3

ข่าวคราวจากฉิมพลี

ข่าวคราวจากฉิมพลี

 

ธารทิพย์แฝงกายเข้ามาหลบซ่อนอยู่ในวิมานฉิมพลี จนกระทั่งได้รับข่าวคราวที่ต้องการจากการพูดคุยกันของนางกำนัลที่เดินผ่านไปมาก็รีบเร้นกายกลับออกมาโดยเร็ว

“องค์หญิง…” ธารทิพย์กลับมาถึงสระบัวลึกลับพร้อมกับเรื่องราวที่เกล็ดมณีให้ไปสืบหา แต่เมื่อก้าวเข้ามาในเขตถิ่นที่พำนัก กลับพบว่าที่แห่งนี้ไร้ซึ่งกระแสทิพย์ของผู้เป็นนาย “องค์หญิงเพคะ”

ใบหน้างามฉายแววฉงนระคนตระหนก นางพยายามตามหาไปจนทั่ว ทั้งที่วิมานเบื้องลึกกลางสระ ทั้งเขตป่าโดยรอบอาณาบริเวณที่พำนัก แต่นางก็ยังหาเกล็ดมณีไม่พบ ใจของนางเต้นเร่า ทั้งด้วยความห่วงใย และความทนทุกข์คล้ายกับกำลังจะต้องสูญเสียของรักไป

องค์หญิงเสด็จไปที่ใดกัน…

ความคิดของนางพลันหยุดชะงักลง เมื่อเห็นร่างบางเดินเข้ามาในเขตสระบัวลึกลับด้วยร่างกายที่เปียกปอน แต่ใบหน้างามกลับยังคงความเรียบเฉยดังเดิม มิต่างจากผู้ที่กระทำความผิดแล้วแสร้งทำเป็นมิรู้มิเห็น 

ธารทิพย์รีบโผเข้าไปหานางด้วยท่วงท่าดุดัน จนเกล็ดมณีต้องรีบยกมือทั้งสองขึ้นห้ามปรามนางเสียก่อน

“ใจเย็นก่อนน่า ข้ามิได้เป็นอันตรายแต่อย่างใด”

“องค์หญิงเสด็จไปแห่งใดมาเพคะ หม่อมฉันเป็นห่วงแทบแย่”

ธารทิพย์พูดพลางกวาดตามองสำรวจตามเนื้อตัวของเกล็ดมณีอย่างถ้วนทั่วแล้วพบว่านอกจากความเย็นของกระแสน้ำที่ติดอยู่ตามอาภรณ์ขาวสะอาดแล้ว นางยังได้กลิ่นของความสดชื่นบางอย่างอันเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของสถานที่ซึ่งเหล่าชาวหิมพานต์ล้วนแวะเวียนไปด้วยความสนุกสนาน ทำให้นางรู้ได้ทันทีว่าเกล็ดมณีกลับมาจากสถานที่ใด

“อโนดาต และ…” ธารทิพย์เอ่ยทันทีที่รับรู้ แต่ยังมีอีกกลิ่นหนึ่งที่นางสัมผัสได้จากผู้ที่ยืนส่งยิ้มเจื่อนอยู่ตรงหน้า แม้ร่างงามจะเปียกปอน แต่กลิ่นหอมของบุปผชาติซึ่งตนมิเคยได้สัมผัสมาก่อนกลับยังคงฟุ้งกำจายออกมา กลิ่นนั้นหอมหวนติดจมูกจนยากที่จะลืมเลือน นาคีรับใช้สูดดมกลิ่นนั้นเข้าปอดลึกๆ พร้อมกับพยายามนึกหาที่มาของมัน “กลิ่นอันใดติดพระวรกายองค์หญิงมาด้วยเพคะ”

“อย่าถามมากเลยน่า” นางเลี่ยงการตอบ และทำท่าจะเดินหนีไปอีกทาง แต่กลับถูกอีกฝ่ายขวางทางไว้เสียก่อน

“องค์หญิงอย่าทรงกระทำเช่นนี้อีกนะเพคะ หม่อมฉันใจคอมิค่อยดี”

