8

ดิวาลี

ดิวาลี
 
“เจ้ามิไปกับข้าจริงๆ หรือ”
เมื่อกลับจากวิมานฉิมพลี แล้วร่อนถลาลงสู่พสุธาเบื้องล่าง ใกล้ๆ กับสระบัวลึกลับ ครุฑหนุ่มก็เอ่ยถามโดยพลัน ขณะที่นางเพียงยืนนิ่งๆ บนบัวใบหนึ่ง
“ข้ามิได้ไปเยือนเกษียรสมุทรมาหลายร้อยปีแล้ว…” เกล็ดมณีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ก่อนยกมือบางขึ้นมาเบื้องหน้า พลันปรากฏดอกบัวสุวรรณพรรณรายที่ใจกลางเกสรประดับด้วยเทียนที่มีเปลวประทีปเย็นเยียบสีฟ้าอ่อนบนฝ่ามือ  ก่อนจะมอบให้เขา “ในเมื่อเจ้านำดอกบัวดอกนี้ไปประดับแสงสว่างแก่เกษียรสมุทรเคียงข้างกับบัวของเจ้า ข้าก็มิจำเป็นต้องเดินทางไปที่นั่นด้วยตนเอง”
“หากเจ้าประสงค์เช่นนั้น ข้าก็มิขัดความตั้งใจของเจ้าหรอก”
เวหายามนี้ทาบทาสีชาดเลื่อมคราม ยามเย็นวันนี้ช่างสวยกว่าวันไหนๆ ที่เคยผ่านมาสำหรับทั้งสองดวงหทัยที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น อนิลรับดอกบัวของเกล็ดมณีมาถือไว้ ขณะที่ตนก็มีดอกบัวที่เหมือนกับดอกบัวของนางทุกประการ เกล็ดมณีโบกมือสองสามครั้งดอกบัวทั้งสองก็หายไปในห้วงกระแสทิพย์ เพื่อรอถูกเรียกออกมาอีกครั้งตอนนำไปประดับยังเกษียรสมุทร
“เจ้ารีบไปเถิด อย่าปล่อยให้พวกเขาต้องรอนาน”
“ข้าจักรีบไปรีบกลับ” ครุฑหนุ่มพูดจบก็ทะยานขึ้นสู่เวหา
เกล็ดมณีมองตามหลังไปจนกระทั่งอนิลค่อยๆ เลือนหายไปที่เส้นขอบฟ้า สายลมจากการกระพือปีกของเขาพัดพาความเย็นโดยรอบให้หายไป ทิ้งไว้เพียงกระแสบางๆ ของความคิดถึง
ใบหน้างามฉายชัดถึงความคะนึงหาความอบอุ่นยามเมื่อเคียงข้างแล้วสนทนากัน ยิ่งยามเมื่อเขาตอบรับว่าจักรอนางไม่ว่าจักเนิ่นนานเพียงไร ในใจของนางมิต่างจากมีดวงสุริยะเฉิดฉาย มันให้ความรู้สึกทั้งร้อนรุ่มและสุขสมในเวลาเดียวกัน
“องค์หญิงเพคะ” ธารทิพย์ซึ่งยืนอมยิ้มมองมาจากด้านหลังของนางเอ่ยขึ้น
“ว่าอย่างไรเล่า”
“ทรงคิดสิ่งใดอยู่เพคะ…” ถึงนาคีรับใช้ของนางจักชอบซักไซ้ไล่เลียงไปเสียหน่อย แต่เกล็ดมณีก็มีความสุขทุกครั้ง  เหมือนว่าการถามไถ่กันเช่นนี้ทำให้นางได้ทบทวนตัวเองอยู่เสมอถึงเวลาที่เสียไปกว่าเจ็ดร้อยปี แต่กลับถูกแทนที่ด้วยความสุขเพียงไม่กี่เดือนที่ได้พบหน้าครุฑหนุ่มซึ่งโฉบลงมาเด็ดดอกบัวสุวรรณพรรณรายผู้นั้น “หม่อมฉันเห็นองค์หญิงทรงยิ้มมิหยุด จึงอยากรู้ก็เท่านั้นเพคะ”
“เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าข้ากำลังคิดสิ่งใด”
“ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงทรงบอกความรู้สึกกับองค์อนิลแล้วหรือเพคะ”
“เจ้าจะบ้าหรืออย่างไร ข้าเป็นหญิง จักให้พูดคำรักกับชายก่อนได้หรือ” นางรู้สึกเขินอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีที่ถูกถามแบบนั้น แต่เสียงหัวร่อต่อกระซิกทำให้นางยิ่งรู้สึกว่าใบหน้าของตนร้อนผ่าวมิต่างจากลาวายังปรโลก
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ…” ธารทิพย์เดินมาด้านหน้าผู้เป็นนาย หมายสบตาของอีกฝ่ายเพื่อจับเท็จ ทว่าเกล็ดมณีรีบหลบสายตาในทันที แต่เมื่อนาคีรับใช้ยังจ้องมองมาไม่ลดละ นางจึงต้องยอมสบตากับนาคีรับใช้ในที่สุด “แล้วองค์อนิลตรัสสิ่งใดหรือไม่”
เจ้ามิได้รังเกียจข้าใช่หรือไม่ หากข้าอยากเป็นผู้ที่ดูแลปกป้องเจ้า…
คำพูดของอนิลยามอยู่ในวิมานที่รกร้างหวนเข้ามาในห้วงความคิดโดยมิตั้งใจ เดิมทีคำถามจากนาคีรับใช้ก็ทำให้นางเขินอายอยู่ก่อนแล้ว แต่คำพูดที่อนิลเคยเอื้อนเอ่ยกับนางกลับทำให้นางรู้สึกเขินอายมากกว่าเป็นร้อยเท่าพันทวี ส่งผลให้นางแย้มยิ้มกว้างขึ้นไปอีก
“เจ้าจักให้เขาพดอันใดเล่า”
“อ้าว! หม่อมฉันก็นึกว่าชายชาตรีอย่างเขาจักมีความกล้ามากกว่านี้นะเพคะ”
“เขาน่ะหรือกล้าหาญ…” เกล็ดมณีหลุดหัวเราะออกมา จนทำให้ธารทิพย์รู้สึกแปลกใจ “เขาเกิดหลังสงคราม จะว่าเป็นชายชาตรีหรือไม่เจ้าก็เห็นแจ้งแล้ว ส่วนความกล้าหาญ เขานั้นมิต่างจากเด็กใสซื่อที่มิเคยต้องมลทินใดๆ มาก่อนเสียมากกว่า”
“องค์หญิงทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ หม่อมฉันมิเข้าใจ”
“ตัวข้าเองครองพรหมจรรย์มาจนบัดนี้…” เกล็ดมณียิ่งรู้สึกเขินอายมากขึ้น เมื่อกล่าวถึงการถือครองพรหมจรรย์ ที่ทำให้นางต่างรู้สึกว่าพวกเขาทั้งสองต่างมิเคยต้องราคีจากผู้ใดมาก่อน “เช่นเดียวกับเขา ที่ตั้งแต่ถือกำเนิดมา ยังมิเคยผ่านสตรีนางใดมาก่อน”
“ต่างบริสุทธิ์ด้วยกันทั้งคู่หรือเพคะ”
“อืม”
