด้วยความดีใจที่ยากปกปิด ใบหน้างามของราชินีแห่งบาดาลมีหยาดน้ำตาเอ่อล้น ตระหนกมิใช่น้อยที่เห็นนาคีรับใช้ของบุตรีปรากฏกายขึ้นที่นี่ เร่งรีบสาวเท้าเข้ามาหาจนแทบสะดุดชายซิ่นสีมรกตเลื่อมครามล้มคะมำ
“พระนาง…” ธารทิพย์รีบตรงเข้าไปหาร่างสง่างามที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา “อย่าทรงรีบร้อนเลยเพคะ ทรงระวังองค์ด้วย”
“เหตุใดเจ้ามาปรากฏกายที่นี่…” บุษปาถามอย่างร้อนรน “เกิดเหตุร้ายอันใดขึ้นกับเกล็ดมณีเช่นนั้นหรือ”
“หามิได้เพคะ” นางรีบปฏิเสธหลังจากคุกเข่าลงโค้งคำนับต่อผู้เป็นใหญ่สุดในมวลนาคี
“ถ้าเช่นนั้นก็เข้าไปข้างในก่อนเถิด”
บุษปาเดินนำธารทิพย์เข้าไปด้านในวิมาน บัดนี้เหล่านาคาต่างไปรวมตัวกันยังเขตนอกพระราชฐาน จึงเหลือเพียงเหล่านาคีที่มารวมกันอยู่ภายใน ราชาภูชาเคนทร์นาคาได้ตระเตรียมไพร่พลพร้อมออกศึกในครานี้ คล้ายกับวางแผนการมาเนิ่นนาน ไพร่ฟ้าข้าแผนดินแห่งนาคเองก็พร้อมพลีกายเพื่อนำชัยกลับมาล้างมลทินให้องค์หญิงของพวกเขา
“พระนางทรงสุขสำราญดีหรือไม่เพคะ” ธารทิพย์เอ่ยถามหลังจากบุษปานั่งลบนบัลลังก์ศิลา
“ข้าอยู่มิสุขเลยธารทิพย์ ในคราแรกข้าอยากดับสิ้นไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด…” เอ่ยได้เพียงเท่านั้นน้ำตาพลันไหลรินออกมาคล้ายเก็บกลั้นมานาน แต่บัดนี้นางกลับกรรแสงด้วยรอยยิ้ม “ข้านึกว่าข้าเสียลูกไปแล้ว แต่เมื่อวันดิวาลีเสด็จพี่ทรงบอกว่าได้พบกับลูก ข้าจึงพอจะมีกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ต่อบ้าง”
“ทรงถนอมพระวรกายด้วยเพคะ องค์หญิงทรงเสด็จมาที่นี่มิได้ แต่ก็ทรงเป็นห่วงทั้งสองพระองค์เป็นอย่างมาก จึงได้ให้หม่อมฉันเดินทางมาดูสถานการณ์”
“องค์หญิงทรงสุขสำราญดีในสถานที่ที่พระแม่ลักษมีเทวีทรงเนรมิตขึ้นมาเพื่อนางโดยจำเพาะเพคะ”
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็โล่งอกไปที…” บุษปายกนิ้วเรียวขึ้นปาดน้ำตา ท่วงท่าสง่างามสงบเสงี่ยมมิต่างจากเกล็ดมณี จะว่าเกล็ดมณีถอดแบบมาจากนางเลยก็ว่าได้ ทั้งใบหน้างามงด เกศายาวสลวยสีดำขลับ รวมถึงผิวขาวนวลเนียน ยิ่งยามต้องแสงจันทราหรือสุริยาทิตย์ ก็ยิ่งฉายความงดงามออกมาให้ผู้พบเห็นได้ยล ถึงแม้นางจะมีอายุอยู่มาพันกว่าปีแล้ว แต่ร่างทิพย์ของนางกลับมิเปลี่ยนแปลงไป “หลังจากที่เราได้ส่งมอบตัวเกล็ดมณีให้ชาวครุฑ ตัวข้าเองก็เอาแต่สวดมนต์ภาวนาให้นางปลอดภัย ขอบคุณพระแม่ที่ทรงเมตตา”
