7

กาลเวลาพิสูจน์รัก

กาลเวลาพิสูจน์รัก

 

สายลมเย็นพัดพลิ้วท่ามกลางหมู่เมฆาดำมืด สีทันดรยามนี้มิต่างจากทะเลน้ำนมอันเงียบเหงา เกล็ดมณีนั่งอยู่บนหาดทรายขาวสะอาด พลันนึกถึงคราแรกที่ปลายเท้าย่างเหยียบลงบนความละเอียดนุ่มนวล ครานั้นเป็นเพียงคราแรกและคราเดียว...ยามเมื่อต้องส่งตัวเจ้าสาวเมื่อหลายร้อยปีก่อน คิดถึงทีไรก็ล้วนปรากฏใบหน้าของผู้เป็นบิดรมารดามาให้หวนคำนึง ถึงแม้เพลานี้หลายสรรพสิ่งจักยังหลับใหล แต่การได้มานั่งมองแสงแรกแห่งอรุณรุ่งขึ้นที่นี่ เป็นหนึ่งในสิ่งที่นางอยากกระทำกับผู้ใดก็ตามที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างนางตลอดไป

“ข้ามิคิดว่าเจ้าจักมาถึงก่อนข้า” เสียงกระพือปีกดังขึ้นพร้อมกับเสียงของผู้ที่นางถวิลหา

“เจ้ามาช้า”

“ข้าขออภัยเจ้าด้วย...” เขาสาวเท้าเข้ามานั่งบนโขดหินก้อนใหญ่ข้างๆ นาง “เมื่อคืนข้านอนมิค่อยหลับ อาจเพราะตื่นเต้นกระมังที่จะได้มาสถานที่แห่งนี้กับเจ้า”

“ในสายตาเจ้าสีทันดรเดิมทีก็มิต่างจากทะเลน้ำนมทั่วไปหรอกหรือ”

“เมื่อก่อนน่ะใช่...” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว “แต่ตอนนี้ผิดแผกไปจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง”

เกล็ดมณีอมยิ้มอย่างพอใจในคำตอบที่นางได้รับ ความเงียบสงบของทั้งคู่ถูกแทนที่ด้วยเสียงเกลียวคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง สีทันดรที่เงียบเหงายามนี้กลับคล้ายได้รับการเติมเต็ม สองดวงหทัยที่ส่งเสียงกู่ก้องหากัน สามารถแปรเปลี่ยนให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่แห่งความสุขสมได้โดยง่าย

อนิลในยามนี้สวมอาภรณ์สีเงินยวงเช่นเดียวกับนาง ผิวขาวรับกับสังวาลทองคำที่พาดเฉวียงบ่า ภายใต้อาภรณ์เป็นกล้ามเนื้อได้รูปสวยทั้งไหล่ อก และหน้าท้อง บุรุษและสตรีที่เพียบพร้อมด้วยหน้าตาและรูปลักษณ์เช่นนี้ หากมีผู้ใดพานพบว่ามาอยู่ในสถานที่ที่มิค่อยมีผู้ใดโคจรผ่านไปมาเช่นนี้ล้วนถูกมองมิงาม

แต่บัดนี้ข้าหาได้สนใจในข้อครหาเหล่านั้นไม่...

เมื่อพระสุริยาทิตย์เริ่มทำหน้าที่ของพระองค์ แสงสุวรรณพลันทาบทับไปทั่วแผ่นฟ้า แสงสว่างส่องสะท้อนกับผืนทะเลสีน้ำนมพรรณรายตามเกลียวคลื่นที่ซัดสาด มัจฉาหลายตัวกระโดดขึ้นเหนือผิวน้ำเพื่อรับสายลมเย็นยามเช้าด้วยความสดชื่น เงือกสะคราญกลุ่มหนึ่งว่ายน้ำเล่นกับเหล่ามัจฉาอย่างรักใคร่ชิดเชื้อ แต่ต่างก็มิได้สนใจชาวทิพย์ทั้งสองที่นั่งทอดสายตามองแสงสุวรรณ ณ เส้นขอบฟ้าเคียงคู่กัน

ที่แห่งนี้ถือได้ว่าเป็นสถานที่วิวาห์ของนางกับวิหรุต  โดยมีเพียงภูชาเคนทร์และบุษปามาส่งตัว เพราะเมื่อกลับขึ้นไปที่ฉิมพลีก็มิได้มีการจัดงานเสกสมรสให้โอ่อ่าสมฐานะดังที่นางคาดหมายแต่อย่างใด มิได้ต่างจากการเสกสมรสกำมะลอ เพียงเพื่อหลอกตาชาวประชาโดยทั่ว

อย่างที่คิดมามิผิดหรอก หากมิคาดหวังสิ่งใด…ก็จักมิเจ็บปวด

สรรพสิ่งโดยรอบแสนวิเศษและสุขสมมิต่างจากคราที่นางได้มอบใจให้วิหรุต บุรุษหนุ่มที่นั่งอยู่เคียงข้างนางบัดนี้เอาแต่จับจ้องใบหน้างามจับตายามต้องแสงสุริยา เกล็ดมณีรู้ดีถึงความในใจที่อนิลหมายเอื้อนเอ่ยให้นางได้รับรู้ แต่สำหรับนาง นางอยากให้เวลาเป็นเครื่องทดสอบทั้งนางและเขาให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย

“ใบหน้าข้ามีสิ่งใดติดอยู่หรือ” ถึงแม้นางจะจ้องนัยน์ตาซุกซนนั้นกลับไป เขาก็ยังมิละสายตาจากนางแม้เพียงน้อย นางจึงอดที่จะไต่ถามออกไปมิได้

“ข้าเพียงแค่สงสัย”

“สงสัยสิ่งใด”

“ไยเจ้าจึงครองพรหมจรรย์มานานกว่าเจ็ดร้อยปี…” ในน้ำเสียงนั้นแฝงความหนักแน่นจนทำให้เกล็ดมณีหวั่นใจ ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มแต้มมิขาดกลับฉายแววจริงจังอย่างเห็นได้ชัด “เจ้าเป็นผู้ถือครองพรหมจรรย์ หรือเป็นเพราะเจ้ายังมิพบผู้ที่คู่ควรกับเจ้ากันแน่”

“มีเรื่องราวอีกหลายอย่างที่มิได้เป็นที่เปิดเผยมากเท่าใดนัก”

“แสดงว่าข้าคงมิคู่ควรที่จักรู้สินะ” เขาเสมองไปทางอื่น พร้อมความเศร้าสลดที่ปรากฏบนใบหน้าเลอลักษณ์ บ่งบอกว่าผิดหวังเพียงใดจากคำตอบที่ได้รับจากนาง

“อนิล…” เกล็ดมณีเอ่ยเรียกเสียงแผ่ว

เมื่อบุรุษเจ้าของนามที่ถูกเรียกขานหันกลับมามองช นางจึงกลายร่างเป็นนาคีเกล็ดแก้วมรกต ซึ่งเปล่งประกายสวยสดของอัญมณีหลากสียามต้องแสงสุริยา  ครุฑหนุ่มมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง ทว่ามิได้จำแลงกายสู่ร่างเดิมของตน เขาเอื้อมมือไปสัมผัสเกล็ดสีสวยเหล่านั้นอย่างลืมตัว เพราะเกิดหลังสงครามครุฑนาคจึงมิได้มีโอกาสพบเห็นนาคีอย่างใกล้ชิดแบบนี้ เมื่อไล่มองไปจนถึงส่วนเศียรนาคีที่มีหงอนสีทอกสุกปลั่ง นัยน์ตาฉายแสงสุวรรณมิได้ดูดุร้าย แม้ที่ริมฝีปากจะมีเขี้ยวยาวตามรูปลักษณ์แห่งนาคี แต่กลับมิได้สร้างความหวาดกลัวให้แก่เขา

