5

ปลดพันธนาการ

ปลดพันธนาการ

 

หลังจากที่ได้พบกับอนิล เกล็ดมณีก็มิสามารถบำเพ็ญเพียรได้อย่างสงบเลยแม้เพียงวันเดียว ทุกครั้งที่หลับตาลง นางกลับเห็นใบหน้าหล่อเหลานั้นปรากฏขึ้นมาท่ามกลางความมืดอันสงบเงียบนัยน์ตาคมจับจ้องมาที่นาง พร้อมรอยยิ้มซุกซนที่เขามักส่งมาให้ เพียงเท่านี้สติของนางก็แตกกระเจิงจนรู้สึกหงุดหงิดกับตัวเอง

นี่ข้าเป็นอะไรไป ไยจึงต้องคิดถึงเขามากถึงเพียงนี้...

แต่ถึงจะเพียรถามอย่างไรก็มิมีผู้ใดตอบคำถามนั้นได้ ซ้ำความรู้สึกของนางก็กำลังตีกันให้วุ่น เพราะขณะที่พยายามปฏิเสธเขา แต่ในใจกลับกำลังเรียกร้องหาแต่เขาเพียงผู้เดียว

ราตรีนี้เย็นเยียบดังเคย เกล็ดมณีย่างเท้าเบาหวิวดุจปุยนุ่น เพื่อมิให้เกิดซุ่มเสียงใดอันจะเป็นการรบกวนธารทิพย์ที่งีบหลับอยู่หน้าห้อง นางมุ่งตรงสู่ผืนน้ำด้านบน แล้วทอดมองความสงบโดยรอบเพื่อสร้างสมาธิจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ปลอบประโลมจิตใจให้สงบลง

สระบัวสุวรรณพรรณรายยามนี้เต็มไปด้วยหิ่งห้อยทอแสง บ้างหยอกล้อกันเป็นคู่ บ้างบินวนไปมาเหนือดอกบัว หมายมั่นว่านั่นคือคู่ของตน เสียงหรีดหริ่งเรไรดังระงม จะมีแว่วเสียงสิงห์ดังมาแต่ไกลบ้างเป็นครั้งครา สายลมเย็นหอบเอาความหนาวเหน็บต้องผิวกายขาวผ่อง ส่งให้ร่างบางสั่นเทิ้มจากความเย็นทุกครั้งที่สัมผัส จึงเนรมิตผ้าแพรผืนบางมาคลุมไหล่ไว้เพื่อคลายความหนาว พร้อมกับพินิจถึงเบื้องลึกของจิตใจตนโดยถี่ถ้วน เกี่ยวกับความปรวนแปรแห่งความคิดในครานี้

“หรือแท้จริงแล้ว เจ้าเข้ามาเพื่อเป็นด่านทดสอบการก้าวข้ามอดีตของข้าที่ควรลืมมันไปเสียให้สิ้น”

ร่างบางยังเยื้องย่างไปบนเหล่าใบบัวขนาดใหญ่ ท่วงท่านั้นคล้ายการเดินจงกรมก็มิปาน นางออกเดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ทุกการย่างก้าวต่างกำหนดจิตรู้ว่าพุธกับโธ แต่สมองกลับยังมิลืมเลือนการปรากฏกายของอนิลที่ทำให้หทัยของนางไหวหวั่น

‘ข้ามิรังเกียจหรอกหนา…’

สำเนียงทุ้มนุ่มดังแผ่วมากับสายลมยามวิกาล ใบหน้างามที่พยายามแสดงออกถึงความเรียบเฉยเผลอยกยิ้มที่มุมปาก นางล้วนเคยได้สดับสำเนียงนั้นมาก่อนหน้านี้ แต่กลับลืมเลือนมันไปมิได้ คล้ายยังคงแว่วมากับสายลม เพื่อย้ำเตือนถึงไมตรีที่เขาหมายมอบให้

เป็นเรื่องลำบากเสียจริง ที่ข้าดันได้ยินแต่เสียงเพรียกหาของเขา…

หลายวันมานี้เกล็ดมณีพยายามบำเพ็ญเพียรให้มากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังมิวายคิดถึงแต่เรื่องของเจ้าของเรือนขนสีดำขลิบปลายทองคำทุกเส้น รูปลักษณ์ปานรูปปั้นน่าหลงใหล เหตุใดหลายวันมานี้นางกลับมิคิดถึงวิหรุต ความเจ็บปวดที่อยู่ในใจก็มิต่างจากถูกหยาดพิรุณคอยดับร้อนจนค่อยเจือจางลง

หรือข้าต้องนึกถึงเรื่องที่เจ็บปวดที่สุด จนบันดาลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น…

ที่ผ่านมาการคิดถึงความเศร้าสลดมิต่างจากการบำเพ็ญทุกรกิริยา ที่ล้วนทรมานตนด้วยความทรงจำแสนเจ็บปวดในทุกคราที่หวนคำนึง แต่ยามนี้ตัวนางเองกลับมิรู้สึกเจ็บปวดหทัยเช่นนั้น นางจึงหมายลองก้าวข้ามอดีตแห่งพิษรักดู เพื่อจักได้พบกับความสุขครั้งใหม่ที่หมายได้รับจากผู้แปลกหน้า

ใบบัวขนาดใหญ่ใบหนึ่งมีหยาดน้ำค้างที่ร่วงหล่นจากท้องนภาเกาะตัวกันเป็นหยดน้ำทรงกลมกลิ้งไปมาบนนั้น เกล็ดมณีย่างเท้าไปกึ่งกลางบัวใบนั้น แล้วค่อยยอบกายลงนั่งอย่างเชื่องช้า ขัดสมาธิสบายๆ ก่อนวางมือขวาทับมือซ้าย มองตรงไปเบื้องหน้า หลังเหยียดตรงทรงสง่า แล้วหลับตาลงในที่สุด

 

วิมานฉิมพลี เมื่อครั้งนาคีเสกสมรสเข้ามาได้ไม่กี่เดือน

นางรับรู้ได้ในทันทีที่พิลาสมยุราปรากฏกายในครานั้น ว่าวิหรุตผู้นี้มิต่างจากบุรุษเจ้าชู้ประตูดิน ตามที่เหล่ามนุษย์ใช้เรียกชายเสเพลทั่วไป เพราะเวลาผ่านไปหลายเดือน เขากลับมิเคยมาค้างที่วิมานของนางเลยแม้เพียงครั้งเดียว มากสุดเพียงแค่แวะมาถามไถ่ แต่ไม่นานยูงทองนางนั้นจักต้องมีเหตุมาตามเขากลับไปอยู่ทุกครา เพียงเท่านี้นางก็รู้แล้วว่าเขานั้นมิได้ต้องใจในกายาของนางแต่แรก