ธารทิพย์กวาดสายตาไปโดยรอบเพื่อสำรวจทั่วทุกพื้นที่ ถึงแม้ภายนอกจักมีไพร่พลนาคารวมตนกันหนาแน่น แต่ภายในนี้กลับมีเหล่านาคีอยู่กันไม่มากนัก หากให้เหล่านาคีทั้งหมดมารวมกันที่ด้านในเขตพระราชฐาน ควรจะต้องมีจำนวนหนาแน่นกว่าในยามนี้เป็นแน่
“ไยที่นี่มีนาคีอยู่น้อยนิดนักเพคะ”
“เมื่อพวกเขารู้เรื่องที่เกล็ดมณีถูกหยามเกียรติและศักดิ์ศรี ถึงจะเป็นนาคี แต่พวกนางกลับมวยเกศาไว้เหนือเศียรและสวมเกราะออกรบพร้อมกับท่านภูชาเคนทร์ เพื่อมิให้ผู้ใดดูถูกเหล่านาคีได้”
“โธ่! ศึกครานี้องค์หญิงมิหมายให้เกิดขึ้นเลยนะเพคะ”
“ข้าเข้าใจในสิ่งที่เจ้าต้องการจะเอ่ย…” บุษปากำหมัดแน่น ลุกขึ้นจากบัลลังก์ศิลาแล้วตรงมาหาธารทิพย์ที่นั่งพับเพียบอยู่เบื้องหน้า “แม้แต่ข้าเองยังหมายออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเสด็จพี่ แต่พระองค์กลับห้ามข้าเอาไว้ มันผู้ใดที่ทำร้ายแก้วตาดวงใจของข้า ข้ามิยอมปล่อยมันให้มีชีวิตรอดหรอกหนา”
นัยน์ตาที่เคยฉายแววอ่อนหวานบัดนนี้กลับแดงก่ำมิต่างจากมีเปลวเพลิงแห่งขุมนรกลุกโชน พร้อมเผาไหม้ทุกสรรพสิ่งเพียงแค่ได้มอง ธารทิพย์เริ่มกังวลถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่จักเกิดขึ้นในเบื้องหน้า ทุกสิ่งอย่างล้วนต้องคลี่คลายให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นจักต้องมีการสูญสิ้นของราชวงศ์ใดราชวงศ์หนึ่งเป็นแน่
“หม่อมฉันมาที่นี่ตามคำสั่งขององค์หญิง…”
บุษปาหลับตาลงเพียงครู่ นัยน์ตาแดงก่ำพลันมลายกลายเป็นสีนิลดังเดิม ก่อนเหลียวมามองนาคีรับใช้ด้วยความเอ็นดูดังเช่นที่ผ่านมา
“หม่อมฉันต้องเห็นกับตาว่าท่านภูชาเคนทร์ทรงมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ หม่อมฉันจึงจักเดินทางกลับได้เพคะ”
ธารทิพย์หมายพบกับภูชาเคนทร์นาคาเพื่ออ้อนวอนให้พระองค์ทรงล้มเลิกการทำศึกสงครามเสีย เพราะหากสงครามยังดำเนินต่อไป องค์หญิงของนางคงอยู่มิเป็นสุข และจักกลับมาทุกข์ระทมอีกเป็นแน่
“ถ้าเป็นความสบายใจของลูกหญิง เจ้าก็ตามข้ามาเถิด”
บุษปาเดินนำธารทิพย์ออกมานอกวิมาน ก่อนตรงไปยังทิศเหนือของวังบาดาล สถานที่แห่งนั้นเป็นเวิ้งกว้างของใต้ท้องสมุทร พื้นที่โดยรอบเป็นทรายขาวละเอียด มีกอสาหร่ายหนาขึ้นเป็นหย่อมๆ เหล่านาคอยู่ในชุดเกราะสีเขียวเข้มพร้อมออกรบ ราชานาคาภูชาเคนทร์ยืนตระหง่านท่ามกลางเหล่าพลทหารหาญ นิลพรายในชุดเกราะสีดำมะเมื่อมยืนบัญชาการทัพอยู่มิห่างจากผู้เป็นราชา ทันทีที่การปรากฏกายของราชินีเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของพวกเขา เหล่านาคบริวารต่างรีบคุกเข่าลงโดยพลัน
“บุษปา เจ้ามาทำอะไรที่นี่” ราชานาคาเอ่ยถามทันควัน