“เกล็ดของเจ้าช่างงดงามเสียจริง”

“นี่คือร่างที่แท้จริงของข้า มิใช่ร่างทิพย์เหมือนที่เจ้าเคยเห็น ชาววิหคเยี่ยงพวกเจ้ามิพึงใจในรูปลักษณ์นี้เท่าใดนัก เมื่อเจ้าได้เห็นรูปลักษณ์แท้จริงเช่นนี้แล้ว เจ้ายังพึงใจที่จะเคียงข้างข้าอีกหรือ”

“ข้ามิได้พึงใจในเจ้าเพราะร่างทิพย์ของเจ้า…” เขาลูบมือไปตามเกล็ดที่เปล่งประกายประดุจของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งจากทั่วทุกภูมิ “ข้ารู้สึกเช่นไรกับเจ้าในวันแรก จนบัดนี้ถึงกายเจ้าจักเปลี่ยนไป มันก็มิได้ทำให้ความรู้สึกนั้นของข้าลดน้อยลงไปหรอกหนา”

ร่างนาคีพลันกลับสู่ร่างทิพย์ดังเดิม มือหนาที่วางทาบบนเกล็ดแก้วมรกตก่อนหน้านี้กลายเป็นทาบอยู่บนแก้มเนียน ซึ่งซับสีแดงระเรื่อบ่งบอกถึงความรู้สึกที่อยู่เบื้องลึก การสัมผัสกันเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกวูบวาบไปทั้งร่าง ในอุระมิต่างจากมีเปลวร้อนแห่งลาวาพร้อมพวยพุ่งออกมา แถมร่างกายของนางยังโหยหาความอบอุ่นจากเขา ย่นระยะห่างระหว่างกันเข้ามาจนมิมีสิ่งใดขวางกั้นได้อีก

คงถึงเวลาแล้วกระมัง…

เกล็ดมณีมิปฏิเสธความรู้สึกตัวเองอีกต่อไป นางขยับเข้าไปใกล้อนิลมากยิ่งขึ้น เอนศีรษะเข้าไปแนบแก้มบนหน้าอกแกร่ง นิ่งฟังสำเนียงที่เต้นเร่าของดวงทหัยภายใต้กายากำยำมิต่างจากตน ความอบอุ่นจากกายเขาแผ่ซ่านผ่านแก้มนวลมาจนรู้สึกร้อนวูบวาบ สำเนียงแห่งห้วงหทัยนั้นเต้นมิเป็นจังหวะ แถมทีท่าเก้กังของเขาก็บ่งบอกว่าเขามิกล้าล่วงเกินนางแม้เพียงน้อย ถึงแม้จะเป็นนางที่เข้าใกล้เขาก่อนก็ตาม

“หากข้ามีเรื่องอยากบอกเจ้า เจ้าจักยอมรับฟังข้าหรือไม่” สำเนียงหวานดังขึ้นแผ่วเบา

“เจ้ามีสิ่งใดก็ว่ามาเถิด”

เกล็ดมณีผละออกห่างจากอกแกร่ง ทอดสายตามองใบหน้าของอนิลที่ถึงแม้จะยังวางท่าเรียบเฉย แต่ใบหูทั้งสองข้างซับสีแดงเรื่ออย่างเห็นได้ชัด นางรับรู้เหตุผลของการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นก่อนเอื้อมมือไปกอบกุมมือหนาของอีกฝ่าย เพียงพริบตาร่างของพวกเขาทั้งคู่พลันหายวับไปกับตา ก่อนปรากฏกายยังวิมานเล็กๆ ท้ายวิมานหลักแห่งฉิมพลี

“ที่นี่มัน…”เสียงทุ้มนุ่มหลุดออกมาจากริมฝีปากหนาอย่างเผลอไผล

“ที่นี่ทรุดโทรมไปมาก” เกล็ดมณีกวาดสายตาไปโดยรอบ

วิมานท้ายฉิมพลีแห่งนี้เคยเป็นที่พำนักของนางเมื่อครั้งเสกสมรสเข้ามา สวนหน้าวิมานที่เคยสวยงามด้วยสระบัวตอนนี้กลับแห้งผาก เห็นเพียงซากกอบัวที่ตอนนี้มีสภาพมิต่างจากสวะที่มิได้ถูกสะสาง ตัววิมานเองก็ถูกปล่อยให้ทรุดโทรมมิได้สะอาดสะอ้านเหมือนคราที่นางพำนักอยู่ 

เกล็ดมณีสาวเท้าเข้าไปข้างในวิมานทองคำ เป็นดังที่คาดไว้ ภายในทั้งสกปรกและมีข้าวของเครื่องใช้กระจัดกระจายเกลื่อนกลาด มิได้หลงเหลือเค้าความงดงามเช่นแต่ก่อน ราวกับมีผู้ใดมากระทำการย่ำยีสถานที่แห่งนี้ให้สาสมกับความชิงชัง ทั้งเครื่องกระเบื้องที่เคยโสภายามนี้ก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แพรพรมปูพื้นที่ขาดวิ่นเป็นรอยกรงเล็บแหลมคม ทว่านางมิได้ใคร่รู้ว่ากรงเล็บนี้เป็นของราชาครุฑผู้เกรียงไกร หรือเป็นรอยกรงเล็บริษยาแห่งยูงทองกันแน่ นางไล้ปลายนิ้วเรียวไปตามตั่งทองที่เคยได้ประทับ ก่อนมุ่งตรงสู่บัลลังก์ทองคำกลายกนกนาคา ที่เปรอเปื้อนไปด้วยฝุ่นหนาตา

“ที่นี่เป็นวิมานต้องห้ามนี่นา ไยเจ้าจึงรู้จักสถานที่แห่งนี้”

“เหตุผลใดจึงเรียกมันว่าวิมานต้องห้ามกันเล่า”

 “พระนางพิลาสมยุราบอกว่า ที่นี่เคยเป็นวิมานของหนึ่งในชายาขององค์วิหรุตที่ทำผิดต่อศีลธรรมจรรยา ลักลอบเล่นชู้กับผู้อื่นจนถูกขับไล่ออกไปจากฉิมพลี และห้ามผู้ใดย่างกรายเข้ามาที่นี่อีก เพื่อมิให้กาลกิณีเหล่านั้นสัมผัสต้องกายให้มัวหมอง”

ความชิงชัง มิคลายลงไปบ้างเลยหรือ…

“ข้าคือเกล็ดมณีนาคี…” นางหันไปเอ่ยหลังจากเขาเล่าความคร่าวๆ ที่ฟังมาจากปากของพิลาสมยุราจบ ที่สั่งห้ามผู้ใดก็ตามไม่ให้เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ เนื้อความทุกอย่างล้วนแต่ออกมาจากปากของนางทั้งสิ้น เขามิได้ปดแม้แต่คำเดียว “และข้าคือพระชายาขององค์วิหรุตที่เคยพำนัก ณ วิมานแห่งนี้ แถมยังถูกกล่าวหาให้มัวหมองตามที่เจ้าได้กล่าวมา”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ…” อนิลมิอยากเชื่อหูของตัวเอง แต่ความนิ่งสงบของนาคีตรงหน้าบังคับให้เขาต้องเชื่อในสิ่งที่นางพูด ท่าทีสุขุมและรอยยิ้มก็เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ บ่งบอกว่านางมิได้แสร้งเอ่ยวาจาเพื่อหลอกลวงเขาแม้เพียงคำเดียว “จักเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร ในเมื่อเจ้ารักษาพรหมจรรย์มากว่าเจ็ดร้อยปีแล้วมิใช่หรือ”