“หม่อมฉันมิเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการปฏิบัติเช่นนี้กับองค์หญิงเพคะ”

ธารทิพย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ถึงแม้จะอยู่อย่างสุขสงบเพราะมิมีผู้ใดมายุ่งเกี่ยว แต่สิ่งที่ทำให้เกล็ดมณีเจ็บปวดในดวงหทัย คือการที่นางตกหลุมรักเจ้าของใบหน้าเย้ายวนนั้นเข้าให้แล้ว

“ช่างเขาเถิดธารทิพย์ ข้าพยายามทำใจไว้แล้วว่าอย่างไรเสียครุฑกับนาคีก็มิอาจเคียงคู่กันได้”

“องค์หญิง…” นาคีรับใช้คลานเข่าเข้ามาหา วางมือบางลงบนตักของผู้ที่นั่งร้อยพวงมาลัยดอกพุดอย่างใจเย็น มิต่างจากการหลอกตัวเองว่านางมิได้คิดริษยายูงทองนางนั้น นางเพียงแสร้งทำเป็นมิรู้มิเห็นในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เพียงเท่านั้น “ทรงสบายพระทัยหรือไม่เพคะ มิเช่นนั้นพวกเรากลับวังบาดาลกันดีหรือไม่”

“หากข้ากลับไปก็เท่ากับผิดสัญญาของสองเผ่าพันธุ์น่ะสิ”

“แต่อยู่แบบนี้ องค์หญิงก็มิมีความสุขนะเพคะ”

“ข้าทนได้…” นางเอ่ยพร้อมกับวางเข็มร้อยมาลัยยาวลงบนพาน “ตราบเท่าที่ข้าควรทน”

ห้องนอนของนาคีถูกตกแต่งด้วยผ้าแพรสีฟ้า ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นทองคำ ที่นี่มิต่างจากวิมานแสนสุข หากอาศัยอยู่ร่วมกันกับผู้เป็นสวามีอันเป็นที่รัก แต่ ณ เพลานี้ ในห้วงแห่งความรู้สึกของนาง มิต่างจากสตรีผู้โดดเดี่ยว ที่อาศัยอยู่ในสถานที่งามงดเพียงใดก็มิอาจมีความสุขได้แม้เพียงเสี้ยวนาที หากจะบอกว่าโหยหาอกอุ่นให้กกกอด ก็ดูจะเป็นหญิงมารยาไปหน่อย นางจึงมิต้องการแย่งชิงอ้อมกอดนั้นจากผู้ใด ถึงจักรู้แก่ใจว่าหทัยของตนรักเขาเข้าให้แล้ว แต่ก็ทำได้เพียงแอบรักโดยที่อีกฝ่ายมิได้สนใจไยดี

รู้ว่ารัก แต่ก็มิอาจรักกันได้…

นางปลอบใจตนเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเพื่อมิให้ตนถลำลึกไปมากกว่านี้ เพราะอย่างไรเสีย ครุฑกับนาคก็มิอาจครองคู่กันได้ คงมิต่างจากผืนฟ้าแลแผ่นน้ำ ที่ในท้ายที่สุดก็มิอาจบรรจบกันได้

“เกล็ดมณี” เสียงของวิหรุตดังมาแต่ไกล

นางเหลียวไปมองสบตากับธารทิพย์แล้วจึงรีบตรงไปตามต้นเสียง เมื่อออกมานอกห้องบรรทมก็พบกับครุฑหนุ่มที่แต่งองค์ในอาภรณ์สีงาขาวเปล่งปลั่ง ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความเปรมปรีดิ์ ซ้ำยังมีทีท่าตื่นเต้นจนเก็บอาการไว้มิอยู่ นางจึงมีความรู้สึกทั้งแปลกใจระคนหวาดหวั่นว่าจักเกิดเหตุการณ์ใด ที่อาจทำให้หทัยของนางต้องปวดร้าวเพิ่มเข้ามาอีกเป็นแน่

“พระองค์มีเหตุอันใดหรือเพคะ ไยทีท่าช่างรีบร้อนยิ่งนัก”

“เจ้าไปเปลี่ยนฉลองพระองค์ใหม่ให้งดงาม”

“เพคะ?” มิใช่การขานรับ แต่เป็นการขานด้วยความสงสัย

“อย่าชักช้าอีกเลย ราชากินนรจากหัวเมืองทางทักษิณหมายมอบบุตรีของเขาให้ข้าดูแล…” ถึงแม้ใบหน้าของเกล็ดมณีจักเปื้อนด้วยรอยยิ้ม แต่ข้างในห้วงหทัยของนางกลับกำลังกรรแสงออกมาโดยผู้ที่เป็นสวามีมิรับรู้เลย “พิลาสมยุรารู้สึกมิค่อยสบาย ข้าจึงอยากวานให้เจ้าช่วยไปรับบุตรีของราชากินนรกับข้าหน่อย”

“หม่อมฉันเป็นเพียงพระสนม เกรงว่าจักมิเหมาะมิควร”

“เจ้าเหมาะสมเป็นที่สุดแล้ว”

“ถ้าเช่นนั้นพระองค์รอหม่อมฉันสักประเดี๋ยวนะเพคะ”

วิหรุตตอบรับด้วยการพยักหน้า แล้วออกไปรอด้านนอกวิมานในทันที เกล็ดมณีเยื้องกรายกลับเข้าไปในห้องพร้อมนาคีรับใช้ ร่างกายของนางแทบไร้เรี่ยวแรงหลังจากที่ได้ยินเรื่องราวที่เขาเอ่ย ด้วยอำนาจของผู้ปกครองของเหล่าครุฑผู้ยิ่งใหญ่ เขาสามารถปฏิเสธกินนรเหล่านั้นได้อย่างมิต้องกลัวเสื่อมเกียรติที่จะมิรับของกำนัลเป็นสตรีงามแต่ขอเป็นไมตรีจิตก็ย่อมได้

แต่เขามิได้ปฏิเสธอย่างไรเล่า…

เกล็ดมณีรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกมิถูก นางนึกสงสัยอยู่ภายในว่าพิลาสมยุราจักรู้สึกเช่นนางหรือไม่ ยิ่งนางเป็นที่โปรดปรานของเขามากถึงเพียงนั้นแล้ว เหตุใดการยอมให้เขามีพระสนมมากกว่าหนึ่งเช่นนี้ นางจักทำใจยอมรับได้แต่โดยดี ซึ่งจากนิสัยของนางแล้วมิน่าปล่อยให้เป็นเช่นนั้น

