
ใครจักรู้กันเล่า ว่าผู้ที่มิเคยแลสตรีใดมาเกือบเจ็ดร้อยปีจักมาลุ่มหลงเจ้าของถุงหอมลายบัวสุวรรณพรรณรายนี้…
อนิลเอนกายอยู่ในห้องบรรทมขนาดใหญ่ ในวิมานที่อยู่เบื้องหลังวิมานกลางซึ่งเป็นที่ประทับขององค์วิหรุตกับพิลาสมยุรา โดยวิมานดังกล่าวคือวิมานเดิมขององค์วิสุระกับพระชายา ยามเมื่อทั้งสองต่างสิ้นพระชนม์ วิมานแห่งนี้จึงถูกขนานนามว่า ‘สุคันธ์กำจาย’ เหตุด้วยวิมานนี้เดิมทีพระชายาขององค์วิสุระทรงเชี่ยวชาญการปรุงน้ำอบ หรือน้ำหอมจากบุปผชาติเป็นที่สุด ยามเมื่อสิ้นพระชนม์จึงทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมที่แทรกเข้าเนื้อสุวรรณแห่งวิมาน จนถึงตอนนี้ก็ยังส่งกลิ่นหอมฟุ้งกำจายออกมามิเสื่อมคลาย
ถุงหอมแพรเงิน ปักลายดอกบัวสุวรรณพรรณรายใบนี้ถูกบรรจุด้วยบุปผชาติที่มีกลิ่นหอม ซึ่งเป็นกลิ่นเดียวกันกับถุงใบที่เขามอบให้นาง เพราะผู้เป็นมารดาขยันอบร่ำบุปผชาติเหล่านั้น และเก็บไว้ในผอบกระเบื้องหลายใบ หวังว่าสักวันทายาทของนางจักได้ใช้ประโยชน์ และก็สมดังที่นางหมายมั่นเอาไว้ เพราะยามนี้บุปผชาติเหล่านั้นมิต่างจากของแทนใจจากครุฑหนุ่มสู่นาคีเกล็ดมณีไปเสียแล้ว
ไยข้าจึงคิดถึงแต่เพียงเจ้ากันหนอ...
เขาวางมันไว้แนบอก และเอาแต่เพ้อพกถึงเจ้าของใบหน้างามราวกับต้องมนตร์เสน่หาจากนาคีที่พบเจอเพียงไม่กี่ครา เมื่อหวนคิดถึงวันที่นางมอบมันให้แก่เขา เขาก็มีท่าทางมิต่างจากหนุ่มน้อยที่ลิงโลดจนต้องซุกหน้าลงบนหมอนสี่เหลี่ยม ทั้งยังมิขยับกายไปไหน เอาแต่ขลุกตัวอยู่กับมันนับตั้งแต่ที่ได้รับมา
“องค์อนิลพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงของทหารนายหนึ่งซึ่งเอ่ยเรียกจากหน้าห้องทำให้ผู้ที่อยู่ในห้องถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนขานตอบแทบจะทันที
“ว่าอย่างไรเล่า”
“อีกมิกี่วันจะเป็นวันดิวาลี...” เจ้าตัวถึงกับต้องใช้ความคิดครู่หนึ่ง จึงรำลึกได้ว่าเป็นงานเทศกาลที่เหล่าสาวกจัดขึ้นทุกปี เพื่อถวายความเคารพแด่องค์วิษณุเทพและพระแม่ลักษมี “องค์วิหรุตรับสั่งว่าให้พระองค์ตระเตรียมเครื่องสักการะให้พร้อม แล้วเสด็จไปที่เกษียรสมุทรโดยพร้อมเพรียงกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว”
อนิลหยัดกายลุกขึ้นนั่ง การไปสักการะองค์วิษณุเทพและพระแม่ลักษมีเทวีของทุกปี บรรดาครุฑต่างนำทั้งทองคำและเครื่องสักการะต่างๆ ไปถวายเพื่ออวยพรแด่ทั้งสองพระองค์ แต่ในปีนี้เขากลับหมายมั่นว่าจะนำสิ่งหนึ่งไปสักการะ และหากเป็นไปดังคาดการณ์ ของที่จักนำไปนั้นจักต้องทำให้ทั้งสองพระองค์พึงพอใจเป็นแน่
บัวสุวรรณพรรณราย...
อนิลเหน็บถุงหอมไว้ที่เข็มขัดก่อนเดินไปที่หน้าต่างบานใหญ่เทียบเท่าร่างของตน พุ่งทะยานออกไปกลางเวหาแล้วกลายร่างเป็นครุฑ โบยบินจากฉิมพลีมุ่งตรงสู่เบื้องลึกแห่งหิมพานต์
เขาจำได้ดีว่าเมื่อครั้งที่พาลลินพรตไปดูนาคีที่แสนงดงามเขามิอาจหาสระบัวลึกลับนั้นพบโดยง่าย แต่บัดนี้กลับผิดแผกไปจากคราก่อนลิบลับ เพียงเขาทะยานสู่เวหาเหนือหิมพานต์ สอดส่ายสายตาไปยังทิศอีสานเพียงครู่หนึ่ง สายลมเย็นพัดพาเอากลิ่นบุปผชาติที่ตนจำได้ดีว่าเป็นกลิ่นเดียวกับบุปผชาติจากถุงหอมที่เขาเป็นผู้มอบให้นาคีเองกับมือ อนิลกระพือปีกอีกเพียงมิกี่คราก็พบสระบัวสุวรรณพรรณราย นั่นอย่างไรเล่า...
อนิลถลาลงสู่พื้นพสุธาเบื้องล่าง พร้อมกับลมหอบหนึ่งที่พัดโบกจนแมกไม้ในหิมพานต์แถบนั้นไหวเอน นาคีรับใช้ที่กำลังเลือกเฟ้นดอกบัวอยู่ต้องรีบยกมือขึ้นป้องลม เพื่อมิให้ไรฝุ่นที่คละคลุ้งเข้าตานาง
สายลมสงบลงพร้อมกับครุฑหนุ่มที่กลับคืนสู่ร่างบุรุษเลอลักษณ์ นาคีรับใช้จึงได้สาวเท้าเข้าใกล้ผู้มาเยือน ถึงจะแปลกใจไปบ้างที่อนิลโบยบินมายังสระบัวลึกลับแห่งนี้ได้ แต่นางก็ไม่ได้ไต่ถามอะไรออกไป นอกจากย่อกายลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ
“องค์อนิล”
“ข้ามาพบเกล็ดมณี”
“เอ่อ...” นางอ้ำอึ้ง นั่นเพราะตอนนี้องค์หญิงของนางกำลังอยู่ในห้วงสมาธิที่ใต้สระบัวลึกลับ และมิต้องการให้ผู้ใดขัดการบำเพ็ญเพียรนั้น “องค์หญิงทรงเข้าสมาธิอยู่เพคะ มิบังควรที่จะรบกวนพระนาง”
“ถ้าเช่นนั้นข้าจักรอที่นี่” สิ้นเสียงเอ่ย ร่างบุรุษเลอลักษณ์พลันหายวับไปกับตา แล้วปรากฏกายอีกครั้งที่ตั่งไม้สักใต้ต้นกัลปพฤกษ์ร่มรื่น
องค์อนิลมาที่นี่ได้อย่างไรกัน...