ภูชาเคนทร์รีบเดินตรงเข้ามาหาธารทิพย์ด้วยความร้อนรน ใบหน้าของเขาฉายชัดถึงความตระหนก เพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับบุตรีที่รักปานดวงหทัย
“ธารทิพย์ ไยเจ้ามาอยู่ที่นี่”
“องค์หญิงส่งหม่อมฉันมาเพคะ ทรงเป็นห่วงทั้งสองพระองค์”
ราชานาคเหลียวไปสบตากับคู่ชีวิตที่น้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง ธารทิพย์ระบายลมหายใจออกมา นั่นเพราะตอนนี้นางเองก็เป็นห่วงเหล่าวงวารที่เป็นนาคร่วมชาติพันธุ์ มิอยากให้เกิดการสูญเสียใดขึ้น ไม่ว่าจักกี่ชีวิตก็ตามที
“เจ้ากลับไปหานางเสียเถิด แล้วบอกนางว่าข้าและไพร่พลที่จงรักภักดีจักทวงความยุติธรรมมาให้นางให้จงได้”
“องค์หญิงมิได้ต้องการเช่นนั้นหรอกนะเพคะ…” ธารทิพย์ปล่อยหยาดน้ำตาออกมาในท้ายที่สุด เพราะรู้ดีว่าราชานาคามิยอมรามือเป็นแน่ แต่ตอนนี้สิ่งที่นางเป็นห่วงที่สุดเห็นจะเป็นองค์หญิงของนางเอง เกล็ดมณีรู้สึกผิดมิน้อยที่มีส่วนทำให้เหล่านาคหลายชีวิตอาจต้องดับสูญ “ก่อนหน้านี้องค์หญิงก็ทรงเป็นทุกข์มามากแล้วเพคะ พระนางทรงบำเพ็ญเพียรทั้งน้ำตาเพราะเรื่องราวในอดีต เพิ่งจักดีขึ้นก็ตอนที่ได้พบองค์อนิล และเมื่อได้ยินว่าจักเกิดสงครามอีกครา พระนางก็ทรงเป็นกังวลและไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้อีกเลย”
“ธารทิพย์…” ราชานาคเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นจนนาคีรับใช้หวาดผวา ร่างบางสั่นเทิ้มเพราะเกรงอาญาในสิ่งที่ได้พูดออกไป “เจ้ากลับไปอยู่เป็นเพื่อนลูกข้าเสียเถิด แล้วบอกนางว่ามิต้องเป็นห่วงสิ่งใด”
“แต่พระองค์ก็ทรงทราบดี…” นาคีรับใช้พยายามกลั้นสะอื้นเอาไว้ “องค์หญิงทรงรักทั้งสองพระองค์มาก ยิ่งทรงทราบว่าองค์ภูชาเคนทร์นาคาจักลงบัญชาการศึกด้วยตนเองแล้ว พระนางยิ่งวางพระทัยมิได้เพคะ”
“เรื่องนี้ข้าตัดสินใจไปแล้ว…” ภูชาเคนทร์หันหลังให้นาคีรับใช้ในทันที “เจ้าอย่าบีบบังคับให้ข้าต้องล้มเลิกเลยหนา เพราะสิ่งที่วิหรุตกระทำแก่เกล็ดมณี มันเกินกว่าจักให้อภัย”
“เจ้ากลับไปเสียเถิด” ราชานาคตัดบท
ธารทิพย์รู้แล้วว่าบัดนี้นางมิอาจเปลี่ยนใจผู้ใดได้ นางคุกเข่าลงบนพื้นทรายละเอียด ก้มหัวให้ผู้ที่เป็นทั้งราชาและราชินีพร้อมทั้งน้ำตาที่มิอาจหักห้ามได้ ด้วยเกรงว่าตนจะมิมีโอกาสได้แสดงความเคารพต่อพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแห่งนครบาดาลอีก นางก้มลงจนหน้าผากมนแทบจดพื้นทราย เพื่อแสดงความจงรักภักดีที่ออกมาจากเบื้องลึกของจิตใจ
“ขอให้ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนานเพคะ” ร่างของนางสลายกลายเป็นละอองมรกตหลังจากกล่าวจบ ก่อนเดินทางไกลสู่สระบัวลึกลับ