“องค์หญิง” นาคีรับใช้เอ่ยเรียกด้วยรับรู้ถึงความรู้สึกภายในหัวอกของผู้เป็นนายว่าตอนนี้คงกำลังกรรแสงจนแทบขาดใจ

“มิเป็นไรหรอก…” เพียงนางหลับตา อาภรณ์สีมรกตที่สวมอยู่พลันกลายเป็นสีครามเข้มเดินไหมสีเงินยวงในทันที ข้อมือทั้งสองสวมกำไลทองลายนาคราช คล้องสร้อยสังวาลเฉวียงบ่าข้างขวา สวมต่างหูลายดอกพิกุลสีทองอร่าม เส้นผมยาวมวยไว้ด้านหลังประดับดอกไม้หอม เสียบด้วยปิ่นทองคำลายนาคาที่มักใช้เป็นประจำ “ข้าแค่เพิ่มความเจ็บปวดแก่ใจของข้าเองก็เท่านั้น”

“องค์หญิง”

“เจ้ารอข้าที่นี่…” นางหันมายิ้มที่แสร้งทำว่ามีความสุข ทั้งที่นัยน์ตามีน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างสุดกลั้น “ดูแลวิมานนี้ให้ดี ข้าไปมินานหรอก”

“เพคะ”

เกล็ดมณีเดินออกจากห้องด้วยท่วงท่าสง่างามเช่นเคย วิหรุตที่รออยู่ด้านนอกถึงกับตะลึงงันในความงดงามของนาง ในใจของเขาเองก็มิต่างจากบุรุษทั่วไป อยากรู้อยากลองในสิ่งแปลกใหม่ แต่เขากลับมิเคยแตะต้องหรือล่วงเกินนาง ถึงแม้จะเสกสมรสกันแล้วก็ตาม

เสกสมรสเพื่อยุติสงคราม มิใช่เพื่อครองคู่กัน…

นั่นคือสิ่งที่เขาพึงรำลึกเสมอ เขาจึงมิแตะต้องกายของนางเลยแม้เพียงน้อย ด้วยเพราะศักดิ์และสิทธิ์ต่างๆ ในกายของนางยังเป็นนาคี เผ่าพันธุ์ที่รบราฆ่าฟันกับเผ่าวิหคมาเนิ่นนาน การจะปักใจให้รักกับศัตรูหาใช่เรื่องง่ายสำหรับราชันเยี่ยงเขา เขาจึงคิดมาตลอดว่ามันเป็นการเสกสมรสเพียงในนามก็เท่านั้น แต่เขาจักมิปล่อยให้ผู้อื่นได้ครอบครองนาคีที่งดงามเพียงนี้โดยง่าย จึงยังคงให้นางอยู่ในวิมานฉิมพลีต่อไป

และถึงแม้จักหมายจับนางใส่ไว้ในกรงทองเพื่อเลี้ยงดูมิต่างจากสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง แต่ผู้เป็นมเหสีข้างกาย กลับหวาดระแวงในตัวนาคีผู้นี้เป็นที่สุด เขาจึงต้องปล่อยให้นางมีชีวิตแสนโดดเดี่ยวในวิมานด้านหลัง และแวะมาเยี่ยมเยือนบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น

ข้าปล่อยเจ้าไปมิได้จริงๆ…

แม้นจักเดียดฉันท์ในเผ่าพันธุ์ แต่อย่างไรเสียนาคีนางนี้ก็มิมีพิษมีภัยสำหรับเขา จึงทำได้เพียงปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไปเพื่อชำระความเดียดฉันท์นั้น พร้อมกันนั้นความดีงามของนางก็ปรากฏจนทำให้เขารู้สึกว่า นางสามารถเป็นมเหสีที่เหมาะสมกับตนได้ หากจักผิด ก็ผิดเพี้ยนเพียงเผ่าพันธุ์ของนางเท่านั้น ที่มิได้มีกระแสแห่งวายุไหลเวียนอยู่ในกายทิพย์เหล่านั้น จึงมิอาจทำให้เขามอบความรักแด่นางได้

“เจ้างดงามยิ่งนัก” 

ถึงแม้นางจะอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่านั่นคือคำชมจากชายผู้เป็นที่รัก แต่ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเป็นนางที่รักวิหรุตอยู่ข้างเดียว

“รีบไปเถิดเพคะ เดี๋ยวจะมิทันฤกษ์ดี”

“ไปกันเถิด”

ชาวครุฑเดินทางข้ามเวหาได้โดยง่าย เพียงเขาประคองข้อมือเล็กเรียวของคนที่ยืนเคียงข้างเอาไว้ ร่ายมนตร์เพียงครู่ร่างทั้งสองพลันมาปรากฏอยู่ที่หน้าพระราชวังขนาดใหญ่ของหัวเมืองทางทักษิณ ที่แห่งนี้มีเหล่ากินรีแต่งกายงามงดและฟ้อนรำด้วยความรื่นเริงมิต่ำกว่าร้อยนาง เพื่อต้อนรับการมาของราชาแห่งวิมานฉิมพลี ที่แผ่บารมีมาปกปักเหล่าทิพยปักษาตัวจ้อยเยี่ยงตน

เมื่อทั้งสองก้าวเดิน เหล่ากินรีรับใช้ที่ยืนเข้าแถวบนพื้นศิลาเย็นเยียบทั้งสองฟากฝั่งต่างก็โปรยกลีบดอกไม้หลากสีต้อนรับไปตลอดทาง เกล็ดมณีมองไปเบื้องหน้าเห็นกินนรวัยกลางคนยืนเคียงคู่กับกินรีงามอีกหนึ่งนาง ถึงแม้จะรู้ว่าทั้งสองคงอยู่ด้วยกระแสทิพย์ รูปลักษณ์จึงงดงามผิดแผกจากผู้อื่น แต่ความเศร้าจากผู้เป็นกินรีก็ฉายชัด ทำให้นางคิดถึงผู้เป็นมารดายามต้องพรากจากนาง

เสด็จแม่จักเป็นเยี่ยงไรบ้าง…

เมื่อย่างเท้ามาถึง กินนรและกินนรีคู่นั้นต่างโค้งคำนับทั้งคู่ด้วยความนอบน้อม เกล็ดมณีส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร เพื่อเป็นการปลอบประโลมผู้ที่กำลังจะสูญเสียแก้วตาดวงใจ แต่นางกินรีเพียงยื่นมาลัยกรที่เตรียมไว้เป็นของขวัญมาให้