ตลอดเจ็ดร้อยปีมานี้ผู้ที่ผ่านเข้า-ออกสระลึกลับแห่งนี้ได้มีเพียงนางและผู้เป็นนายเท่านั้น ธารทิพย์แหงนหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบน ยามนี้ตะวันก็คล้อยไปมากแล้ว ถึงแม้จะสงสัยในการปรากฏกายขององค์อนิลแต่นางก็เอ่ยถามสิ่งใดออกไป นางเนรมิตพานทองคำพร้อมกับถ้วยกระเบื้องลายครามขึ้นมา แล้วเดินเก็บน้ำหวานจากเกสรดอกบัวสุวรรณพรรณราย ก่อนนำไปมอบให้แก่อนิลตามธรรมเนียมเจ้าของสถานที่ ยามมีแขกเหรื่อย่อมต้องต้อนรับ
“สิ่งนี้คืออะไร” เขาเอ่ยถามเมื่อได้กลิ่นหอมเย้ายวนโชยออกมาจากของเหลวสีสุวรรณระเรื่อภายในถ้วย
“น้ำหวานจากเกสรบัวสุวรรณพรรณรายเพคะ”
“น้ำหวานหรือ”
เขาใช้ช้อนบรรจงตักมันขึ้นมาดอมดม และพบว่ากลิ่นหอมนั้นเย้ายวนชวนให้ลิ้มลอง แต่ขณะที่มองไปยังใบหน้าของนาคีรับใช้ สัญชาตญาณในการระแวดระวังก็ทำให้ตื่นตัว ด้วยเคยได้อ่านตำราออกรบมาบ้าง
“พระองค์ทรงจับจ้องหม่อมฉันด้วยเหตุอันใดเล่าเพคะ” นาคีรับใช้รีบเอ่ยถามอย่างร้อนรน
“ข้ามิได้เป็นโอปปาติกะ...” เขาเอ่ยตามสัตย์จริง ทั้งที่มิใช่เรื่องที่จำเป็นต้องมาสาธยายให้นาคีรับใช้อย่างนางได้รับรู้ แต่เขาถือความจริงใจเป็นหลักจึงบอกไปตามตรง “หากสิ่งที่อยู่ในถ้วยกระเบื้องนี้มีพิษของเจ้าปะปนอยู่ แล้วข้ารับมันเข้าไปตรงๆ แบบนี้ เห็นทีข้าคงมิได้พบหน้าองค์หญิงของเจ้าเป็นแน่” อนิลเทน้ำหวานในช้อนกลับเข้าถ้วย แล้ววางมันลงในที่สุด
ธารทิพย์หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย แต่เมื่อสบสายตาที่จับจ้องมาของอนิล นางพลันรีบสงวนท่าทีรักษาภาพลักษณ์การเป็นเจ้าของสถานที่ที่ดี วางตัวเรียบร้อยมิต่างจากแม่บ้านแห่งวิมานสระบัวที่ต้อนรับแขกท่านนี้ด้วยความจริงใจ
“พระองค์ทรงวางพระทัยได้เพคะ การคายพิษแต่ละครั้งจำเป็นต้องใช้พลังมาก หากมิจำเป็นจริงๆ พวกเราเหล่านาคีมิคายพิษหรอกเพคะ”
“ข้าจักเชื่อใจเจ้าได้อย่างไรเล่า...” เขาเลิกคิ้วพลางกอดอก
ธารทิพย์เองก็มิรู้ว่าควรอธิบายอย่างไรให้ครุฑตรงหน้าเข้าใจเจตนาอันดีของนาง ได้แต่ยกมือพนมพร้อมถวายสัตย์สาบาน ภายใต้ท้องนภาแจ่มใส และต่อหน้าครุฑหนุ่มผู้ซึ่งแสดงความสัตย์จริงออกมา นางเผยยิ้มละไมหมายให้เขาเห็นถึงความจริงใจของนางเช่นกัน
“เจ้าเองก็ดูจะหวงแหนองค์หญิงของเจ้าเสียเหลือเกิน เจ้าอาจจะมิชอบขี้หน้าข้าก็เป็นได้”
“หม่อมฉันขอถวายสัตย์สาบานต่อองค์พระแม่ลักษมีเทวีเลยเพคะ ว่าหม่อมฉันมิได้เจือพิษลงไปในน้ำหวานจากเกสรดอกบัวแม้เพียงน้อย”
อนิลยังมีท่าทีลังเลอยู่บ้าง แต่สักพักก็เผยยิ้มซุกซน เขาใช้ช้อนตักน้ำหวานขึ้นมาครึ่งช้อน แล้วลองชิมรสชาติดู ใบหน้าที่หล่อเหลายามนี้แสดงออกถึงความาสึกเปรมปรีดิ์กับรสชาติหอมหวานแปลกใหม่ ที่เพิ่งเคยได้ลิ้มลอง
น้ำหวานจากเกสรดอกบัวสุวรรณพรรณรายนี้ นอกจากให้รสหวานละมุนมิต่างจากน้ำผึ้งป่าหายากแล้ว ยังมีกลิ่นหอมติดลิ้นไปนานถึงสามวันเจ็ดวัน ผู้ที่ได้ดื่มกินล้วนคงความเยาว์วัย แถมกลิ่นกายยังหอมหวนด้วยกลิ่นดอกบัวอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะอีกด้วย
“เป็นอย่างไรบ้างเพคะ” นางรีบถามเมื่อเห็นว่าเขาแสดงความพึงใจออกมาทางสีหน้า
“รสเลิศกว่าที่ข้าคิดไว้”
“หากต้องการเพิ่มทรงบอกหม่อมฉันได้นะเพคะ ที่นี่องค์หญิงทรงบำเพ็ญเพียร มิได้เสวยเนื้อสัตว์ใดๆ จึงมีเพียงน้ำค้างจากยอดพฤกษาและน้ำหวานจากเกสรบัวนี่แหละเพคะ”
“มิน่าล่ะ กลิ่นกายนางจึงหอมอบอวลด้วยกลิ่นของดอกบัวแห่งนี้”
“ตอนนี้กลิ่นกายขององค์หญิงเปลี่ยนไปแล้วเพคะ...”
