4

โชคชะตา

โชคชะตา

 

ครุฑหนุ่มกลับมายังฉิมพลี วิมานทิพย์โอ่อ่าด้วยทองคำและพฤกษายืนต้นขนาดใหญ่ ถึงแม้เขาจะอยู่ในร่างจำแลงขนาดมหึมา แต่ก็ยังสามารถยืนอยู่บนกิ่งของพฤกษาได้โดยมิไหวติง สื่อถึงความสูงใหญ่ของลำต้นหลายโยชน์เพราะยืนต้นมานานหลายร้อยหลายพันปีจึงล้วนแต่ต้านกระแสลมแรงได้อย่างง่ายดาย   และยังคงเป็นที่พักพิงของเหล่าปักษีแห่งหิมพานต์ในแถบนั้นอีกด้วย

อุทยานหลวงในยามท้องนภาทาบทาสีชาดระเรื่อ มีบุรุษรูปโฉมเลอลักษณ์สวมอาภรณ์คล้ายจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่ ถูกปิดตาด้วยผ้าไหมสีทอง ร่างกำยำนั้นวิ่งไล่จับสตรีงามสองนางที่มิต่างจากนางฟ้ามาจุติ ทั้งผิวขาวนวลเนียน เส้นผมสีดำปล่อยยาวสลวย แต่งกายด้วยอาภรณ์สีม่วงอ่อนและสีคราม เครื่องประดับบนกายของนางทั้งสองล้วนบ่งบอกถึงชาติกำเนิดไม่ว่าจะเป็นกำไลทองคำลวดลายขนนก หรือปิ่นปักผมลายหงส์

“พวกเจ้าอยู่แห่งใดกันหนอ…” ร่างกำยำเดินโซเซไล่คว้าอากาศ ท่ามกลางเสียงหวานใสที่ขำขันมิหยุด พวกนางต่างเดินหลบเลี่ยงให้พ้นจากการจับกุม “มาให้ข้ากอดเสียดีๆ”

“ทางนี้เพคะ” ทิพยปักษานางหนึ่งเอ่ยขึ้น ก่อนที่การสนทนาเหล่านั้นจักถูกขัดจังหวะโดยผู้มาเยือน

“เสด็จพี่ลลินพรต” อนิลโฉบลงด้านข้างอุทยานพลันกลายร่างเป็นบุรุษ

การละเล่นหยุดลง กินรีทั้งสองนางที่มีศักดิ์เป็นพี่สะใภ้เพียงย่อกายเพื่อแสดงความเคารพ ต่อสายเลือดแห่งขัตติยะอีกหนึ่งตนที่เพิ่งปรากฏกาย เขาทำเพียงยกมือปรามเป็นเชิงห้าม ก่อนเดินตรงไปหาญาติผู้พี่ที่อยู่ด้านในอุทยานหลวงทันที ลลินพรตถอดผ้าปิดตาออกเพื่อดูว่าใครคือผู้มาขัดขวางความสุขของตน แต่ก็มิวายคว้าเอวบางของกินรีทั้งสองนางเข้ามาแนบชิดกาย

“นึกว่าผู้ใด ที่แท้ก็เป็นญาติผู้น้องของข้านี่เอง”

หากมินับรูปร่างสูงโปร่งไล่เลี่ยกันระหว่างสองพี่น้อง ใบหน้าทั้งสองต่างก็มีความหล่อเหลาคนละแบบ ขณะที่ญาติผู้น้องมีความขี้เล่นและดูร่าเริง ลลินพรตกลับมีมาดเจ้าชู้และเย้ายวน ยามจ้องสตรีงามสักนางด้วยสายตาโลมเลียม ลลินพรตก็สามารถปลุกเร้าใจสาวให้ร้อนเร่าได้มากกว่า  

“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่ ข้ามาผิดเวลาเสียจริง”

“ช่างเถิด...” ลลินพรตกระชับแขนทั้งสองข้างรั้งเอวสตรีงามทั้งสองเข้ามาแนบชิดมากกว่าเดิม 

อนิลมองภาพเบื้องหน้าพร้อมทั้งเผยรอยยิ้มออกมา เขามิได้อิจฉาญาติผู้พี่แม้แต่น้อย เพราะมองเพียงปราดเดียวเขาก็พบว่าเกล็ดมณีนาคีงดงามกว่ากินรีทั้งสองนางหลายเท่าตัว จนทำให้หลุดหัวเราะออกมาเมื่อคิดถึงดวงหน้าสะคราญของนาคีที่ตนเพิ่งพานพบ 

“เจ้าขำสิ่งใดกันเล่า”

“เปล่าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแค่คิดว่าการได้มีคู่ครองเป็นสตรีที่แสนงดงามเช่นเสด็จพี่ คงมีความสุขมิใช่น้อย”

“เจ้าตาถึงมากน้องข้า...” เมื่อกล่าวถึงเรื่องการได้ครอบครองสตรีงาม ลลินพรตมักจะรู้สึกภูมิใจอย่างยากอธิบายออกมาเป็นคำพูด จนทำให้อนิลจำเป็นต้องคล้อยตามเขาไป “พวกเจ้าทั้งสองกลับวิมานไปก่อนเถิด”

ร่างอรชรย่อตัวลงคำนับก่อนผละจากไป ลลินพรตจัดเครื่องแต่งกายของตนให้เข้าที่ แล้วออกเดินนำไปทางอุทยานหลวงซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ ที่พระมเหสีแห่งฉิมพลีเป็นผู้เลือกเฟ้นมาปลูกเองกับมือ ยามเย็นเช่นนี้หากเป็นเมื่อก่อน อนิลจำเป็นต้องนั่งสนทนาเรื่องการบริหารพลทหารกับวิสุระผู้เป็นบิดา ถึงแม้พระองค์จะทรงประชวรอยู่บ่อยครั้ง แต่เรื่องสติปัญญาอันชาญฉลาดนับว่าหาตัวจับยากเลยทีเดียว

“ไยเจ้ามิเสกสมรสสักคราเล่าน้องพี่”

“โธ่! เสด็จพี่ ข้ายังมิพบนางที่หมายปอง”

“ยังมิพบหรือ” ลลินพรตทวนคำอย่างมิอยากเชื่อหูตัวเอง

สิ้นคำของลลินพรตก็ทำให้อนิลหวนนึกถึงนาคีเกล็ดมณี ทั้งใบหน้าเรียบเฉย แล้วไหนจักสำเนียงหวานปานเสียงขับขานของวิหคสวรรค์ อีกทั้งกิริยาท่าทางที่แสนทะนงแต่โสภานั่นอีก คิดมาถึงตรงนี้เจ้าตัวก็หลุดเผยรอยยิ้มด้วยความซุกซนโดยมิตั้งใจ จนญาติผู้พี่ที่มองอยู่ถึงกับสงสัยในทีท่าแปลกประหลาดเช่นนี้