เกล็ดมณีลอบมองธารทิพย์ ก่อนหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดมิได้ ขณะที่นาคีรับใช้เองก็มิอาจกลั้นกิริยาดังกล่าวได้เช่นกัน หากเทียบอายุที่อยู่มาเนิ่นนานหลายร้อยปีของเกล็ดมณี นาคีรุ่นราวคราวเดียวกับนางต่างให้กำเนิดนาคีหรือนาคาน้อยๆ กันหลายตนแล้ว แต่เมื่อนางบำเพ็ญเพียรอยู่ที่สระลึกลับแห่งนี้ อีกทั้งยังครองพรหมจรรย์ จึงทำให้ร่างทิพย์ของนางยังสวยสะพรั่งและดูเยาว์วัย แถมเกล็ดนาคาจากสีมรกตแต่เดิมตอนนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นเกล็ดแก้วมรกตประกายอัญมณีหลากสีแสนตระการตา
ถึงเกล็ดมณีจะรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง แต่การที่นได้เล่าบางเรื่องให้ธารทิพย์ฟังก็ช่วยย้ำเตือนนางถึงความจริงที่ว่า บัดนี้นางมิใช่นาคีที่จมปลักอยู่กับทุกข์ระทมในความทรงจำแสนโหดร้ายเมื่อครานั้นอีกต่อไป
อดีตของข้ามิอาจแก้ไขสิ่งใดได้ ข้าทำได้เพียงยอมรับในความผิดบาปที่กระทำลงไป และเรียนรู้ที่จะก้าวผ่านมัน โดยมีเจ้าร่วมทางไปด้วย…อนิล
 
 
อุทยานหลวงที่ฉิมพลีเต็มไปด้วยขบวนกินรีที่แต่งกายโสภาและเหล่าชาวครุฑอีกจำนวนมากซึ่งร่วมอยู่ในขบวนเสด็จคราวนี้ ด้านหน้าขบวนคือวิหรุตผู้ครองร่างทิพย์ ฉลององค์ด้วยอาภรณ์สีทอง สวมเครื่องทองเต็มองค์อย่างสง่างาม เบื้องซ้ายคือพระชายาเอก พิลาสมยุราอยู่ในอาภรณ์ทองคำเช่นที่นางมักสวมเป็นประจำ ถัดจากนั้นจึงเป็นศรีวิตรี ที่บัดนี้เติบใหญ่จนกลายเป็นสาวสะพรั่ง งดงามกว่าเมื่อครั้งเยาว์วัยมากโข
“อนิลไปอยู่ที่ใด” ลลินพรตเพรียกหาด้วยทีท่าหงุดหงิด
“คงจักมิอยากร่วมขบวนไปกับพวกเรากระมังเพคะ” ยูงทองหันไปเอ่ยกับวิหรุตด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“รอสักประเดี๋ยวเถิด ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุตรของเชษฐาข้า อย่าถือสาเขานักเลย”
พิลาสมยุราทำได้เพียงย่อตัวตอบรับ ทั้งที่ในใจนั้นเกลียดชังอนิลจนแทบอยากขับไล่ให้ออกจากฉิมพลี หากแต่ครุฑผู้นี้วางตัวดีในวิมาน แถมยังมิข้องแวะแก่สตรีนางใด องค์วิหรุตจึงโปรดปรานมิต่างจากบุตรแท้ๆ ของตน หากพูดถึงวิชาการศึกษา ก็ถือว่าเป็นตำรายุทธวิถีเดินได้กระมัง แถมกล่าวถึงการใช้พละกำลังแห่งวิหค ก็อาจจักเก่งทัดเทียมบุตรชายแท้ๆ แห่งราชันได้ นางจึงมิอาจแตะต้องอนิลได้แม้เพียงปลายเส้นขน
“ช่างมิรู้ความยิ่งนัก” ลลินพรตเอ่ยด้วยความขุ่นเคือง
แต่ก่อนที่เหล่าเครือญาติจะพากันอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ อนิลก็พลันปรากฏกายขึ้นที่ท้ายขบวน ในขณะที่ผู้อื่นแต่งกายด้วยอาภรณ์ทองคำกันถ้วนทั่ว เขากลับนุ่งอาภรณ์สีงาขาว ประดับเครื่องทอง เมื่อยืนหยัดท่ามกลางผู้สวมอาภรณ์ทองคำ จึงมิต่างจากแกะดำผู้ผิดแผก ทว่าเป็นความผิดแผกที่ทำให้ทุกสายตาจับจ้องด้วยความชื่นชมในรูปลักษณ์ที่สง่างามมิต่างจากผู้ที่มีสายเลือดกษัตริย์
“เจ้าสวมอาภรณ์ใดมา มิรู้หรอกหรือว่าชาวฉิมพลีสวมอาภรณ์สุวรรณกัน” ลลินพรตเอ็ด
“ข้าทราบดีพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วไยเจ้ามิสวมมาเล่า” เป็นพิลาสมยุราที่ซักไซ้ต่อ
“ขอประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมมิใช่ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ในราชวงศ์นี้ การสวมอาภรณ์สีงาขาว ถือเป็นการแสดงเจตจำนงโดยแท้ ถึงการมิหมายครองบัลลังก์พ่ะย่ะค่ะ”
การกล่าววาจาเช่นนั้นทำให้พิลาสมยุราและลลินพรตเชิดหน้าแสดงความยโสด้วยความชอบ แต่ผู้ที่มองครุฑหนุ่มด้วยความเอ็นดูกลับเป็นพระราชาองค์ปัจจุบันอย่างวิหรุต ที่รู้แจ้งแล้วว่าบัดนี้อนิลได้เลือกเส้นทางเดินของตนเอง ซึ่งต่างจากเขาในวัยหนุ่มที่อาจตัดสินใจอะไรผิดพลาดไป
“อย่ามัวเสียเวลาอีกเลย…” วิหรุตเอ่ยเสียงเรียบ
อนิลโค้งคำนับวิหรุต แล้วเดินไปประจำที่ของตน นั่นคือลำดับสุดท้ายถัดจากพระสนมกินรีทั้งสองของลลินพรต
“เคลื่อนขบวน”
“เคลื่อนขบวน!” เสียงสั่งการจากผู้บัญชาการความเรียบร้อยในขบวนเสด็จตะโกนก้องหลังได้รับสัญญาณจากวิหรุต พร้อมกันนั้นเครื่องคีตก็เริ่มบรรเลงเพลงขับขานดังระงม
ขบวนเสร็จตั้งแต่องค์วิหรุตซึ่งอยู่หัวขบวนจวบจนผู้ร่วมขบวนที่อยู่ท้ายแถวต่างถือโคมไฟที่ให้แสงสว่าง เมื่อพระราชาผู้ปกครองเริ่มออกเดินข้ามเวหาตรงสู่เกษียรสมุทรเบื้องลึก เหล่าผู้ติดตามจึงได้สาวท้าวตามไปมิห่าง
อนิลเรียกดอกบัวสุวรรณพรรณรายประดับเปลวเทียนของตนออกมาถือไว้ แสงสว่างจากดอกบัวนั้นทอประกายระเรื่อมิต่างจากความสุขที่เกิดขึ้นภายในใจของเขา พลันกลิ่นหอมของดอกบัวสุวรรณดอกนั้นกลับฟุ้งกำจายไปจนทั่ว ทำให้ผู้ที่อยู่โดยรอบกายาของเขาเหลียวมามองต้นตอของกลิ่นหอมนั้นกันถ้วนทั่ว
ไปสักการะองค์วิษณุเทพและพระแม่ลักษณมีเทวีกับข้าหนา…
ในใจเขายามนี้คิดถึงเพียงใบหน้าของเกล็ดมณีที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ยิ่งเมื่อนึกถึงคราที่นางดอมดมถุงหอมของเขา ยิ่งรู้สึกเหมือนในท้องมีเหล่าวิหคนับร้อยบินวนไปมา มันเป็นความรู้สึกที่เขาเองก็อธิบายมิถูก รู้เพียงว่านั่นคือความสุขที่สุดเท่าที่เขาเคยพานพบมา