คำพูดของนาคีรับใช้ทำให้อนิลรู้สึกสงสัย แต่เขาเพียงยักไหล่และวางช้อนกระเบื้องลงบนพานข้างถ้วย เพราะพอจักเดาได้ว่าธารทิพย์จักพูดสิ่งใด
“กลิ่นของบุปผชาติที่หม่อมฉันมิอาจจำแนกได้ว่าเป็นกลิ่นของบุปผาชนิดใด เหมือนกับกลิ่นของ...”
“กลิ่นของข้า...” อนิลตัดบท เมื่อเห็นว่านางพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงตอบรับ เขาก็หัวเราะชอบใจ “เจ้าเองก็เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวใช้ได้ จักหลอกถามข้าสินะว่าข้าคิดอย่างไรกับนาง”
“หากพระองค์ทรงทราบ หม่อมฉันก็มิอาจหลอกถามพระองค์ได้หรอกเพคะ แต่หมายให้พระองค์ทรงตอบตามความเป็นจริง”
“ข้ามิตอบ...” เขายิ้มเย้า ถึงแม้ใบหน้านั้นจักเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์ที่ทำให้บรรดาสาวๆ ส่วนใหญ่ตกหลุมรักองค์อนิลผู้นี้เข้าอย่างเลี่ยงมิได้ ผิดแผกไปจากธารทิพย์ที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ครุฑหนุ่มเห็นทีท่าขุ่นข้องหมองใจจึงจำต้องเอ่ยเสริม “เจ้ามิต้องมาถามข้าหรอกน่า หากเจ้าอยากรู้เรื่องราวอันใดก็ไปถามเกล็ดมณีเองเถิด”
“ก็พระนางมิบอกหม่อมฉันนี่เพคะ”
“เจ้าลองถามนางแล้วหรือยังเล่า”
“ถามแล้วเพคะ...” ใบหน้างามงอง้ำ ด้วยน้อยใจที่นายเหนือหัวปกปิดนางในบางเรื่องราว “แต่พระนางก็มิทรงเอ่ยสิ่งใดออกมาเลยเพคะ”
“เจ้าคงยังพยายามมิมากพอ”
“หม่อมฉันถวายการรับใช้องค์หญิงมาเนิ่นนานแล้ว...” นาคีรับใช้เอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ
อนิลเผยยิ้มกริ่ม ด้วยมีแผนการบางอย่างปรากฏขึ้นในห้วงของความคิด เขาจักต้องทำการใดสักอย่างเพื่อชักนำให้เกล็ดมณีออกจากสมาธิและขึ้นมาพบหน้าตนเร็วขึ้น
“แต่เรื่องบางเรื่อง องค์หญิงก็มิบอกกับหม่อมฉันตามตรงนี่เพคะ”
หากยั่วให้ธารทิพย์โมโหและโวยวายเสียงดัง นางจักต้องขึ้นมาปรามแน่...
เมื่อคิดได้ดังนั้น กายากำยำจึงหยัดหลังตรง ทอดสายตามองไปยังสระบัวสุวรรณพรรณรายที่มีเนื้อที่หลายโยชน์ สายลมเย็นโชยพัดพร้อมกับเสียงสะท้อนของวิหคป่าดังก้องตามมา เขาเหลียวไปมองริมฝีปากที่ยังคงยู่อยู่ อีกทั้งสีหน้าก็ฉายชัดถึงความอยากรู้ในห้วงความคิดของเขา จึงขยับกายเข้าหานาคีรับใช้เพิ่มอีกหน่อย
“เอาแบบนี้ดีหรือไม่...” นาคีรับใช้หูผึ่ง เมื่อคาดเดาไปว่าอนิลคงจะยอมบอกบางอย่าง “ข้ามอบทองคำให้เจ้าหนึ่งถุง แลกกับการที่เจ้าเล่าเรื่องราวของนางให้ข้าฟัง”
“หม่อมฉันมิใช่บ่าวที่ขายเจ้านายกินหรอกนะเพคะ!” นางตวาดลั่น
อนิลมีท่าทางพอใจอย่างเห็นได้ชัด เขาเพียงแค่ต้องการแหย่นางให้อารมณ์เสียก็เท่านั้น ยิ่งโวยวายมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะนั่นจะช่วยปลุกนาคีที่กำลังเข้าสมาธิให้ออกจากสมาธิได้เร็วขึ้น เพราะเกล็ดมณีก็ดูจะเป็นห่วงเป็นใยนาคีรับใช้ของนางมิใช่น้อย ดังนั้น ยิ่งอีกฝ่ายโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาจึงยิ่งหยอดคำพูดเพิ่มเข้าไปอีก เพื่อสุมไฟนั้นให้ลุกโชน
“เจ้าอย่าคิดมากไป งั้นข้าเพิ่มอัญมณีให้เจ้าด้วยอีกสองหีบเป็นอย่างไร”
“องค์อนิลเพคะ หากพระองค์ทรงใช้ทรัพย์สมบัติในทางมิชอบเช่นนี้ ในภายภาคหน้าจักเป็นผู้นำของเหล่าครุฑได้อย่างไร...”
ดีมากธารทิพย์ เจ้าเสียงดังขึ้นอีก...
เมื่อเข้าใจไปว่าอีกฝ่ายคิดจะซื้อตนด้วยทรัพย์ ธารทิพย์พลันสติแตก กล่าวคำต่อว่าอนิลเสียงดังไม่หยุด เสียงนั้นก้องสะท้อนเข้าไปจนถึงโสตประสาทแห่งความนิ่งสงบของเกล็ดมณีซึ่งกำลังนั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ในห้วงสมาธิ ณ วิมานเบื้องล่างสระลึกลับ
เกิดเหตุใดขึ้นที่ด้านบน...
เกล็ดมณีลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ แม้ออกจากสมาธิแล้ว นางก็ยังคงได้ยินเสียงของธารทิพย์กำลังต่อว่าใครบางคน การพูดจานั้นจักว่าสนิทสนมก็มิใช่ เคารพก็มิเชิง นางพิเคราะห์ดูแล้วเห็นว่าหากเป็นสัตว์น้อยใหญ่คงมิอาจทำให้ธารทิพย์ถึงกับใช้คำพูดแบบนี้ แต่หากเป็นผู้อื่นที่ผ่านเข้ามาภายในสระบัวลึกลับโดยบังเอิญได้กันเล่า
ยามเมื่อหวนคิดถึงผู้ที่เข้ามาในเขตสระบัวลึกลับแห่งนี้ได้ก็เห็นจะมีเพียงเจ้าของเส้นขนสีดำขลิบปลายด้วยสีทองทุกเส้นขนเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่สามารถหาสระบัวลึกลับแห่งนี้พบ
“อนิล...”
