9

ข้อต่อรอง




ข้อต่อรอง


เกษียรสมุทรแห่งนี้เป็นทิพยดินแดนที่ตอนนี้ทั่วทุกเขตขันธ์เต็มไปด้วยแสงจากดวงประทีปที่ประดับอยู่ในดอกบัวซึ่งลอยล่องมิต่างจากโคมลอย กระทั่งตอนนี้เหล่าผู้ภักดีซึ่งมีทั้งอมนุษย์และเหล่าทิพยกายาที่จำแลงแปลงกายกันมาจากทั่วทุกแคว้นก็ยังแต่งขบวนสวยงามเดินทางมาถวายพระพรแด่องค์วิษณุเทพและพระแม่ลักษมีเทวีมิขาดสาย
ภูชาเคนทร์นาคายืนเคียงคู่บุตรีอันเป็นที่รัก ในมือของราชานาคามีดอกบัวสีมรกตประดับดวงประทีปสองดวง ส่วนเกล็ดมณีถือดอกบัวสุวรรณพรรณรายของตน อนิลถูกเรียกให้มาอยู่เคียงข้างมิห่างจากกายนาง รวมถึงศรีวิตรีที่ถือดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์พร้อมปล่อยดอกบัวประดับแสงประทีปเหล่านั้นให้ลอยสู่ธาราแห่งเกษียรสมุทรเพื่อบูชาแด่เทพและเทพีผู้เป็นดั่งบิดรมารดาของพวกเขา
 “บิดามิคาดคิดมาก่อนเลยว่าจักได้พบเจ้าอีกครา” ภูชาเคนทร์นาคายังคงปลาบปลื้มที่ได้จับจ้องใบหน้างามของบุตรีที่มิได้พานพบมากว่าเจ็ดร้อยปี
“เสด็จพ่อ...” นางเองก็มิอาจอธิบายสิ่งใดได้มากไปกว่านี้ แม้นางจักหลุดพ้นจากเรื่องราวเก่าๆ แล้ว แต่หากรื้อฟื้นขึ้นมามิเท่ากับเรียกความร้าวฉานในอดีตกลับมาทำร้ายผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวหรือ เมื่อคิดได้แบบนั้นนางจึงหันไปสนใจดอกบัวสุวรรณพรรณรายประดับดวงประทีปของตนแทน “ขอให้ดวงประทีปนี้สาดส่องเรืองรองเพื่อบูชาแด่องค์เทพและเทพีที่ข้าเทิดทูน ขอทรงแผ่บารมีสว่างไสวมาปกปักตัวข้า”
ขณะยังอธิษฐานมิเสร็จ นัยน์ตางามพลันเหลือบไปมองผู้ที่อยู่เคียงข้างมิห่างอย่างอนิล ด้วยหมายให้พรนั้นส่งผลถึงเขาด้วย ครุฑหนุ่มจึงเปล่งวาจาขอพรออกมาบ้าง เพื่อให้นาคีที่ตนพึงใจได้รับรู้
“ข้าขอให้องค์มหาเทพและเทพีประทานพรให้เจ้าสุขสมดังเจ้าปรารถนา”
ผู้ที่สวมอาภรณ์สีเดียวกันกับเขาถึงกับวางตัวมิถูกเมื่อได้ยินเขาเอ่ยออกมาตรงๆ เช่นนั้น
“ต่อหน้าพระบิดาข้า ไยเจ้ากล้าเอ่ยวาจาเยี่ยงนี้กันเล่า” นางเอ็ดเขาก่อนยื่นดอกบัวสุวรรณพรรณรายไปเบื้องหน้า
เดิมทีกระแสทิพย์แห่งห้วงเกษียรสมุทรก็แผ่ปกคลุมโดยรอบอยู่แล้ว เพียงหมายจะลอยดอกบัวกับสายธารา ดอกบัวเหล่านั้นก็พลันลอยขึ้นจากมือของทั้งสอง ส่องแสงสว่างไสวเคียงคู่กันมิต่างจากโคมประทีปลอยล่องกลางเวหาหาว ศรีวิตรีลอบมองทั้งคู่พลันหันไปสบตากับธารทิพย์ที่มีท่าทางเขินอายแทนผู้เป็นนายเหนือหัวจนออกนอกหน้า
“พรายนิล...”
เกล็ดมณีเหลียวไปมองผู้เป็นบิดาที่หันไปออกคำสั่งกับนาคาในอาภรณ์สีครามเข้มประดับเครื่องเงินผู้หนึ่ง เขาเป็นทหารเอกของเผ่านาคที่นางจำได้ดีว่าทรงพลังด้านการรบอย่างมาก
“เจ้ากลับไปที่บาดาลนคร เกณฑ์ไพร่พลให้พร้อม อีกมิกี่วันเราจักทำศึกกับชาวฉิมพลี”
ศรีวิตรีที่ได้ยินดังนั้นรีบขยับเข้าหาเกล็ดมณีโดยเร็ว ทั้งสองสบตากัน ต่างมิอยากให้สงครามเกิดขึ้นอีก ประชาชนอยู่อย่างสุขสงบมาหลายร้อยปี
“เสด็จพ่อเพคะ บ้านเมืองสุขสงบมาเนิ่นนาน มิควรต้องเกิดศึกสงครามอีกหรอกนะเพคะ” นางหมายอธิบายให้เขาเข้าใจว่ามิควรจะต้องให้ผู้ที่มิมีส่วนรู้เห็นในกระแสกรรมระหว่างนางกับวิหรุตต้องมารับผลกระทบในครั้งนี้
“เจ้ายังมิมีบุตรหรือบุตรีให้อุ้มชู...” ภูชาเคนทร์วางมือหนาลงบนบ่าของผู้เป็นที่รักยิ่ง พยายามสะกดกลั้ถึงความโกรธาที่ปะทุอยู่ในอก “หากเจ้ามีสิ่งที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ แต่กลับถูกอ้ายอีหน้าไหนมาย่ำยี เจ้าก็จักทำเยี่ยงบิดานี่แหละลูกเอ๋ย”
อนิลเองก็รู้สึกมิค่อยสบายใจนัก หากว่าเกิดศึกสงครามอีกครา ตัวเขาก็พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อคนที่ตนรัก แต่บัดนี้ฝั่งหนึ่งกลับเป็นครอบครัวที่คอยเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ ส่วนอีกฝั่งกลับเป็นนางในดวงใจ เขาเองคงเลือกมิได้ว่าควรยืนอยู่ข้างฝ่ายใด แต่เมื่อเหลือบไปเห็นใบหน้าที่ฉายชัดถึงความกังวลของเกล็ดมณี หัวใจของเขากลับกู่ร้องว่าเขาจักเลือกฝ่ายอื่นมิได้ หากมิใช่ฝ่ายเดียวกันกับนาง
“ดูเหมือนว่าท่านจักกระหายสงครามเสียจริงนะท่านภูชาเคนทร์” พิลาสมยุราที่เดินตามหลังวิหรุตมาเอ่ยเสียงหวานใส