“เรื่องราวครั้งนั้นเป็นเหตุโกลาหลที่ข้าเองก็ยอมรับว่าข้าบันดาลโทสะ เพราะข้าขาดสิ่งหนึ่งที่สำคัญไป…” เกล็ดมณีก้มลงไปมองแจกันกระเบื้องลายมัจฉาสีครามใบที่นางโปรดปราน สะบัดมือเพียงครั้งเดียว เหล่าข้าวของที่แตกหักเหล่านั้นก็หายวับไปกับตา พื้นที่โดยรอบค่อยๆ สะอาดสะอ้านขึ้นมาในบัดดล “สิ่งนั้นคือสติ”

”สติหรือ”

“ก่อนหน้านี้ข้าจึงได้ถามเจ้าอย่างไรเล่า…” 

ใบหน้าของคู่สนทนาฉายความฉงนออกมาอย่างชัดเจน จนนางต้องเดินเข้าไปหาเขา วางมือเรียวทาบหน้าอกแกร่งด้านซ้าย เพียงเพราะอยากสัมผัสถึงท่วงทำนองการเต้นของดวงหทัย ที่เมื่อนางเล่าความทุกอย่างออกไปหมดแล้ว เขาอาจหลีกหนีนางไปด้วยรับมิได้ หากรู้ภายหลังว่านางเคยมีพันธะกำมะลอกับผู้อื่นมาก่อน “ว่าหากข้ามีเรื่องอยากบอกเจ้า เจ้าจักยอมรับฟังข้าหรือไม่”

“ข้าพร้อมจะรับฟัง”

ครุฑหนุ่มตอบรับแทบจะทันทีที่นางเอ่ยจบ ยกยิ้มคล้ายปลอมประโลมในเรื่องราวที่ผ่านมา แต่แปลกตรงที่นางกลับมิเสียใจเลยหากเขาจะต้องจากไปเมื่อยอมรับความจริงข้อนี้มิได้ เพราะนางหมายใช้การสนทนาครานี้เป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงใจของครุฑหนุ่มผู้หมายปองนาง

สายลมเย็นพัดพลิ้วเข้ามาภายในตัววิมาน และหอบเอากลิ่นหอมจากดอกบัวที่สวนหน้าวิมานเจือมาด้วย นางคงคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ แต่ยามนี้กลิ่นบุปผชาติที่ติดกายของทั้งสองกลับคละคลุ้งจนกลบทุกกลิ่นไปเสียหมด เมื่อนางยอบกายนั่งลงบนตั่งทองที่อยู่ใกล้ๆ ครุฑหนุ่มจึงทำตามอย่างว่าง่าย พร้อมให้นางถ่ายทอดเรื่องราวที่ผ่านมาให้เขาได้รับฟัง

 

เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน ในวันที่ตอกย้ำความเจ็บปวดของเกล็ดมณีมากที่สุด…

“อย่าทำข้า ได้โปรดเถิด” ศรีวิตรีวิงวอนขอร้อง บัดนี้นางบอบช้ำไปทั้งกาย เนื่องจากถูกข้ารับใช้ของพิลาสมยุรารุมทำร้าย 

“ตบนาง…” ยูงทองที่ยืนเผยอยิ้มดูเหตุการณ์อยู่มิห่างสั่งอีกครั้ง “ตบให้นางรู้สำนึกเสียบ้าง ว่าเป็นแค่ชายาอันดับท้าย มิอาจมารั้งให้องค์วิหรุตอยู่กับนางทุกค่ำคืน”

“มิใช่ความผิดข้า พระองค์ประสงค์จะอยู่กับข้าเอง”

“สามหาวนัก ตบปากนาง!”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” 

กินนรีรับใช้ของศรีวิตรีรีบไปตามเกล็ดมณีมาที่วิมานทางทิศอุดร ซึ่งอยู่ห่างจากวิมานของนางมากโข แต่ก็ยังดีที่อยู่ในเขตพระราชฐานเดียวกัน ทำให้การเดินทางมาในครานี้มิได้ยากเย็นเท่าใด “นั่นพวกเจ้ากระทำการใดอยู่ ปล่อยนางบัดเดี๋ยวนี้”

“เจ้ามิมีสิทธิ์ออกคำสั่งกับคนของข้า…” นี่มิใช่ครั้งแรกที่ยูงทองข่มเหงศรีวิตรี ทำให้เกล็ดมณีหมดความอดทนกับทิพยปักษานางนี้ “ตบนางอีก”

“หากมิหยุด อย่าหาว่าข้าบีบบังคับเจ้าเลยนะ”

เกล็ดมณีสะบัดมือเพียงครั้งเดียว ข้ารับใช้เหล่านั้นก็ถูกกระแสทิพย์ซัดจนกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง ศรีวิตรีรีบคลานเข้ามาหลบเบื้องหลังของผู้มีพระคุณ ซึ่งนางเคารพเทิดทูนมิต่างจากมารดา ในทุกคราที่นางถูกรังแก ก็มีเพียงเกล็ดมณีที่คอยปกป้องนางโดยมิคิดรับสิ่งใดตอบแทน

“นับวันเจ้ายิ่งแส่มิเข้าเรื่องนะเกล็ดมณีนาคี”

“ระวังปากเจ้าหน่อยนังยูงทอง!” ธารทิพย์ตวาดเสียงเข้ม นัยน์ตาสีอำพันบัดนี้แดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้นางจะเป็นเพียงแค่นาคีรับใช้ แต่บารมีนับว่าสูงกว่าทิพยปักษานางนี้อยู่มาก หากปะทะกันซึ่งๆ หน้า มิต้องถึงมือของเกล็ดมณีหรอก แค่ธารทิพย์คายพิษใส่นาง ยูงทองนางนี้ก็จักสิ้นบุญวาสนาลงโดยง่าย “อย่าคิดว่ามีองค์วิหรุตคอยให้ท้าย แล้วเจ้าจักสามหาวต่อองค์หญิงของข้าเยี่ยงไรก็ได้”

“อย่าคิดว่าเจ้าบารมีสูงกว่าแล้วข้าจักทำอันใดเจ้ามิได้นะ” พิลาสมยุราเข่นเขี้ยว

“หากเจ้าทำได้…” เกล็ดมณีสาวเท้ามาขวางหน้าธารทิพย์ไว้อย่างทนดูต่อไปไม่ไหว กินรีรับใช้ของศรีวิตรีจึงรีบไปหยิบผ้าแพรผืนบางมาคลุมร่างกายให้นายเหนือหัวที่บอบช้ำไปทั้งตัว อาภรณ์ที่สวมขาดวิ่นจากการถูกย่ำยี ทั้งถูกทุบตี และกลั่นแกล้งให้อับอาย ยิ่งเมื่อเห็นว่าศรีวิตรีผู้นี้ร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด นางยิ่งบันดาลโทสะจนอยากเผาร่างของยูงทองนางนี้ให้แดดิ้นตายจึงจะสาสมกับสิ่งที่ทำลงไป ทว่านางจำต้องข่มความโกรธเอาไว้จนสุดกำลัง “ข้าคิดว่าเจ้าคงทำไปนานแล้ว”

“นังอสรพิษ!” พิลาสมยุราเอ่ยด้วยน้ำเสียงชิงชังพร้อมกับเผยกรงเล็บที่ปลายนิ้วเรียวงาม