“ขอบคุณท่านมาก” เกล็ดมณีรับมาลัยมาสวมข้อมือไว้ เพราะหัตถ์อีกข้างถูกวิหรุตครอบครองอยู่มิปล่อย

“ข้าแต่องค์วิหรุตผู้ทรงฤทธิ์ ด้วยการที่ข้าหมายมั่นให้พระองค์แผ่พระบารมีมาปกปักเมืองกินนรแห่งแดนทักษิณของเรา ข้าจึงขอมอบบุตรีอันเป็นที่รักยิ่งแด่ท่าน หมายมั่นให้ท่านดูแลนางต่อจากพวกข้าทั้งสองต่อไป”

“หัวเมืองแดนทักษิณจักปลอดภัยจากสงคราม…” วิหรุตตอบรับพลางสอดส่ายสายตามองหาผู้ที่เขามารับตัวในกาลนี้ “ข้าให้สัญญาแก่พวกเจ้า”

“ศรีวิตรี”

เมื่อผู้เป็นบิดาเรียกหา ร่างบางก็เดินออกมาจากหลังม่านที่อยู่มิไกล นางสวมชุดที่ประดับประดาด้วยขนนกสีขาวสะอาด พร้อมทั้งเครื่องประดับครบองค์ ทั้งรัดเกล้าเงินยวงเหนือศีรษะสลักลายประณีตงดงาม สร้อยคอหลายเส้นที่ทอดยาวมาถึงกลางอก ยังมิรวมกำไลเงินที่ประดับพลอยรัตนะสวยสมฐานะอีกข้างละห้าวง ใบหน้านั้นงดงามดังสาวแรกรุ่นมิผิดจากที่เกล็ดมณีคิดไว้ ทรวดทรงองค์อวก็แสนเย้ายวน กิริยามารยาทก็งามสมดั่งที่ถูกอบรมมาเป็นอย่างดี

“ถวายพระพรองค์วิหรุต…” นางก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม น้ำเสียงนั้นใสกังวานพิเราะยิ่งกว่าผู้ใดที่เกล็ดมณีเคยพานพบมาในหมู่ชาววิหค “ถวายพระพรพระนาง”

“ไม่ต้องมากพิธี…” วิหรุตปล่อยมือของเกล็ดมณีในบัดดล แล้วตรงเข้าหากินรีผู้นั้นแทบจะทันใดที่นางหยัดกายตรงดังเดิม “เจ้าช่างงดงามเสียจริง”

การที่ได้เห็นสวามีชื่นชมหญิงอื่นต่อหน้าต่อตา เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่จะรู้สึกชอกช้ำ แต่การปล่อยมืองนางอย่างมิลังเล เพื่อตรงเข้าหาสตรีผู้ที่เพิ่งได้พบคราแรกเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกชอกช้ำยิ่งกว่า เขาทำเหมือนนางเป็นเพียงสิ่งของที่พร้อมจะหยิบโยนทิ้งไปเมื่อใดก็ได้ ตามแต่ใจตนปรารถนา

“ข้าจักพานางกลับไปฉิมพลี” เขาเอ่ยโดย ที่ไม่ได้เหลียวมามองเกล็ดมณีด้วยซ้ำ

“เพคะ” นางตอบเสียงแผ่ว

วิหรุตโอบอุ้มศรีวิตรีขึ้นแนบอก ถึงแม้ใบหน้าหญิงสาวจะฉายแววตระหนกออกมาบ้าง แต่ก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาเป็นการปฏิเสธ เมื่อเขากลับสู่ร่างครุฑปรากฏเส้นขนสีน้ำตาลแดงร้อนเร่า สยายปีกออกกว้างจนเกิดกระแสลมแรง แล้วทะยานจากท้องพระโรงขึ้นบนเวหา ก่อนหายไปในพริบตา ทิ้งไว้เพียงนาคีที่ยืนนิ่งมองตามไปจนกระทั่งเป้าหมายลับหายไปจากสายตา

“โธ่! ลูกแม่”

กินรีทรุดกายลงกับพื้นอย่างหมดแรง เกล็ดมณีรีบตรงเข้าไปช่วยพยุงนางเพื่อมิให้เป็นอันตรายอันใด ใบหน้านั้นเปื้อนคราบน้ำตาที่ไหลอาบสองข้างแก้ม แม้แต่กินนรที่ต้องจำใจมอบบุตรีอันเป็นที่รักให้แก่วิหรุตเองก็มิอาจปิดบังความอ่อนแอเอาไว้ได้

“ข้าฝากฝังพระนาง…” กินรีผู้เป็นมารดาเอื้อนเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นเครือ “โปรดดูแลนางด้วย”

“ข้ามิใช่ชายาเอกแห่งองค์วิหรุตหรอกหนา”

“ท่านว่ากะไรนะ…” กินรีนางนั้นตระหนกในสิ่งที่ได้สดับ นางส่ายหน้าอย่างน่าเวทนา รู้สึกราวกับเพิ่งมอบดวงหทัยของตนเข้าสู่กรงเล็บแหลมคม ที่พร้อมฉีกกระชากหทัยดวงนั้นให้แหลกสลายได้ทุกเมื่อ “ไยทั่วทั้งเมืองแมนต่างเล่าขานกันว่าองค์วิหรุตทรงเสกสมรสกับท่านเพราะยุติสงครามครุฑนาคกันเล่า”

“ท่านลุกขึ้นก่อนเถิด…” เกล็ดมณีเอ่ยพร้อมกับออกแรงฉุดร่างนั้นให้ลุกขึ้นยืน ก่อนพาไปนั่งยังตั่งทองที่อยู่ใกล้ๆ โดยมีกินนรคู่ชีวิตของนางตามมาช่วยประคองอีกแรง “การสมรสของข้ากับองค์วิหรุตมีจุดประสงค์เพื่อยุติสงครามก็จริง แต่พระองค์ก็มีชายาอยู่ก่อนแล้ว”

“นั่นแสดงว่าองค์วิหรุตทรงเป็นบุรุษที่มากด้วยสตรีเช่นนั้นหรือ”

“ท่านเข้าใจมิผิดหรอก”

กินรีร่ำไห้แทบขาดใจเมื่อทราบว่าเรื่องที่ได้ฟังอาจส่งผลต่อบุตรีของนางในภายหลัง เรื่องของตัณหาเหล่านี้ พวกนางที่อาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมรู้ดี เพราะเมื่อใดก็ตามที่บุรุษมิลุ่มหลงในตัวสตรีนางนั้น นางมักจะต้องอยู่โดดเดี่ยวเพียงผู้เดียวในวิมาน และสิ่งที่น่าเศร้ายิ่งกว่า คือนางอาจกลายเป็นสิ่งไร้ค่าสำหรับเขา