หากตีความจากน้ำเสียง ความนัยของคำพูดนั้นคงมิต่างจากการล้อเลียน แต่หากมองอีกแง่มุมหนึ่ง...จากนิสัยใจคอของนางที่เกล็ดมณีรู้จักดี ก็คงมิต่างจากการเหยียดหยามอยู่ในทีที่สามารถเอาชนะนางได้ไม่ว่าจะมองในแง่มุมใด เกล็ดมณีก็มิอาจมองว่าคำพูดนั้นเป็นเรื่องดีได้เลย ยิ่งยามนางจับจ้อง ยูงทองก็ยิ่งเชิดหน้าขึ้น ราวกับอวดอ้างว่ายามนี้นางเป็นใหญ่เหนือชาววิหคทั้งปวง
“จริงอย่างเจ้าว่าแหละศรีวิตรี...” กินรีที่ยืนอยู่เบื้องหลังนางเผยยิ้มออกมา เพราะเข้าใจในสิ่งที่เกล็ดมณีหันมากล่าวกับตน ก่อนที่เสียงหัวเราะของสตรีงามทั้งสองจะดังประสานกัน ทว่าแม้เสียงของทั้งสองจะไพเราะมิต่างจากระฆังแก้ว แต่มันกลับเสียดแทงโสตประสาทจนทำให้ยูงทองแสดงสีหน้าเกลียดชังออกมาอย่างไม่ปิดบัง “บางอย่างมิเปลี่ยนไปจริงๆ”
ความงดงามของเกล็ดมณียามนี้มิต่างจากมนตร์เสน่ห์ที่ร่ายเข้าสู่ดวงหทัยของลลินพรตโดยตรง เขามิอาจละสายตาจากนางไปได้เลยแม้เพียงครู่ ยิ่งขณะที่นางเผยยิ้มออกมาตอนพูดจา ใบหน้านั้นยิ่งเฉิดฉายจนแทบทำให้เขาหมดสติลงตรงนั้น หากเขามิได้ครอบครองนาง หทัยของเขาคงต้องดับสูญเป็นแน่
“ข้าขอให้ท่านพิจารณาอีกคราเถิด” เป็นวิหรุตที่เอ่ยเช่นนั้น
“เจ้ามิมีบุตรีกับยูงทองนางนี้ใช่หรือไม่” ภูชาเคนทร์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ข้ามีบุตรเพียงคนเดียวเป็นชายชาตรี”
“เจ้ามิมีทางเข้าใจหัวอกของข้าหรอกหนา...” ถึงแม้จะมิได้ตวาด แต่น้ำเสียงเยือกเย็นก็ทำให้ชาววิหคถึงกับขนลุกชัน “หากมิอยากให้เกิดสงครามใด ก็จงเด็ดปีกของตัวเจ้าเองมาวางแทบเท้าของบุตรีข้าเสียเถิด”
“นั่นมิเกินไปหน่อยหรือท่านภูชาเคนทร์นาคา”
“หากเจ้ามิอยากให้สวามีของเจ้าเสียปีกแห่งครุฑที่ภาคภูมิใจ...” ภูชาเคนทร์หันไปเอ่ยกับพิลาสมยุราที่เอาแต่ขัดจังหวะการสนทนาระหว่างเขากับวิหรุต ตอนนี้เขารู้แล้วว่ายูงทองนางนี้คงมิใช่ทิพยปักษาธรรมดา แต่เป็นยูงทองที่เชี่ยวชาญในการใช้มารยาหญิง ทำให้ราชาครุฑหลงใหลหัวปักหัวปำถึงขั้นยอมเสื่อมเกียรติผิดสัญญาสงบศึกสองเผ่าพันธุ์ได้  “ข้าก็ขอเป็นขนหางแสนโสภาของเจ้าทั้งหมดมาถักทอเป็นผ้าคลุมไหล่ให้บุตรีของข้าแทน เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรเล่ายูงทอง”
“นี่ท่าน...”
วิหรุตยกมือขึ้นปรามขัดจังหวะพิลาสมยุราทันทีที่เห็นนางตั้งท่าจะเถียงอีกฝ่ายมิลดละ เพราะตนเองก็มีเรื่องที่ต้องตัดสินใจ หากมิคำนึงถึงเลือดเนื้อของประชาชนชาววิหค เขาก็จักตอบรับการศึกครานี้อย่างองอาจ แต่หากจะให้เขาเด็ดปีกของตนเพื่อวางมันแทบเท้าของเกล็ดมณีนาคี ก็ดูเหมือนว่าเกียรติยศแห่งราชาครุฑอย่างเขาจักถูกลบหลู่จนมิเหลือชิ้นดีให้ลูกหลานได้กล่าวขานสืบไป
“เสด็จแม่...” ลลินพรตที่ยืนอยู่ด้านหลังโน้มตัวมากระซิบที่ข้างหูของผู้เป็นมารดา นางเหลียวไปส่งยิ้มให้บุตรชายเพราะคาดว่าเขาจักมีแผนการดีๆ เพื่อช่วยเหลือในสถานการณ์แสนตึงเครียดครานี้ “ข้าพึงใจในตัวนาง”
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร” นางเอ็ดบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนเบาๆ พร้อมทั้งยกมือขึ้นจับไหล่กว้าง “นางเป็นศัตรูกับเสด็จพ่อของเจ้า เจ้ามิเห็นหรือ”
“ข้าคือราชาแห่งเหล่าครุฑในภายภาคหน้า หากนางเสกสมรสกับข้า นางก็จักเป็นราชินีแห่งฉิมพลี เพียงเท่านี้สัญญาสงบศึกก็มิผิดไปจากเดิมแล้วมิใช่หรือ”
“มิผิดไปหรอก...” พิลาสมยุราขัดใจในความคิดของบุตรชายเป็นอย่างยิ่ง ครั้นจะให้พูดไปตามตรงว่านางเกลียดนาคีนางนี้จนเข้ากระดูกดำก็เกรงว่าจักมิเหมาะสม แถมยังทำให้นางดูเป็นนางร้ายในสายตาของบุตรชายอีกด้วย ยูงทองจึงต้องยกเหตุผลอื่นมาเป็นข้ออ้าง “แต่นางเคยเสกสมรสกับเสด็จพ่อของเจ้า นางมีศักดิ์เป็นมารดาของเจ้ามิต่างจากศรีวิตรีกินรี แล้วไยเจ้าจักเอาสตรีผู้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับมารดามาเสกสมรสเป็นชายากันเล่า”
“ข้าพึงใจนาง” เขายังเน้นย้ำคำเดิมด้วยท่าทางชวนฝัน
“เจ้าช่างดื้อด้านเสียจริงลลินพรต”
“ข้าเป็นพยานรักของท่านกับเสด็จพ่อ ไยท่านมิเห็นใจข้าบ้างเล่าเสด็จแม่”
พยานรักเช่นนั้นหรือ...