เกล็ดมณีคืนสู่ร่างนาคีตัวมหึมา ส่งเสียงคำรามกึกก้องจนเหล่าข้าทาสบริวารของพิลาสมยุรารีบหนีหายไปจนหมด ทิ้งให้ผู้เป็นนายวิ่งตามหลัง ความกลัวจนลนลานทำให้นางหกล้มไปหลายตลบ ทั้งที่เกล็ดมณีเพียงคำรามขู่เท่านั้น หมายให้เสียงกึกก้องนั้นย้ำเตือนให้ยูงทองรู้สึกเข็ดหลาบเสียบ้าง จักได้มิบังอาจรังแกกินรีผู้อาภัพนางนี้อีกต่อไป

ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจักแน่สักแค่ไหนกันเชียว…

เมื่อข่มขู่ยูงทองจนสมใจแล้วจึงกลับสู่ร่างทิพย์ แล้วตรงเข้าหาสาวน้อยผู้โชคร้าย ที่บัดนี้แทบอยากปลิดชีพตัวเองเพื่อหลีกหนีเรื่องราวต่างๆ ที่มิได้เกิดจากความผิดของนางเสียด้วยซ้ำ แต่กลับต้องมาทนทุกข์เพราะความมากรักแห่งราชันครุฑซึ่งมิเคยได้รับรู้ความจริงเลยว่า ที่ศรีวิตรีต้องเจ็บช้ำทั้งทางร่างกายและจิตใจมากถึงเพียงนี้เป็นเพราะฝีมือใคร

“เจ้าไหวหรือไม่ศรีวิตรี”

“พระนาง…” คำเรียกขานที่แสดงถึงความเคารพต่อเกล็ดมณีนั้นแตกต่างจากที่นางใช้เรียกขานพิลาสมยุรานางนั้นอย่างสิ้นเชิง “ข้ามิอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วเพคะ ข้าเจ็บใจยิ่งนัก ข้าทำอันใดผิดหรือเพคะ เหตุใดนางต้องข่มเหงน้ำใจข้าถึงเพียงนี้” เด็กสาวกำมือทุบลงบนถันอวบอิ่ม นางออกแรงทุบหมายให้หัวใจที่อยู่ภายในนั้นหยุดร่ำไห้ด้วยความคับแค้น 

เกล็ดมณีดึงร่างบางมาสวมกอด หมายปลอบประโลมมิต่างจากมารดาที่ให้ความอบอุ่นแก่บุตรี แต่เมื่อมือเรียวลูบไปตามเส้นผมที่ยุ่งเหยิงจากการถูกจิกทึ้งกลับยิ่งที่ทำให้ศรีวิตรีกรรแสงดังสนั่นอย่างมิเอียงอาย พร้อมกับวาดแขนสวมกอดตอบผู้เป็นดั่งมารดาที่คอยปกป้องนางในทุกคราที่ถูกรังแก

“เจ้า” เกล็ดมณีหันไปหากินรีรับใช้ของศรีวิตรีที่นั่งร้องไห้ด้วยความสงสารผู้เป็นนาย

“เพคะ”

“ไปเตรียมน้ำสะอาด โรยด้วยกลีบดอกไม้หอมให้ข้าสักอ่างเถิด ข้าจักพานางไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวเสียหน่อย”

“เพคะพระนาง”

เมื่อสิ้นเสียงขานรับ กินรีรับใช้ก็รีบถอยห่างออกไปในทันที ทั้งที่ตัวเองก็บาดเจ็บมิแพ้นายเหนือหัว เกล็ดมณีจึงต้องหันไปพยักหน้าให้ธารทิพย์ เป็นเชิงบอกให้ไปช่วยเหลืออีกแรง 

นาคีธารทิพย์พยักหน้ารับ ก่อนถอยร่นตามกินรีรับใช้นางนั้นไปโดยเร็ว

“หากเจ้าต้องการร้อง ก็ร้องออกมาเถิดหนา…” เกล็ดมณีปลอบประโลมศรีวิตรีอยู่ครู่หนึ่งจนนางหยุดกรรแสงในที่สุด เจ้าของใบหน้างามผละออกจากอ้อมอกของนาคีเล็กน้อย ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เปื้อนแก้มแดงก่ำป้อยๆ เผยถึงความใสซื่อจนเกล็ดมณีอดเอ็นดูมิได้ “ไยเจ้าหยุดร้องแล้วเล่า”

“ข้าอยากเข้มแข็งได้เหมือนพระนางบ้างเพคะ”

“ข้ามิได้เข้มแข็งปานนั้นหรอกหนา…” เมื่อเด็กสาวเริ่มสงบจิตใจได้แล้ว นางจึงพยุงร่างที่ถูกทำร้ายให้ลุกขึ้นยืน “มาเถิด ไปชำระล้างร่างกายเสียหน่อย แล้วเจ้าจักได้พักผ่อน”

เกล็ดมณีปลดเปลื้องอาภรณ์ขาดวิ่นออกจากร่างของศรีวิตรี มองร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ทั้งยังเส้นผมที่ถูกดึงทึ้งจนหลุดออกมาเป็นกระจุก ในใจนึกเวทนาเด็กสาวผู้นี้เสียยิ่งกว่าความทนทุกข์ของตน ครั้นพาอาบน้ำอาบท่าจนเสร็จสรรพ นางยังพาองค์หญิงกินรีผู้นี้ไปแต่งกายให้สวยงาม และนั่งสางเกศาให้ด้วยหมายอยู่เป็นเพื่อนพูดคุย ยามเมื่อสบายใจขึ้นแล้วจึงพาเข้านอน

“พระนางอยู่เป็นเพื่อนหม่อมฉันจนกว่าจะหลับได้หรือไม่เพคะ”

“ได้สิ” เกล็ดมณีทิ้งกายนั่งยังตั่งทองที่อยู่มิห่างจากเตียงนอนมากนัก

ศรีวิตรี เจ้ายังไร้เดียงสาเกินกว่าที่จะอยู่ในวิมานที่เต็มไปด้วยอันตรายเช่นนี้…

เวลาผ่านไปหลายชั่วยาม เกล็ดมณีรอจนศรีวิตรีหลับสนิทจึงค่อยหยัดกายลุกขึ้นและเดินออกจากห้อง เบื้องนอกธารทิพย์กำลังสนทนาอยู่กับกินรีรับใช้ของศรีวิตรี ซึ่งมีความคิดพร้อมตอบโต้ศัตรูมากกว่า ผิดกับศรีวิตรีที่มิมีความคิดนี้อยู่ในตัว

“หากนางถูกรังแก เจ้าไปหาข้าที่วิมานได้ทุกเมื่อ”

“หม่อมฉันมิรู้จักตอบแทนพระนางได้อย่างไร บุญคุณครั้งนี้ที่พระนางทรงยื่นมือช่วยเหลือ หากรู้ถึงพระกรรณของพระบิดรกินนรแห่งหัวเมืองทักษิณ พระองค์ต้องทรงซาบซึ้งพระทัยยิ่งเพคะ”

“เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องภายในครอบครัวของนาง…” เกล็ดมณีเหลียวไปมองประตูห้องที่เพิ่งถูกปิด ผู้ที่อยู่ภายในคงโศกเศร้าจนเต็มทน ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็มิอาจรู้ได้ว่านางจักทนได้อีกนานเพียงไร “เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ ไฟในอย่านำออกไฟนอกอย่านำเข้า ปัญหาเหล่านี้หากจักแก้ก็ต้องแก้ที่ตัวของนางเอง การจะเอาเรื่องภายในราชวงศ์ขององค์วิหรุตไปบอกพระบิดรกินนรของนาง เกรงว่าจักมิเหมาะกระมัง”