รูปลักษณ์ของเกล็ดมณีที่ปรากฏในห้วงความคิดทำให้อนิลรู้สึกเหมือนต้องมนตร์เสน่หา เขามิเคยพบสตรีนางใดที่ทำให้ตกหลุมรักและหลงใหลตั้งแต่แรกเห็นเช่นนี้มาก่อน เขาสามารถกล่าวได้เลยว่าเมื่อครั้นเห็นนางครั้งแรก ปีกที่อยู่ด้านหลังของเขาทั้งสองข้างพลันหมดเรี่ยวแรง และทำท่าจะร่วงหล่นจากกลางเวหาหาวลงสู่ผืนปฐพีเบื้องล่างเสียให้ได้ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เขาคงถูกมองว่าเป็นบุรุษเหยาะแหยะมิสมชายชาตรีเป็นแน่

“เจ้ายิ้มแบบนี้ทำข้าสงสัยแล้วนะ”

“ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่” ถึงจะพยายามหุบยิ้มเพียงใด แต่เขาก็มิอาจกระทำได้

“นางเป็นสตรีแห่งดินแดนใด ไหนเจ้าเล่าให้ข้าฟังทีซิ”

“โธ่! ข้าบอกแล้วไงว่ามิมีสิ่งใด”

“เจ้าปกปิดข้ามิได้หรอก...” ลลินพรตหันไปจับเท็จญาติผู้น้องของตน พร้อมกับรีบใช้วงแขนแกร่งโอบคอเขาไว้เพื่อมิให้เลี่ยงประเด็นที่ตนกำลังสงสัย “จะเล่าดีๆ หรือต้องให้ข้าจับเจ้าโยนลงสีทันดรเสียก่อน”

“ท่านอยากฟังจริงๆ หรือ”

“แน่นอนสิ”

“ถ้าเช่นนั้นท่านปล่อยข้าได้แล้ว...” 

ลลินพรตคลายวงแขนออก เขาทะยานขึ้นสู่กลางเวหาแล้วทิ้งกายนั่งลงบนกิ่งไม้ อนิลส่ายหน้าในความเอาแต่ใจของญาติผู้พี่ แต่ก็ทะยานขึ้นไปนั่งเคียงข้างเขาอย่างว่าง่าย 

“ท่านพร้อมหรือยัง”

“อย่ามากความน่า รีบๆ เล่ามาเถิด”

“ข้าพบนางในหิมพานต์”

“หิมพานต์หรือ...” ลลินพรตหันมาถามในทันทีจนขัดจังหวะการเล่า

“ใจเย็นเสด็จพี่ เดิมทีนางมิใช่ชาวหิมพานต์แต่แรก นางเป็นนาคีน่ะพ่ะย่ะค่ะ”

“นาคี...” ลลินพรตทำท่าพิเคราะห์ “ข้ามิเห็นรู้มาก่อนว่าในหิมพานต์ มีนาคีที่งดงามเช่นนั้นอาศัยอยู่ด้วย”

“ข้าเองก็เพิ่งพบนางนี่ละ ตลอดหลายร้อยปีที่ข้าเที่ยวบินเล่นกลางเวหาเหนือป่าหิมพานต์ ข้ามิเคยพบนางมาก่อนเลย แต่ครานี้ ข้าว่าคงเป็นโชคชะตากระมัง”

“ไยเจ้าจึงคิดเช่นนั้นเล่า” ลลินพรตถามกลั้วเสียงหัวเราะในลำคอ ด้วยคิดว่าเรื่องที่ญาติผู้น้องของตนเล่ามาเป็นเรื่องเพ้อเจ้อทั้งเพ

“ข้าพบสระบัวสุวรรณพรรณรายโดยบังเอิญ ข้าจึงหมายเก็บบัวเหล่านั้นไปถวายพระจุฬามณีที่ดาวดึงส์ แต่ที่ไหนได้ นางกำลังนั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ในดอกบัว นางจึงปรากฏกายต่อหน้าข้าแล้วเอ็ดข้ามิต่างจากว่าข้าเป็นเด็กน้อยในการปกครองของนาง”

ทุกอากัปกิริยาของอนิลช่างดูเหมือนเด็กกำลังเล่าเรื่องเพ้อฝันก็มิปาน ลลินพรตเลิกคิ้วมองเขาอย่างมิอยากเชื่อสายตา เขาพยายามนึกถึงสระที่มีบัวสุวรรณพรรณรายดังที่ญาติผู้น้องกล่าวมา นั่นเพราะเขาเองก็มิใช่มิเคยโบยบินผ่านหิมพานต์ทั่วทุกเขตขัณฑ์ แต่เขาเองกลับมิเคยพบสระบัวที่ว่านั้นเลยแม้เพียงคราเดียว

“ข้าเคยโบยบินไปอโนดาตอยู่บ้าง แต่ไยข้ามิเคยพบสระบัวที่มีลักษณะดังเจ้าว่า”

“ข้าถึงได้บอกเสด็จพี่อย่างไรเล่า...” ใบหน้าที่ฉายแววมีความสุขนี้มิต่างจากหนุ่มแรกรุ่นที่เพิ่งพบรัก “ว่ามันเป็นเรื่องของโชคชะตาระหว่างข้ากับนาง”

“เจ้านี่เพ้อเจ้อเสียจริง”

“ข้าพูดจริงนะเสด็จพี่...” อนิลหันมาย้ำกับลลินพรตด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านเคยบอกข้าว่า มิมีสตรีใดงามกว่าเหล่าเทพอัปสรบนสวรรค์ แม้แต่กินรีทั้งสองของท่านก็ยังเทียบมิติดกับเทพอัปสรเหล่านั้น ข้าว่านาคีนางนี้นี่แหละที่งดงามกว่าเทพอัปสรเหล่านั้น”

“เจ้าเคยเห็นเทพอัปสรแล้วหรือ...” ลลินพรตเลิกคิ้วถามญาติผู้น้อง แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นรอยยิ้มทะเล้นที่มาพร้อมการส่ายหน้า “อ้าว! แล้วไยเจ้าจักเทียบกันได้เล่า”

“ข้าพึงใจนาง และข้ามั่นใจว่าหากท่านได้พบนาง ท่านก็ต้องพึงใจนางเช่นกัน”