การเดินทางผ่านห้วงเวหามายังเกษียรสมุทรมิต่างจากการย่างก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็ทะลุมายังอีกสถานที่หนึ่ง เบื้องลึกแห่งเกษียรสมุทรยามนี้มีโคมประดับเทียนลอยล่อยตามกระแสธาราเพื่อมอบแสงสว่างจนสว่างไสวไปทั่วบริเวณ ขบวนเสด็จน้อยใหญ่จากผู้ศรัทธาในองค์วิษณุเทพและพระแม่ลักษมีเทวีต่างหลั่งไหลมาจากถ้วนทั่วทุกดินแดน เพื่อร่วมถวายของสักการะบูชาและลอยดวงประทีปที่ตระเตรียมมา
เหนือลานสักการะขึ้นไป ปรากฏร่างบุรุษเลอลักษณ์เจ้าของผิวสีเข้ม ฉลององค์ประดุจกษัตริย์ด้วยอาภรณ์สุวรรณ สวมมงกุฎทอง สองกรด้านหลังข้างขวาถือจักร ข้างซ้ายถือสังข์ สองกรด้านหน้าข้างหนึ่งถือคฑาทองคำ ส่วนอีกข้างอยู่ในลักษณะวางแนบบนตัก
สตรีงามที่เคียงข้างมิเคยห่างกายองค์เทพสวมอาภรณ์สีกลีบบัว ประโคมเครื่องประดับทองคำวิจิตรเลิศล้ำ  สองกรด้านหลังถือดอกบัวข้างละหนึ่งดอก สองกรด้านหน้าข้างซ้ายถือกุณโฑทองคำที่บรรจุเหรียญทองไว้ด้านใน ทั้งสองประทับอยู่บนบัลลังก์ที่เกิดจากขดตัวของพญาอนันตนาคราช ที่แผ่พังพานชูเศียรทั้งเจ็ดคอยปกปักทั้งสองพระองค์มิห่าง
รูปลักษณ์ของทั้งสองพระองค์งดงามจนมิอาจหาคำใดๆ มาบรรยายให้เหมาะสมได้…
อนิลคิดในใจ ด้วยกระแสแห่งทิพย์ของเหล่าเทพและเทพีช่างสูงส่ง ละเอียดอ่อน และสุขุมนุ่มลึกในเวลาเดียวกัน โดยมากมักจำแลงกายให้ผู้บูชาเห็นในรูปลักษณ์ที่ดวงจิตของเหล่าผู้บูชานั้นๆ สามารถหยั่งถึงด้วยบุญญาวาสนาแห่งตน
“สิ่งของเหล่านี้ล้วนมอบเป็นเครื่องสักการะแด่พระองค์…” วิหรุตพร้อมด้วยเหล่าเครือญาติร่วมกันถวายทองคำเป็นจำนวนมากแด่องค์เทพและเทพี ซึ่งเพียงยิ้มและพยักหน้ารับ “ขอทั้งสองพระองค์จงชนะหมู่มารทั้งปวง และแผ่บารมีปกปักรักษาเหล่าข้าพระบาทตลอดไป”
หลังจากที่วิหรุตและครอบครัวถอยออกห่าง อนิลได้เนรมิตกระถางบัวทองคำประดับมณีรัตนะซึ่งเต็มไปด้วยดอกบัวสุวรรณพรรณรายที่เบ่งบานส่งกลิ่นหอมหวนไปทั่วเกษียรสมุทร เรียกสายตาจากแขกเหรื่อในงานให้เหลียวมาจับจ้องเป็นตาเดียว
เหล่าสาวกหยุดนิ่งมิต่างจากเพื่อให้มีเพียงหนึ่งสิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหว นั่นคือครุฑหนุ่มที่ย่างเท้าเข้าใกล้กับองค์เทพและเทพี ก่อนยอบกายถวายความเคารพ และส่งมอบกระถางทองคำใบนั้นขึ้นไปวางยังตั่งไม้สักสีดำที่อยู่มิไกลนัก
“ดอกบัวสุวรรณพรรณราย…” พระแม่ลักษมีเทวีเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่เหล่าสาวกเริ่มถวายเครื่องสักการะในวันนี้ เจ้าของเสียงหวานใสเสนาะหูรับรู้ได้โดยทันทีว่าบัดนี้เกล็ดมณีได้ปล่อยวางความทุกข์ระทมของนางได้แล้ว “เจ้ามีนามว่าอันใดเล่าลูกเอ๋ย”
“หม่อมฉันมีนามว่าอนิลพ่ะย่ะค่ะ” ครุฑหนุ่มตอบก่อนคุกเข่าลงที่พื้นทรายเบื้องหน้า
“ลุกขึ้นเถิ…”
เพียงรอยยิ้มที่ส่งมอบมา อนิลกลับรับรู้ได้ถึงกระแสทิพย์แห่งความกรุณาที่มอบให้ ถึงแม้จักมิรู้ว่าควรวางตัวอย่างไรต่อหน้าองค์วิษณุเทพและพระแม่ลักษมีเทวี แต่เมื่อเห็นว่าทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียวจึงได้แต่ทำตามคำสั่ง โดยการรีบลุกขึ้นยืนแต่ยังคงก้มหน้ามองยังเบื้องพระบาทของทั้งสองพระองค์
“ข้าพึงใจในบัวสุวรรณพรรณรายนี้ยิ่งนัก”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
ครุฑหนุ่มตอบรับก่อนโค้งคำนับแสดงความนอบน้อมอีกครา จากนั้นจึงล่าถอยออกจากลานถวายเครื่องสักการะ กลับมารวมตัวกับชาวฉิมพลีที่รออยู่มิไกลนัก
วิหรุตทอดสายตามองอนิลด้วยความชื่นชมอย่างเปี่ยมล้น ตรงข้ามกับลลินพรตและพิลาสมยุราที่มองมาด้วยความอิจฉาริษยา ทั้งสองต่างมิพอใจอย่างเห็นได้ชัดที่พระแม่ลักษมีเทวีแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าพึงใจในของขวัญที่อนิลส่งมอบ
“เจ้าไปได้ดอกบัวสุวรรณเหล่านั้นมาได้อย่างไร” พิลาสมยุราเอ่ยถามเสียงเข้ม
“ข้านำมันมาจากสระลึกลับแห่งหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“ไยเจ้ามิมอบมันให้เสด็จพ่อเป็นผู้ส่งมอบ...” ลลินพรตรีบเสริม หมายให้ผู้เป็นบิดาตำหนิครุฑหนุ่มกำพร้าตนนี้ “หรือเจ้าอยากเป็นที่โปรดปรานขององค์เทพแลเทพีแต่เพียงผู้เดียว จึงได้ปิดบังเรื่องนี้กับเสด็จพ่อของข้า”
“ข้ามิได้ประสงค์เช่นนั้น...” เขาเอ่ยกับญาติผู้พี่ด้วยมิคาดคิดมาก่อนว่าทั้งลลินพรตและพิลาสมยุราจักมีความคิดเช่นนี้ แต่เมื่อเหลียวไปสบเข้ากับนัยน์ตาคมประดุจเหยี่ยวของวิหรุต เขาจึงรีบคุกเข่าลงทันที “ข้ามิได้หมายเป็นที่โปรดปรานดังถูกกล่าวหา ขอเสด็จอาทรงพระราชทานอภัยด้วย”
“เจ้านี่สามหาวนัก!” ลลินพรตตวาดลั่น “ใครกล่าวหาเจ้า!”