“คำพูดพระนางเหมาะสมแล้วเพคะ”

“เจ้าเองก็ดูแลตัวเองด้วย”

“ขอบพระทัยเพคะ”

 

เกล็ดมณีกลับมาถึงวิมานในยามเย็น ความเหนื่อยล้าจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้มิได้ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ คราวก่อนนางเองก็ถูกองค์วิหรุตทำร้าย เพราะถูกพิลาสมยุราป้ายสีว่านางเป็นผู้ลงมือทำร้ายศรีวิตรี

ยังมิทันที่จันทราจะส่องสกาว ดารายังมิทันได้พราวแสงระยิบระยับ กระแสลมหอบหนึ่งพลันกระแทกประตูเปิดออก วิหรุตเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าขึงขัง มือหนาง้างขึ้นพร้อมกรงเล็บแหลมคม หมายบันดาโทสะใส่นาคีสูงศักดิ์ ผู้ที่พำนักอยู่ในวิมานแห่งนี้จนถึงแก่ชีวิต

“องค์หญิงระวัง…โอ๊ย!” 

ธารทิพย์เห็นดังนั้นก็รีบปรี่เข้ามาบังเกล็ดมณีไว้ เมื่อวิหรุตตวัดมือหมายตบลงบนใบหน้างาม นางจึงหันหลังกอดนายเหนือหัวไว้อย่างปกป้อง ทว่าโทสะนั้นรุนแรงจนเกิดบาดแผลฉกรรจ์เป็นรอยเล็บที่ด้านหลัง   เลือดข้นสีมรกตไหลทะลักจากบาดแผลที่ปวดแสบปวดร้อน พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่เล็ดลอดออกมาด้วยความทุกข์ทรมาน 

 “ธารทิพย์!”

ก่อนที่วิหรุตจะลงมืออีกเป็นครั้งที่สอง เกล็ดมณีก็กระโจนเข้ามาขวางร่างของนาคีรับใช้เอาไว้ ผิวกายขาวผ่องปรากฏเกล็ดสีมรกตขึ้นมาเป็นช่วงๆ บ่งบอกว่านางพร้อมที่จะตอบโต้สวามีผู้นี้อย่างมิเกรงกลัว

“เจ้าสามหาวเกินไปแล้วเกล็ดมณี กล้าดีอย่างไรลงมือทำร้ายพวกนางทั้งสองของข้า”

“ข้ามิได้กระทำการใด”

“เจ้าโกหก!” วิหรุตตวัดกรงเล็บอีกครั้ง แต่เกล็ดมณีหอบร่างของธารทิพย์ที่โชกไปด้วยเลือดหลบการโจมตีครั้งนี้ไปได้หวุดหวิด ขณะที่อีกฝ่ายติดตามมิลดละ หมายจักเอาชีวิตนาคีทั้งสองให้จงได้ “ข้าปล่อยเจ้าไว้มิได้แล้วเกล็ดมณี อสรพิษอย่างเจ้ายิ่งเก็บไว้ใกล้กายก็ยิ่งแว้งกัดข้า”

“ก็เอาสิเพคะ…” นางหยัดกายตรงพร้อมประจันหน้า นัยน์ตาสีสุวรรณแปรเปลี่ยนเป็นแดงชาดดุจโลหิต ริมฝีปากบางอ้าออกกว้าง ก่อนปรากฏแก้วมณีสีแดงเพลิงลอยออกมาเบื้องหน้า การกระทำนางบังคับให้ผู้ที่คุกคามจำต้องชะงักเท้าในบัดดล “หากพระองค์ก้าวมาอีกก้าว หม่อมฉันจักปล่อยให้พิษนาคีที่หลอมรวมอยู่นี้ลอยสู่ห้วงอากาศเหนือฉิมพลี ครุฑผู้ทรงพลังอย่างพระองค์อาจทรงรับมือได้ แต่ยูงทองนางนั้นเกรงว่าจักถูกเผาไหม้ไปตั้งแต่การสูดลมหายใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าปล่อยพิษนี้ออกไป”

“เจ้ามันเลวทรามยิ่งนัก!” เขาเข่นเขี้ยวอย่างเหลืออด

“คงมิต่างจากพระองค์กระมัง”

“นี่เจ้า…”

“ลุ่มหลงคาวโลกีย์จากสตรีที่มีจิตริษยา ไยพระองค์จึงมิรู้ว่ายูงทองนางนั้นเป็นผู้ใช้มารยาล่อลวงให้พระองค์เข้าใจหม่อมฉันผิดไป”

“เจ้าเป็นนาคี…”

“เป็นนาคีแล้วอย่างไร!” เกล็ดมณีตวาดลั่น น้ำตาแห่งความขมขื่นที่พยายามกลั้นไว้รินไหลออกมาอย่างมิอับอาย การลงมือของวิหรุตในครานี้ช่างร้ายแรงยิ่งนัก เขาหมายมาดเอาชีวิตของนาง และหากนางมิกระทำการอันใดโดยเร็ว ธารทิพย์อาจต้องพิษบาดแผลจนถึงแก่ชีวิต 

“เป็นนาคีแล้วมิมีหัวใจเช่นนั้นหรือ ข้าครองตนอยู่ที่นี่เพื่อรักษาซึ่งความสัมพันธ์อันดีของสองเผ่าพันธุ์ เพื่อความปรองดอง ในขณะที่ท่านหน้ามืดตามัวหลงใหลในสตรีชาววิหคจนมิคำนึงถึงความรู้สึกของข้าที่มาจากวังบาดาล”

“ข้าเคยบอกเจ้าไปชัดเจนแล้วเกล็ดมณี…” น้ำเสียงนั้นเย็นชาและไร้ซึ่งความรู้สึกผิด “ข้ามิเคยรักเจ้า”

“ถ้าเช่นนั้นก็ทำให้มันจบลงไปเสียวันนี้เถิดเพคะ”

เกล็ดมณีปล่อยกระแสทิพย์วารีออกมาโดยรอบเพื่อเยียวยาบาดแผลให้แก่ธารทิพย์ ตอนนี้หากวิหรุตกระทำการใดให้นางมิพอใจ นางพร้อมที่จะสละแม้แต่ชีวิตเพื่อยุติความวุ่นวายจากกระแสแห่งกรรมระหว่างนางกับเขา

“เจ้าต้องไปขอโทษพิลาสมยุรากับข้า” เขาเค้นเสียงบอก

“ไยข้าต้องทำตามที่พระองค์ปรารถนา”

“เจ้า…!” วิหรุตหมายบันดาลโทสะอีกหน แต่เกล็ดมณียื่นพิษออกมาข่มขู่ ย้ำเตือนว่านางพร้อมที่จะปลดปล่อยมันทุกชั่วขณะ เขาจึงทำได้เพียงกำหมัดแน่นแล้วข่มความโกรธเอาไว้ “ไปขอโทษนางกับข้า แล้วข้าจักปล่อยเจ้าไป โดยสัญญายุติสงครามยังคงอยู่”

“สัจจะนั้นหม่อมฉันจักเชื่อพระองค์ได้อย่างไร”

“ข้ามิใช่ผู้ที่ตระบัดสัตย์”