เกล็ดมณีนั่งอยู่บนตั่งไม้สักทองใต้ต้นกัลปพฤกษ์ นางมิอาจไขข้อสงสัยให้ตัวเองได้ว่า เหตุใดจิตใจนางจึงพะวงและกระสับกระส่ายเช่นนี้ เป็นเพียงความอาทร หรือจักเป็นเพราะลางบอกเหตุบางอย่าง นางก็มิอาจรู้ได้โดยแจ้งเช่นกัน
ถึงแม้ว่าจะพยายามทำสมาธิเพียงไร ใจนางก็มิอาจปล่อยวางได้เช่นแต่ก่อน ก่อนหน้านี้ก็ทุกข์เพราะพิษรัก แต่บัดนี้นางกลับเป็นทุกข์เพราะเป็นห่วงบิดา ด้วยมิอยากให้ผู้ใดต้องมาบาดเจ็บล้มตายเพียงเพราะกระแสกรรมแห่งตน เมื่อคิดดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกผิดบาปมากขึ้นไปอีก
“ข้าควรหาทางออกเยี่ยงไรดี” เอื้อนเอ่ยออกมาโดยมิได้ต้องการคำตอบใด
ราตรีนี้หนาวเหน็บยิ่งกว่าทุกครา ทว่าแม้พระพายจะหอบกระแสลมเย็นยามพัดผ่านมาด้วย แต่ร่างบางที่นั่งตระหง่านยามนี้กลับยังนิ่งสงบมิได้รู้สึกรู้สา เหตุเพราะภายในร้อนรุ่มไปด้วยความกังวล ความหนาวเหน็บโดยรอบจึงมิอาจทำอะไรนางได้ ถึงแม้กระแสลมจักพัดแรงเพียงไร เกล็ดมณีก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นเพื่อรอคอยการกลับมาของนาคีรับใช้ ที่นางให้เดินทางไปยังบาดาลนคร
ละอองมรกตกำจายเบื้องหน้าตั่งไม้สักทอง ธารทิพย์ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมใบหน้าเปื้อนหยาดน้ำตาที่รินไหลอาบสองข้างแก้มนวล
“ธารทิพย์ เจ้าเป็นอะไร…” เกล็ดมณีรีบโผเข้ามาปลอบนางด้วยความตระหนก นาคีรับใช้ยังมิเอ่ยสิ่งใด เอาแต่ปล่อยหยาดน้ำตาให้รินไหลออกมาโดยมิอาจห้ามได้ “เกิดเหตุอันใดขึ้นที่บาดาล”
“มิมีสิ่งใดเกิดขึ้นหรอกเพคะ…” ถึงจะพยายามห้ามอย่างไร แต่น้ำตายังคงรินไหลออกมามิหยุดหย่อน นั่นเพราะในใจกลัดกลุ้มจนมิอาจทำสิ่งใดได้ดีไปกว่านี้ ร่างกายอ่อนล้าเสียจนแทบมิมีเรี่ยวแรง “แต่ราชานาคากำลังเกณฑ์ไพร่พลเพื่อออกรบ และมิใช่มีเพียงแต่นาคานะเพคะ เหล่านาคีเองก็มิพอใจที่องค์วิหรุตย่ำยีศักดิ์ศรีขององค์หญิง จึงออกมาร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเหล่านาคาเพคะ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ แล้วเสด็จแม่ของข้าเล่า”
“เดิมทีพระนางก็จักออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับองค์ภูชาเคนทร์...” นางเอ่ยพร้อมทั้งพยายามกลั้นลูกสะอื้นที่ดันขึ้นมาจนจุกอก ทั้งสงสารองค์หญิงที่ทรงกังวลมากกว่าเดิม และห่วงใยในผู้ปกครองบาดาลนครทั้งสอง “แต่พระองค์มิทรงยอม จึงให้พระนางอยู่ดูแลวังบาดาลเพคะ”