“พอเถิด...” วิหรุตโบกมือคราหนึ่ง ทำให้อนิลค่อยๆ หยัดกายขึ้นยืนหลังตรงดังเดิม “เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ ข้ามิได้ขุ่นเคืองอันใดเจ้าหรอกหนา ดอกบัวเหล่านั้นเจ้าก็เป็นผู้เสาะหามา หากเจ้าจักได้รับความชื่นชมก็ย่อมถูกต้องแล้ว มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับข้า”
“สวามี...”
ยูงทองเห็นผู้เป็นสวามีมิต่อว่าอนิลจึงตั้งใจจะสุมไฟโทสะให้ลุกโชน แต่ก่อนที่นางจักได้กล่าวสิ่งใดออกมา ดวงตาของวิหรุตพลันเบิกโพลง เมื่อเห็นขบวนของสาวกที่เดินทางมาจากบาดาลนคร
รูปขบวนนั้นสวยงาม โดยต้นขบวนเป็นเหล่านาคีที่ร่ายรำมาเป็นทางยาว แต่ละนางสวมอาภรณ์มรกตประดับเครื่องทองงามสะพรั่ง ขณะที่เหล่านาคาสวมอาภรณ์สีครามเข้มประดับเครื่องเงิน ขณะที่กษัตริย์แห่งบาดาลนครสวมอาภรณ์สีมรกตเลื่อมสุวรรณ ประดับเครื่องทองสง่าสมกับฐานันดร
“ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ทั้งสอง เราเผ่านาคขอมอบอัญมณีจากบาดาลนครเหล่านี้แด่พระองค์ ขอพระองค์ทรงสุขเกษมสำราญตลอดกาลนานเทอญ”
ภูชาเคนทร์ถอยออกออกมาหลังจากถวายพระพรเสร็จ ปีนี้เป็นอีกปีที่พระองค์ทรงสอดส่ายสายตาเพื่อมองหาบุตรีอันเป็นที่รัก แต่สิ่งที่พระองค์ได้รับในทุกครากลับเป็นความว่างเปล่า เหล่าชายาของวิหรุตที่ตามมาร่วมเทศกาลดิวาลีล้วนมีแต่ชาวทิพยปักษา มิได้ปรากฏแม้เพียงเงาของเกล็ดมณีนาคี บุตรีอันเป็นที่รักของเผ่านาคมาหลายร้อยปีแล้ว ปีนี้จึงเป็นปีที่ราชานาคาตั้งใจว่าจักมิยอมรามือโดยง่าย
“องค์วิหรุต”
ภูชาเคนทร์ตรงเข้าหาพระราชาแห่งครุฑทันที ขณะที่วิหรุตเองก็รู้ดีว่าคำถามที่จักถูกถามคือเรื่องใด
“ว่าอย่างไรเล่าท่านภูชาเคนทร์” ภูชาเคนทร์นาคาอาวุโสกว่าตน ถือว่าวิหรุตยังคงให้เกียรติเขาอยู่ จึงได้เอ่ยขานคำนำหน้าเขาว่าท่าน
“ไยปีนี้จักเป็นอีกปีที่เกล็ดมณีมิได้มาร่วมสักการะองค์วิษณุเทพและพระแม่ลักษมีเทวีกันเล่า” คำถามนี้เป็นคำถามที่เขาถามราชาครุฑเมื่อได้พบหน้ากันในงานดิวาลีตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา
หลังจากที่ต้องไปจุติยังมนุษยภูมิ วิหรุตก็ได้รับรู้ถึงกรรมที่พิลาสมยุรากระทำ ในห้วงชีวิตที่เขาต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนางบนโลกมนุษย์มิได้ราบรื่นเท่าใดนัก นางถูกกลั่นแกล้งสารพัดทั้งที่ตนมิได้มีความผิด หนำซ้ำยังถูกทำร้ายทุบตี เขาซึ่งจุติไปครองคู่กับนางพลอยได้รับวิบากกรรมนั้นไปด้วย ทำให้เขารู้แจ้งแล้วว่าผู้ใดกันแน่คือผู้ที่เขาควรปกป้อง
เกล็ดมณีเป็นผู้บริสุทธิ์เสมอมา...
ครั้นเมื่อได้กลับมาเสวยสุขบนฉิมพลี ความทรงจำยามอยู่บนโลกมนุษย์ของพิลาสมยุราพลันสูญหายไปจนหมดสิ้น แต่เขากลับจดจำทุกอย่างได้ เดิมทีการลงไปจุติยังมนุษยภูมิมิต่างจากการลงไปรับกรรมที่กายทิพย์ได้พึงกระทำไว้ หรือเป็นการลงไปสั่งสมบุญบารมีให้เพิ่มพูนในชาติภพที่ต่างออกไป เขาตระหนักถึงความจริงทั้งสองข้อนี้ดี เพียงแต่ตลอดเจ็ดร้อยปีมานี้เขายังหาเกล็ดมณีมิพบ จึงมิอาจชดใช้ให้นางได้
“นางอยู่ในที่ที่ควรอยู่แล้วท่านภูชาเคนทร์”
“ที่ที่ควรอยู่...ท่านหมายความว่าอย่างไร”
อนิลที่ยืนอยู่เบื้องหลังของลลินพรตได้ยินการสนทนาทุกอย่าง แต่เขายังนิ่งงันเพื่อเก็บซ่อนความลับนั้นเอาไว้
“ท่านขับไล่นางจากฉิมพลีเช่นนั้นหรือ”
“มิใช่เช่นนั้น” วิหรุตปฏิเสธได้ไม่เต็มเสียงนัก
“นี่เป็นกลอุบายใดของท่านหรือ องค์วิหรุต...” น้ำเสียงของภูชาเคนทร์เย็นเยียบขึ้น มือทั้งสองข้างเริ่มกำแน่น ตลอดเจ็ดร้อยปีมานี้เขาเฝ้าถวิลหาบุตรีอันเป็นที่รัก แต่ก็มิอาจพบนางได้เพียงเพราะสัญญาสงบศึกของสองเผ่าพันธุ์ เขาจึงยอมฝืนความรู้สึกตนเอง เก็บงำความโหยหานั้นไว้ภายในรอเวลาที่จักได้มาพบนางในวันดิวาลี ซึ่งเหล่าสาวกจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาเพื่อสักการะแด่ผู้เป็นดั่งร่มไม้ใหญ่แผ่บารมีคุ้มครอง “หรือสัญญาสงบศึกเป็นเพียงคำลวง ท่านลอบสังหารบุตรีของข้าใช่หรือไม่!”