ทันทีที่คิดได้ ร่างที่นั่งขัดสมาธิพลันหายวับไปปรากฏเหนือดอกบัวดอกใหญ่ในท่วงท่ายืนหยัดสง่างาม มองไปยังอนิลซึ่งอมยิ้มกริ่ม ขณะที่ธารทิพย์ยังมิหยุดกล่าววาจาสั่งสอนอีกฝ่าย ทำให้นางมีใบหน้างุนงง
“หลายร้อยปีมานี้หม่อมฉันมิได้อยากใช้คำพูดเหล่านี้กับผู้ใด เห็นทีจะมีก็แต่เพียง...”
“ธารทิพย์”
เสียงของเกล็ดมณีทำให้ธารทิพย์ตกใจจนตาเบิกโพลงหยุดกล่าววาจาเหล่านั้นทันที ก่อนจะค่อยๆ หันไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่เบื้องหลังในท่วงท่าสงบ แล้วรีบยอบตัวลงนั่งพับเพียบบนใบบัวที่อยู่ใกล้ที่สุด ก้มหน้าลงต่ำ เสมองผืนน้ำใสสะอาดในสระลึกลับเพื่อหลบสายตาตำหนิของนายเหนือหัว
“องค์หญิง...” นางเอ่ยอย่างเก้อกระดากด้วยเกรงว่าผู้เป็นนายจักเสียหน้าที่นางเสียมารยาทกับผู้มาเยือน
ส่วนอนิลก็คงมิต้องพูดถึง เขาหลุดหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข มิได้เกรงใจนัยน์ตาดุดันที่ถูกส่งมาโดยนาคีที่เขาหมายมาพบ เขาเอาแต่จ้องมองนางพลางอมยิ้มกรุ้มกริ่ม ด้วยชอบใจที่แผนการของตนลุล่วงด้วยดี
“เสียงของเจ้าดังไปจนถึงวิมานเบื้องล่างเชียวหนา”
“ขออภัยเพคะ”
“ไยเจ้ามิมีสติ...” เกล็ดมณีตักเตือนพร้อมก้าวเดินมาหานาคีรับใช้ นางเหลียวไปมองอนิลก็พบกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ จึงรู้ได้ทันทีว่านี่เป็นกลอุบายของเขาที่จะปลุกนางออกจากการนั่งสมาธิ “เขาเพียงแต่ใช้เจ้าเป็นเครื่องมือเพื่อปลุกข้าออกจากห้วงสมาธิ ไยเจ้าตามเขามิทันเล่า”
“ขออภัยจริงๆ เพคะ ก็องค์อนิลตรัสว่าจะซื้อหม่อมฉันด้วยอัญมณีและทองคำ แลกกับเรื่องราวขององค์หญิงนี่เพคะ หม่อมฉันเลยมิอาจเพิกเฉยต่อสิ่งนั้นได้”
“เจ้าพูดอย่างนั้นจริงหรือ” คราวนี้เกล็ดมณีหันไปคาดคั้นเขาเสียงเข้ม
“ใจเย็นๆ ก่อนหนา อย่างที่เจ้ารู้...” เขาลุกขึ้นจากที่ประทับ แล้วตรงเข้ามาหานางในทันที “มันเป็นแค่กลอุบาย”
เกล็ดมณีหันมาพยักพเยิดกับธารทิพย์เป็นเชิงบอกให้นางถอยออกไปจากที่ตรงนั้น นาคีรับใช้ยอบตัวลงเล็กน้อย ก่อนลุกขึ้นแล้วเดินห่างออกไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้สนทนากันตามลำพัง
เกล็ดมณีเดินนำอนิลไปยังตั่งไม้สักที่เขาเพิ่งลุกออกมา แต่เนื่องจากที่นั่งตรงนี้มีเพียงที่เดียวนางจึงผายมือให้เขาซึ่งเป็นแขกเป็นเชิงบอกให้นั่งลง ส่วนนางนั่งพับเพียบลงบนใบบัวที่อยู่มิห่างจากที่ตรงนั้นนัก เพื่อสนทนากับผู้ที่ดั้นด้นมาไกลเพื่อพบหน้านาง
“เจ้ามาที่นี่มีเหตุอันใด”
“อีกมิกี่วันข้างหน้าจักเป็นวันดิวาลี”
“ดิวาลีหรือ”
“ถูกต้อง...” อนิลหยัดกายตรงแล้วส่งยิ้มไปให้นางที่อยู่ห่างจากเขาไปกว่าหนึ่งวา “องค์วิหรุตทรงให้ข้าเตรียมของสักการะแด่องค์เทพและเทพี ข้ามิรู้ว่าจักมอบสิ่งใด จึงอยากได้ดอกบัวสุวรรณพรรณรายของเจ้าไปมอบแด่ทั้งสองพระองค์ เจ้าจักอนุญาตให้ข้านำดอกบัวเหล่านี้ไปได้หรือไม่”
เกล็ดมณีส่งยิ้มกลับไปในทันที ปกติหากมีผู้ใดเอ่ยนาม ‘วิหรุต’ ให้ได้ยิน นางมักรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกมิถูก แต่ตอนนี้นางกลับมิรู้สึกเช่นนั้น รอยยิ้มที่ปรากฏบ่งบอกถึงความเปรมปรีดิ์ในใจของนาง ที่สามารถปล่อยวางความทรงจำแสนโหดร้ายนั้นลงได้ ยิ่งนางแย้มยิ้มมากเท่าใด เหล่าดอกบัวสุวรรณพรรณรายเหล่านั้นยิ่งเบ่งบาน และส่งกลิ่นหอมหวนมากยิ่งขึ้นไปอีก คล้ายกับพวกมันพลอยสุขสมไปกับความสุขที่นางคู่ควร
“หากเจ้าประสงค์จะนำดอกบัวสุวรรณพรรณรายนี้ไปสักการะแด่ทั้งสองพระองค์...” เขาจับจ้องรอยยิ้มของนางจนแทบลืมหายใจ ความโสภาตรงหน้านี้มิต่างจากสายน้ำเย็นชโลมจิตใจ ทำให้หัวใจครุฑหนุ่มเต้นแรงได้อย่างเหลือเชื่อ “ข้าก็ยินดีมอบให้เจ้า”
“ขอบคุณเจ้ามาก”
“ให้ข้าช่วยเจ้าเลือกเถิด” เกล็ดมณีพูดจบก็ลุกขึ้นจากใบบัวที่นางนั่งอยู่