“ข้าปลอดภัยดี”

“แล้วหัสดีลิงค์เล่าเพคะ…” ธารทิพย์แหงนมองบนท้องนภาสีฟ้าคราม ที่ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วยามมีนกยักษ์บินวนไปมาอย่างน่าสงสัย แถมส่งเสียงร้องก้องมิต่างจากกำลังป่าวประกาศข้อความบางอย่างให้ชาวหิมพานต์ได้ล่วงรู้ “มันหายไปแห่งหนใดแล้ว”

จริงด้วย ทำไมข้าถึงมิทันสังเกต…

เกล็ดมณีพลันเงยหน้ามองเบื้องบนหลังจากได้ยินนาคีรับใช้เอ่ยเช่นนั้น พลางคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่หัสดีลิงค์บินวนเวียนเหมือนมาบอกเหตุสักประการ จากนั้นนางก็ถูกโฉบขึ้นไปที่ด้านบนด้วยน้ำมือของครุฑหนุ่ม แถมเขายังเอ่ยปากเชยชมนางมิต่างจากหนุ่มสาวแรกรุ่นพลอดรักกัน เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ คิ้วงามพลันขมวดมุ่นจนแทบเป็นปม อากัปกิริยาดังกล่าวยิ่งทำให้ผู้ที่จับจ้องมองอยู่ตลอดสงสัยจนอดถามมิได้

“องค์หญิงมีเรื่องอันใดหรือไม่เพคะ”

“ลงไปที่วิมานพร้อมข้า”สิ้นเสียงหวาน ร่างของเกล็ดมณีพลันหายวับลงไปสู่วิมานเบื้องล่างในทันที โดยมีธารทิพย์ตามมามิห่าง

นางเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ซึ่งเป็นสีขาวบริสุทธิ์ดังเดิม และมีสิ่งหนึ่งที่กลับมิปล่อยให้ห่างกาย ถุงหอมที่ได้รับมอบจากครุฑแปลกหน้ากลายเป็นเครื่องประดับของนางมิต่างจากของสำคัญสักอย่าง นางสอดมันไว้ใต้เข็มขัดแล้วรัดแน่นด้วยเชือกไหมเพื่อมิให้หลุดหายไป 

กลิ่นหอมที่โชยออกมาเหมือนมิมีขีดจำกัดการกำจาย ยิ่งเก็บไว้แนบกายนานเท่าใด กลิ่นหอมยิ่งเหมือนจะติดตามเนื้อตัวนานมากเท่านั้น เมื่อสูดดมก็ให้ความรู้สึกสดชื่น แถมทำให้ดวงหทัยที่เคยกลัดกลุ้มรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างเหลือเชื่อ ส่งผลให้กายอรชรเอนลงอิงเขนยสามเหลี่ยมหน้าคันฉ่องทองคำอย่างสบายอารมณ์ โดยมีธารทิพย์คอยสางเกศาให้อยู่ด้านหลังอย่างเบามือ

“เจ้าได้ข่าวใดมาบ้าง”

“บนฉิมพลีมิมีสิ่งใดผิดปกตินะเพคะ…” ธารทิพย์เอ่ยขณะที่มือยังสางเกศาให้เกล็ดมณีไปด้วย ถึงแม้จะยังข้องใจเรื่องกลิ่นบุปผชาติอยู่บ้าง แต่นางก็มิกล้าซักไซ้ไล่เลียงผู้เป็นนายอีก จึงจำต้องเก็บความสงสัยไว้ภายในใจ รอสบโอกาสแล้วจึงค่อยถามอีกครา จากนั้นนางจึงถ่ายทอดเนื้อความตามที่ตนได้ยินมาจากนางกำนัลบนวิมานฉิมพลี “มีเพียงข่าวที่ว่าองค์วิหรุตกับพิลาสมยุราทรงให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ร่ำลือกันว่ารูปงามมิต่างจากผู้เป็นบิดาเลยนะเพคะ”