เกล็ดมณีเหลียวไปมองธารทิพย์ เมื่อเห็นว่าบาดแผลที่หลังของนาคีรับใช้ ได้รับการเยียวยาจากกระแสทิพย์ของนางจนเกือบหายสนิทแล้ว จึงยอมกลืนพิษของตนกลับเข้าไป เพื่อยุติการวิวาทอันแสนขมขื่น นางเจ็บปวดมามากจนเกินกว่าจะทานทนได้อีกต่อไป นางจึงยอมรับข้อเสนอของเขา

“ธารทิพย์…” เกล็ดมณีเอ่ยเรียก 

นาคีรับใช้เหลียวมามองอย่างลำบาก ด้วยความเจ็บปวดทรมานจากแผลฉกรรจ์เมื่อครู่ยังคงอยู่ ถึงแม้บาดแผลภายนอกจะได้รับการเยียวยาจนหายแล้ว แต่ความบอบช้ำจากกรงเล็บพญาครุฑที่กระทำต่อนาคยังฝากความร้อนรุ่มดังถูกเปลวเพลิงแผดเผาเอาไว้ภายใน 

เกล็ดมณีรู้ดีว่าบัดนี้ธารทิพย์ต้องข่มความเจ็บปวดมากเพียงไร เพื่อมิได้หลุดเสียงร้องออกมาให้นางต้องเป็นห่วง 

“เจ้าไปจากที่นี่เสียเถิด”

“ไม่นะเพคะ หม่อมฉันจักมิทิ้งองค์หญิง” ถึงแม้จะบาดเจ็บเจียนตาย แต่นางยังพยายามเกาะร่างของผู้เป็นนายเอาไว้แน่น

“เจ้าบอบช้ำมามากแล้ว พักผ่อนเสียเถิด”

เมื่อขับไล่นาคีรับใช้ไปมิได้ นางจึงบันดาลให้ร่างของธารทิพย์แปรเปลี่ยนเป็นนาคีร่างเล็กจิ๋ว ก่อนเลื้อยรัดพันรอบข้อมือของเกล็ดมณีจนกลายเป็นกำไลมรกตลายนาคราช ที่นางต้องเปลี่ยนธารทิพย์เป็นกำไล เพราะรู้ดีว่านาคีรับใช้ผู้นี้มิปล่อยให้นางเดินทางสู่วิมานของยูงทองกับวิหรุตโดยลำพังแน่

“หากข้าขอโทษนางแล้ว สิ่งที่ท่านต้องทำนอกจากปล่อยข้า คือปล่อยศรีวิตรีไป”

“เจ้าต่อรองมากไปแล้ว”

“หากความจริงกระจ่าง…” เกล็ดมณีฝืนเอ่ย “ท่านจักพบว่านางคือผู้ที่น่าสงสารที่สุด”

 

 ตลอดการเดินทางไปยังวิมานของยูงทองนั้น ทั้งสองมิได้สนทนากันแม้เพียงคำเดียว ความขมขื่นในใจที่เก็บกดไว้คล้ายจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ เกล็ดมณีจำเป็นต้องฝืนใจทำให้สิ่งที่เสียศักดิ์ศรีเพียงเพราะอยากออกจากห้วงคาวโลกีย์ของผู้ที่นางมอบใจให้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นรวมทั้งความเจ็บปวดที่นาคีรับใช้ของนางได้รับ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นความผิดของนาง

ภายในห้องของพิลาสมยุราเต็มไปด้วยเสียงแห่งความโศกเศร้าเสียใจของเหล่ากินรีรับใช้ พวกนางร่ำไห้ราวกับว่าผู้เป็นนายกำลังจักสิ้นพระชนม์ลงเสียให้ได้ เกล็ดมณีเบือนหน้าหนีละครอีกฉากที่ถูกจัดขึ้น ภายในห้องที่ประดับประดาไปด้วยทองคำสมตำแหน่งชายาเอก ข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้นล้วนทำจากเงินและทองคำ แม้ยามราตรีกาลมาเยือน ข้าวของเหล่านั้นก็ยังคงความสวยงาม แตกต่างจากผู้ที่นอนซมอยู่บนเตียงหนา

“พิลาสมยุรา” วิหรุตตรงเข้าไปประคองร่างบางที่บัดนี้กลับมีรอยฟกช้ำปรากฏอยู่ทั่วร่าง ใบหน้ามีรอยแดงจากการถูกตบตีอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งริมฝีปากซีดเซียวก็ยังมีโลหิตไหลซึมออกมา

นี่เจ้ายอมลงทุนให้ผู้อื่นตบตีเพื่อป้ายสีความผิดแก่ข้าเชียวหรือ…

“มิใช่ความผิดของนางหรอกเพคะ เป็นข้าที่มิดีเอง” นางเอ่ยด้วยน้ำสียงรวยริน ทำให้วิหรุตหันมาจ้องนาคีต้นเหตุด้วยดวงตาแดงก่ำ

“จากนี้จักมิมีผู้ใดมาทำอันตรายแก่เจ้าได้อีก”

“พระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไร”

“หมายความว่าข้าจักมิอยู่ที่ฉิมพลีอย่างไรเล่า” 

สิ้นเสียงของเกล็ดมณี ยูงทองหลุดสีหน้าซาบซึ้งใจออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้ดูเศร้าหมองลง แล้วเอ่ยมิต่างจากคัดลอกคำพูดจากละครชาตรีบทหนึ่ง

“พระองค์ทรงมีพระเมตตาดั่งขุนเขา ทรงอภัยให้นางเถิดเพคะ อย่างไรนางก็เป็นพระชายาของพระองค์”

“หญิงถ่อยเช่นนี้ มิคู่ควรให้อยู่ฉิมพลีอีกต่อไป”

คำพูดของวิหรุตครั้งนี้ทำให้เกล็ดมณีเจ็บปวดดวงหทัยจนมิอาจสะกดข่มความขมขื่นเอาไว้ภายในได้อีกต่อไป เจ้าของผิวขาวสะอาดกำจายกระแสทิพย์แห่งวารีครอบคลุมไปจนทั่ว เหนือฉิมพลีปรากฏสายอัสนีคำรามกึกก้อง พร้อมสายลมแรงพัดกระหน่ำ วิหรุตจ้องมองนางก่อนกลับสู่ร่างครุฑเพื่อปกป้องยูงทองที่ตนรัก ขณะที่เหล่ากินรีรับใช้ที่ทำท่าโศกเศร้าอยู่เมื่อครู่พลันลุกขึ้นวิ่งกระเจิดกระเจิงออกไปจากห้องบรรทมโดยเร็ว 

ธารทิพย์เองก็สุดอดกลั้น นางมิอาจทนให้บุรุษผู้นี้ดูหมิ่นนายเหนือหัวของนางได้อีกต่อไป กำไลงามสั่นระริกด้วยเพลิงโทสะ ก่อนที่นางจะทะยานออกจากข้อมือบางกลายร่างเป็นนาคีเกล็ดมรกตขนาดมหึมา ขดกายโอบล้อมร่างสตรีงามที่ยังยืนนิ่งท่ามกลางความเยียบเย็นของกระแสวารีที่บัดนี้กลับลอยล่องเข้าโอบล้อมร่างบางจนทอแสงระยิบระยับ 

“ในเมื่อท่านกล้ากล่าวหาว่าข้าเป็นหญิงถ่อย ได้สิเพคะ…หม่อมฉันจักถ่อยให้พระองค์ดู!”

สิ้นสำเนียงเยียบเย็นมิต่างจากสีหน้า ท้องนภาพลันเกิดอสนีบาตฟาดลงมาใส่ร่างยูงทองจนตกจากฉิมพลีไปจุติใหม่ยังโลกมนุษย์ ภพภูมิแห่งการชดใช้กรรมที่นางกระทำไว้บนแดนฉิมพลีแห่งนี้...กรรมที่เกิดจากการใช้กายทิพย์ด้วยความริษยาประดุจเปลวเพลิงร้อนระอุจากพระเพลิง

“ไม่…!”