“หากเทียบกันแล้ว บารมีของท่านถือว่าสูงกว่าศรีวิตรีมากนัก…” กินนรเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครืออย่างทุกข์ระทม ขณะที่มือหนาของกินนรคอยลูบบ่าสั่นเทิ้มของคู่ชีวิตเพื่อปลอบประโลมนางให้เข้มแข็ง “ได้โปรด เอ็นดูนางด้วยเถิด”

“ข้าจักดูแลนางเท่าที่ข้าทำได้”

“กินนรและกินรีจากหัวเมืองทางทักษิณเป็นหนี้บุญคุณท่านแล้ว”

เกล็ดมณีพยักหน้ารับด้วยความจำใจ โดยส่วนตัวของนางเองนั้นมิค่อยลงรอยกับยูงทองนางนั้นอยู่แล้ว การที่วิหรุตได้ครอบครองนางกินรีแสนงดงามอีกหนึ่งนาง เกล็ดมณีเองก็มิอาจรู้ได้ว่าจักเกิดเรื่องยุ่งยากใดขึ้นมาอีก แต่นางมิหมายให้เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับทิพยปักษาผู้อ่อนเยาว์นางนั้น เพราะดวงหทัยของสตรีมิได้แข็งแกร่งทัดเทียมกัน ตัวนางเองตั้งไว้ว่าจะทนเท่าที่นางควรทน แต่กับศรีวิตรีกินรีนั้น นางมิมั่นใจว่าจักทานทนได้แค่ไหน

“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน”

“ขอบพระทัย” กินรียังมิอาจห้ามน้ำตาได้ขณะที่บอกลา

เกล็ดมณีตั้งใจเดินทางออกจากหัวเมืองทางทักษิณของชาวกินนรเพื่อยกลับฉิมพลี แต่นางมิได้มีวิชาเหินเวหาสุดแข็งแกร่งเหมือนชาวครุฑ นางจึงตรงสู่โขดหินใหญ่ข้างสระน้ำเลื่องชื่อของชาวหิมพานต์เพื่อพักอิริยาบถเพียงครู่

“อโนดาตแห่งนี้ช่างสดชื่นเสียจริง…” 

อาจเป็นเพราะบนฉิมพลีมิมีสระน้ำขนาดใหญ่เช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกเปลี่ยวเหงาและคิดถึงวังบาดาลตลอดเวลา เพราะความที่เคยอาศัยอยู่ในสถานที่ซึ่งถูกโอบล้อมด้วยวารีแต่กำเนิดจึงทำให้ไม่คุ้นชิน แต่ยามเมื่ออยู่ต่อหน้าสระอโนดาต นางกลับรู้สึกสุขสงบภายในใจจนคล้ายกับว่าบาดาลนครอยู่ห่างจากนางเพียงเอื้อม 

เหล่ามัจฉาฝูงหนึ่งแหวกว่ายขึ้นมาเหนือผิวน้ำเพราะสัมผัสได้ถึงกระแสทิพย์แห่งวารีในกายของนาง จึงพากันมาต้อนรับด้วยความยินดี ที่องค์หญิงแห่งวังบาดาลได้เสด็จมาเยี่ยมเยือนจนถึงถิ่น 

“พวกเจ้าคงมีความสุขมิใช่น้อยเป็นแน่”

นางเอื้อมมือไปลูบหัวของมัจฉาตัวหนึ่งที่มีรูปลักษณ์ช่วงหัวมิต่างจากมังกร ช่วงล่างทอดยาวเป็นปลาขนาดใหญ่ แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยสิ่งใดมากไปกว่าการทักทาย เหล่ามัจฉาต่างกระโดดหนีหายคล้ายหวาดผวา แหวกว่ายลงสู่ก้นบึ้งแห่งอโนดาตทันทีที่กระแสลมแรงพัดผืนน้ำจนเกิดเกลียวคลื่น ผิดกับเกล็ดมณีที่มิได้ไหวติงกับกระแสลมนั้น นางเพียงจับจ้องไปยังต้นตอของกระแสลมแรง พลันปรากฏครุฑเจ้าของเรือนขนสีนิลกาฬทั้งร่างตนหนึ่ง

“ท่าน…”

ครุฑหนุ่มโฉบลงมาใกล้ๆ ทำให้นางถอยออกห่างสองสามก้าว เมื่อร่างนั้นกลับสู่ร่างทิพย์นางกลับพบว่าเขาช่างคุ้นตายิ่งนัก  ถึงแม้จะดูผอมบางไปบ้าง แต่ก็จัดว่ารูปลักษณ์สง่าสมชายชาตรี อาภรณ์ที่สวมล้วนเป็นแพรเนื้อดีหาได้ยาก อีกทั้งเครื่องทรงครบองค์ แสดงถึงฐานะเด่นชัดว่ามิใช่สามัญชน

“ขออภัยที่ทำให้เจ้าตกใจ…” เสียงนั้นบ่งบอกว่าผู้ที่เอ่ยเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เพราะจากทั้งรูปลักษณ์และท่วงท่าก็ดูมิต่างจากบุรุษที่ป่วยไข้อยู่ก่อนแล้ว แต่ยังคงหนีออกมาเที่ยวเล่นแทนที่จะพักผ่อนอยู่ที่วิมาน “ไยเจ้ามาอยู่ที่อโนดาตแห่งนี้ มิกลับฉิมพลีกันเล่า”

“ท่านพูดเหมือนรู้จักข้า”

“ข้าคือวิสุระ…” ชายแปลกหน้าแนะนำตนเอง เกล็ดมณีรู้สึกคุ้นเคยในเค้าโครงใบหน้านี้อยู่บ้าง แต่คิดเท่าใดก็คิดมิออกว่าเขาช่างคล้ายคลึงกับผู้ใด จวบจนเจ้าตัวเป็นผู้ไขข้อสงสัยให้นางเอง “ข้าคือเชษฐาที่เกิดจากมารดานอกสมรสของพระบิดาแห่งองค์วิหรุต”

“หม่อมฉันขออภัยเพคะที่เสียมารยาทต่อพระองค์”