“รูปงามมิต่างจากวิหรุตเช่นนั้นหรือ” นางเอ่ยกลั้วหัวเราะ

หากนึกถึงผู้ที่รูปงามเทียบเท่าราชันครุฑอย่างวิหรุต ดวงหน้าเลอลักษณ์ของอนิลพลันปรากฏขึ้นในห้วงความคิด ทั้งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ยามเย้าหยอก ความไร้เดียงสายามถูกนางกลั่นแกล้งด้วยวาจา ไหนจะทีท่าคล้ายเด็กดื้อดึงนั่นอีก เห็นทีว่าตอนนี้คงมิมีผู้ใดที่นางมองว่าเลอลักษณ์ไปกว่าเขา เจ้าครุฑหนุ่มน้อยเจ้าของเรือนขนสีดำขลิบทองที่ปลายเส้นขน

“องค์หญิง...” เจ้าของใบหน้างามเผลอแย้มยิ้มโสภาโดยมิรู้ตัวทำให้ธารทิพย์ที่ลอบมองอยู่ถึงกับแปลกใจ เพราะนางเองก็มิได้เห็นรอยยิ้มเป็นธรรมชาติแบบนี้มาเนิ่นนานแล้ว “ทรงคิดสิ่งใดอยู่หรือเพคะ”

“เปล่านี่นา...” เกล็ดมณีปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติตามเดิม “มีข่าวใดอีกหรือไม่”

“มีเพคะ เห็นว่าพิลาสมยุราทรงสู่ขอเจ้าหญิงกินรีมาเป็นพระชายาให้บุตรชายถึงสองนางเลยนะเพคะ”

“สองนางเลยหรือ…” เกล็ดมณียิ้มเยาะ นั่นเพราะแต่เดิมนางเองก็หวังจะมีคู่ผัวเมียเดียว และคงรับมิได้หากสวามีมีชายาถึงสองนาง “ข้าฉงนในความคิดของนางยิ่งนัก เหตุใดมิปลูกฝังให้บุตรชายมีรักมั่นหนึ่งเดียว หากจะมีนางในใจสักนาง ก็ควรมีเพียงผู้เดียวสิถึงจะถูกต้อง”

“จะใช้คำว่า เชื้อมิทิ้งแถวได้หรือไม่เพคะ” ธารทิพย์เอ่ยจบแล้วทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน

“นอกจากพิลาสมยุรานางนั้น ข้า แล้วก็ยังมีธิดากินรีอีกนาง ข้าว่า...คำว่าเชื้อมิทิ้งแถวก็คงใช้กับบุตรชายของเขาได้กระมัง”

“ยังมีอีกข่าวเพคะ แต่มิใช่ข่าวสำคัญแต่อย่างใด”

“เจ้าพูดให้ข้าอยากรู้…” เกล็ดมณีเหลียวไปมองใบหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ของธารทิพย์ที่กำลังวางหวีสางเงินยวงลงบนโต๊ะข้างๆ ที่ประทับ แล้วหันมารวบเส้นผมยาวสลวยเพื่อมวยไว้ที่ด้านหลังด้วยความประณีต ก่อนบรรจงปักปิ่นนาคราชทองคำไว้อย่างเบามือ “มีอะไรก็ว่ามาเถิด”

“เดิมทีองค์วิหรุตมีพี่น้องนอกสมรสของพระบิดาอยู่หนึ่งตน ที่เพิ่งสิ้นพระชนม์ไปเมื่อร้อยปีก่อน”

“พระเชษฐาขององค์วิหรุต…” เกล็ดมณีทำท่าครุ่นคิดก่อนคิดถึงดวงหน้าแสนอ่อนโยนของผู้ที่ประชวรมาแต่เยาว์วัย ทำให้มิสามารถร่วมออกศึกใดๆ กับเผ่าครุฑได้ เพราะต้องรักษาตัวอยู่แต่ในวิมาน เมื่อคิดออกนางจึงหันไปหานาคีรับใช้โดยเร็ว “หากข้าจำมิผิด พระเชษฐาที่ว่าน่าจะเป็นองค์วิสุระกระมัง หลังจากที่ข้าเสกสมรสเข้าวิมานฉิมพลีได้มินาน ก็เคยพบหน้าพระองค์ครั้งหนึ่ง มิทราบมาก่อนว่าสิ้นพระชนม์แล้ว”