อนิลเห็นดังนั้นก็หมายจะเดินตามร่างบางไป แต่ปลายเท้าที่หมายย่างเหยียบบนใบบัวบางเฉียบพลันชะงัก กายาสูงนิ่งงันไปพลางจับจ้องไปยังใบบัวเหล่านั้นอย่างมิค่อยไว้วางใจเท่าไหร่ นั่นเพราะรู้ดีว่าร่างบางของเกล็ดมณีสามารถเดินบนใบบัวได้อย่างสบายเป็นเพราะกระแสแห่งวารีที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่าง ส่วนเขานั้นเป็นวิหค กระแสแห่งวายุมักรุนแรงและแปรปรวนมากกว่า และมิเคยเดินบนใบบัวหรือยืนบนผิวน้ำมาก่อน จึงเกรงว่าจักทำเรื่องขายหน้า อย่างเช่นการพลัดตกลงไปในน้ำจนทำให้นางขำขัน แต่หากจะบอกนางไปตามตรง เขาก็เกรงจักเสียเชิงชาย ใบหน้าหล่อเหลายามนี้จึงฉายชัดถึงความวิตก นัยน์ตาที่เคยซุกซนฉายชัดถึงความกังวล
“เอ่อ…คือว่า... ข้าต้องเดินบนใบบัวเช่นนั้นหรือ”
“ทำไมเล่า...” เกล็ดมณีส่งยิ้มหวานห้พร้อมผายมือเชื้อเชิญ เหล่าดอกบัวโดยรอบพลันขยับไปมาเหมือนตอบรับกระแสทิพย์แห่งวารีในกายนาง “เจ้ากลัวน้ำหรือ”
“มิใช่เช่นนั้น ข้าเพียงแต่มิเคยเดินบนใบบัวมาก่อน กระแสทิพย์แห่งข้าก็เป็นวายุ มิใช่วารี”
“เจ้าจึงเกรงว่าจักทำใบบัวเหล่านี้ขาดวิ่น แล้วตกลงไปในน้ำใช่หรือไม่” เกล็ดมณีหลุดหัวเราะออกมาอย่างชอบใจเมื่อรู้ทันความคิดเขา
อนิลในตอนนี้มิต่างจากบุรุษลุ่มหลงในวังวนแห่งรัก รอยยิ้มขำขันที่เกล็ดมณีกำลังกระทำอยู่ตอนนี้จึงเปรียบเสมือนนางได้เปิดอ้ากรงทองคำตอบรับความรู้สึกของเขา ทั้งความร่าเริงสดใส และท่วงท่าสง่างามสมเป็นนาคีชั้นสูง เขามิหมายให้ผู้ใดได้ยลความงามนี้ยกเว้นตน
หากทำให้เจ้าเผยรอยยิ้มเช่นนี้ให้ข้าได้ยลทุกเมื่อเชื่อวัน ต่อให้ข้าต้องตกน้ำสักกี่ร้อยกี่พันครั้งข้าก็จักยอม...
เมื่อสิ้นห้วงความคิด ถึงแม้จักต้องเปียกปอนด้วยหยาดวารีแห่งสระลึกลับ เขาก็จำยอมแต่โดยดี เมื่อมิมีสิ่งใดให้ต้องกังวลอีก เขาจึงสาวเท้าเหยียบย่างลงบนบัวใบแรกอย่างใจเย็น พยายามควบคุมกระแสทิพย์แห่งวายุให้แผ่วพลิ้วที่สุดเท่าที่เคยกระทำมา ผลลัพธ์ที่ได้ล้วนเป็นที่พอใจของเขายิ่งนัก
มิได้ยากอย่างที่คิด...
เมื่อมิได้ทำให้บัวใบนั้นขาดวิ่นเช่นที่เกรงจึงสาวเท้าเดินไปเรื่อยๆ สู่ใบต่อๆ ไป ตรงเข้าหาร่างบางที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว แต่ยิ่งเข้าใกล้เกล็ดมณีก็ยิ่งรู้สึกคล้ายกับว่าใบบัวที่อยู่รอบกายของนางมีความบางกว่าใบอื่นอยู่มาก ยามเขาสาวเท้าเหยียบใบบัวที่อยู่ห่างจากนางไม่กี่วา ใบบัวนั้นกลับขาดวิ่นเช่นที่เขาเกรงกลัวแต่แรก ร่างของเขาค่อยๆ ตกลงสู่วารีเย็นเยียบในทันใด
สมใจเจ้าแล้วอนิล เจ้าจักได้เห็นใบหน้าขำขันของนางอีกคราแล้ว...
อนิลแทบจักทิ้งกายสูงลงนอนหงายในสายวารีของสระลึกลับแห่งนี้ เขารีบจับจ้องไปยังใบหน้าของเกล็ดมณีหมายว่าจะได้เห็นนางหัวเราะเยาะ แต่ชั่วพริบตาที่เขามิคาดคิด ร่างบางพลันปรากฏกายขึ้นใกล้ๆ กับตน มือเรียวฉวยข้อมือของเขาไว้เพื่อฉุดรั้งมิให้เขาตกลงสู่กระแสวารีเบื้องล่าง ใต้เท้าของเขารับรู้ได้ถึงความเย็นเยียบและสดชื่น มันมิได้เป็นสายวารีจากสระลึกลับ แต่เป็นกระแสทิพย์แห่งวารีจากนางต่างหาก
“เจ้าคงมิคิดว่าข้าจักปล่อยให้เจ้าตกลงไปจริงๆ ใช่หรือไม่”
“ข้าคิด...” ทันทีที่เขาพูดเช่นนั้นเกล็ดมณีก็คลายมือที่จับข้อมือหนา เพื่อทำในสิ่งที่เขาคิด อนิลจึงถือวิสาสะฉวยคว้าข้อมือของนางไว้เสียเอง “ข้าขอโทษ ข้าจักมิยั่วโมโหเจ้าแล้ว”
เมื่อได้สัมผัสกายกันและกันเช่นนี้แล้ว ห้วงกาลคล้ายหยุดนิ่ง สุรเสียงโดยรอบเงียบงันจนมิมีสิ่งใดดังไปกว่าเสียงหัวใจของทั้งสอง ที่ยามนี้ดังกังวานจากการโห่ร้องเพรียกหา จนเกิดเป็นกระแสแห่งห้วงคำนึงที่ดึงดูดกันโดยมิใช่เหตุบังเอิญ
เกล็ดมณีจ้องมองอนิลในระยะที่ใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย หัวใจของนางที่เหมือนกับตายไปพร้อมคำตัดสินให้มาบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่ ได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาแล้วอย่างเป็นทางการ มันเต้นแรงจนแทบทะลุออกมาโลดแล่นเบื้องนอก แถมยังให้ความรู้สึกอุ่นวาบ มิต่างจากเปลวเพลิงจากแสงสุริยาที่ขับไล่หมอกหนายามเหมันต์ แทนที่ความหนาวเหน็บด้วยความอบอุ่นที่ยากจะหาได้จากชายใด
ข้ามีความรู้สึกต่อเจ้ารุนแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ...
นางคิดพลางลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก นั่นเพราะเมื่อได้อยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ ความเสน่หาจากใบหน้าแสนเย้ายวนกลับทำให้นางรู้สึกอยากครอบครอง อาจเป็นความปรารถนาที่เคยมีเมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน ทำให้นางเริ่มถวิลหาใครสักคนมาเคียงคู่ หมายจะได้อุ้มนาคาตัวน้อยเพื่อคลายเหงา แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ จักให้นางเปิดเผยความรู้สึกของตนออกไปก็เกรงว่ายังทำมิได้ นางอยากแน่ใจถึงความสัตย์จริงและความแน่วแน่จากเขาเสียก่อน เพื่อมิให้เกิดเหตุซ้ำรอยซึ่งนำไปสู่พิษรักที่นางเพิ่งลืมเลือนมันไปได้
ข้าจักทนต่อไปได้หรือไม่...
มิใช่แค่นางที่กำลังหักห้ามใจตัวเอง บุรุษบริสุทธิ์ที่มิเคยข้องแวะสตรีใดมาหลายร้อยปี ยามนี้กลับถูกใจในรูปโฉมของสตรีเบื้องหน้าก็แทบควบคุมอารมณ์ตัวเองมิอยู่ ด้วยหมายรวบร่างอรชรเข้ามากอดแนบอกแกร่ง ให้ผิวกายสัมผัสซึ่งกันและกัน ขับไล่ความหนาวกายขณะเดียวกันก็ส่งความอบอุ่นเข้าไปยังเบื้องลึกแห่งห้วงหทัย แต่ไม่สามารถกระทำได้ดั่งใจคิด เขามิอาจเปิดเผยความในใจออกไปแบบรีบร้อน แม้ว่าเขาจักรักนางด้วยใจจริง แต่ก็มิอาจทำให้เกียรติของนางมัวหมองได้
“อนิล”
นับตั้งแต่ที่ได้พบหน้ากัน นี่เป็นครั้งแรกที่นางเอ่ยนามของเขา อนิลรู้สึกร่างกายเบาหวิวมิต่างจากปุยนุ่นเมื่อเสียงหวานขานชื่อเขาออกมาโดยตรง ยามสายวายุเย็นเยียบพัดผ่าน ร่างของเขาแทบปลิดปลิวไปตามแรงลมเฉื่อยฉิวนั้น
นางเพรียกหาข้า...
เขาหวนคิดซ้ำๆ พร้อมทั้งความฟุ้งซ่านที่ประดังเข้ามาในหัว ตอนนี้มิต่างจากหนุ่มน้อยที่มิกล้าแม้เพียงประชิดตัวสตรี ความไร้เดียงสาครอบงำเขาจนหมดสิ้น นัยน์ตาพราวเสน่ห์สั่นไหวคล้ายลังเลในสิ่งที่ตนหมายกระทำ
ปลุกข้าที ปลุกข้าจากห้วงกาลอันเป็นนิรันดร์นี้ที หากข้ามิตื่นขึ้นมา ข้าอาจหักห้ามใจตัวเองมิได้...
“อนิล...”
เสียงเรียกจากนางครั้งนี้ปลุกเขาให้มีสติจากภวังค์ ใบหน้างามยามนี่ซับสีชมพูระเรื่อ บ่งบอกถึงความเขินอายที่ก่อเกิดขึ้นในใจของนางเด่นชัด มิใช่เพียงแต่นาง ครุฑหนุ่มเองก็รู้สึกร้อนเร่าบริเวณใบหน้าของตนด้วยเช่นกัน
“เจ้ามิเป็นไรใช่หรือไม่”
“ข้ามิเป็นไร”
ทั้งสองกลับสู่ภาวะปกติ สรรพสิ่งโดยรอบกลับมาดำเนินตามครรลองของมัน พวกเขามิอาจรู้ได้ว่าช่วงเวลาแห่งการจ้องตากันเมื่อครู่กินเวลาไปนานเนิ่นเพียงไร เห็นทีจะมีก็แต่เพียงธารทิพย์กระมังที่รับรู้ เพราะนางลอบจับตาดูทั้งสองอยู่ห่างๆ ตั้งแต่ต้น ประเดี๋ยวอมยิ้ม ประเดี๋ยวเขินอายแทนผู้เป็นนายเหนือหัว ทั้งยังลอบคิดจินตนาการไปไกลแล้วว่าหากนาคีน้อยหรือครุฑน้อยถือกำเนิดขึ้นมา จักมีความน่ารักน่าชังเพียงใด
“ไปเลือกดอกบัวต่อเถิด”
กระแสทิพย์แห่งวารียังคงโอบล้อมรอบกายของอนิลไว้ เกล็ดมณีก้าวเท้าออกเดินหาดอกบัวที่เหมาะสมกับการมอบแด่เทพและเทพีทั้งสอง นางยกมือขึ้นมาเบื้องหน้าก่อนเนรมิตกระถางทองคำประดับรัตนะสวยสด ก่อนยื่นให้อนิล เจ้าครุฑที่ตัวสูงกว่าก็รับไปถือไว้อย่างว่าง่าย สาวเท้าเดินตามผู้ที่กวาดสายตาเฟ้นหาดอกบัวสุวรรณพรรณรายที่เหมาะสมที่สุดด้วยใจตั้งมั่นเงียบๆ แต่เมื่อเห็นว่านางมิเด็ดดอกบัวขึ้นมาสักดอก เขาจึงอดถามมิได้
“เจ้าพินิจสิ่งใด”
“ก็พินิจดอกบัวน่ะสิ”
“ข้าว่ามันก็มิต่างกันเท่าใดนัก” เขาเอ่ยด้วยความไร้เดียงสาตามประสาบุรุษ
“มันต่างกันตรงนี้...” เกล็ดมณีก้มลงไปเด็ดบัวดอกหนึ่งขึ้นมาให้อนิลดู “ดอกบัวที่เหมาะสมควรมีขนาดใกล้เคียงกับฝ่ามือ ลักษณะเป็นทรงกระพุ่มเหมือนคนพนมมือ และต้องไล่สีเข้มไปอ่อนจากปลายกลีบแล้วค่อยจางลงเรื่อยๆ จนถึงโคนกลีบแบบนี้”
“อ้อ! ข้ามิรู้มาก่อน”
“เพียงเท่านั้นยังมิพอหรอกหนา”