“มิต้องมากความหรอก…” ใบหน้านั้นเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นป้องปากพร้อมทั้งไอออกมาสองสามครั้ง “เดิมทีมารดาของข้าก็มิได้สมรสกับเสด็จพ่ออย่างถูกต้องตามประเพณี ข้ามิอาจนับว่าเป็นเชษฐาขององค์วิหรุตได้ด้วยซ้ำ ดีที่ญาติผู้น้องของข้าผู้นี้มิได้ถือองค์ขนาดนั้น”

“เป็นโชคของพระองค์ ที่ทรงได้รับความเมตตา”

“เจ้าดูกังวลใจ…” วิสุระเอ่ยพลางเดินมาหยุดยืนใกล้ๆ กับร่างบาง ซึ่งบัดนี้จับจ้องไปยังผิวน้ำของสระอโนดาตที่ไหวตามแรงลม เล่นแสงแห่งพระสุริยาทิตย์จนกลายเป็นคลื่นทองคำระยิบระยับ “อย่างไรวิหรุตก็เป็นชาย การมีชายามากกว่าหนึ่งมิใช่เรื่องแปลกแห่งฉิมพลี เจ้าอาจจะรับเรื่องนี้มิได้”

“หม่อมฉันเองก็พยายามคิดเช่นนั้นเพคะ เพียงแต่…”

“เพียงแต่วิหรุตมิได้มาพักที่วิมานกับเจ้า” วิสุระช่วยต่อคำพูดที่นางหยุดไปด้วยความปวดร้าว

“พระองค์ทรงทราบ”

“จะอย่างไรวิหรุตก็เป็นราชาแห่งชาววิหค…” วิสุระหันมายิ้มอย่างเอ็นดูให้เกล็ดมณีราวกับว่านางเป็นพี่น้องร่วมอุธรที่คลานตามกันออกมา “การจะให้เขาร่วมสมสู่กับนาคีเกรงว่าอาจต้องใช้เวลาเสียหน่อย หากเจ้าครองพรหมจรรย์รอเขาได้ ข้าเองก็คงจะได้อุ้มหลานก่อนสิ้นชีวิตสักคราว”

“ไยพระองค์ตรัสเช่นนั้นเล่าเพคะ”

“มารดาของข้าป่วยตั้งแต่เด็ก พอให้กำเนิดข้านางก็สิ้นใจ ส่งผลให้ข้าร่างกายมิแข็งแรง ป่วยไข้มาแต่เด็ก จึงต้องเก็บตัวอยู่แต่ในวิมาน จักมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใดก็สุดรู้”

“หม่อมฉันขอให้พระองค์ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรงตลอดไปเพคะ”

“อโนดาตแห่งนี้อากาศดียิ่งนัก…” วิสุระเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา เขาทอดสายตามองไปยังระลอกน้ำสีทองในสระอโนดาตอย่างสบายใจ พลันตวัดมือไปมาจนเกิดกระแสลมเย็นพัดผ่าน “เจ้ากลับสู่ฉิมพลีก่อนข้าเถิด หากพิลาสมยุรามาเห็นเข้า นางจักหาเรื่องทำให้วิหรุตคลางแคลงใจเจ้าได้”

“เพคะ”

เกล็ดมณีโค้งคำนับเล็กน้อย ก่อนจะหายตัวกลับสู่ฉิมพลี ในใจยังครุ่นคิดถึงความรอบคอบของวิสุระ นางมิเคยรู้มาก่อนว่าองค์วิหรุตทรงมีพระเชษฐานอกสมรส แต่พอนางได้รู้จักเขา นางกลับพบว่าเขามีสายตากว้างไกล และดูมีความน่านับถือมากกว่าองค์วิหรุตเสียด้วยซ้ำ

ขนาดองค์วิสุระยังมองออกว่ายูงทองนางนั้นร้ายกาจเพียงใด ไยองค์วิหรุตจึงมิทราบเล่า…

 

ทันทีที่เกล็ดมณีปรากฏกายที่ทางเดินในอุทยานหน้าวิมาน ธารทิพย์ที่คอยนางอยู่นอกวิมานก็รีบตรงเข้ามาหานางทันที ใบหน้าของนาคีรับใช้ดูร้อนรนและเป็นกังวล 

“มีเรื่องอันใด”

“แย่แล้วเพคะ พิลาสมยุราอยู่ด้านในวิมานขององค์หญิงเพคะ”

เกล็ดมณีมิได้มีทีท่าร้อนใจกับสิ่งที่ได้ยิน นางสาวเท้าเข้าไปในวิมานคล้ายมิได้เดือดร้อนกับการมาเยือนของชายาเอกที่มักกีดกันสวามีมิให้มาพัวพันกับนาคีเยี่ยงนาง การเยื้องย่างเข้าสู่วิมานแห่งตน ทำให้นางตระหนักได้ว่าสถานที่แห่งนี้คือถิ่นที่อยู่ของนาคี ทิพยปักษาใดก็อย่าหมายเข้ามาสร้างความระคายเคืองใจให้นางได้

ภายในวิมานยามนี้มีกินรีรับใช้ของยูทองกว่าสิบนางยืนเรียงแถวกัอยู่สองฝั่ง ฝั่งละห้านาง พิลาสมยุราในอาภรณ์สีทองอร่ามนั่งอยู่ในที่ประทับกึ่งกลางห้องโถง ซึ่งเดิมทีผู้ที่จะนั่งตรงนั้นได้มีเพียงเจ้าของวิมาน หรือองค์วิหรุตผู้เป็นสวามีเท่านั้น

ทำแบบนี้คิดจะหยามข้าหรือไร…

แต่ด้วยพระทัยที่เย็นเยียบดุจสายน้ำแห่งเกษียรสมุทรเบื้องลึก นางจึงมิได้กล่าวสิ่งใดออกมา เพียงกวาดตามองไปโดยรอบคล้ายจับผิด ก่อนเผยรอยยิ้มขำขันจนเก็บอาการมิอยู่

“เจ้าดูอารมณ์ดีจนผิดปกติด้วยเหตุอันใด” ยูงทองเอ่ยด้วยรอยยิ้มมิต่างจากผู้เป็นใหญ่วางมาดข่มเหงผู้น้อย

“เปล่าหรอก ข้าก็แค่เห็นว่าวันนี้อากาศดี ไยเจ้ามิไปเดินเล่นกับเสด็จพี่กันเล่า”