“ถ้าเช่นนั้น...” ลลินพรตลุกขึ้นยืนหลังตรง กลายร่างเป็นครุฑเจ้าของเรือนขนสีแดงชาดปลายขนเป็นสีอำพันทองคำ ร่างนั้นทั้งสง่างามและน่าเกรงขาม ใบหน้าดุดันเจ้าของจะงอยปากคมก้มลงมองมาที่อนิล “ข้าชักอยากพบหน้านางบ้างแล้วสิ เราจักไปหิมพานต์กันบัดนี้”

“เดี๋ยวก่อนเสด็จพี่...” ยังไม่ทันที่อนิลจะได้กล่าวจนจบ ลลินพรตก็ทะยานไปกลางเวหาเสียแล้ว เขาจึงทำได้แค่ส่ายหน้าพร้อมกับยกมือขึ้นตีปากของตนเบาๆ ด้วยความหงุดหงิด “เจ้าช่างเขลานัก หากเสด็จพี่พึงใจนางขึ้นมาจักทำเยี่ยงไรเล่า ปากเจ้านี่ช่างไม่มีหูรูดเสียจริง”เขายืนตบปากตัวเองอีกสองสามครั้ง แล้วจึงจำแลงกายเป็นครุฑ ทะยานขึ้นกลางเวหาตามลลินพรตไป

 

 

กลางเวหายามเย็นเช่นนี้ บรรยากาศเบื้องหน้ามิต่างจากแสงสุวรรณทาบสีชาดของพระอาทิตย์ยามอัสดง ลลินพรตทะยานสู่ป่าหิมพานต์โดยใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจ เขากวาดสายตาคมกริบดุจเหยี่ยวมองหาสระบัวสุวรรณพรรณรายดังเช่นที่ญาติผู้น้องกล่าวอ้าง แต่กลับมิเห็นสระที่มีกอบัวสุวรรณพรรณรายแม้เพียงดอกเดียว

“ไหนล่ะ สระบัวที่เจ้าว่า”

เมื่ออนิลบินตามมาถึงลลินพรตจึงรีบไต่ถามทันควัน ด้วยหมายว่าจะได้ยลสตรีงามที่อนิลเปรียบเปรยว่างามล้ำกว่าเทพอัปสร เขาต้องพบนางให้จงได้ มิเช่นนั้นคงคาใจไปตลอด

“ข้า...” อนิลกวาดสายตาไปโดยรอบ เขาจำได้ดีว่าสถานที่ที่เขาพบสระบัวนั้นอยู่ห่างจากสระอโนดาตไปทางทิศอีสานไม่ไกล แต่บัดนี้กลับมิปรากฏให้ได้เห็นแม้เพียงช่องว่างระหว่างเหล่าพฤกษา “ข้าจำได้ว่ามันอยู่แถวนี้”

“เจ้ากล้าปดข้าหรือ” ในน้ำเสียงนั้นเจือด้วยความขุ่นข้องหมองใจอย่างเห็นได้ชัด

“เปล่านะเสด็จพี่ ข้าพบนางจริงๆ”

“หึ! เจ้านี่มันขี้อิจฉาเสียจริง เห็นข้าได้ครองกินรีที่งามงด จึงอยากขัดขวางความสุขข้าหรือ”

“เปล่าพ่ะย่ะค่ะ...”

“หุบปากของเจ้าซะ...” ลลินพรตตัดบท เขาสยายปีกออกกว้างแล้วบันดาลให้เกิดกระแสลมแรงหมายพัดอนิลให้ปลิวไปตามแรงโทสะ แต่อีกฝ่ายรีบกางปีกออกรับแรงปะทะทำให้ร่างของเขามิไหวติงแม้แต่น้อย จากความแข็งแกร่งที่อาจเทียบเท่าตน ยิ่งทำให้ลลินพรตมิพอใจเข้าไปใหญ่ “เจ้ากล้าท้าทายข้าเช่นนั้นหรือ”

“ข้ามิกล้า”

“หึ! อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีกจนกว่าข้าจะอารมณ์ดี”

ก่อนโผบินจากไป ลลินพรตกระพือปีกแรงๆ อีกครั้งจนเกิดกระแสลมแรงไปทั่วทั้งผืนป่า ส่งผลให้เหล่าวิหคละแวกนั้นโบยบินออกจากรวงรังด้วยความตระหนก อนิลปล่อยให้ญาติผู้พี่ของตนจากไปโดยง่าย ส่วนตนหันมาจับจ้องไปยังผืนป่าเบื้องล่างอย่างถี่ถ้วน แต่สิ่งที่เห็นยังคงมีเพียงหมู่แมกไม้นานาพรรณที่ยืนต้นตระหง่าน มิต่างจากเสาหลักคอยค้ำจุนเหล่าสรรพสัตว์น้อยใหญ่ที่พึ่งพิงร่มเงาของมัน

ข้ามิมีทางจำผิดแน่...

อนิลโผบินไปโดยรอบเพื่อมองหาสระบัวสุวรรณพรรณรายแห่งนั้น แต่อย่างไรเขาก็หาไม่พบ ถึงจะพยายามสูดดมกลิ่นจากถุงหอมที่เขามอบให้เกล็ดมณีพกติดกายไว้ เขาก็มิได้กลิ่นนั้นแม้เพียงน้อย นั่นยิ่งทำให้เขาแปลกใจมากขึ้นไปอีก พลันคิดถึงเรื่องที่พบกับนาคีรับใช้ของเกล็ดมณีที่ลานสักการะพระจุฬามณีเจดีย์บนดาวดึงส์ขึ้นมา

ขนาดนางแค่ตามรับใช้เกล็ดมณี กลิ่นหอมจากถุงหอมของข้ายังติดกายนางมาจางๆ เป็นไปไม่ได้ที่กลิ่นนั้นจักหายไป...

อนิลใช้เวลาโบยบินอยู่กลางเวหาแถบนั้นอีกเป็นเวลานาน แต่เขาก็มิอาจพบสระบัวลึกลับ หรือแม้แต่ได้กลิ่นจากถุงหอมนั้นอีก อย่างไรราตรีนี้เขาก็มิอาจกลับไปที่ฉิมพลีได้แล้ว เขาจึงร่อนลงกลางป่าหิมพานต์เพื่อหากิ่งไม้สักกิ่งพำนัก ขอเพียงได้พักพิงในป่าแถบนี้เพียงเพื่อฝันถึงนางก็น่าจะเพียงพอสำหรับครุฑไร้ซึ่งบิดรมารดาเยี่ยงเขา

ข้ามิเหลือผู้ใดแล้วจริงๆ เกล็ดมณี...