“นางยังมีชีวิตอยู่ แต่ข้าเองก็มิรู้ว่านางอยู่หนใด”
“องค์วิหรุต!” ภูชาเคนทร์คำรามก้อง แม้แต่อนันตนาคราชยังสัมผัสได้ถึงกระแสทิพย์แห่งวารีที่พร้อมจะพวยพุ่งออกมาทำลายบรรยากาศในกาลนี้ “เจ้าทำสิ่งใดกับบุตรีของข้า”
“อภัยให้ข้าด้วย” วิหรุตเอ่ยอย่างขมขื่น “ข้ามิได้รักนางแต่แรก จึงได้สูญเสียนางไป”
ห้วงความคิดของภูชาเคนทร์ดับวูบลงสู่ความมืดมิด เจ็ดร้อยปีมานี้ถึงแม้ทั้งสองเผ่ามิได้เข่นฆ่าหรือทำสงครามกันเช่นเมื่อก่อน แต่เผ่านาคก็ยังคงฝึกซ้อมการรบอยู่เนืองนิจ ความขุ่นเคืองใจจากการสูญเสียบุตรีอันเป็นที่รัก ซ้ำบัดนี้ยังมิอาจรู้ได้ว่านางไปตกระกำลำบากอยู่แห่งหนใด กลายเป็นโทสะที่มิได้ระเบิดออกมาให้เสียการใหญ่ต่อหน้าองค์เทพและเทพี แต่กระนั้นกระแสทิพยวารีเย็นเยียบที่ค่อยๆ กำจายออกมาจากร่างราชานาคาก็ทำให้เหล่าชาววิหคที่อยู่โดยรอบรับรู้ได้ถึงภัยเงียบที่พวกเขาอาจดับสิ้นลมหายใจโดยมิทันตั้งตัว
“เหล่าครุฑคงห่างสงครามมานาน...” คำพูดนั้นสร้างความตระหนกให้เหล่าราชวงศ์ของวิหรุตทุกตนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตัวของราชาครุฑเองที่มิคิดว่าภูชาเคนทร์จักรื้อฟื้นเรื่องนี้ ทั้งที่ทั้งสองเผ่าต่างอยู่กันอย่างสุขสงบมาหลายร้อยปี มิเคยมีเหตุการณ์ที่ทำให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสูญเสียจวบจนปัจจุบันกาล “ในวันสุริยฆาตที่จักเกิดขึ้นในอีกมิกี่วันข้างหน้า บนสนามรบเบื้องล่างแห่งฉิมพลี ข้าจักมาเด็ดปีกท่าน”
“ท่านพูดสิ่งใดออกมานางนาคีก็แค่...”
“หุบปากซะพิลาสมยุรา!” วิหรุตตวาดลั่น ขณะที่ภูชาเคนทร์จ้องพิลาสมยุรานิ่งจนร่างของนางสั่นเทาเพราะความเย็นที่แทรกซึมเข้ามา นัยน์ตาสีสุวรรณเริ่มแดงก่ำขึ้นจนคล้ายกับสีของหยาดโลหิต ทำให้ราชาครุฑรู้ว่าราชานาคาเบื้องหน้าพยายามข่มความโกรธาเอาไว้อย่างยากลำบากเพียงไร เพราะเพียงนัยน์ตาจับจ้องมาก็สามารถฆ่าเหล่าทิพยปักษาได้อย่างไม่ยากเย็น
“ท่านทบทวนดีแล้วหรือ”
“ความเจ็บปวดของบุตรีข้ามันเทียบมิได้กับการยุติศึก...” ยิ่งภูชาเคนทร์พูด วิหรุตยิ่งรู้สึกผิดกับสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป แต่ก็รู้ว่ามันยากที่จะแก้ไข “หากข้าเดามิผิด ท่านคงหลงเสน่ห์ยูงทองนางนี้จนทำร้ายจิตใจบุตรีของข้าใช่หรือไม่ เพราะหากเทียบตามบารมีแล้วบุตรีของข้าควรเป็นชายาเอกของท่านด้วยซ้ำไป”
“ข้ามิมีสิ่งใดจักแก้ตัว”
“ท่านมันก็แค่บุรุษมักมาก...”
ทุกคำพูดที่วิหรุตเคยกล่าววาจาทำร้ายจิตใจของเกล็ดมณี บัดนี้เขารับรู้ถึงความเจ็บปวดนั้นแล้ว น้ำเสียงเข้มของผู้ที่เอ่ยด้วยทีท่านิ่งงันคล้ายหอกแหลมที่เขามองไม่เห็น พุ่งเข้ามาเสียบแทงดวงหทัยของราชาครุฑจนแหลกสลายเกินเยียวยา
“หากอยากกกกอดกับยูงทองก็เชิญท่านหดหัวอยู่ในรวงรังของท่านต่อไปเถิด แต่ข้าจักมิยอมรามือเป็นแน่”
“เจ้าแก่นี่...กล้าดียังไงมากล่าววาจาเช่นนี้กับบิดามารดาของข้า เป็นแค่นาคาอย่าหมายเทียบชั้นกับพญาครุฑเยี่ยงเรา!”
แม้แต่ลลินพรตก็ยังทำให้วิหรุตขายหน้า จนเขาต้องตวัดสายตาปรามบุตรชายด้วยความพิโรธ แต่ลลินพรตกลับมิยอมจำนนแต่โดยดี เดินขึงขังออกมาเบื้องหน้าหมายยั่วโทสะภูชาเคนทร์มิหยุดหย่อน โดยที่หาได้รู้ไม่ว่าหากพลาดเพียงเสี้ยววินาที ร่างทิพย์ของตนอาจต้องมอดไหม้ด้วยพิษร้ายของพญานาคราชผู้มีอายุอยู่มาหลายพันปี
ภูชาเคนทร์จ้องมองบุรุษที่จัดได้ว่าเลอลักษณ์มิต่างจากบิดา แต่กิริยาช่างมิให้เกียรติแก่ผู้อาวุโสเช่นนี้ ทำให้เขาถึงกับเผยยิ้มเย้ยหยัน มิได้รู้สึกรู้สาต่อคำสบประมาท ซ้ำยังยิ้มเยาะชอบใจในความผิดพลาดของบิดาเสียอีกที่มิสามารถอบรมบุตรชาย ซึ่งเป็นทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์ฉิมพลีจากตนให้สุขุมเยือกเย็นซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เหล่ากษัตริย์พึงมี
“เป็นบุญของท่านโดยแท้องค์วิหรุต...ที่อบรมบุตรชายได้ดีถึงเพียงนี้ กล้าหาญ...แต่น่าเสียดายปากยังมิสิ้นกลิ่นน้ำนม”
ลลินพรตพุ่งเข้าใส่ภูชาเคนทร์ทันที วิหรุตพยายามเคลื่อนกายมาจับบุตรชายของตนไว้ แต่อีกฝ่ายแคล่วคล่องว่องไวกว่า ภูชาเคนทร์ยืนหยัดนิ่ง ดูว่าครุฑหนุ่มเลือดร้อนตนนี้จักทำอันใดตนได้ ลลินพรตเรียกกรงเล็บคมให้โผล่ออกจากปลายนิ้วทั้งสิบ หมายจิกลงบนเรือนร่างกำยำของราชานาคา แต่ก่อนที่จักได้ทำอย่างใจคิด ผู้สวมอาภรณ์สีงาขาวเพียงหนึ่งเดียวในหมู่ชาววิหคกลับโผล่มาขวางเอาไว้
เจ้าอีกแล้วหรืออนิล...