เมื่อคิดตามคำพูดของบุตรชาย พิลาสมยุราก็เผยยิ้มมิต่างจากผู้มีชัย นางลูบบ่าแกร่งของบุตรชายด้วยความรักใคร่ก่อนเดินไปยืนเคียงข้างสวามี วิหรุตมองพิลาสมยุราซึ่งส่งยิ้มให้เขาและพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่านางมีหนทางแก้ไข
เกล็ดมณีจับจ้องการกระทำของนางมิวางตา เพราะอยากรู้ว่านางจักใช้ไม้ตายใดมาเอาชนะตน
“ในอนาคตภายหน้าลลินพรตจักต้องครองบัลลังก์ต่อจากพระราชบิดาของเขาอย่างทรงธรรม...” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้ม วิหรุตงุนงงในสิ่งที่นางพูดอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังคงนิ่งงันเพื่อรอฟัง “ข้อตกลงที่เคยทำสัญญากันเมื่อคราก่อนยังมิควรยุติลง ข้าว่าอย่างไรก็ให้เกล็ดมณีนาคีเสกสมรสกับลลินพรตเสียเถิด”
“พิลาสมยุรา เจ้าเอ่ยสิ่งใดออกมารู้ตัวหรือไม่” วิหรุตเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“หม่อมฉันไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้วเพคะ” นางยังคงเผยยิ้มละไม มิได้เป็นเดือดเป็นร้อนใดๆ ในสิ่งที่กำลังวางแผน
เกล็ดมณีทอดมองใบหน้าของลลินพรตที่บัดนี้ฉายชัดถึงความดีใจจนออกนอกหน้า มิต่างจากเด็กที่รอให้ผู้เป็นมารดานำของเล่นชิ้นใหม่มามอบให้ “อย่างไรเสีย ลลินพรตก็เป็นพยานรักระหว่างเราทั้งสอง และยังเป็นผู้ครองบัลลังก์ต่อไป การที่ให้นางเสกสมรสกับเขา ก็เท่ากับว่านางจักได้เป็นราชินีแห่งฉิมพลีในอนาคต”
“แต่นางเคยเสกสมรสกับข้ามาก่อนนะ” วิหรุตเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“ข้ามิข้องใจในเรื่องนั้นหรอกเสด็จพ่อ” ลลินพรตแสดงออกชัดเจนในสิ่งที่ตนต้องการ ทั้งท่าทางและน้ำเสียงชวนฝันของญาติผู้พี่ ทำให้อนิลรู้สึกหวั่นใจ “ข้าจักเชิดชูนางเป็นคู่ชีวิตอย่างดีที่สุด”
เกล็ดมณีสังเกตเห็นว่าใบหน้าของกินรีทั้งสองนางที่เสกสมรสกับลลินพรตเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด อนิลที่ยืนอยู่มิห่างก็มีทีท่านิ่งขรึมขึ้นถนัดตา ใบหน้าของเขามิได้บ่งบอกความรู้สึกใดๆ แต่นางรู้ว่าภายในเบื้องลึกบัดนี้ เขาคงกำลังสวดมนต์ภาวนาให้นางปฏิเสธข้อเสนอนี้ไป
“กินรีทั้งสองนางที่เสกสมรสกับลลินพรตมีศักดิ์เป็นหลานสาวของหม่อมฉันเองเพคะ...” ศรีวิตรีพึมพำอยู่ด้านหลังของนาง เกล็ดมณีพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ “น่าสงสารนางทั้งสองนะเพคะ ที่ถูกมองข้ามเช่นนั้น”
“สิ่งที่เจ้าเอ่ยออกมานั้น เจ้าทบทวนดีแล้วหรือยูงทอง” ภูชาเคนทร์ถามย้ำ
“ข้าล้วนตรึกตรองถี่ถ้วนแล้วเพคะ...” พิลาสมยุราเอ่ยก่อนหันมาส่งยิ้มให้เกล็ดมณี “พยานรัก”
เกล็ดมณีหลุดยิ้มออกมา เริ่มเข้าใจกลอุบายของพิลาสมยุราแล้วว่ามีเจตนาอันใด นางย้ำคำนี้ถึงสองครา ไยนาคีจักมิรู้ถึงจุดมุ่งหมายแฝงที่ยูงทองนางนี้ต้องการกันเล่า
นี่หมายเย้ยหยันข้า โดยให้ข้าเสกสมรสกับทายาทที่เกิดจากเจ้าและเขาเลยเช่นนั้นหรือ...