กิ่งพฤกษาหนึ่งซึ่งทอดยาวออกมาจากลำต้นมีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะรองรับร่างที่กลับคืนสู่บุรุษ ให้สามารถนอนพักพิงได้อย่างสบายอารมณ์ เสียงเจื้อยแจ้วของวิหคป่าคล้ายขับกล่อมให้เขานอนหลับสบายยามราตรีนี้ แต่หฤทัยของบุรุษเยี่ยงเขากลับหวนคิดถึงแต่เพียงดวงหน้างามของสตรีผู้ที่เขามอบถุงหอมแทนใจให้ติดกายไว้

“เจ้าอยู่ที่ใด” เป็นคำถามที่เปล่งออกมาโดยไร้ซึ่งคำตอบ มีเพียงเสียงเจื้อยแจ้วของเหล่าปักษาซึ่งหาใช่คำตอบที่เขาต้องการไม่

เกล็ดมณี…

 

“องค์หญิงเพคะ...” ตลอดหลายวันมานี้ธารทิพย์เฝ้าตามติดนายเหนือหัวจนเกล็ดมณีมิมีสมาธิในการบำเพ็ญเพียร หลายวันมานี้นางเอาแต่ตั้งคำถาม แต่กลับเป็นคำถามที่เกล็ดมณียจะให้คำตอบได้ “เหตุใดมิตอบหม่อมฉันเล่าเพคะ”

“ที่ข้ามิตอบ เป็นเพราะข้ามิรู้ว่าเจ้าพูดถึงสิ่งใด”

“องค์หญิง...” ธารทิพย์หรี่ตามองผู้เป็นนายที่กำลังนั่งจิบน้ำหวานจากเกสรบัวสุวรรณพรรณรายอย่างรื่นรมย์ ทั้งพักตร์ที่สดใสและรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความสุขจากภายในเบื้องลึกของดวงหทัย ยิ่งทำให้คำถามที่ค้างคาใจนาคีรับใช้คล้ายได้รับการตอบแล้วจากอากัปกิริยานั้นของนาง “หม่อมฉันเห็นมากับตาว่าองค์อนิลถือดอกบัวสุวรรณพรรณรายไปสักการะพระจุฬามณีเจดีย์ และดอกบัวสุวรรณพรรณรายนั้นก็มีแค่ที่สระลึกลับแห่งนี้แห่งเดียวเท่านั้น จะให้หม่อมฉันคิดอย่างไรเล่าเพคะ”

“เจ้าจักมิหยุดถาม หากมิได้คำตอบใช่หรือไม่”

“เพคะ” นางเผยยิ้มจนเห็นฟันขาวทั้งสามสิบสองซี่

“เฮ้อ! ข้าควรทำอย่างไรกับเจ้าดี”

“โธ่! องค์หญิงก็แค่ตรัสกับหม่อมฉันตามตรงก็เท่านั้นเองเพคะ”

“หากข้าพูดออกไปแล้ว เจ้าจักหยุดสงสัยหรือไม่”

“เพคะ”

“อนิลพบสระบัวลึกลับ...” เมื่อเกล็ดมณีเอ่ยเช่นนั้น ธารทิพย์จึงนั่งพับเพียบเรียบร้อยเพื่อรอฟังอย่างตั้งใจ มิต่างจากเด็กทารกตั้งใจฟังนิทานกล่อมนอน “ข้าเองก็มิรู้เหมือนกันว่าเหตุใดเขาจึงลงมาที่นี่ได้ ตอนนั้นข้าเข้าสมาธิในดอกบัวสุวรรณพรรณรายไปแล้ว แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงกระแสวายุกลางเวหา ข้าจึงหลุดจากสมาธิและออกไปเบื้องนอกดอกบัว ก็พบว่าเขาพาข้าโบยบินไปจนถึงอโนดาตแล้ว”

“เช่นนั้นที่องค์หญิงทรงเปียกปอนกลับมาเป็นเพราะองค์อนิลพาไปตกน้ำหรือเพคะ”

“เปล่าหรอก...” เกล็ดมณียิ้มขำขัน เมื่อเห็นว่าใบหน้างามของนาคีรับใช้เริ่มแดงก่ำ แถมบึ้งตึงเพราะโมโหครุฑแปลกหน้าที่ถูกกล่าวถึง “เขาพาข้ามาสนทนาข้างอโนดาต และมอบถุงหอมให้ข้าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ข้ามอบดอกบัวให้ ส่วนเรื่องที่ข้าเปียกปอนเป็นเพราะกุญชรวารีมันชวนข้าเล่นน้ำก็เท่านั้น”

“มิน่าล่ะ ตอนนั้นเขาถึงสงสัย” ธารทิพย์พึมพำกับตัวเอง

“ใครสงสัยเจ้าหรือ”

“ก็องค์อนิลสิเพคะ ดังที่ข้าได้บอกไปว่าข้าบังเอิญพบพระองค์ที่ไปสักการะพระจุฬามณีเจดีย์ แล้วพระองค์ก็ทรงจำกลิ่นบุปผชาติที่ติดกายข้าไปได้ พระองค์จึงทรงถามว่าข้าเกี่ยวข้องอันใดกับองค์หญิง”

“หืม! นี่เขาร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

“ก็ใช่น่ะสิเพคะ ด้วยความเป็นห่วงองค์หญิง หม่อมฉันจึงรีบตรงกลับมาที่สระลึกลับทันทีเลยเพคะ”

“ช่างเขาเถิดธารทิพย์...” เกล็ดมณีปรามด้วยเสียงเลื่อนลอย ถุงหอมที่ได้รับมาจากอนิล นางกลับเก็บมันไว้มิห่างกายแม้สักนาที เหน็บมันไว้ใต้เข็มขัดเงินตลอดเวลาจนบัดนี้กลิ่นหอมของบุปผชาติเหล่านั้นกลายเป็นกลิ่นประจำกายของนางไปเสียแล้ว “เราก็อยู่ส่วนเรา หากวาสนาต้องกัน เดี๋ยวเขาก็กลับมาอีกเป็นแน่”

“องค์หญิงพูดเหมือนกับว่า องค์อนิลมีชะตาต้องกันกับองค์หญิงเช่นนั้นแหละเพคะ”

“ข้าเปล่า” เป็นการปฏิเสธที่สร้างรอยยิ้มให้แก่ธารทิพย์ได้มิใช่น้อย นั่นเพราะแก้มใสกลับซับสีแดงระเรื่อขึ้นมาในทันทีที่ปฏิเสธ

ข้ามิเห็นรอยยิ้มเช่นนี้จากพักตร์ขององค์หญิงมานานเพียงใดแล้ว ดูเหมือนว่าเพลานี้ ความทุกข์คงค่อยทยอยมลายไปบ้างแล้วเป็นแน่...