เกล็ดมณีทรุดกายนั่งลงข้างๆ ธารทิพย์ อัสสุชลหยาดรินออกมาอย่างทุกข์ใจเช่นเดียวกับนาคีรับใช้ ความรู้สึกทุกอย่างตีกันยุ่งเหยิง นางพยายามทำทุกอย่างจนถึงที่สุดแล้วหมายยุติสงครามที่จะทำลายหลายชีวิตลง แต่นางก็มิอาจขัดพระประสงค์ของบิดาได้ ขณะที่วิหรุตเองก็ทะนงในศักดิ์ศรีมิแพ้กันจึงได้รับคำท้ารบครานั้น
“ตอนนี้ พวกเราคงทำได้เพียงรอเวลาแล้วละเพคะ...” ธารทิพย์เองก็กังวลใจมิน้อย เกล็ดมณีจึงโอบกอดนางเอาไว้เพื่อปลอบประโลม ทั้งสองต่างเสียใจกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ก็มิอาจเลี่ยงสิ่งที่เป็นโชคชะตาได้ “ราตรีนี้ช่างหนาวเหน็บ เสด็จลงไปยังวิมานเถิดหนาเพคะ”
ถึงแม้ดวงหทัยจักปวดร้าวเพียงใด ทั้งสองก็ประคับประคองกันลงมาจนถึงก้นบึ้งของสระลึกลับ ธารทิพย์พาเกล็ดมณีเข้ามายังห้องบรรทม ใบหน้าของทั้งสองยังคงเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำใสที่ไหลลงมามิขาด แต่ในกาลนี้พวกนางต่างอยู่ในฐานะที่มิอาจกระทำการอันใดได้
ร่างของนาคีรับใช้แทบจักไร้สิ้นเรี่ยวแรงในการออกเดิน ส่วนนายเหนือหัวก็คล้ายกับพละกำลังทั้งหมดถูกสูบหายไปพร้อมกับข่าวคราวที่ได้รับ ร่างกายที่อ่อนล้าส่งผลให้โสตประสาทรับรู้ถึงกระแสอื่นใดแห่งทิพย์ผิดเพี้ยนไปหมด จนยากจะแยกแยะว่าเป็นของสิ่งใด
‘เกล็ดมณี...’ เสียงหวานกังวานดุจแก้วใสกระทบกันดังก้องสะท้อนทั่ววิมาน เกล็ดมณีเหลียวมองไปจนทั่วเพื่อหาต้นตอของเสียงพิเราะ แต่กลับมิพบต้นตอของเสียงที่ว่า ยิ่งมองหา เสียงนั้นกลับยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ จนคล้ายกับพยายามหลอกหลอนนาง ‘เกล็ดมณี’
“องค์หญิง...” ธารทิพย์เห็นเกล็ดมณีเหลียวมองไปมาคล้ายหวาดผวาจนต้องเอ่ยเรียกด้วยความเป็นห่วง พร้อมกับขยับเข้าไปคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ นายเหนือหัวที่ประทับอยู่บนเตียง “ทรงเป็นอะไรไปหรือเพคะ”
“เจ้ามิได้ยินหรอกหรือ...” นางเอ่ยถามทั้งที่ยังมิหยุดกวาดสายตาไปโดยรอบ ธารทิพย์กวาดสายตาไปมาหมายสำรวจหาต้นตอของเสียงที่ว่า ก่อนส่ายหน้าเพราะนางไม่พบและไม่ได้ยินสรรพเสียงใดนอกจากความว่างเปล่า “เสียงเรียกข้า”
“หม่อมฉันมิได้ยินเสียงใดเลยเพคะ”
‘เกล็ดมณี...’ เสียงนั้นยังคงดังสะท้อนไปจนทั่ว
“นั่นไงเล่าธารทิพย์...” เกล็ดมณีมีท่าทางกระวนกระวายทันทีที่เสียงนั้นก้องกังวานขึ้นอีกครั้ง “เสียงนั้นดังอีกแล้ว”
“หม่อมฉันมิได้ยินเลยเพคะ” นาคีรับใช้รีบเข้าไปประคองร่างของผู้เป็นนายก่อนออกแรงเขย่าเบาๆ เพื่อเรียกสติ