เมื่อเห็นว่าบุตรีเผยยิ้มแกมขำขัน ผู้เป็นบิดาอย่างภูชาเคนทร์นาคาจึงมิกล่าวสิ่งใดต่อไป พุ่งความสนใจมายังบุตรีอันเป็นที่รักหมายถามนางเสียก่อน เพราะเขามิอยากกระทำการใดผิดพลั้งไปเช่นคราวก่อน ขณะเดียวกันก็มิอยากเสียบุตรีนางนี้ไปอีกครา
“เกล็ดมณี”ภูชาเคนทร์นาคาเอ่ยเรียกแผ่วเบา
“เดิมทีการที่พระแม่ลักษมีให้ข้าไปบำเพ็ญเพียรก็เพื่อให้หลุดจากกระแสกรรมของท่าน...” นางยกมือขึ้นปรามผู้เป็นพระบิดา เป้าหมายของการเอ่ยวาจาคือราชาแห่งครุฑ ทำให้พิลาสมยุราซึ่งถูกมองข้ามรู้สึกเสียหน้ามิใช่น้อย “ท่านยังมีความคิดเรื่องกามารมณ์ ให้ข้าเสกสมรสกับผลผลิตที่ข้าอยากหลีกหนีอีกเช่นนั้นหรือองค์วิหรุต”
“ข้า...” เมื่อถูกไต่ถามตรงๆ เช่นนี้ วิหรุตเองก็วางตัวลำบาก
“หากมิทรงเห็นแก่ข้าที่สามารถเป็นพระมารดาของลลินพรตได้แล้ว ก็ทรงเห็นแก่พระแม่ลักษมีด้วยเถิด”
เมื่อเกล็ดมณีกล่าวชัดเจนเช่นนี้ วิหรุตจึงรีบตวัดสายตาดุดันไปหาพิลาสมยุราที่บัดนี้วางตัวมิถูก นางลืมคิดไปเสียสนิทว่าเกล็ดมณีนาคีถูกพระแม่ลักษมีเทวีสั่งให้ไปบำเพ็ญเพียรที่สระบัวลึกลับ ดังนั้นการที่นางจักให้นาคีนางนี้เสกสมรส ก็มิต่างจากการฝืนคำสั่งของพระแม่ ผู้ซึ่งเป็นใหญ่เหนือเหล่าครุฑและนาค
“นางคงคิดมิถี่ถ้วนดี” วิหรุตแก้ตัวแทนยูงทองด้วยความละอาย
“นางคิดถี่ถ้วนดีแล้ว...” ภูชาเคนทร์นาคาแย้ง นั่นยิ่งทำให้ยูงทองรู้สึกเสียหน้ามากกว่าเดิม ใบหน้างามซีดเผือด ด้วยเพราะสิ่งที่ได้กล่าวออกไปกลายเป็นบ่วงคล้องคอตนเอง “เพราะข้าเป็นผู้ถามนางเอง ว่านางทบทวนดีแล้วหรือไม่ในเรื่องนี้”
“ข้าต้องขออภัยท่านด้วย” ในตอนนี้วิหรุตมิต่างจากผู้ที่กระทำการใดก็มิมีสิ่งใดถูกต้อง
เกล็ดมณีเหลียวมามองครุฑหนุ่มอีกตนที่ยืนอยู่เคียงข้าง บัดนี้ทีท่านิ่งขรึมถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มบางๆ เขาดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด นางขยับเข้าไปใกล้เขามากขึ้นอีกหน่อย อาภรณ์สีเดียวกันของคนที่ยืนเคียงคู่ราวกับเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่านางได้เลือกผู้ที่จักมอบดวงหทัยให้ครอบครองแล้ว
การกระทำของนางอยู่ในสายตาของลลินพรตมาตลอด ยิ่งเห็นนางส่งยิ้มให้ญาติผู้น้องของตน เขายิ่งบันดาลโทสะ
“ข้ามิยอม” ลลินพรตโพล่งออกมาทันควัน
“หุบปากของเจ้าซะ!” วิหรุตตวาดก้อง
ถึงจะขมขื่นที่ตนพ่ายแพ้ญาติผู้น้อง แต่ก็รู้ดีว่ากระทำการอันใดมิได้ หากยิ่งดื้อรั้นค้านหัวชนฝาเห็นทีจะมีแต่เสียกับเสีย เมื่อคิดได้ดังนั้นลลินพรตจึงเดินออกจากวงสนทนาในบัดดลแล้วสยายปีกกลับสู่ฉิมพลีโดยมิสนใจผู้ใด
“เกล็ดมณี ข้าขอสนทนากับเจ้าเพียงลำพังได้หรือไม่” วิหรุตเอ่ยในที่สุด
“เสด็จพี่เพคะ...”
“เจ้ากลับฉิมพลีก่อนเถิดพิลาสมยุรา”
เมื่อถูกตัดบทเช่นนั้น นางจึงทำได้เพียงข่มความแค้นเคืองเอาไว้แล้วล่าถอยกลับฉิมพลีไป เกล็ดมณีหันไปพยักหน้าให้ผู้เป็นบิดาและคนอื่นๆ ทว่าสีหน้าครุฑหนุ่มกลับฉายแววดื้อดึง คิ้วเข้มขมวดมุ่น ริมฝีปากหนาเม้มแน่นจนแทบเป็นเส้นตรง มิต่างจากการแสดงออกชัดเจนว่ามิยินยอมให้นางไป
“มิไว้ใจข้าหรือ”
“มิใช่เช่นนั้น...” เขาระบายลมหายใจออกมาเล็กน้อย “ข้าแค่มิอยากให้ภาพความเจ็บปวดของเจ้าต้องหวนคืน”
“ข้ามิเป็นไร...” เกล็ดมณีส่งยิ้มยืนยัน นั่นทำให้อนิลเผยยิ้มออกในที่สุด “ข้าฝากศรีวิตรีด้วย”
“ข้าจะดูแลนางเอง”
 
เกล็ดมณีสาวเท้าเหยียบย่างไปบนเม็ดทรายนุ่มละเอียด ตามหลังวิหรุตซึ่งเดินนำอยู่ข้างหน้าเล็กน้อย ก่อนที่นางจะเพิ่มความเร็วจนตามเขาทันในที่สุด
ทั้งสองมุ่งตรงยังสถานที่ที่มิค่อยมีผู้คนพลุกพล่านนัก ท่ามกลางความเงียบงันยามนี้ แถมเบื้องบนยังเต็มไปด้วยเหล่าดอกบัวประดับประทีปส่องแสงสวยงาม หากทั้งสองเป็นคู่รักกัน ด้วยสายโลหิตแห่งเชื้อพระวงศ์ที่เยื้องย่างเคียงคู่ การได้เดินเชยชมแสงประทีปด้วยกันเช่นนี้คงทำให้มีความสุขมิใช่น้อย
แต่นั่นคงเป็นได้เพียงแค่ความคิดกระมัง นั่นเพราะบัดนี้รูปลักษณ์เลอค่าของวิหรุตมิต่างจากผู้ที่อ่อนล้าแรงกาย ส่วนเกล็ดมณีเองก็ถูกปลดพันธนาการจากกระแสกรรมของเขาแล้วเช่นกัน การที่คาดหวังให้ทั้งสองกลับมาร่วมเรียงเคียงหมอนคงมิใช่เรื่องสมควร
“พระองค์ประสงค์สิ่งใด ก็ตรัสออกมาเถิดเพคะ”
“เจ้าสบายดีหรือไม่”
“หม่อมฉันเกรงว่านี่คงมิใช่จุดประสงค์หลักที่พระองค์ทรงต้องการสนททนากับหม่อมฉันกระมัง...” เกล็ดมณีแย้มยิ้ม วิหรุตจึงเผยยิ้มอ่อนล้าตอบกลับไป นางยังดูมิผิดแผกไปจากสตรีงามนางเดิมที่ตนเคยพบเมื่อยามเสกสมรส ตรงข้ามกับเขาที่เริ่มมีความชราและความอ่อนล้าแทรกซึมเข้ามา “พระองค์ทรงดูอิดโรยมากเลยนะเพคะ ทรงงานหนักเช่นนั้นหรือ”
“ในขณะที่เจ้าดูงามงดเช่นทุกคราที่เจ้าแย้มสรวล ข้ากลับดูชราภาพลงไปมาก”
“พระองค์ตรัสเกินจริงแล้วเพคะ”
“ข้าเพียงแค่อยากขอโทษในเรื่องราวที่ผ่านมา”
“ไยพระองค์จึงขอโทษหม่อมฉันกันเล่า...” เกล็ดมณีมิได้รู้สึกปลาบปลื้มหรือเปรมปรีดิ์ในสิ่งที่ได้สดับจากปากของผู้ที่เคยทำร้ายจิตใจนางต่างๆ นานา แต่บัดนี้เขากลับแทบคลานเข่ามาขอโทษนางเบื้องหน้า “จากนี้หม่อมฉันขอให้พระองค์อ่อนโยนต่อศรีวิตรีให้มาก ดูแลนางให้ดี ปกป้องนางหากมีผู้ใดรังแกนาง เท่านั้นก็เพียงพอแล้วกับคำขอโทษที่พระองค์ตรัสกับหม่อมฉัน”
“การที่ข้าได้ไปใช้ชีวิตยังภพภูมิแห่งมนุษย์ กระแสกรรมที่ข้าทำกับเจ้า ส่งผลให้ข้าได้รับรู้ถึงความยากลำบากและเจ็บช้ำหัวใจมิใช่น้อย...”