เกล็ดมณีในยามนี้เองก็รู้ดีว่าตนมีความสุขจนผิดแผกไปจากเดิม เหตุใดการบำเพ็ญเพียรตลอดเจ็ดร้อยปีมานี้กลับมิช่วยให้นางลืมเรื่องราวร้ายๆ ที่เกิดขึ้นในฉิมพลีได้ แต่การได้พบกันคราเดียวระหว่างนางกับอนิล นางกลับรู้สึกว่าความทรงจำร้ายๆ ระหว่างนางกับวิหรุตกลับไม่อาจทำร้ายนางได้อีกต่อไป

ธารทิพย์อดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นว่า อยู่ๆ เกล็ดมณีก็ยกมือขึ้นทาบหน้าอกพร้อมกับเผยยิ้มละไม มิต่างจากสาวงามยามแรกรักบุรุษ นางขยับกายออกห่าง เพื่อปล่อยให้องค์หญิงของนางได้เสพสุขในห้วงความคิดแห่งความคิดถึงตามลำพัง

หรือข้าควรไปสักการะพระจุฬามณีเจดีย์บนดาวดึงส์บ้าง...

เกล็ดมณีวางช้อนที่ใช้ตักน้ำหวานจากเกสรดอกบัวลงบนจานรองทองเหลืองแผ่วเบา ก่อนลุกขึ้นตรงไปยังด้านนอกห้อง ผ่านโถงทางเดินก่อนออกไปยังนอกวิมาน นาคีรับใช้ที่กำลังเดินดูดอกบัวอยู่ภายนอกรีบตรงเข้ามาหานางทันทีที่เห็นว่านางกำลังจะออกจากวิมาน

“องค์หญิงจะเสด็จแห่งใดหรือเพคะ”

“พรุ่งนี้เจ้าช่วยเตรียมดอกบัวสุวรรณพรรณรายให้ข้าทีนะ”

“เอ๋! องค์หญิงจะนำดอกบัวไปแห่งใดหรือเพคะ”

“ข้าว่า ข้าควรไปสักการะพระจุฬามณีเจดีย์สักครั้งในชีวิต”

“องค์หญิงคิดอย่างไรเพคะ ถึงได้...”

“เอาน่า...” เกล็ดมณีเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แย้มยิ้มงามงดจนธารทิพย์แปลกใจ แต่รอยยิ้มเช่นนี้ นางก็มิได้เห็นมันบังเกิดบนพักตร์งามขององค์หญิงบ่อยนัก นางจึงมิขัดในสิ่งที่เกล็ดมณีปรารถนาที่จะกระทำ “ข้าแค่อยากสั่งสมบุญโดยการสักการะพระจุฬามณีบ้างก็เท่านั้น”

“เพคะ พรุ่งนี้หม่อมฉันจักจัดการให้”

เกล็ดมณีมิได้กล่าวสิ่งใดอีก นางสาวเท้ากลับเข้าไปในวิมาน มุ่งตรงสู่ห้องบรรทมที่คุ้นเคย หยิบเอาถุงหอมที่เหน็บติดเข็มขัดเงินออกมาพิเคราะห์ใกล้ๆอย่างถี่ถ้วน ก่อนยกมันขึ้นเชยชมพร้อมสูดดมเอากลิ่นหอมนั้นเข้าสู่ปอดแผ่วเบา เพียงสูดดมเพียงน้อย แต่กลิ่นหอมนั้นกลับกำจายออกมาจนผู้สูดดมชื่นใจเป็นที่สุด ทั้งบำรุงจิตให้ผ่อนคลาย และยังทำให้สมองปลอดโปร่งคลายกังวล

เดิมทีเหล่าชาวทิพย์อย่างพวกนาง หากหมายอาภรณ์ใดก็สามารถเนรมิตขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเกล็ดมณีเองก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่อยู่ๆ นางกลับอยากเย็บถุงหอมขึ้นมาเองกับมือ มิใช่การเนรมิตขึ้นมาใหม่

ข้าต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ...

ถึงแม้จะคิดเช่นนั้น แต่นางกลับเนรมิตผ้าแพรเนื้อดีขึ้นมาหลายผืน พร้อมทั้งเข็ม ด้าย หรือแม้กระทั่งสะดึงทั้งที่มิรู้มาก่อนว่าข้าวของเหล่านี้ใช้อย่างไรกันแน่ ยามที่นางได้ไปเที่ยวเล่นที่โลกมนุษย์สมัยเยาว์วัย นางเคยเห็นมนุษย์ที่เป็นสตรีปักผ้าเป็นลวดลายสวยงามเพื่อมอบให้บุรุษที่พวกนางรักไว้ดูต่างหน้า เวลาพวกเขาจะเดินทางไกล หรือมีเหตุจำเป็นให้ต้องแยกห่างกัน

เมื่อหมายจะมอบมันใก่อนิล นางจึงเริ่มจากหยิบผ้าแพรสีเงินมาขึงกับสะดึงไม้จนแน่น ร้อยไหมสีทองเข้ากับเข็ม และใช้เวลาหลังจากนั้นทั้งราตรีเพื่อปักผ้าแพรผืนนั้นอย่างตั้งใจ

 

มิรู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงไร แต่ตอนนี้เกล็ดมณีพบว่านางเองก็มีฝีมือในการเย็บปักถักร้อยดีทีเดียว นางตัดเย็บถุงผ้าสำหรับใส่บุปผชาติขึ้นมาหนึ่งถุงด้วยฝีมือแสนประณีต พร้อมทั้งปักลวดลายบัวสุวรรณาแสนวิจิตร ยิ่งเชยชมก็ยิ่งภาคภูมิใจในฝีมือที่เหล่าชาวทิพย์มิค่อยกระทำกัน ทุกฝีเข็มที่ปักลงไป นางล้วนคำนึงถึงเพียงใบหน้าเปี่ยมสุขของผู้ที่ได้รับ จึงทำให้ใบหน้างามอดแย้มยิ้มมิได้

ยามเมื่ออยู่ในวิมานใต้สระลึกลับแห่งนี้ สรรพเสียงโดยรอบมักเงียบสงบ ความมืดเบื้องบนทำให้นางรับรู้ว่าเพลานี้ยังเป็นราตรีกาลแห่งความโดดเดี่ยวเช่นทุกคราว เกล็ดมณีเดินออกมาจากห้องบรรทมและพบว่าธารทิพย์นอนหมอบอยู่หน้าห้องของนาง 

ความจริงวิมานแห่งนี้มีห้องพักหลายห้องให้เลือกจับจอง นางเคยบอกให้นาคีรับใช้ไปหาที่นอนดีๆ พักผ่อน จะได้มิเจ็บปวดร่างกายยามตื่นขึ้นมา แต่หลังจากนางถูกวิหรุตทำร้าย ธารทิพย์ก็มิยอมอยู่ห่างจากนางอีกเลย

ข้านี่ช่างทำตัวให้เจ้าลำบากเสียจริง...