เสียงคำรามของพญาครุฑวิหรุตดังก้องสะท้านเวหา บันดาลโทสะจนบังเกิดกระแสวาโยพัดกระหน่ำคลุ้มคลั่งมิต่างจากห้วงอารมณ์แห่งตน พลังพุ่งตรงเข้าหาเกล็ดมณีหมายสังหารสตรีเบื้องหน้า ทว่าถูกกระแสวารีโดยรอบพวยพุ่งปะทะจนต้องรวบรวมเอาวายุโดยรอบมาเป็นเกราะกำบัง

เกล็ดมณีกลายร่างเป็นนาคีบ่งบอกว่าพร้อมสู้ไม่ถอยก่อนคำรามข่มขู่อย่างมิเกรงกลัว เจ้าของปีกกว้างกระพือสร้างกระแสลมแรงจนทิพยวารีกำจายเป็นละอองใสเย็น ก่อนพวยพุ่งกลับเข้าหานาคีทั้งสอง วิหรุตหมายใช้จะงอยปากจิกกระชากเอาดวงหทัยของพวกนางออกมาเหยียบย่ำให้สาแก่ใจ 

นาคีธารทิพย์ตวัดหางฟาดเข้าใส่ใบหน้าของวิหรุตอย่างมิยำเกรงเช่นกัน ทว่ากลับโดนเจ้าของเส้นขนสีน้ำตาลชาดตวัดปีกกว้างใส่เพียงครั้งเดียว นางก็กระเด็นไปชนผนังวิมานอย่างแรงจนมันพังทลาย

เกล็ดมณีเห็นนาคีรับใช้ของตนต้องเจ็บตัวอีกเป็นคราที่สองจึงพุ่งเข้าฝังคมเขี้ยวลงบนปีกข้างขวาจนหยาดโลหิตสีแดงไหลหลั่ง แต่นางหรือจะสู้แรงของพญาครุฑได้ นางถูกวิหรุตใช้กรงเล็บจิกเข้าที่กลางลำตัวจนโลหิตสีเขียวหยาดริน ขณะที่ธารทิพย์เห็นเช่นนั้นก็พยายามกัดฟันข่มอาการบาดเจ็บหยัดกายขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้จักเจ็บปวดอย่างไร แต่นางจักก็มิยอมให้ผู้เป็นนายเหนือหัวเป็นอะไรไปเป็นอันขาด นางเลื้อยเข้ารัดคอของพญาครุฑวิหรุตจนสุดกำลัง อ้าปากคายพิษร้ายใส่ดวงตากร้าวของราชันครุฑ การยื้อยุดฉุดดึงยังผลให้บังเกิดทั้งพายุกระหน่ำและฝนฟ้าคะนองไปทั่ววิมาน 

ความโกลาหลที่เกิดขึ้นส่งผลไปยังแดนมนุษย์ที่ยูงทองเพิ่งไปจุติ ในวันนั้นบังเกิดเหตุวิบัติต่างๆ ขึ้นถ้วนทั่ว บางพื้นที่มีพายุกระหน่ำจนเกิดน้ำท่วมขัง ขณะที่บางพื้นที่ฝนกลับมิตกตามฤดูกาลจนประสบภัยแล้ง สรรพสัตว์น้อยใหญ่ได้รับความเดือดร้อน อีกทั้งการที่นางถือวิสาสะส่งยูงทองลงไปจุติยังมนุษยภูมิทั้งที่มิใช่หน้าที่ของนางยังถือเป็นการฝืนโชคชะตาของเหล่าชาวทิพย์อย่างใหญ่หลวง 

“เจ้าทำร้ายสตรีที่ข้ารัก” วิหรุตออกแรงจิกเล็บลงไปลึกมากขึ้นจนโลหิตสีมรกตยิ่งไหลทะลักไม่หยุด ความเจ็บปวดนี้มากพอจะทำให้เกล็ดมณีสิ้นลมหายใจ เนื่องจากเสียกระแสทิพย์ไปมากในการรักษาบาดแผลให้นาคีรับใช้ นางจึงอ่อนล้าเกินกว่าจะต่อกรกับเขาได้อย่างเท่าเทียม

เกล็ดมณีคำรามก้องไปทั่วฉิมพลี ก่อนที่ธารทิพย์จักคายพิษของตนออกมา ผู้เป็นนายที่กำลังเสียเปรียบจึงส่งเสียงกึกก้องเรียกอัสนีสายหนึ่งฟาดลงตรงกลางอกของวิหรุต ส่งให้เขาตกจากวิมานไปจุติยังแดนมนุษย์ เพื่อเคียงคู่กับคนที่ตนรักสมใจหมาย พร้อมกันนั้นร่างนาคีทั้งสองก็ถูกอัสนีบาตซึ่งมิรู้ที่มาฟาดใส่มิต่างกัน จนตกสู่ใจกลางแห่งห้วงเกษียรสมุทรในบัดดล

ท่ามกลางกระแสทิพย์อบอวล พร้อมทั้งความเย็นบริสุทธิ์ ผู้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์นาคราช คือองค์เทพที่นางเทิดทูนบูชา ร่างกายสูงโปร่งนั่งเอนหลังในอิริยาบทผ่อนคลาย ใบหน้าหล่อเหลาหาที่เปรียบมิได้ เส้นเกศายาวสลวย อาภรณ์เบื้องล่างสีแดงสด เดินไหมด้วยสีสุวรรณอร่าม ผิวสีเข้มผุดผ่องนวลเนียน ใบหน้าที่หลับตาพริ้มแผ่ความเมตตามาแก่นาคีทั้งสองที่ค่อยๆ กลับสู่ร่างทิพย์ในลักษณะหมอบกราบสะบักสะบอม

“เพราะความรักที่ปิดบังตาเจ้าให้มืดบอด จึงได้ทำเรื่องที่น่าอับอายต่อเผ่านาคเยี่ยงนี้ สมควรได้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบนโลกมนุษย์ยิ่งนัก”

สุรเสียงซึ่งกังวานสะท้านห้วงแห่งเกษียรสมุทรทำให้เกล็ดมณีในอาภรณ์สีเขียวมรกตน้ำตาริน ใบหน้าเยาว์วัยแต่มีแววอิดโรยเหลือบมองผู้มีเศียรแผ่พังพานผงาดถึงเจ็ดเศียรด้วยดวงตาสีแดงก่ำ เจ้าของเกล็ดเลื่อมทองทอแสงเป็นประกายแสงระยิบระยับขดกายขนาดใหญ่เสียงเป็นแท่นประทับให้องค์วิษณุเทพ ณ ใจกลางเกษียรสมุทร ความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาทำให้ผู้ที่มิได้มีเชื้อสายราชวงศ์อย่างธารทิพย์มิกล้าแม้เพียงลอบสบนัยน์ตาแข็งกร้าวคู่นั้น

“ข้าแต่องค์วิษณุเทพ ข้าผู้ถือเป็นผู้สูงสุดของนาคา ขอตัดสินโทษแก่นาคีน้อยผู้นี้...”

“ช้าก่อน...” 