เกล็ดมณีมิได้เอ่ยสิ่งใด นางเพียงจับจ้องไปยังใบหน้าอ่อนล้าของอดีตบุรุษที่เคยมอบใจให้ บัดนี้นางกลับมิได้ห่วงหาอาทรเขาแล้ว จะมีก็เพียงแต่ความเวทนาที่มอบให้ได้
“กระแสกรรมของข้ารุนแรงเหลือเกินเกล็ดมณี ข้าเลือกที่จะตัดกรรมแห่งตัณหาราคะ ภายหลังจากพิลาสมยุราตั้งครรภ์ ข้าก็มิข้องแวะกับสตรีใดอีก แม้แต่พิลาสมยุราเองก็ตาม”
เกล็ดมณียังคงนิ่งฟัง มิได้เอ่ยขัดสิ่งใด ด้วยคิดว่าบัดนี้วิหรุตมิต่างจากผู้ที่กำลังชดใช้ในสิ่งที่ตนได้กระทำ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากน้ำมือของเขาเอง แม้แต่องค์วิษณุเทพหรือพระแม่ลักษมีเทวีก็มิอาจเอื้อมมือมาขัดขวางกระแสกรรมนี้ได้ เพราะกรรมใดที่บุคคลนั้นก่อ ก็ย่อมต้องชดใช้มันด้วยตนเอง
“หากทรงรู้แล้วว่าสิ่งใดเป็นต้นตอแห่งกรรม พระองค์ก็ควรวางสิ่งนั้นลงให้ได้เสียเถิดเพคะ”
“ข้าจักวางได้อย่างไร...” วิหรุตระบายลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า รอยยิ้มหม่นหมองผุดขึ้นบนใบหน้ากังวล “บิดาของเจ้าคงเอาจริงเรื่องสงคราม ดูเหมือนว่ายุคสมัยแห่งวิหรุตจักจบสิ้นเสียแล้ว”
“หม่อมฉันมิได้ต้องการให้เกิดสงคราม และก็มิได้ร้องขอให้พระองค์ทรงเด็ดปีกของพระองค์มาวางเบื้องหน้า”
“เจ้ามิเรียกร้อง...ข้าเข้าใจดี” ยามนั้นคล้ายห้วงเกษียรสมุทรแห่งนี้ถูกบังคับให้กาลเวลาหยุดหมุน ภาพศึกสงครามปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของวิหรุต ถึงแม้จะผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว และกำลังวังชาของเขาก็มิได้ถดถอยแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเขามิเคยคิดถึงการศึกใดๆ มานานจนบัดนี้ไร้สิ้นแล้วซึ่งสัญชาตญาณแห่งนักรบ “ข้าควรต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามห้วงแห่งกรรมเสียแล้วกระมัง”
“ทรงกระทำการทุกอย่างด้วยสติเถิดเพคะ...” เกล็ดมณีเอ่ยเตือนอีกครา “อย่าได้กระทำการอันไร้สติเช่นเดียวกับที่หม่อมฉันเคยกระทำ ผลที่ตามมามันมิคุ้มค่าหรอกหนา”
“ขอบใจเจ้ามากเกล็ดมณี”
“หามิได้เพคะ”
“ไยครานั้นดวงตาข้าช่างมืดบอด มองมิเห็นมุกงามจากบาดาล ซ้ำยังเห็นบุษราคัมมีค่ามากกว่ากันหนอ”
“อย่าทรงโทษองค์เองอีกเลยเพคะ...เมื่อต่างหลุดพ้นซึ่งกระแสกรรม การจักเวียนกลับมาชดใช้ซึ่งกันและกันย่อมมิเกิดขึ้น ให้เป็นการจากกันแต่โดยดีเถิดนะเพคะ” นาคีส่งยิ้ม ก่อนที่ทั้งสองจะพากันย่างกรายกลับสู่วงสนทนาเพิ่งจากมาเมื่อครู่
“เจ้าพึงใจในบุตรชายแห่งวิสุระใช่หรือไม่...”