เดิมทีนางตั้งใจออกไปสูดอากาศยามราตรี แต่เมื่อพบธารทิพย์นอนเฝ้าที่ด้านนอกเช่นนี้ หากนางย่างเท้าออกไป เกรงว่านาคีรับใช้อาจต้องตื่นจากห้วงฝันขึ้นมาเดินเล่นเป็นเพื่อนตน นางจึงสะบัดมือครั้งหนึ่งเพื่อเนรมิตแพรหนาขึ้นมาห่มกายนาคีรับใช้เพื่อคลายความหนาว ก่อนที่จะกลับเข้าสู่ห้องนอนเพื่อเดินทางสู่ห้วงราตรีกาลของตน

 

เช้าวันนี้พระสุริยาทิตย์ยังมิทรงฉายแสง เกล็ดมณีก็ลุกขึ้นมาปลุกธารทิพย์เพื่อเลือกเฟ้นดอกบัวสุวรรณพรรณรายที่เหมาะสม แล้วตรงสู่ดาวดึงส์ในทันที ฝ่ากระแสวายุเย็นเยียบที่พระพายพัดผ่านเหล่าเมฆา ก่อนเดินทางมาสู่ดาวดึงส์ที่มีเสียงคีตบรรเลงตลอดเวลา อีกทั้งกลิ่นหอมของเหล่าบุปผาในสวนก็ส่งกลิ่นอบอวลไปจนทั่วทั้งเมืองแมน แต่กลิ่นบุปผชาติที่ติดกายนางยามนี้กลับมิเป็นสองรองจากกลิ่นบุปผาเหล่านั้น

สวยงามสมคำเล่าลือจริงๆ...

ถึงแม้ยามนี้ยังมิมีแสงสุริยาสาดส่อง แต่โดยรอบพระจุฬามณีเจดีย์แห่งนี้กลับเรืองรองด้วยแสงสุวรรณเพื่อมอบความสว่างให้ผู้สักการะ มิต่างจากแสงจากเปลวเทียนที่ทอแสงอร่ามทั่วทุกพื้นที่ ถึงแม้จะเป็นยามเช้าตรู่เช่นนี้ แต่ก็ยังมีเหล่าเทพยดา นางฟ้านางสวรรค์ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาสักการะด้วยจิตศรัทธามิขาดสาย

“งดงามมากเลยใช่มั้ยเพคะ”

“เป็นบุญตาของข้าโดยแท้ ที่ให้เจ้าพามาสักการะพระจุฬามณีเจดีย์แห่งนี้”

“เข้าไปข้างในกันเถิดเพคะ”

การเดินของสองนาคีนั้นสง่างามในทุกท่วงท่า รวมถึงการวางตนที่ให้ความรู้สึกสุขสงบ เกล็ดมณีประสานมือไว้ด้านหน้าอย่างสำรวม นาคีรับใช้ถือถาดทองเหลืองที่มีดอกบัวสุวรรณพรรณรายอยู่สี่กำมือ การสวมอาภรณ์ขาวของทั้งคู่บ่งบอกถึงการเป็นผู้ดำรงตนอยู่ในศีลและธรรม มองดูมิต่างจากผู้บำเพ็ญภาวนะเดินจงกรมสู่ลานสักการะ เหล่าเทพยดาที่พบเห็นต่างมีความศรัทธาเลื่อมใส และหลีกทางให้นาคีทั้งสองถวายเครื่องสักการะก่อนพวกตน

“พวกเขาจับจ้องเราเพราะเหตุใด” เกล็ดมณีที่ยังคงแย้มยิ้มเหลียวไปเอ่ยถามกับนาคีรับใช้ เมื่อรับรู้ถึงสายตาที่จับจ้องมาจากเหล่าเทพยดาโดยรอบ

“คงเพราะความงามขององค์หญิงกระมังเพคะ”

“ข้าว่ามิใช่หรอกกระมัง” 

เกล็ดมณีค้อมกายสักการะแด่พระจุฬามณีเจดีย์หนึ่งครั้ง ก่อนหันไปหยิบดอกบัวหนึ่งกำวางไว้ที่ถาดเงินด้านซ้าย และวางอีกกำไว้ที่ถาดทองด้านขวา นาคีรับใช้วางดอกบัวในส่วนของตนตามผู้เป็นนาย ก่อนจะถอยไปสองสามก้าว แล้วทั้งสองจึงก้มกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ถึงสามครั้ง

หลังจากทั้งคู่ออกมาจากลานสักการะก็พากันเดินชมสวนไม้กฤษณาที่อยู่โดยรอบ เนื้อไม้ส่งกลิ่นหอมหวนบำรุงจิตยิ่งนัก แถมอากาศยามเช้าเช่นนี้ก็ทำให้นางรู้สึกสดชื่นจนจิตใจปลอดโปร่ง นอกจากนี้ยังมีเสียงคีตบรรเลงคลอมิหยุดหย่อน ครั้นเมื่อได้ฟังแล้วกลับยิ่งทำให้รื่นรมย์อย่างบอกมิถูก คล้ายกับว่าสวรรค์แดนนี้มิต่างจากสถานที่แห่งความสุข ไร้ซึ่งสิ่งใดให้เป็นกังวล

“คีตบรรเลงไพเราะยิ่งนักนะเพคะ” นาคีรับใช้กล่าวพลางพยายามชะเง้อหาต้นเสียง

“นั่นน่ะสิ...” เกล็ดมณีเองก็มองหาเช่นกัน แต่มิใช่ต้นเสียงของคีตที่นางได้ยิน แต่เป็นร่างสูงโปร่งเจ้าของถุงหอมที่นางพกติดตัวต่างหาก “ข้าก็คิดเหมือนเจ้า”

การมาสักการะพระจุฬามณีเจดีย์ในครานี้ ใจจริงนางเองมีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่มิเคยได้ย่างกรายออกจากสระบัวลึกลับมาหลายร้อยปี ครั้นเมื่อมีโอกาสจึงอยากมาสักการะสักหนเพื่อเป็นบุญวาสนา ส่วนจุดประสงค์รองก็มิพ้นความตั้งใจที่ว่าอาจจะได้พบผู้ที่มอบถุงหอมบุปผชาติให้แก่ตนอีกสักครั้ง เพราะหากจะให้นางบากหน้าไปฉิมพลีเพื่อพบเขา นางคงมิทำแน่