‘สติ เกล็ดมณี...’ เสียงนั้นเริ่มชัดเจนขึ้นจนทำให้เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกขานเริ่มนิ่งงัน สุรเสียงที่ทำให้หวาดหวั่นเมื่อครู่ยามนี้กลับทำให้นางรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านมาตามกระแสทิพย์ซึ่งอยู่ในอากาศธาตุโดยรอบ เพียงเท่านั้นเกล็ดมณีก็รับรู้ได้ทันทีว่าเจ้าของสุรเสียงกังวานนั้นเป็นของผู้ใด ‘ปล่อยวางเถิดหนาลูกเอ๋ย’
เมื่อรู้ที่มาของสุรเสียงพิเราะแล้ว นางจึงหยัดกายขึ้นและนั่งขัดสมาธิในทันที ธารทิพย์จับจ้องทีท่าของนายเหนือหัวมิวางตา เมื่อเห็นว่านางวางมือขวาทับมือซ้าย แล้วค่อยๆ หลับตาลงเพื่อเข้าสู่ห้วงสมาธิ ตนจึงขยับออกห่างเล็กน้อย แล้วนั่งหยัดกายตรงในท่วงท่าสบายๆ เพื่อเข้าสมาธิพร้อมกับผู้ที่อยู่ตรงหน้า
ทว่าอยู่ๆ กลับมีกระแสลมแรงพัดพัดผ่านจนผิวน้ำด้านบนสะเทือนมาถึงวิมานเบื้องล่าง นาคีรับใช้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เหลียวมองนายเหนือหัวสลับกับบานประตูที่หมายออกไปนอกวิมาน ตัวนางมิเข้าสมาธิก็มิเป็นไร แต่เกล็ดมณียามนี้สลัดความว้าวุ่นออกไปได้แล้ว นางจึงอยากให้ผู้เป็นองค์หญิงเข้าสมาธิได้อย่างสุขสงบ
ธารทิพย์ตัดสินใจลุกขึ้นในที่สุดแล้วรีบออกไปดูที่ด้านนอกเพื่อหยุดสุรเสียงรบกวนของผู้มาเยือนในบัดดล ด้วยรู้ดีว่าผู้ที่มาเยือนนั้นคือผู้ใด
สายลมเย็นยามนี้ยังพันมามิหยุดหย่อน เหล่าดอกบัวสุวรรณพรรณรายที่เบ่งบานรับแสงจันทราพลิ้วไหวตามแรงลมจากการกระพือปีกของเจ้าของเส้นขนสีนิลที่มาเยือนยามวิกาล ทันทีที่กลับสู่ร่างบุรุษเลอลักษณ์ เขาก็ทำท่าจักเพรียกหาผู้ที่ตนหมายพานพบ แต่กลับถูกกระแสทิพย์แห่งวารีหยุดเขาไว้ ร่างงามวิสุทธิ์ปรากฏขึ้นพร้อมทั้งยกมือข้างหนึ่งเป็นเชิงปรามเขามิให้เปล่งเสียงออกมา
“ช้าก่อนเพคะ...” นาคีรับใช้พยายามบังคับเสียงให้แผ่วเบาที่สุด “พระองค์เสด็จมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด”
“องค์หญิงทรงเข้าสู่ห้วงสมาธิแล้วเพคะ...” ถึงแม้ว่านางจักทำลงไปเพื่อปกป้ององค์หญิง แต่เมื่อสังเกตว่าบนใบหน้าหล่อเหลายามนี้ฉายแววเศร้าสลด นางกลับมิแน่ใจว่าสิ่งที่ตนกระทำอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่ ด้วยรู้สึกว่าเขาอาจมาที่นี่เพราะเหตุจำเป็น “หม่อมฉันคิดว่า...มิควรรบกวน”
“ข้ามาพบนาง...” อนิลเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ใบหน้าแสดงออกถึงความจริงใจเป็นล้นพ้น “เผื่อว่าข้ามิได้กลับมาพบนางอีก”
“องค์อนิล” ธารทิพย์หลุดเรียกนามของเขาด้วยความสงสาร
แต่ถึงอย่างไรข้าก็จักปล่อยให้องค์อนิลรบกวนการเข้าสมาธิขององค์หญิงมิได้เป็นอันขาด...