เมื่อถูกเอ่ยถามตามตรง ถึงแม้เกล็ดมณีจะแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ส่งยิ้มกลับไปแทนคำตอบ วิหรุตเองก็ยิ้มออกมาด้วยรับรู้ได้ถึงความสุขล้นที่เกิดขึ้นภายในในของสองหนุ่มสาว ซึ่งเขาเองก็มิขัดเคืองหรือข้อใจใดๆ ในความสัมพันธ์นั้น “เขาเป็นเด็กดีเลยทีเดียว ถึงแม้จะกำพร้าบิดรมารดา แต่ข้าเชื่อว่าเขาจักดูแลเจ้าได้ดีกว่าข้าเป็นแน่”
“เรื่องนี้คงเป็นเรื่องของกาลเวลาเท่านั้นเพคะที่จักพิสูจน์ได้”
วิหรุตมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีกเลย จนกระทั่งทั้งสองเดินเคียงคู่กันมาจนถึงสถานที่ที่เหล่าครุฑและนาคต่างยืนรออยู่ สีหน้าของภูชาเคนทร์นาคายังฉายชัดถึงความเกรี้ยวกราด เกล็ดมณีเห็นดังนั้นก็รู้ดีว่ามิอาจเปลี่ยนความตั้งใจของพระบิดาได้ แต่นางก็มิอยากให้เกิดความสูญเสียใดขึ้นอีก เพราะทุกชีวิตในบาดาลนคร ถือเป็นทายาทจากเผ่านาคที่อยู่ภายใต้การปกครองของพระบิดานางทั้งสิ้น
“ตัวข้านั้นมิขอข้องเกี่ยวใดๆ กับศึกครานี้” นางเอ่ยให้ทุกคนได้ยินชัด หมายให้บิดาใจอ่อนลงบ้าง
“มิต้องห่วงสิ่งใดหรอกหนา...” ภูชาเคนทร์หันไปส่งยิ้มให้บุตรี “นี่จักเป็นศึกสุดท้ายแล้ว บิดาขอให้สัญญาแด่เจ้า”
“หากข้าเปลี่ยนใจท่านมิได้ ก็คงต้องขอรับคำท้ารบในศึกครานี้”
“อย่าหลีกหนีล่ะวิหรุต...” ภูชาเคนทร์เค้นเสียงเอ่ย มือทั้งสองกำแน่นด้วยอยากพุ่งเข้าฉีกเนื้อของครุฑตรงหน้าเสียให้ร่างกายขาดออกเป็นสองท่อน “ข้าจักบัญชาการศึกครานี้เอง หากอยากลดจำนวนผู้ล้มตายก็จงเผชิญหน้ากับข้าโดยตรให้จบสิ้นไป”
วิหรุตก้มหัวลงเล็กน้อย ก่อนพาเหล่าครุฑและข้าราชบริพารเคลื่อนขบวนกลับสู่ฉิมพลี กินรีทั้งสองนางที่เป็นชายาของลลินพรตสาวเท้าเข้ามาหาศรีวิตรี ใบหน้าฉายชัดถึงความกังวล นั่นเพราะหากเกิดสงครามขึ้นอีกครา เหล่าพระบิดาของพวกนางก็จำเป็นต้องเข้าร่วมในศึกครานี้ด้วยเช่นกัน
“พวกเจ้ารีบกลับฉิมพลีเสียเถิด เดี๋ยวพิลาสมยุราจักหาเรื่องรังแกพวกเจ้าได้” เกล็ดมณีหันไปเอ่ยกับศรีวิตรีและกินรีนางอื่น
ศรีวิตรีคำนับนางด้วยความนอบน้อมก่อนรีบพากินรีอีกสองนางเดินทางกลับฉิมพลีทันที ที่ตรงนั้นจึงเหลือเพียงนาคกับครุฑอีกหนึ่งตน
ใบหน้าของอนิลยามนี้ฉายแววกังวล จริงอยู่ที่เขาเกิดมาในช่วงที่ห่างหายจากสงคราม แต่ก็ใช่ว่ามิเคยอ่านตำราออกรบ ขึ้นชื่อว่าสงคราม ไยจักมิตามมาด้วยคำว่าสูญเสียกันเล่า
“อย่ากังวลไปเลย...” น้ำเสียงเปี่ยมล้นความเอ็นดูถูกเปล่งออกมาจากผู้ที่เป็นราชาแห่งนาค อนิลทำได้เพียงหันไปก้มศีรษะแสดงความขอบคุณในคำปลอบโยนนั้นเงียบๆ “ศึกครานี้ ข้าเพียงต้องการสอนราชาครุฑให้ได้รับรู้ถึงสิ่งที่ตนกระทำ เกิดเป็นชาย หากเจ้าต้องปกป้องของรักสักสิ่ง เจ้าจักรู้จักคำว่าฆ่าได้แต่หยามมิได้ว่าเป็นเช่นไร”
“หม่อมฉันทราบดีพ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จพ่อ มิอาจปรานีได้เลยหรือเพคะ” เกล็ดมณียังมิละความพยายาม
“เช่นที่บิดาบอกเจ้า...” ภูชาเคนทร์ยกมือขึ้นลูบหัวของบุตรีด้วยความรักใคร่ “นี่จักเป็นศึกสุดท้ายของสองเผ่าพันธุ์แล้วลูกรัก”
“ทรงถนอมพระวรกายด้วยเพคะ”
ภูชาเคนทร์สวมกอดบุตรีอีกครั้ง ก่อนพาเหล่านาคกลับสู่บาดาลนคร เกล็ดมณีจึงหันมาหาผู้ที่ยังมิกลับฉิมพลี เห็นทีคงมีเรื่องหารือกับนางเป็นแน่ แต่ที่ยังมิกล้าเอ่ยสิ่งใดคงเป็นเพราะธารทิพย์คอยตามประกบนางมิห่าง นางจึงจำใจต้องหันไปกล่าวกับนาคีรับใช้ให้กลับวิมานไปก่อน
“เจ้ากลับไปก่อนเถิดธารทิพย์”
“เพคะองค์หญิง”
เมื่อร่างของธารทิพย์สลายกลายเป็นละอองมรกต อนิลก็ระบายลมหายใจออกมา ทีท่าเคร่งเครียดนั้นพลอยทำให้เกล็ดมณีรู้สึกวิตกตามไปด้วย ถึงแม้จะบอกว่าตนมิขอข้องเกี่ยวกับศึกครานี้ แต่หากเกิดการสู้รบขึ้น นางก็เป็นห่วงความปลอดภัยของพระบิดา แล้วไหนจักอนิลอีกเล่า บุคคลแสนสำคัญทั้งสอง ทำให้นางนิ่งนอนใจอยู่เฉยมิได้
“ไปกับข้าเถิด” อนิลยื่นมือหนาออกมาเบื้องหน้า
แทนคำตอบ นางวางมือบางลงบนมือหนา จากนั้นกระแสทิพย์แห่งวายุพลันนำทั้งสองมาปรากฏบนเวหาหาวเหนือหิมพานต์ อนิลมิได้พาเกล็ดมณีกลับสู่สระบัวลึกลับของนาง แต่พานางถลาเล่นลมมายังรวงรังของหัสดีลิงค์ที่อยู่ริมภูผาหินสูงชัน ซึ่งมีสายลมเย็นพัดมามิหยุดหย่อน ทันทีที่เจ้านกยักษ์เห็นชัดว่าผู้มาเยือนมิใช่ศัตรู มันก็ส่งเสียงร้องด้วยความดีใจ
“หัสดีลิงค์มิใช่นกที่เชื่องนักหรอกหนา”  นางเอ่ยเตือนเมื่อเขาทำท่าจะโผบินเข้าไปใกล้เจ้าของเสียงร้องดังลั่น
อนิลถลาร่อนลงไปยืนบนขอบรังนกที่สร้างจากต้นไม้ขนาดใหญ่วางขัดกันจนเป็นทรงกลม พอให้เจ้านกยักษ์เข้าไปนอนหลบหนาวได้ ภายในมีโครงกระดูกของสัตว์น้อยใหญ่เรียงรายมิต่างจากของสะสมแสนประหลาด ไหนจักเศษเนื้อสดที่ยังคงมีติดค้างอยู่บ้าง
“มันเป็นสหายของข้า...” อนิลวางร่างบางที่โอบอุ้มไว้แนบอกลงยืนเคียงข้าง “ไงเจ้าตัวจ้อย”
ตัวจ้อยหรือ...