ด้วยมิชอบหน้าญาติผู้น้องอยู่แล้ว เขาจึงหมายที่จะทำร้ายอนิลไปด้วย กรงเล็บแหลมคมกางออกพร้อมทั้งจิตที่มุ่งมั่นมาดร้าย พุ่งทะยานเข้าหาอนิลในทันที อนิลยืนหยัดมั่นคงเตรียมตั้งรับ เขาสามารถหลบการโจมตีของญาติผู้พี่ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่เบี่ยงตัวหลบ มือหนาจับข้อมือข้างหนึ่งของญาติผู้พี่เอาไว้มั่น ก่อนออกแรงเหวี่ยงลลินพรตกลับไปหาวิหรุตซึ่งรีบคว้าบุตรชายแล้วล็อกตัวเอาไว้ทันที ภูชาเคนทร์มองแผ่นหลังแกร่งของอนิลด้วยความชื่นชม ลักษณะแบบนี้เหมาะสมคู่ควรกับการที่จะได้เป็นกษัตริย์องค์ถัดไปแห่งบัลลังก์ครุฑ ทั้งสงบ เยือกเย็น และเปี่ยมด้วยความน่าเคารพยำเกรง แต่ดูจากอาภรณ์ที่ผิดแผกไปจากเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่สวมใส่มา ก็ทำให้ราชานาคารับรู้ได้ถึงการมิขอข้องเกี่ยวใดๆ กับการนั่งบัลลังก์ของราชวงศ์นี้
“เจ้าอยากตายหรืออย่างไร!” ลลินพรตตวาดอนิลอย่างมิเกรงสายตาของผู้เดินทางมาร่วมเทศกาลดิวาลียามนี้
“ข้าเคยพบนาง...” คำพูดนั้นทำให้ทั้งวิหรุตและภูชาเคนทร์จ้องไปที่อนิลเป็นตาเดียว มิต่างจากเขาเพิ่งบอกที่ซ่อนของล้ำค่าแก่ทั้งสองเผ่าพันธุ์ ที่ต่างก็เดินทางตามหาสิ่งนั้นมากว่าเจ็ดร้อยปี “นางยังคงอยู่เป็นสุขดี ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังทิพย์แสนบริสุทธิ์”
“รู้ใช่หรือไม่ว่าโทษของการพูดปดเป็นเช่นไร” ภูชาเคนทร์เอ่ยเสียงเรียบ
“ท่านสามารถสัมผัสกระแสทิพย์ของนางได้จากสิ่งนี้...”
อนิลจำใจต้องยุติการวิวาทที่เกิดขึ้น เขาแบมือออกไปข้างหน้า ก่อนดอกบัวสุวรรณพรรณรายประดับเปลวเทียนที่ถูกจุดขึ้นจากกระแสทิพย์ของเกล็ดมณีจักปรากฏออกมา ทุกคนต่างมองบัวดอกนั้นด้วยความฉงน โดยหาได้รู้ไม่ว่าทุกการกระทำของอนิล ล้วนอยู่ภายใต้สายพระเนตรแห่งพระแม่ลักษมีเทวีตั้งแต่ต้น
“ดอกบัวสุวรรณพรรณรายนี้กำเนิดในสถานที่ที่นางบำเพ็ญเพียรอยู่ และเปลวเทียนนี้นางก็เป็นผู้ใช้กระแสทิพย์จุดขึ้นมา”
ราชานาคายื่นมือมาสัมผัสเปลวเทียนที่ให้ความเย็นเยียบแห่งกระแสวารี ความคิดถึงที่ซุกซ่อนอยู่ภายในอกแทบกลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำตา แต่ก็ต้องอดทนฝืนข่มมันเอาไว้ ด้วยมิต้องการให้ผู้ใดได้ยลหยาดน้ำใสๆ ที่ไหลออกจากนัยน์ตาสีแดงฉาน ยามเมื่อสัมผัสได้ถึงกระแสทิพย์ของเกล็ดมณีตามที่อนิลกล่าวอ้าง นัยน์ตากร้าวพลันสงบลงและแปรเปลี่ยนเป็นสีสุวรรณดังเดิม
ลูกรักของพ่อ...
ภูชาเคนทร์ลดมือลงพร้อมทั้งจ้องเข้าไปในดวงตาซื่อสัตย์ของผู้ที่ยามนี้ทำหน้าที่มิต่างจากบุรุษผู้ทรงธรรม อนิลหมายยุติสงครามที่ภูชาเคนทร์เพิ่งประกาศออกไป แต่ดูเหมือนว่าราชานาคาจักมิยอมโดยง่าย ถึงจักรับรู้แล้วว่าบุตรีนั้นปลอดภัยจากเงื้อมมือของราชาครุฑก็ตาม
“เกล็ดมณีนาคี!” เสียงใสก้องกังวานไปจนทั่วทั้งเกษียรสมุทร แต่ดูเหมือนว่าผู้ที่ได้สดับจะมีเพียงเผ่าครุฑและนาคเท่านั้น เพราะเหล่าผู้มาร่วมสักการะองค์เทพและเทพียังคงหลั่งไหลมามิขาดสาย เหมือนมิได้รับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
อนิลเหลียวไปมองพระแม่ลักษมีเทวีที่เอ่ยนามของผู้ที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันของสองเผ่าพันธุ์
“กลับมาเถิดลูกเอ๋ย”
เบื้องหน้าของภูชาเคนทร์พลันปรากฏละอองทิพย์มรกต ก่อนจะเปลี่ยนเป็นร่างของสตรีงามที่เขาถวิลหากว่าเจ็ดร้อยปี ร่างบางในอาภรณ์สีงาขาวงดงามราวเทพธิดา ประดับกายด้วยเครื่องทองครบองค์ มีนาคีรับใช้ที่สวมอาภรณ์สีมรกตประดับด้วยเครื่องเงินตามติดมิห่างกาย นาคีทั้งสองพนมมือยกขึ้นเหนือศีรษะเพื่อกราบกรานแด่องค์เทพและเทพีผู้ที่ตนเคารพเทิดทูน
“เสด็จพ่อ” เกล็ดมณีโผเข้าสวมกอดผู้เป็นบิดาด้วยความรักใคร่และโหยหา
“ลูกรัก...” ภูชาเคนทร์ดีใจจนกลั้นน้ำตาเอาไว้มิได้ “ลูกรักของบิดา เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา”