เกล็ดมณีพาเขาเดินไปจนทั่วสระบัวเพื่อเลือกเฟ้นหาดอกบัวที่สวยงามที่สุด จนได้ดอกบัวที่ปักอยู่ในกระถางทองคำประดับอัญมณีทั้งสิ้นสิบเจ็ดดอก เมื่ออนิลเดินนำนางมายังตั่งไม้สักทองแล้ววางกระถางบัวลงบนนั้น เกล็ดมณีก็ยื่นมือไปสัมผัสกลีบบัวแผ่วเบา ดอกบัวที่อยู่ในกระถางพลันงอกรากและผลิใบ มีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์
“นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก”
“มันจะผลิบานในวันดิวาลี...” นางหันไปบอกเขา และได้รับรอยยิ้มภาคภูมิตอบกลับมาจากอนิล เขาสะบัดมือเพียงครั้งเดียว กระถางทองคำพลันมลายหายไปพร้อมสายลมที่พัดผ่าน “นี่คงเป็นของขวัญที่ดีที่สุดก็ว่าได้”
“เจ้าจักไปหรือไม่...” เขาเอ่ยถามเพราะหมายมารับนางไปเคียงข้าง “ที่เกษียรสมุทร”
“เดิมทีข้ามิออกจากสระบัวแห่งนี้ไปยังสถานที่อื่นหรอกหนา”
“ขนาดพระจุฬามณีเจดีย์บนสรวงสวรรค์เจ้ายังไปสักการะมาแล้ว ไยผู้ที่เจ้าเคารพนับถือเช่นองค์วิษณุเทพและพระแม่ลักษมีเทวี เจ้าไยมิไปสักการะเล่า”
“ข้ามีความทรงจำมิดีเท่าไหร่ในสถานที่แห่งนั้น” เสียงของนางหมองหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
“ข้า...” เพราะการคะยั้นคะยอของเขาทำให้นางนาคีที่สดใสร่าเริงเมื่อครู่มีทีท่าเปลี่ยนไป นั่นทำให้เขารู้สึกผิดขึ้นมาจนมิอาจเอ่ยสิ่งใดออกไปได้อีก นอกจากคำพูดที่คิดว่าน่าจะทำให้นางรู้สึกดีขึ้น “ข้าขอโทษ”
“มิเป็นไรหรอก...” นางหันมาส่งยิ้มให้ “เรื่องมันผ่านมาเนิ่นนานกว่าเจ็ดร้อยปีแล้ว ข้าเชื่อว่าข้าสามารถก้าวข้ามมันไปได้”
“หากเจ้ามิประสงค์ไปที่แห่งนั้น ข้าก็มิเซ้าซี้”
“ขอบคุณเจ้ามาก”
“แต่ข้ามีเรื่องอยากขอร้องเจ้า”
“เจ้ามีเรื่องอันใดอีกหรือ” เกล็ดมณีงุนงง ดูเหมือนว่าการมาเยือนของเขาในครานี้จักมากด้วยปัญหายิ่งนัก
“เจ้ารู้อยู่แล้วใช่หรือไม่ว่า ดิวาลีถูกเรียกอีกอย่างว่าเทศกาลแห่งแสงสว่าง”
“อืม...” นางตอบรับ ก่อนทบทวนถึงเทศกาลสำคัญนี้ เหล่าสาวกมักนำเปลวประทีปไปจุดบูชาแด่เทพและเทพีทั้งสอง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่นางกระทำที่สระลึกลับทุกปีเช่นกัน “ข้ารับรู้ว่าเป็นเช่นนั้น”
“ทั่วทั้งเกษียรสมุทรจักลอยดอกบัวที่ประดับด้วยเปลวเทียน เพื่อสร้างแสงสว่างโดยถ้วนทั่ว...” ฟังมาถึงตรงนี้เกล็ดมณีพลันแย้มยิ้ม ด้วยรู้ถึงจุดประสงค์ที่เขากำลังจะเอ่ยต่อจากนี้ “ข้าขอนำดอกบัวประดับเปลวเทียนของเจ้า ไปลอยที่เกษียรสมุทรพร้อมของข้าได้หรือไม่”
“ไว้ข้าจักคิดดู...” นาคีสาวพูดจบก็เดินหนีเขาไป แต่รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของนางทำให้อีกฝ่ายรู้ว่านางเองก็มีความรู้สึกดีๆ มอบให้ตนมิต่างกัน “วันก่อนดิวาลี ข้าจักออกไปเที่ยวเล่นเสียหน่อย”
“เจ้าประสงค์ไปที่ใด” อนิลเอ่ยถาม ไม่น่านางประสงค์ไปที่ใด เขาจักพานางไปเพียงแค่ให้นางบอกออกมา
“สีทันดร...” นางตอบเสียงแผ่ว “หากเจ้ามิรังเกียจ จักไปเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่”
“ข้าสามารถไปเป็นเพื่อนเจ้าได้อยู่แล้ว” อนิลเผยยิ้มจนแก้มปริ บ่งบอกถึงความดีใจที่ยากเก็บซ่อนไว้
“ถ้าเช่นนั้นพบกันก่อนรุ่งสางที่สีทันดร”
สิ้นเสียงหวาน ร่างบางพลันมลายหายกลับไปยังวิมานใต้สระบัวลึกลับ อนิลมิได้สนใจสิ่งใดโดยรอบอีก เขากลับสู่ร่างครุฑแล้วโบยบินสู่เวหา ร่อนถลาไปมาอย่างสุขสม เล่นลมมิต่างจากเด็กน้อยเพิ่งหัดบิน จนเกิดกระแสลมแรงพัดพลิ้วไปทั่วทั้งอาณาบริเวณหิมพานต์เบื้องล่าง
นี่นางชวนข้าไปสีทันดรเช่นนั้นหรือ...
ยามนี้เหล่าวิหคต่างจับจ้องดูการกระทำแสนแปลกประหลาดของครุฑหนุ่มผู้นี้ พวกมันสนิทชิดเชื้อกับเขา แต่ไยอยู่ๆ เขาจึงแสดงทีท่ามิต่างจากครุฑผู้บ้าคลั่ง เขากระพือปีกสร้างแรงลมพัดโบก ซ้ำยังทะยานทะลุเมฆาก้อนแล้วก้อนเล่า บินโฉบเฉี่ยวนางฟ้าที่สัญจรไปมาจนพวกนางแตกตื่น
“นางชวนข้าไปสีทันดร!”