เกล็ดมณีแทบไม่อยากเชื่อสายตา ทันทีที่อนิลเดินเข้าไปลูบหัวของนกยักษ์ มันกลับเชื่องราวกับนกแก้วที่ใครเลี้ยงไว้ แถมเขายังเรียกมันว่าตัวจ้อย ทั้งที่หากมันอ้าปากก็สามารถกลืนนางลงท้องได้โดยง่าย เกล็ดมณีคิดอยู่ห่างๆ จนมันเหลียวมามองพร้อมทั้งส่งเสียงครางเรียกในลำคอ
“มันอยากให้เจ้าเข้ามาใกล้ๆ น่ะ”
“แล้วจับข้ากินเช่นนั้นหรือ”
นางเอ่ยให้ดูขำขันเพื่อลดความตึงเครียดลง แต่หัสดีลิงค์ที่มิเข้าใจที่นางพูดเริ่มกระพือปีกหมายเป็นฝ่ายเข้าหานางเอง อนิลจึงยกมือขึ้นปราม และมันก็ยอมหุบปีกของตนลงโดยง่าย
“มาเถิดน่า มันมิกินเจ้าหรอก”
เมื่อเกล็ดมณีเดินเข้ามาใกล้ๆหัสดีลิงค์ดังที่อนิลร้องขอ เขาก็ถือวิสาสะฉวยข้อมืองามขึ้นมาจับกุม ก่อนวางมือของนางลงบนหัวของเจ้านกยักษ์ ถึงหัสดีลิงค์จะดูน่ากลัวไปบ้าง ไม่ว่าจักเศียรที่เป็นช้าง อีกทั้งงวงและงาที่ยื่นยาวออกมา แต่เมื่ออยู่ใกล้ๆ แบบนี้มันกลับให้ความรู้สึกทรงพลังอย่างแปลกประหลาด
“จำกลิ่นของนางไว้ให้ดี...” เกล็ดมณีเหลียวไปมองอนิลทันที “หากเมื่อใดที่นางมีภัย เจ้าจักต้องรีบไปช่วยนางให้ทันกาล เข้าใจหรือไม่”
หัสดีลิงค์แผดเสียงก้องเพื่อตอบรับ เกล็ดมณีชักมือกลับมาแนบข้างลำตัว บุรุษที่ยืนเคียงข้างนางตอนนี้เผยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข แต่นางกลับรู้สึกถึงลางสังหรณ์แปลกประหลาด สิ่งที่เขาเอ่ยกับนกยักษ์เมื่อครู่มิต่างจากการฝากฝัง เหมือนกับว่าเขากำลังจะเดินทางไปยังสถานที่แสนไกลโพ้น และอาจมิได้พบนางอีก
“อนิล ไยเจ้าจึงกล่าวกับหัสดีลิงค์เช่นนี้”
“ศึกครานี้ข้ามิรู้ว่าอนาคตจักเป็นเช่นไร...” ใบหน้าเลอลักษณ์ยังเผยรอยยิ้มละมุน มือหนาลูบหัวของหัสดีลิงค์มิหยุดหย่อน “หากข้าไร้วาสนาเคียงคู่กับเจ้า อย่างน้อยหัสดีลิงค์ก็จักคอยปกป้องเจ้ายามเมื่อออกจากสระบัวลึกลับ”
“หากเจ้ามิหยุดเอ่ยเช่นนี้ ข้าจักมิคุยกับเจ้าอีกต่อไป”
เกล็ดมณีรู้สึกเหมือนหัวใจของนางกำลังจะแหลกสลาย เขาเป็นผู้เดินเข้ามาปลุกให้นางตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายพร้อมความสุขสม แต่ตอนนี้เขาทำเหมือนกับว่ากำลังจะจากนางไป อาจด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับจนต่างฝ่ายมิอาจเลี่ยงได้ แต่มันมิเร็วไปใช่หรือไม่ กับการที่นางต้องจากลากับเขา
“เกล็ดมณี...” อนิลขยับกายเข้าหาร่างบางที่เริ่มสั่นไหวจากกระแสลมเย็น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาล่วงเกินนางด้วยการวาดวงแขนแกร่งโอบกอดนางจากด้านหลังเพื่อมอบความอบอุ่น หัสดีลิงค์ยอบตัวลงนอนและเงียบเสียงลงอย่างรู้ความ ปล่อยให้ผู้มาเยือนได้สนทนากันท่ามกลางความเงียบงัน “ผู้หนึ่งก็ชุบเลี้ยงข้ามามิต่างจากพระบิดา อีกผู้หนึ่งก็เป็นบิดาของผู้ที่ข้าหมายมอบดวงหทัยให้ครอบครอง หากเกิดเหตุการณ์ที่ต้องเลือกให้ช่วยเหลือหรือดับสิ้น ข้าคงมิอาจเลือกได้ แต่หากการตายของข้าสามารถยุติทุกอย่าง ข้าก็จักเลือกมันโดยมิลังเล”
“แล้วข้าเล่า...” เกล็ดมณีเริ่มควบคุมตัวเองมิอยู่ นางอยากร้องไห้ทั้งๆ ที่กำลังรู้สึกมีความสุขในอ้อมแขนแกร่ง แต่หัวข้อสนทนาครานี้มิใช่คำพลอดรัก มันมิต่างจากการบอกลาด้วยซ้ำ “เจ้าเข้ามาทำให้ชีวิตของข้ากลับมาสุขสม ไยอยู่ๆ เจ้ากลับกล่าววาจาว่าจักจากข้าไป แล้วข้าจักอยู่ได้อย่างไรกันเล่าอนิล”
“ข้ายังมิตายเสียหน่อย ข้าแค่บอกว่าหากนั่นคือทางเลือกที่จำเป็นต้องเลือก”
“กระแสกรรมนี้เป็นของวิหรุต และ...” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ นางกลับพบว่าทางเลือกนั้นอาจมิใช่อนิล แต่เป็นอีกหนึ่งชีวิตที่เคยคิดว่าตนหลุดพ้นจากกระแสกรรมแล้ว แท้ที่จริงอาจเป็นนางที่ยังต้องสะสางเรื่องนี้ให้จบลง โดยมิให้ผู้อื่นต้องมาเดือดร้อน “และอาจเป็นข้าที่ยังมิสิ้นกระแสกรรมนั้น”