อนิลจ้องมองภาพเบื้องหน้าพร้อมรอยยิ้ม
วิหรุตสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เขามิเคยรู้มาก่อนว่าอนิลรู้จักกับเกล็ดมณีนาคี ทั้งสองไปทำความรู้จักกันได้อย่างไร แต่การแต่งกายด้วยอาภรณ์สีงาขาวของทั้งคู่ให้ความรู้สึกคล้ายกับว่าพวกเขาได้เข้าพิธีวิวาห์กันมาก่อนแล้ว เพราะยิ่งมองก็ยิ่งดูเหมาะสมกันมิต่างจากกิ่งทองตระหง่านประดับใบหยกแสนโสภา ทอประกายเป็นละอองมณีหลากสีสัน
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไยกว่าเจ็ดร้อยปีมานี้บิดาจึงมิรู้ข่าวคราวเจ้า”
“ลูกได้รับพระเมตตาจากพระแม่ลักษมีเทวี ให้พำนักอยู่ ณ วิมานใต้สระบัวลึกลับเพื่อบำเพ็ญเพียรเพคะ”
“บำเพ็ญเพียรหรือ...” ภูชาเคนทร์สับสนกับเรื่องราวที่บุตรีเล่า ใบหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยความสุขจนเขาอยากให้ผู้เป็นมารดาที่ขังตนเองอยู่ในวังบาดาล บำเพ็ญเพียรอย่างแน่วแน่เพื่อขอพรจากพระเม่ลักษมีเทวีให้บุตรีปลอดภัย จนมิเป็นอันกินอันนอนของนาง ได้พบหน้ากันสักครั้ง “แต่เจ้าเสกสมรสกับองค์วิหรุตไปแล้วมิใช่หรือ ไยเจ้าจึงต้องไปบำเพ็ญเพียรเล่า”
“เพราะเหตุการณ์บางประการ ทำให้ลูกได้สร้างกรรมขึ้น...” นางเลี่ยงที่จะตอบตามตรง แล้วหันไปส่งยิ้มให้อนิลที่ยืนอยู่เบื้องหลัง “เดิมทีองค์อนันตนาคราชเทพบิดรแห่งปวงนาคจักลงโทษลูกให้ไปเกิดเป็นเดรัจฉานเพื่อชดใช้กรรม แต่พระแม่ทรงเมตตาช่วยให้ลูกไก้บำเพ็ญเพียรเพื่อสั่งสมบารมีแทนเพคะ”
ราชานาคาสวมกอดบุตรีอีกครั้งอย่างแสนคิดถึง แต่เมื่อเห็นว่าครุฑหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้ามองมาด้วยรอยยิ้มภูมิใจ ทำให้ภูชาเคนทร์พลันฉุกคิดถึงการแต่งกายของบุตรีที่เป็นสีงาขาวเช่นเดียวกับครุฑหนุ่มที่ห้ามศึกเมื่อครู่ มิหนำซ้ำนางยังมอบดอกบัวสุวรรณประดับเปลวเทียนที่จุดจากกระแสทิพย์ของนางเพื่อให้เขามาลอยเคียงคู่กันที่เกษียรสมุทรแห่งนี้อีก การกระทำดังกล่าวหากมิใช่ผู้ที่มีพันธะเกี่ยวพันลึกซึ้ง ก็หมายรวมถึงการมอบใจให้กันโดยมิได้เอ่ยปาก ข้อสรุปนั้นทำให้ภูชาเคนทร์สามารถเผยยิ้มออกมาได้
"เจ็ดร้อยปีมานี้เจ้าคงลำบากมิใช่น้อยใช่หรือไม่”
“ลูกอยู่ ณ ที่แห่งนั้น สุขสงบดีเพคะ”
“กลับไปอยู่กับบิดาดีหรือไม่ ถึงแม้ฉิมพลีจักมิต้อนรับเจ้า...” ในน้ำเสียงนั้นยังคงแฝงด้วยความเคืองขุ่น “แต่วังบาดาลยินดีต้อนรับเจ้าเสมอ”
“แล้วสัญญาเล่าเพคะ”
“สัญญาถูกยกเลิก...” ภูชาเคนทร์เค้นเสียงที่บ่งบอกถึงความพิโรธอย่างเห็นได้ชัด “สัญญานั้นถูกยกเลิกตั้งแต่ที่เจ้ามิได้อยู่ที่ฉิมพลีแล้วละ”
“เสด็จพ่อ โปรดทรงระงับโทสะก่อนเพคะ”
“จักให้บิดายอมรามือให้แก่ผู้ที่ทำให้บุตรีของข้าต้องถูกทำโทษ จนเกือบต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้อย่างไร”
“พวกเขาเหล่านั้นต่างได้รับผลกรรมที่พึงได้รับแล้ว...” เกล็ดมณีเหลียวไปมองวิหรุต ครุฑหนุ่มที่นางเคยมอบดวงหทัยให้เขาดูแล แต่เขากลับมิแยแสแม้เพียงชายตา “หากเขารู้สึกผิดในยามนี้ อดีตเหล่านั้นก็มิอาจย้อนกลับมาได้ เขาควรเรียนรู้ที่จะแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวของเขาเองเพคะ”
คำพูดเหล่านั้นมิต่างจากการชี้ทางออกที่ดีให้วิหรุต ตรงข้ามกับพิลาสมยุรา คำพูดคำจาที่เกล็ดมณีเอื้อนเอ่ยมิต่างจากการด่าทอเสียดสี นางเจ็บช้ำในหัวใจมากขึ้นไปอีกที่เห็นว่าเกล็ดมณีมีความสุขเพียงไร นางหมายให้นาคีนางนี้ได้ไปเกิดเป็นเดรัจฉาน ส่วนนางจะเป็นผู้ที่เข่นฆ่าเดรัจฉานตัวนั้นซ้ำไปซ้ำมา
ตลอดช่วงเวลาเหล่านั้น ลลินพรตที่อยู่ในอ้อมแขนของบิดาที่พันธนาการเขาเอาไว้ โดยหมายให้ระงับความอยากมีเรื่องกับผู้ที่อาวุโสกว่า กลับจับจ้องไปยังนาคีเจ้าของใบหน้าสะคราญที่เพิ่งปรากฏกาย
งดงามเหลือเกิน ไยจึงงดงามถึงเพียงนี้...