สตรีงามผู้ประทับเคียงคู่บุรุษเลอลักษณ์บนบัลลังก์นาคาเปล่งสำเนียงขัดเจ้าของสุรเสียงกึกก้อง ความไพเราะของน้ำเสียงที่เปล่งออกมามิต่างจากคีตขับขาน ท่วงทำนองนั้นคล้ายปลอบประโลมนาคีที่นั่งน้ำตานองหน้าอย่างแปลกประหลาด เกล็ดมณีรีบก้มลงกราบที่พื้นทรายขาวสะอาด ทั้งยังไม่ระคายยามผิวกายต้องสัมผัส 

“อย่าถึงขั้นต้องให้นางลงไปเป็นเดรัจฉานเลยอนันตนาคราช”

“ข้าแต่พระแม่ นางบันดาลให้เกิดลมฝนในโลกมนุษย์ ทำให้น้ำท่วมจนเกิดภัยพิบัติ พืชผลล้มตาย สัตว์น้อยใหญ่ได้รับความเดือดร้อน อีกทั้งส่งพิลาสมยุราและวิหรุตไปจุติยังโลกมนุษย์โดยหาใช่หน้าที่ของนางไม่ โทษของนางเพียงนี้นับว่าน้อยไปเสียด้วยซ้ำ”

“หากข้าถูกพรากจากของรัก ข้าก็คงเสียใจจนเผลอบันดาลโทสะมิแพ้นางหรอกอนันตนาคราช”

นี่แหละหนอจักเรียกว่างามทั้งกายและใจจนยากหาสิ่งใดเปรียบเปรย...น้ำพระทัยใหญ่หลวงเป็นล้นพ้น

ร่างบางของนาคีน้อยที่หมอบกราบมิต่างจากงูตัวจ้อยท่ามกลางกระแสทิพย์แห่งเทพและเทพีผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองสั่นเทาจากแรงสะอื้น อนันตนาคราชเงียบเสียงลง มีเพียงเทพีผู้เป็นดุจร่มโพธิ์ใหญ่ให้แก่นาคีน้อยในตอนนี้เท่านั้นที่เอ่ยกับผู้ที่เอนหลังอยู่ในอิริยาบถผ่อนคลาย ใบหน้าบุรุษช่างเลอลักษณ์ด้วยความหล่อเหลา ทั้งยังแผ่บารมีออกมาทั้งที่อยู่ในท่าหลับตาพริ้ม อมยิ้มที่มุมปาก ดุจทุกเรื่องในโลกหล้ามิมีสิ่งใดเป็นทุกข์สำหรับพระองค์

“เสด็จพี่ หากพระองค์ทรงประทานอภัยแก่นาง ข้าจักสร้างสระบัวลึกลับขึ้นมาเพื่อให้นางบำเพ็ญเพียรเป็นการสำนึกผิด นอกจากจะเป็นการโปรดสัตว์แล้ว ยังช่วยให้นางได้พิเคราะห์ถึงสิ่งที่กระทำลงไป และยังเป็นการบังคับให้นางสร้างเสริมบุญไปในตัวด้วย พระองค์ทรงมีความเห็นว่าอย่างไรเพคะ”

“ให้เป็นเช่นที่เจ้าปรารถนาเถิด”

“เกล็ดมณี...” เจ้าของผิวขาวนวลผุดผ่องสวมอาภรณ์สีกลีบบัวพร้อมเครื่องประดับทองคำแพรวพราว ใบหน้าเผยยิ้มอ่อนโยนสมกับเป็นพระมารดาเอ่ยเรียกในฉับพลัน เมื่อได้รับคำอนุญาตจากผู้ที่อยู่บนบัลลังก์นาคราช “ข้าได้เนรมิตสระบัวลึกลับขึ้นแห่งหนึ่ง เจ้าจงลงไปที่นั่น ดูแลสระบัวแห่งนั้นให้ดี สำนึกผิด และบำเพ็ญเพียร สั่งสมบุญบารมีให้มาก”

“ขอบพระทัยองค์วิษณุเทพ...ขอบพระทัยเพคะ พระแม่ลักษมีเทวี” ร่างที่หมอบกราบกับพื้นเอ่ยเสียงสั่นเครือพร้อมหยาดน้ำตาที่รินไหลออกมามิขาดสาย กระพุ่มมือบางกราบกรานทั้งสองพระองค์ด้วยความเคารพจนหาสิ่งใดเปรียบมิได้

สิ้นเสียงสั่นเครือ ร่างของนาคีทั้งสองพลันสลายกลายเป็นละอองสีมรกต พวยพุ่งไปยังสระบัวลึกลับทางทิศอีสานซึ่งถูกเนรมิตขึ้นจากกระแสทิพย์แห่งเทพีทันที พระนางจ้องมองนาคีน้อยที่ใจสลายเพราะตนมิถูกเลือกจากผู้ที่รักด้วยความสงสารผู้ที่เป็นดั่งบุตรีที่บูชานางมาเนิ่นนาน

 

อนิลฟังเรื่องราวจนจบแล้วแทบมิเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ครานี้ทั้งองค์วิหรุตและพิลาสมยุราต่างจบชีวิตบนโลกมนุษย์เสร็จสิ้นและกลับขึ้นมาเสวยทิพย์บนฉิมพลีดังเดิมแล้ว และยังได้ให้กำเนิดลลินพรต บุตรชายที่มากด้วยความสามารถ แต่ดันมีนิสัยมักมากในสตรีมิต่างจากผู้เป็นบิดา

“เดิมทีข้าคงมีศักดิ์เป็นอาสะใภ้ของเจ้า แต่การเสกสมรสในครานั้นถูกยกเลิก เพราะเหตุโกลาหลที่เกิดขึ้นล้วนพัดพาแต่ละคนไปตามกระแสกรรมที่แตกต่างกันออกไป”

“ข้ามีความจริงใจต่อเจ้า…” อนิลเอ่ยเสียงเรียบ “ถึงแม้เรื่องที่เจ้าเล่ามาจักเป็นเรื่องที่ขมขื่น แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่องค์วิหรุตกระทำไว้แก่เจ้า มิใช่ข้า”

“ข้ารู้ดีว่านั่นมิใช่เจ้า…” เกล็ดมณีแย้มยิ้มตอบ “เจ้ารู้หรือไม่ ในกาลก่อน หากว่าข้าคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ ข้ามักจะกลั้นอัสสุชลไว้มิอยู่ มิต่างจากสตรีนางอื่นที่ฟูมฟายโหยหาความรักจากเขา”

“แต่ตอนนี้เจ้ากำลังยิ้ม”

“นั่นเป็นเพราะมีผู้มาเยือนข้า…” เกล็ดมณีอมยิ้มพลางล้วงหยิบเอาถุงหอมที่เขามอบให้ออกมาถือไว้ ขณะที่อนิลจับจ้องทุกอากัปกิริยาของนาง เมื่อเห็นว่านางยกถุงหอมนั้นขึ้นดอมดม หัวใจของเขาก็เต้นระรัวด้วยความเปรมปรีดิ์ “ตลอดเจ็ดร้อยปีที่ผ่านมา มิเคยมีผู้ใดผ่านเข้าในเขตสระลึกลับได้ จะมีก็เพียงแต่เจ้า”

“เจ้ามิได้รังเกียจข้าใช่หรือไม่ หากข้าอยากเป็นผู้ที่ดูแลปกป้องเจ้า”

“ข้ามิขัดเคืองหรอกหนา…” เกล็ดมณีเอียงอาย ทำให้อนิลรู้สึกกระหยิ่มใจ “แต่ข้าขอใช้ระยะเวลานับจากนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ก็พอ”

“ข้าจะรอ”

“ไม่ว่าจะเนิ่นนานเพียงใดหรือ”

“นานเพียงใดข้าก็จะรอ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น