“เจ้ามิยุ่งเกี่ยวกับศึกครานี้ นั่นถูกต้องแล้วเกล็ดมณี”
“หากข้าอ้อนวอนมิให้เจ้าร่วมรบ เจ้าจักทำได้หรือไม่”
“เจ้าก็รู้ดี...” อนิลเอ่ยเสียงแผ่ว นั่นเพราะสิ่งที่นางร้องขออาจส่งผลให้เขาต้องโทษประหารชีวิต ยิ่งลลินพรตและพิลาสมยุรามิชอบพอเขาเป็นทุนเดิม หากเลือกข้างผิด ชีวิตของเขาคงได้ดับสูญตั้งแต่กลับไปเยือนฉิมพลีในยามนี้เสียด้วยซ้ำ “ข้าจำใจต้องเลือก”
“สัญญากับข้าก่อนอนิล...” เกล็ดมณีจับแขนแกร่งให้คลายออก ก่อนหันไปสบนัยน์ตาเย้ายวนของผู้ที่โอบกอดนางเมื่อครู่ “ว่าเจ้าจักมิกระทำการใดที่โง่เขลา อย่างเช่นสละชีพตนเอง”
“เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ”
“ข้าเป็นห่วงเจ้า...” บัดนี้เกล็ดมณีไม่คิดสงวนทีท่าหรือวาจาอีก นางคิดสิ่งใดก็เอ่ยสิ่งนั้นออกไปอย่างมิเอียงอาย เหตุเพราะอีกไม่นานชาวบาดาลอาจเคลื่อนทัพมาที่เนินเขาซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งฉิมพลี และนางกับเขาอาจมิได้พบกันอีกตลอดกาล “ข้ามิอยากเสียเจ้าไป”
“ข้าจักถนอมกายให้อยู่รอดปลอดภัย...” ใบหน้าคมคายขยับเข้าใกล้หน้าผากมนของนาคีอย่างเชื่องช้า จนลมหายใจร้อนผ่าวรินรดผิวกายสาวจนรู้สึกวาบหวาม “เพื่อคอยดูแลเจ้า”
ริมฝีปากหนามอบจุมพิตที่หน้าผากมนอย่างห่วงหาอาทร เกล็ดมณีหลับตาพริ้มยอมรับสัมผัสที่นางปรารถนาจากห้วงลึกสุดแห่งดวงหทัย การกระทำของเขาส่งให้เลือดในกายของนางสูบฉีดและร้อนเร่า มือบางทั้งสองยกขึ้นเกาะรอบเอวหนา ยามต้องสัมผัสกล้ามเนื้อแข็งเกร็งกลับรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านตามผิวกาย
มิรู้ว่าผ่านไปเนิ่นนานเพียงไร มิรู้ว่าจักมีผู้ใดเหินเวหามาพานพบหรือไม่ และมิรู้ว่าหากนางมิหักห้ามใจเอาไว้ เขาจักควบคุมความรู้สึกของตนเอาไว้ได้หรือไม่
“อนิล” น้ำเสียงนั้นทั้งเย้ายวนและโหยหา
ครุฑหนุ่มประกบริมฝีปากอุ่นเข้ากับริมฝีปากซับสีแดงระเรื่อ แลกเปลี่ยนความวาบหวามของปลายลิ้นชุ่มฉ่ำอย่างมิอาจหักห้ามความปรารถนาได้ คล้ายกับกายของทั้งสองโหยหาซึ่งกันและกัน ทว่าเมื่อร่างบางเบียดเข้าหาร่างหนาเพราะโหยหาความอบอุ่นมากขึ้น ฝ่ามือแกร่งกลับกระชับร่างนั้นแล้วตรึงไว้ให้หยุดนิ่ง แต่ยังคงมอบจุมพิตแสนลึกล้ำจนนาคีรู้สึกร้อนไปทั่วร่าง คล้ายในกายมีผู้จุดไฟเผาผลาญอวัยวะภายใน
อนิลถอนริมฝีปากออกจากนาคีตรงหน้าแผ่วเบา ความวาบหวามที่ตั้งใจมอบให้นั้นมิเคยมอบให้สตรีใดมาก่อน เขาเองก็มิแน่ใจนักว่านางจักประทับใจหรือไม่ แต่สำหรับเขาแล้ว
เขาประทับใจเป็นที่สุด...
“อนิล” เกล็ดมณีเรียกเสียงหวาน หมายให้อีกฝ่ายมอบสัมผัสอย่างเมื่อครู่อีกสักครา
“ข้ามิอาจทำให้เจ้าเสื่อมเกียรติได้...” เขาเปลี่ยนเป็นกระชับวงแขนเพื่อมอบความอบอุ่นให้แก่นางทดแทนในสิ่งที่นางต้องการ “หากเรื่องนี้จบลงเมื่อใด ข้าจักทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามประเพณี”
“ข้า...” เกล็ดมณีขบริมฝีปากแน่น ใจของนางเต้นเร่ามิต่างจากสาวแรกรุ่นหมายใกล้ชิดผู้ที่นางมอบดวงหทัยให้มากขึ้น แต่ตอนนี้เขากลับสงวนท่าที “ข้าจักมิปิดบังความรู้สึกต่อเจ้าอีกต่อไป”
“เจ้ามิต้องรีบร้อนไปหรอกหนา ข้ายังคงอยู่กับเจ้าต่อไปอีกนาน”
“ข้ามิได้รีบร้อนแต่อย่างใด”
อนิลพาร่างบางเอนกายลงนอนในรวงรังของหัสดีลิงค์อย่างช้าๆ เมื่อนกยักษ์เห็นเช่นนั้น มันจึงขยับเข้ามาเพื่อให้เขาอาศัยเส้นขนขนาดใหญ่ของมันเพิ่มความอบอุ่น ร่างบางในอกหลับตาพริ้มลงอย่างช้าๆ จากความอ่อนเพลีย อนิลจึงมอบจุมพิตบนหน้าผากมนอีกคราเพื่อขับกล่อมนางให้ฝันดี
ข้าหมายโอบกอดเจ้าเช่นนี้ตลอดไป...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น