ลลินพรตหลงรักนางตั้งแต่แรกเห็นจนหยุดท่าทางขัดขืนและนิ่งงันอยู่ในพันธนาการของบิดา ในสายตาของเขาบัดนี้ เกล็ดมณีมิต่างจากเทพอัปสรที่จำแลงกายมาอยู่เบื้องหน้า เขาอยากเดินเข้าไปเชยชมนางใกล้ๆ แต่ก็มิอาจกระทำการอันใดได้หลังจากที่ตนเองผลีผลามวู่วามไปเมื่อก่อนหน้านี้จนถูกบิดาจับล็อกไว้จนบัดนี้
“สบายดีหรือไม่ศรีวิตรี” เกล็ดมณีเอื้อนเอ่ย
“ตามอัตภาพเพคะ...” ศรีวิตรีเอ่ยอย่างมีนัย “บางอย่างก็มิเปลี่ยนไปเลย”
เพียงเท่านั้น เกล็ดมณีก็รับรู้ได้ว่าพิลาสมยุรายังคงมิยอมอ่อนข้อให้ศรีวิตรี และยังคงความร้ายกาจดังเช่นเมื่อก่อน นางสงสารกินรีผู้นี้มิต่างจากที่บิดาของนางห่วงใยนางเช่นกัน แต่นางได้ออกมาจากราชวงศ์แห่งองค์วิหรุตแล้ว นางจึงมิอาจยุ่งเกี่ยวสิ่งใดได้อีก
“เสด็จพ่อเพคะ ราตรีแห่งดิวาลีนี้ถือเป็นบุญของลูกที่ได้ลอยประทีปพร้อมกับพระองค์”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้ารีรอสิ่งใดอยู่กันเล่า”
“อนิล...” นางเอ่ยเรียกผู้ที่ยังคงยืนถือดอกบัวสุวรรณประดับแสงประทีปของนางไว้นิ่ง “เจ้าจักรังเกียจหรือไม่ หากได้ลอยพระประทีปร่วมกับเสด็จพ่อของข้า”
“หากพระองค์ทรงพระกรุณา ก็นับว่าข้านั้นมีวาสนายิ่งแล้วกระมัง”
“มาเถิด” ราชานาคาพยักหน้าตอบรับ
“ศรีวิตรี เจ้าอยากไปกับข้าหรือไม่” เกล็ดมณีเอ่ยชวน
ศรีวิตรีดีใจจนออกนอกหน้า นางมิได้ขออนุญาตผู้ใด แต่แยกตัวออกจากเผ่าวิหคมาหาเกล็ดมณีด้วยความสนิทสนม เกล็ดมณีสวมกอดนางด้วยความคิดถึง รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่ทิ้งให้กินรีแสนอาภัพผู้นี้ต้องใช้ชีวิตบนฉิมพลีด้วยตัวคนเดียว ท่ามกลางดงเสือดงตะเข้ที่จ้องทำร้ายนางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
“พระนางยังทรงสิริโฉมงดงามเช่นเดิมเลยนะเพคะ”
“ปากหวานเสียจริง ดูเจ้าสิ...” เกล็ดมณีมองสำรวจร่างสูงระหงส์ของนางกินรีด้วยความเอ็นดู บัดนี้นางโตขึ้นเป็นสาวสะพรั่ง แถมยังงามล้ำกว่าเมื่อก่อนมากโข ยิ่งแลยิ่งสำราญใจ “เจ้าโตขึ้นเป็นสาวงามเพียงนี้ น่าเสียดายที่ยังต้องอยู่ที่นั่น” ทั้งสองสนทนากันโดยมีอนิลเดินตามอยู่เบื้องหลัง
เมื่อออกเดินปะปนไปกับเหล่านาคา วิหรุตก็รู้แล้วว่าตอนนี้ตนมิอยู่ในสายตาของเกล็ดมณีอีกต่อไป ต่อให้เขาจักอยากคุกเข่าวิงวอนเพื่อขอรับการอภัยจากนางมากแค่ไหน นางก็คงมิชายตาแลเขาเสียด้วยซ้ำ
ข้าทำตัวของข้าเอง ไยข้าต้องรู้สึกเจ็บปวดถึงเพียงนี้...
บัดนี้ทั้งวิหรุตและพิลาสมยุรามิต่างจากอากาศธาตุไร้ซึ่งตัวตน ถึงแม้นางจะเห็นเขายืนอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยพยานรักอีกหนึ่งตน นางยังมิทักทายเขาสักคำ ท่าทีของนางมิต่างจากผู้ที่หลุดพ้นแล้วจากความทุกข์ระทม ใบหน้าของราชาครุฑจึงหมองหม่นลง เพราะยามนี้นางสุขสมได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเขาอีกต่อไป
“สมกับเป็นอสรพิษเสียจริงๆ เลยนะเพคะ เมื่อคิดถึงเรื่องในอดีต หม่อมฉันก็ยังคงหวาดกลัวอยู่จนถึงทุกวันนี้”
วิหรุตหันไปมองพิลาสมยุราที่จนบัดนี้ก็ยังมิหยุดเล่นละคร ภายหลังกลับจากโลกมนุษย์เขาก็รู้ว่านางเป็นอย่างไร ศรีวิตรีต้องเจ็บตัวเพราะเขาไปค้างกับนาง เขาจึงตัดปัญหาด้วยการมิค้างกับผู้ใดหลังจากที่พิลาสมยุราตั้งครรภ์ เพื่อมิให้เกิดปัญหาจากความมักมากสมัยที่ตนยังคึกคะนอง และดูแลศรีวิตรีเป็นอย่างดีดังเช่นที่สมควรทำตั้งแต่ก่อนหน้านี้
ความผิดบาปของข้า จักได้รับการอภัยหรือไม่...
เขาเพียรคิดก่อนปล่อยบุตรชายเป็นอิสระ ทำให้ลลินพรตรีบหยัดกายตรง วางมาดสง่างามสมดังเชื้อพระวงศ์ ก่อนเหลียวมองแผ่นหลังบางที่สาวเท้าเดินห่างออกไปกับศรีวิตรีกินรี โดยมีนาคีรับใช้เดินตามหลังมิห่าง
“พวกเราไปลอยประทีปกันเถิดเพคะ พระองค์หาต้องสนใจพวกนางไม่”
ยูงทองเดินมาจับมือพระสวามีให้ออกเดินตามนางไป แต่ยังมิวายหันไปส่งสายตาดุดันใส่พระชายากินรีทั้งสองของบุตรชายให้รีบพาเขาออกเดินตามมาโดยเร็ว พวกนางทั้งสองจึงจำใจต้องรั้งแขนแกร่งให้ออกเดินตามไปโดยเร็ว เพราะเกรงจะโดนอาญาหากขัดคำสั่งของยูงทอง
เป็นเช่นเจ้าว่าเสียจริงศรีวิตรี...
บางอย่างก็มิเปลี่ยนไปเลย...
วิหรุตในยามนี้มิต่างจากผู้ที่สูญสิ้นแล้วซึ่งความสุขสม เพราะความรู้สึกผิดที่ก่อตัวขึ้นในใจ ไหนจะคำท้ารบจากเผ่านาคที่เขาเป็นฝ่ายทำเสียเรื่องเอง หากจะต้องเสียเลือดเสียเนื้อในครั้งนี้ ทั้งหมดล้วนเกิดจากเขาเป็นต้นเหตุทั้งสิ้น
“จงเรียนรู้จากความผิดพลาดเถิดหนาลูกเอ๋ย...” สุรเสียงพิเราะกังวานดังมาจากเบื้องหลัง ทำให้วิหรุตเหลียวไปมองใบหน้าของผู้ที่เขาเคารพดุจพระมารดา ซึ่งนั่งตระหง่านเคียงคู่องค์วิษณุเทพ “หากสิ่งใดจะเกิด ก็จำเป็นต้องปล่อยให้เกิดขึ้น เพื่อที่จักต้องเรียนรู้และแก้ไขไปให้ถูกทิศถูกทาง”
พ่ะย่ะค่ะ...พระแม่

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น