เสียงตะโกนนั้นดังก้องไปในห้วงแห่งสายลม แม้หัสดีลิงค์ที่พักพิงในรวงรังยังต้องสยายปีกออกโบยบินมาหาเขา ครุฑหนุ่มบินเข้าไปลูบหัวของมันด้วยดวงหทัยที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข ซึ่งเขามิเคยได้สัมผัสมันอีกเลยนับตั้งแต่บิดาสิ้นพระชนม์ จากนั้นเขาก็อยู่อย่างโดดเดี่ยวและเดียวดาย จะมีก็แต่เหล่าวิหคในหิมพานต์นี่แหละที่คอยเป็นเพื่อนเล่นอยู่ร่ำไป แต่เมื่อได้เจอกับเกล็ดมณีเขาก็ได้พบกับความสุขที่โหยหามาเนิ่นนานอีกครั้ง
“ข้ามีความรักหัสดีลิงค์ เจ้าได้ยินหรือไม่...” มันได้ยินในสิ่งที่เขาเอ่ย เพียงแต่มิเข้าใจว่าทำไมเขาจึงต้องแสดงท่าทียินดีมากถึงเพียงนี้ “ข้ารู้จักความรักก็ตอนนี้นี่แหละ”
เมื่อเขามิหยุดตะโกน มันจึงแผดเสียงร้องประสานกับเขา ยามเขาโบยบินไปด้วยใจเสรี มันก็โบยบินตามเขาไปมิต่างจากสหายคอยเคียงคู่
ภายในวิมานเบื้องลึกใต้สระบัวลึกลับ ยามนี้เกล็ดมณีมิต่างจากสตรีที่ใช้แป้งผัดหน้าผิดสี ใบหน้าที่เคยขาวสะอาดตาซับสีแดงระเรื่อจนผิดแผกไปจากเดิมมาก แม้คันฉ่องทองคำจักแสดงภาพของสตรีแสนโสภา แต่ตอนนี้นางกลับพบว่าตนกลายเป็นสตรีหน้ามิอาย
“ข้านี่ช่างปากกล้าเสียจริง...” บ่นรำพันพร้อมทั้งกำสไบแน่น “หากเจ้ามิรังเกียจ จักไปเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่ …นี่ข้าเอ่ยสิ่งใดออกไปกันเนี่ย!”
ถึงแม้นางจะครองพรหมจรรย์มากว่าเจ็ดร้อยปี แต่ประสบการณ์เรื่องบุรุษสำหรับนางแล้วยังนับว่าอ่อนด้อยยิ่งนัก หากมินับวิหรุตที่เคยเป็นพระสวามี แต่ถึงจะเสกสมรสเข้าสู่วิมานฉิมพลี นางก็ถูกปล่อยให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง มิได้มีความรักความผูกพันอันใดต่อกัน นั่นเท่ากับว่า การที่นางได้สนิทชิดเชื้อกับเจ้าครุฑเรือนขนสีดำปลายขนสีทองคำครานี้ นับเป็นครั้งแรกที่นางเริ่มศึกษาบุรุษเพศด้วยตนเอง
“ข้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ข้าบ้าไปแล้ว”
“องค์หญิงเพคะ”
“มีอันใดหรือ!”
นาคีรับใช้ที่เคาะประตูห้องอยู่ด้านนอกหลุดหัวเราะออกมาเพราะรู้ทันในสิ่งที่ผู้เป็นนายเหนือหัวกำลังตระหนกจนเสียอาการ
“หม่อมฉันเข้าไปได้หรือไม่เพคะ”
“เข้ามาสิ...”เกล็ดมณีวางท่าทีสุขุมเยือกเย็นดังเดิม นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนหยิบหวีเงินมาสางเกศาไปพลางหมายแก้อาการเขินอายที่ยังส่งผลให้แก้มเนียนแดงก่ำอยู่บ้าง “เจ้ามีธุระอันใดหรือไม่”
“พรุ่งนี้จะเสด็จออกนอกสระบัวหรือเพคะ”
เกล็ดมณีถึงกับทำหวีเงินหล่นจากมือ นางค่อยๆ เหลียวไปมองหน้าของธารทิพย์ที่จ้องมองมาด้วยสายตาจับผิด พร้อมส่งยิ้มเจื่อนไปให้กับนาคีรับใช้ มิต่างจากผู้ที่กระทำความผิดมา แล้วถูกบุพการีจับได้ใน จึงต้องแกล้งทำใสซื่อเพื่อกลบเกลื่อน
“เจ้าได้ยินด้วยหรือ”
“เต็มสองรูหูของหม่อมฉันเลยเพคะ”
“โธ่! น่าอายที่สุด!” นางซบหน้าลงกับหมอนสามเหลี่ยมที่อิงอยู่
“มิเป็นไรหรอกเพคะ...” ธารทิพย์ขยับเข้าไปประคองใบหน้างามขึ้นมาส่องคันฉ่อง เอื้อมมือหยิบหวีเงินที่ผู้เป็นนายทำหล่นขึ้นมาช่วยสางเกศาให้ด้วยความห่วงใย “หม่อมฉันเห็นรอยยิ้มขององค์หญิงวันนี้ก็รู้แจ้งแล้วว่า ความทรงจำแสนเลวร้ายเหล่านั้นได้ถูกแทนที่ด้วยความสุขแล้ว การที่องค์หญิงจะออกนอกสระบัว หม่อมฉันย่อมเห็นด้วยอยู่แล้วเพคะ”
“เจ้ามิห้ามข้าหรอกหรือ”
“หม่อมฉันจะห้ามองค์หญิงด้วยเหตุอันใดเล่าเพคะ...” ธารทิพย์ส่งยิ้มให้ผู้เป็นนายจากภาพสะท้อนในคันฉ่อง “แต่คำว่าเมื่อมีรักที่นั่นย่อมมีทุกข์ ล้วนยังใช้ได้อยู่นะเพคะ หม่อมฉันอยากให้องค์หญิงทรงถนอมพระวรกายด้วย”
“ข้ารู้แล้ว...” นางเอ่ยเสียงแผ่ว แต่มิอาจหุบยิ้มได้ยามเมื่อคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ “ขอบใจเจ้ามาก”
...เมื่อมีรักที่นั่นย่อมมีทุกข์
ฤๅมีสุขแสนโสภาน่าหลงใหล
ความรักคือโรคาบั่นทอนใจ
ฤๅรักคือหฤทัยเคียงกมล...
เป็นนางเองที่เพียรสงสัยในห้วงคำนึง...
ความคิดเห็น |
---|