“พวกเรากลับกันเถิด” เกล็ดมณีหันไปชวนนาคีรับใช้

“เพคะ”

เมื่อมิพบเป้าหมายรองของการเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ เกล็ดมณีก็หมายจะกลับไปบำเพ็ญเพียรต่อที่วิมาน แต่แล้วขณะที่แสงสุวรรณทาบทาที่เส้นขอบฟ้า พระสุริยาทิตย์ทำหน้าที่มอบความสว่างไปทั่วทั้งเมืองแมน สายลมแรงก็พัดไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ ส่งให้กลีบบุปผาปลิวว่อนคล้ายกับมีผู้ใดโปรยปรายลงสู่ผืนพสุธาแห่งดาวดึงส์ เหล่านางฟ้านางสวรรค์โดยรอบพลันมีท่าทางเอียงอายผู้มาเยือนพร้อมกับแสงสุริยะ

“องค์หญิงเพคะ...” ธารทิพย์กระตึกชายสไบของผู้เป็นนายเบาๆ “องค์อนิล”

นางมองภาพที่ปรากฏบื้องหน้าเช่นเดียวกับธารทิพย์ เจ้าของเส้นขนสีนิลปลายทองกลับสู่ร่างบุรุษ สวมอาภรณ์สีครามขับผิวให้ขาวเด่นเป็นสง่า อีกทั้งท่วงท่าสมชายชาตรีที่สามารถพิชิตใจสตรีหลายนางได้โดยมิต้องเอ่ยปาก ในมือทั้งสองข้างมีเหล่าแมกไม้หอมที่นำเป็ฯเครื่องสักการะ เขานำไปวางยังพานเงินพานทองอย่างแคล่วคล่อง

“ข้าเห็นแล้ว”

เกล็ดมณีจับจ้องท่าทางการหมอบกราบของอนิลทั้งสามครั้ง เมื่อเขาปฏิบัติสิ่งที่หมายมั่นเสร็จสรรพจึงหันมาสนใจกับต้นตอของกลิ่นหอมที่ทำให้เขากระหยิ่มยิ้มย่อง

“ช่างบังเอิญเสียจริง...” ไวกว่าความคิด คล้ายเขาเคลื่อนกายด้วยจิตที่เพ่งพินิจมาตรงหน้าของเกล็ดมณี นางมิได้ขยับหนีแม้เพียงก้าว ผิดกับนาคีรับใช้ที่ตกใจจนยกมือขึ้นทาบอกคล้ายเสียขวัญ “ไยข้าจึงพบเจ้าที่นี่ได้เล่า”

“ข้าแค่มาสักการะพระจุฬามณีเจดีย์เท่านั้น” เกล็ดมณียกมือพนมเหนือศีรษะยามเอ่ย

“ไยครานั้นเจ้าบอกว่า หากหมายมาที่นี่ เจ้าจักบอกข้าอย่างไรเล่า”

“มันคนละกรณีกัน”

“คนละกรณีอย่างไร” อนิลตั้งคำถามมิลดละ

เกล็ดมณีระบายลมหายใจออกมา นางย่างเท้าออกเดินจากใต้ร่มกฤษณาโดยมีอนิลเดินตามมามิห่าง ธารทิพย์รู้ดีว่าเวลาเช่นนี้นางต้องคอยดูอยู่ห่างๆ จึงจะเป็นการดี เพราะนางเองก็หมายให้องค์อนิลผู้นี้เป็นผู้ที่เข้ามาสร้างความทรงจำดีๆ แทนที่ความทรงจำแสนเลวร้ายภายในใจขององค์หญิง นางจึงยอบตัวลงพับเพียบรออยู่ใต้ร่มกฤษณานั้น ลอบมองการสนทนาของผู้มีบุญญาทั้งสองเงียบๆ

“เจ้ายังมิตอบข้าเลย ว่าเหตุใดวันนี้ข้าจึงพบเจ้าที่นี่”

“คราก่อนข้าให้ธารทิพย์นำดอกบัวสุวรรณพรรณรายมาสักการะพระจุฬามณีเจดีย์ นางบอกข้าว่าสถานที่แห่งนี้สวยงามจนหาที่เปรียบมิได้...” เกล็ดมณีเอ่ยพร้อมกับก้าวเท้าเดินไปมิหยุด “เดิมทีข้าเองที่บำเพ็ญเพียรต่างก็มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา พระจุฬามณีเจดีย์แห่งนี้ วากันว่าเป็นที่ประดิษฐานพระจุฬา พระเมาลี และพระเขี้ยวแก้ว แห่งองค์สมณโคดม ข้าจึงอยากมาสักการะเพื่อเป็นบุญสักครา”

“มิใช่มาเพียงเพื่ออยากพบหน้าข้าหรอกหรือ”

เกล็ดมณีหยุดเดินโดยที่นางเองก็มิรู้ตัว ครั้นเมื่อเหลือบไปมองผู้ที่เดินตามมิห่าง ทั้งที่เขาวางตัวดี มิเข้าใกล้นางจนเกินงาม แต่รอยยิ้มซุกซนที่ส่งมาตลอดการสนทนากลับทำให้หทัยของนางเต้นมิเป็นจังหวะ ยิ่งเมื่อเขายักคิ้วหลิ่วตาประกอบการซักไซ้ นางกลับยิ่งรู้สึกว่าบุรุษตรงหน้าทรงเสน่ห์เย้ายวนจนทำให้นางไหวหวั่น หากมิจำเป็นต้องรักษาไว้ซึ่งเกียรติแห่งสตรีเพศ นางคงถอยเท้าไปยืนเคียงข้างกับเขา แต่นางคงปล่อยให้กิริยามิงามเช่นนั้นเกิดขึ้นมิได้

“เจ้าพูดสิ่งใดออกมา รู้ตัวหรือไม่” นางถามย้ำเพื่อทดสอบว่าเขามิใช่บุรุษที่เอาแต่พูดเจื้อยแจ้วเช่นนกแก้วนกขุนทอง

“ข้ารู้ตัวทุกขณะ ทุกย่างก้าว และทุกการกระทำของข้า”