“พระองค์ทรงงานหนัก ข้าแค่ต้องการให้พระองค์สำราญพระอิริยาบถ จึงมาเยี่ยมเจ้าที่วิมานโดดเดี่ยวแห่งนี้…” ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ท่วงท่าทะนงของนางก็มิต่างจากยูงทองที่พองขนอวดให้ผู้อื่นเชยชม เพียงแต่นาคีตรงหน้าเอาแต่ส่ายหน้าขำขันจนนางยอมมิได้ จึงต้องกล่าวทับถมเพิ่มขึ้นไปอีก “ยามราตรีกาลแห่งฉิมพลีช่างเหน็บหนาวจับขั้วหทัย แต่ยังดีที่ข้าหนาวเนื้อกลับได้ห่มเนื้อแสนอุ่น แล้วเจ้าเล่า แพรไหมของฉิมพลีสามารถสร้างความอบอุ่นแก่เจ้าได้หรือไม่”

“เจ้าว่าเจ้าปล่อยให้เสด็จพี่สำราญพระอิริยาบทอยู่เช่นนั้นหรือ”

“แหม! นี่เสียใจจนตอบข้ามิได้เลยหรือ ไยจึงเปลี่ยนเรื่องกันเล่า”

เกล็ดมณีทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าตรู่ องค์วิหรุตมาหานางแล้วบอกว่าพิลาสมยุรามิค่อยสบาย จึงต้องวานให้นางไปรับศรีวิตรีมาเป็นชายาร่วมกับเขาแทน ไยตอนนี้นางจึงทำเป็นทองมิรู้ร้อน และยังบอกว่าปล่อยให้วิหรุตได้พักผ่อน คิดมาถึงตอนนี้นางก็ยิ่งกลั้นเสียงหัวเราะชอบใจเอาไว้ในลำคอมิอยู่ เมื่อพบว่าผู้ที่ลำพองอยู่ยามนี้เสียรู้ให้สวามีแสนรักเสียแล้ว

เจ้าถูกเสด็จพี่หลอกเข้าให้แล้ว…

ทีท่าขบขันของเกล็ดมณีทำให้ยูงทองยิ่งรู้สึกคับแค้นใจมากขึ้นจนปัดถ้วยน้ำค้างจากยอดไม้ตกลงพื้นเสียงดัง

“เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร!”

“เจ้านั่นแหละที่เสียสติ…” เกล็ดมณีส่ายหน้า รอยยิ้มของนางมิต่างจากผู้มีชัยชนะเหนือคนตรงหน้า ซึ่งถูกชายที่ทั้งรักทั้งหวงหลอกลวงเสียจนหมดท่า “เสด็จพี่บอกเจ้าเช่นนั้นหรือว่าจะสำราญพระอิริยาบถ”

“ใช่ พระองค์ทรงบอกข้าทั้งราตรีที่ยาวนาน” นางยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระเซ้าเหย้าแหย่มิหยุดหย่อน

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะขอพูดกับเจ้าตรงๆ เผื่อเจ้าจักได้หันไปสนใจเรื่องของเสด็จพี่ให้มากกว่าเรื่องบนเตียง”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“เมื่อเช้าเสด็จพี่มาพบข้าที่นี่แล้วตรัสว่าเจ้ามิค่อยสบายจึงให้ข้าไปรับองค์หญิงกินรีจากหัวเมืองทางทักษิณมาเป็นชายาอีกคนกับพระองค์”

“ไม่จริง เจ้าโกหกข้า!” ยูงทองตวาดลั่น ความลนลานปรากฏชัดเจนทั้งทางสีหน้าและท่าทาง

“ข้าจะปดเจ้าไปไยเล่า…” เกล็ดมณีหันไปหานาคีรับใช้ซึ่งรีบพยักหน้ายืนยันในสิ่งที่นายเหนือหัวพูด ทุกอย่างล้วนแต่เกิดขึ้นจริง “แต่ไหนแต่ไร ข้าก็มิใช่ที่โปรดปรานของเสด็จพี่อยู่แล้ว การที่พระองค์ไปรับนางกินรีมาเป็นชายาเพิ่มอีกนาง ก็มิได้ทำให้ข้าขัดเคืองแต่อย่างใด มีแต่เจ้านั่นแหละที่ต้องระวัง”

“ข้าต้องระวังอันใด!” นางเค้นเสียงถาม

“ศรีวิตรีทั้งสาว ทั้งสง่างาม เจ้าคิดว่าองค์วิหรุตจะมิทรงโปรดปรานนางหรือ”

พิลาสมยุรากำมือแน่นด้วยความแค้นเคือง นางลุกจากที่ประทับแล้วกระแทกเท้าปึงปังออกไปจากวิมานนาคีทันที เหล่านางรับใช้จึงรีบกรูกันตามออกไปโดยเร็ว ทิ้งไว้เพียงความเงียบงัน และถ้วยกระเบื้องที่แตกหักอยู่กับพื้นจากการบันดาลโทสะของยูงทอง

หยาดน้ำตาใสไหลรินออกมาจากตาข้างขวา ทั้งอัดอั้นตันใจที่ถูกทับถม ทั้งชอกช้ำระกำใจที่สวามีมักมากในสตรีอื่น แต่อย่างไรนางก็เป็นเพียงชายารอง มิใช่ชายาเอก นางจักไปมีสิทธิ์อันใดในวรกายกำยำเย้ายวนนั้นกันเล่า เดิมทีนางก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่งบนกระดานของการศึกครานี้ เพียงเพื่อล้มกระดานนั้นมิให้หมากตัวอื่นเดินต่อได้ นางจึงต้องยอมใช้ตัวเองเป็นตัวล่อเพื่อควบคุมสถานการณ์

“องค์หญิงทรงเป็นเช่นไรบ้างเพคะ”

“ข้ามิเป็นไรธารทิพย์…” เกล็ดมณีรีบยกนิ้วเรียวงามปาดน้ำตาออกในทันที “ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร ก็มิอาจทำให้ข้าล่าถอยไปได้หรอกหนา”

“เพคะ”

 

เกล็ดมณีตั้งจิตภาวนาท่ามกลางบรรยากาศเย็นเยียบและเงียบงัน ความเหน็บหนาวจากอากาศยามราตรีกลางป่าหิมพานต์เช่นนี้มิอาจทำให้นางสะท้านได้ เพราะก่อนหน้านี้ที่วิมานฉิมพลี นางหนาวเหน็บกว่านี้มามิรู้ตั้งเท่าไหร่ ทั้งเจ็บปวดและรวดร้าวในห้วงลึกแห่งหฤทัย หากเป็นเมื่อก่อนยามความทรงจำเหล่านี้ย้อนเข้ามาในห้วงความคิด นางมักกรรแสงออกมาโดยมิรู้ตัว แต่ครานี้นางกลับนิ่งงันราวกับความทรงจำเหล่านั้นเป็นแค่เพียงละครบทหนึ่ง