“เจ้า...” เกล็ดมณีมิรู้ว่าควรเอ่ยสิ่งใดออกมา แต่แล้วก็คิดได้ว่าเมื่อคืนยอมอดหลับอดนอนเพื่อสิ่งใด จึงยื่นมือไปตรงหน้าอนิล แบมือนิ่งๆ เพียงครู่พลันปรากฏถุงผ้าลายบัวสุวรรณที่นางใช้เวลาปักแทบทั้งคืน ของสิ่งนั้นคล้ายทอแสงระยิบระยับ ปะปนด้วยกระแสทิพย์แห่งนาคีที่เป็นผู้สรรค์สร้างกับมือ “รับไปเถิด”

ถึงแม้จะรู้สึกฉงนในท่าทีของเกล็ดมณี แต่อนิลก็ยื่นมือมารับถุงผ้าใบนั้นไปพินิจดูใกล้ๆ พร้อมกับยิ้มออกมา พลางลอบมองใบหน้าเอียงอายของเกล็ดมณีที่พยายามเก็บกลั้นอารมณ์ไว้

แต่มีหรือที่เขาจักปล่อยผ่าน เมื่อเห็นว่าสองแก้มเนียนของนาคีสาวประดับสีชมพูระเรื่อ แต่ยังพยายามฝืนยิ้มเพื่อปกปิดความเขินอายง จึงกลายเป็นเขาเองที่เผยยิ้มกริ่มเพราะพึงใจในของที่ได้รับ ถึงมันจะเป็นเพียงถุงผ้าธรรมดา แต่ของสิ่งนี้ก็มิต่างจากของแทนใจที่นางมอบให้แก่เขาด้วยความสัตย์จริง

“ถุงผ้านี้ข้ามิได้เนรมิตขึ้นมา แต่ข้าเย็บมันเองกับมือ และแน่นอน...” นางเอ่ยทั้งที่เสมองไปอีกทาง เพื่อมิให้อีกฝ่ายจับพิรุธได้ “ดอกบัวสุวรรณที่อยู่ด้านบนนั้นล้วนเป็นการปักโดยฝีมือข้าทั้งสิ้น”

“ข้าชอบถุงผ้าใบนี้มาก”

“ก็ดีแล้ว...” เกล็ดมณีรู้สึกว่าในท้องของนางตอนนี้คล้ายมีสิ่งมีชีวิตอื่นกำลังโบยบินอยู่ภายใน แถมดวงหทัยังเต้นระรัวมิต่างจากจังหวะกลองศึก ที่ลั่นโครมครามเพื่อเสริมกำลังความฮึกเหิมด้านการออกรบ มันทั้งคึกคะนอง ห้าวหาญ และเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน “ข้ามิมีฝีมือในการทำบุปผชาติใส่เข้าไปในนั้น ข้าหวังว่าเจ้าจักมิรังเกียจ หากจักนำมันไปบรรจุบุปผชาติเอง”

“ข้ามิรังเกียจหรอกหนา”

อนิลเผยยิ้มมุมปากด้วยความดีใจจนออกนอกหน้า เขายกถุงผ้านั้นขึ้นชิดปลายจมูก สูดดมเอากลิ่นกายอ่อนๆ ของเจ้าของเดิมเข้าปอดจนพอใจ การกระทำนั้นทำให้เกล็ดมณีเริ่มวางตัวลำบาก นางเขินอายจนเริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่ แต่การที่นางได้มอบถุงผ้าใบนี้แก่เขาทำให้นางรู้สึกมีความสุข

“ข้าคงต้องกลับวิมานแล้ว” เกล็ดมณีเดินเลี่ยงเขาออกมาหาธารทิพย์ที่ยังนั่งพับเพียบรออยู่ที่เดิม

“เดี๋ยวก่อน...” อนิลระบายลมหายใจออกมาเล็กน้อย ใจจริงเขาอยากรั้งนางให้อยู่ต่ออีกหน่อย แต่เขาเองก็รู้ดีว่านางนั้นมีความทะนงในตนเองพอสมควร เขาจึงจำต้องปล่อยนางกลับไป “ข้าจักเก็บถุงใบนี้ไว้มิให้ห่างกาย”

“พูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อย” เอ่ยทั้งที่แก้มนวลเนียนเริ่มซับสีชมพูระเรื่อมาจนถึงใบหู

ธารทิพย์ลอบอมยิ้ม มองผู้เป็นนายสลับกับอนิล ก่อนที่เกล็ดมณีจะพานางหายตัวจากดาวดึงส์กลับมายังสระลึกลับ

กระแสลมเย็นพัดพลิ้ว ครุฑหนุ่มยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนสยายปีกออกกว้าง หอบเอาความเย็นและความหอมของเหล่ามวลบุปผาโบยบินขึ้นกลางเวหาหาว การกระทำเช่นนี้ของนางมิต่างจากการรับสัมพันธไมตรีจากเขา ตอนนี้หัวใจของเขาจึงพองโตจนแทบระเบิดออกจากอกแกร่ง

“ของสิ่งนี้เป็นของแทนใจนางหรือเปล่า…” เขาเพียรคิดในขณะที่จับจ้องถุงผ้าใบนั้น ทุกครั้งที่ขยับปีกร่างนั้นก็พุ่งทะยานไปเรื่อยอย่างไร้ที่สิ้นสุด “ข้าพินิจเจ้ามามากแล้ว ไยเจ้ามิตอบข้ากันเล่า”

เมื่อมิรู้ว่าควรพูดเรื่องนี้กับผู้ใดอนิลจึงไต่ถามเอากับถุงผ้าที่ได้รับมา หมายให้มันกลายเป็นสิ่งมีชีวิตแล้วตอบคำถามให้เขาหายคลางแคลงใจ แต่มันก็มิอาจตอบกลับสิ่มาได้ ร่างมหึมาจึงถลาร่อนลงสู่เบื้องล่างของหุบเหวลึกภายในเขตแดนทักษิณแห่งหิมพานต์ที่ถูกปกคลุมด้วยความหนาวเหน็บ ทั้งที่นัยน์ตาซุกซนยังคงจับจ้องถุงผ้าใบนั้นมิวางตา

“ข้ามิรู้ว่านี่เป็นโชคชะตาหรือเปล่า...” อนิลเพ่งมองถุงผ้าสีเงินที่ได้รับมาด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างที่เขามิเคยเป็นมาก่อน “แต่สำหรับข้า ข้าภาวนาให้เรื่องครานี้เป็นโชคชะตาระหว่างเรา”

เขากำถุงผ้าใบนั้นเอาไว้แน่น ก่อนทะยานขึ้นสู่เวหาอีกครา เพื่อเดินทางสู่วิมานแห่งตนในฉิมพลีนคร เมืองแมนแห่งเหล่าครุฑทั้งปวง

ข้าหมายมีโชคชะตาต้องกับเจ้าหนา…เกล็ดมณีนาคี

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น