แปลกจริง ไยน้ำตาข้ามิไหลออกมา…

เหตุการณ์ที่หวนรำลึกนั้นเป็นเรื่องราวที่เคยทำให้นางรู้สึกเจ็บปวด ภาพความทรงจำเหล่านั้นล้วนเกิดขึ้นท่ามกลางความมืดมนในห้วงความคิด เกล็ดมณีปล่อยให้ความทรงจำเลวร้ายหลั่งไหลเข้ามาต่อเนื่องมิหยุด นางเพียงเพ่งมองความเจ็บปวดที่อยู่ภายในจิตใจของตน พิเคราะห์ถึงต้นตอแห่งความเจ็บปวดเหล่านั้น จนท้ายที่สุด สิ่งที่แทรกเข้ามาในห้วงความคิดกลับทำให้ความเจ็บปวดเหล่านั้นค่อยมลายไป

‘มิใช่มาเพียงเพื่ออยากพบหน้าข้าหรอกหรือ…’ เสียงทุ้มนุ่มของอนิลยามเมื่อครั้งที่นางไปพบเขาที่ลานสักการะพระจุฬามณีเจดีย์พลันแทรกเข้ามา ‘ข้าชอบถุงผ้าใบนี้มาก’

ภาพของอนิลที่ยกถุงผ้าขึ้นจนชิดจมูก ทั้งที่เป็นแค่ถุงผ้าธรรมดา แต่เขากลับสูดดมมิต่างจากมันมีกลิ่นหอมหวนแสนเย้ายวน ทั้งดวงหน้าหล่อเหลา ทั้งกิริยาที่แสดงออกชัดเจนว่ามีใจให้นาง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เข้ามาแทนที่ความทรงจำเลวร้ายเหล่านั้น จนนางเองเริ่มจะยอมจำนนต่อความรู้สึกที่ตนปิดกันมาหลายร้อยปี

หรือข้า...พร้อมที่จะเริ่มเปิดใจ…

นางพยายามหวนนึกถึงความทรงจำแสนเลวร้ายอีกครั้ง แต่สิ่งที่นางได้รับกลับเป็นรอยยิ้มซุกซนของอนิลคราเมื่อบีบบังคับให้นางรับถุงหอมของตนไว้ อาจจะดูเป็นการบีบบังคับอยู่บ้าง แต่เมื่อนึกถึงยามใด นางก็เผลอยิ้มออกมาโดยมิรู้ตัวทุกครา ครั้นเมื่อสุรเสียงที่เขาเอื้อนเอ่ยดังกังวานในโสตประสาท นางกลับรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปตามร่างกาย

ความทรงจำเหล่านั้นมิอาจทำให้ข้าเสียใจได้อีกต่อไป…

เกล็ดมณีลืมตาเพื่อออกจากสมาธิ มิใช่เพราะความฟุ้งซ่านในห้วงความคิด แต่เป็นเพราะเสียงขับขานรับแสงอรุณของเหล่าวิหคในหิมพานต์  หมอกจางโดยรอบค่อยๆ มลายไปอย่างเชื่องช้า หิ่งห้อยนับร้อยที่เคยปรากฏยามราตรียามนี้มิมีให้เห็น กลิ่นหอมจากดอกบัวสุวรรณพรรณรายถูกลมรำเพยมาเข้าจมูก การเข้าสมาธิครานี้เหมือนจะเป็นคราที่เกล็ดมณีปล่อยวางได้มากที่สุดตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา

ปล่อยวาง…

นางขยับกายเชื่องช้าแล้วจึงลุกขึ้นหยัดกายตรง เงยหน้ามองท้องฟ้าซึ่งทาบทาแสงสีสุวรรณเป็นการเริ่มต้นวันใหม่อีกครั้ง การบำเพ็ญเพียรตลอดเจ็ดร้อยปีที่ผ่านมานี้มิต่างจากงมเข็มในมหาสมุทร นางยังคงหวนรำลึกถึงความทรงจำแสนเจ็บปวดเหล่านั้นทุกเมื่อเชื่อวัน

เป็นเพราะข้ายึดมั่นถือมั่นในความเจ็บปวดเหล่านั้นนี่เอง…

ใบหน้างามแย้มยิ้มให้แก่สิ่งที่ตนยึดมั่นถือมั่นผิดๆ มาโดยตลอด และสิ่งที่ทำให้นางบำเพ็ญเพียรมิสำเร็จสักคราวเห็นจะเป็นเพราะตัวนางเอง ที่ยังยึดติดอยู่กับสิ่งที่เจ็บช้ำจนเกินไปและมิขวนขวายการเริ่มต้นใหม่ มันจึงทำให้หทัยที่ปวดร้าวยังคงย้ำเตือนเสมอ มิต่างจากการอ่านกวีสักบทซ้ำไปมา

‘ข้าจักเก็บถุงใบนี้ไว้มิให้ห่างกาย…’

เสียงพูดเจื้อยแจ้วของเขาดังแว่วมาพร้อมกับเสียงวิหคขับขาน พวกมันพากันโบยบินออกจากรวงรังเช่นเดียวกับทุกวัน ต่างดำเนินชีวิตไปตามครรลองแห่งตน คล้ายกับว่าเรื่องราวทุกข์ใจใดในอดีตก็ทิ้งไว้กับวันที่ผันผ่าน สำหรับวันนี้ก็จงตั้งใจดำเนินชีวิตต่อไปให้ดีแม้จักมิรู้ว่าหนทางข้างหน้าจักเป็นเยี่ยงไร หรือพรุ่งนี้จักมีสิ่งใดเข้ามาท้าทายก็ตาม นางแย้มยิ้มกับความคิดของตน ที่ยามนี้ความเจ็บปวดเหล่านั้นล้วนมลายสิ้น พร้อมกับใบหน้าหล่อเหลาที่ปรากฏขึ้นในห้วงความคิด

อนิล…

การได้พบกับครุฑหนุ่มในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงมิถึงเดือนมานี้ สามารถทำให้นางรับรู้ได้ถึงความจริงใจแสนบริสุทธิ์ที่เขามอบให้ มันค่อยๆ เข้ามาแทนที่ความทรงจำเหล่านั้นโดยที่นางไม่รู้ตัว มิใช่เป็นเพราะนางตั้งใจนำเขาเข้ามาเพียงเพื่อต้องการลืมสิ่งใด

“ข้าถูกปลดเปลื้องจากพันธนาการนั้นแล้ว”

เป็นจริงดังนางว่า…นางมิได้ถูกผูกด้วยบ่วงกรรมแห่งวิหรุตอีกต่อไป

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น