“ใช่แล้วเพคะ…” 

เกล็ดมณีลุกขึ้นจากตั่งเพื่อไปายังอุทยานบัวด้านนอกวิมาน โดยมีธารทิพย์คอยเดินตามมิห่าง และเล่าข่าวคราวที่ได้ยินมาให้นางฟังไปตลอดทาง 

“เดิมทีก่อนหน้านี้พระชายาขององค์วิสุระทรงให้กำเนิดทายาทหนึ่งเดียวแล้วสิ้นพระชนม์ไป จากนั้นพระองค์ก็ทรงเลี้ยงดูบุตรชายคนนี้เรื่อยมาจนกระทั่งพระองค์สิ้นพระชนม์ตามไปด้วย เห็นว่าพิลาสมยุราทรงเกลียดชังครุฑหนุ่มตนนั้นจนแทบอยากขับออกจากฉิมพลี เพราะเกรงว่าจะมาชิงบัลลังก์กับบุตรชายของตน”

อนิลเช่นนั้นหรือ…

เมื่อฟังมาถึงตรงที่ว่า มารดาของครุฑหนุ่มเสียชีวิตตอนที่ให้กำเนิดเขา ในใจของเกล็ดมณีพลันรู้สึกร้อนรุ่มอย่างแปลกประหลาด แม้มิใช่คราแรกที่รู้สึกเช่นนี้ แต่เหตุใดมันถึงเกิดขึ้นกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งพานพบ ความรู้สึกเหล่านั้นทั้งสับสน ฉงนปนสงสัย มิต่างจากถูกจับปิดตาแล้วให้ย่างก้าวไปในเส้นทางที่มืดมิด 

นางอยากกลับไปฉิมพลีเพื่อพาครุฑหนุ่มตนนั้นออกมาจากราชวงศ์แห่งความริษยาเสียบัดนี้ แต่เมื่อทบทวนดูแล้ว เมื่อหลายร้อยปีก่อนนางก็เคยสร้างเรื่องวุ่นวายขึ้นที่นั่น จนเป็นเหตุให้ต้องมาบำเพ็ญเพียรอยู่ที่สระบัวลึกลับแห่งนี้ หากครานั้นนางมีสติมากกว่านี้ ยามนี้นางคงได้ปลอบใจครุฑหนุ่มผู้อาภัพไปแล้ว

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าครุฑหนุ่มผู้นั้นมีนามว่าอันใด”

“อนิล…” 

เกล็ดมณีบบีบมืองามที่วางซ้อนทับกันไว้ที่ด้านหน้าเบาๆ ด้วยความสงสารระคนเวทนา ไยโชคชะตาจึงกลั่นแกล้งผู้ที่สดใสราวดวงตะวันเยี่ยงเขาได้ลงคอ 

“ครุฑหนุ่มอนิลมิค่อยได้กลับวิมานฉิมพลีหรอกเพคะ เนื่องจากมิเป็นที่ต้อนรับเท่าใดนัก เห็นทีจะมีเพียงองค์วิหรุตเท่านั้นแหละเพคะที่ต้อนรับพระองค์ เห็นว่าพระองค์เดินทางเที่ยวเล่นไปทั่วทุกเขตขัณฑ์ เพราะถึงจะกลับวิมานฉิมพลีไปก็ถูกพิลาสมยุราคอยหาเรื่องขับไล่ออกจากวิมานของตนตลอดเวลา”

“แล้วบุตรชายของวิหรุตเล่า”

“ถูกขนานนามว่าลลินพรตเพคะ เป็นพระนามที่ชาวยูงทองตั้งให้”

“ลลินพรต” เกล็ดมณีทวนคำพร้อมรอยยิ้ม

“เพคะ จากที่ได้ยินชาวฉิมพลีพูดคุยกัน เห็นว่านอกจากทรงช่ำชองการศึกแล้ว สุรา นารี ก็มิเป็นสองรองใครเลยเพคะ”

“เจ้ากล่าวเกินจริงหรือเปล่า”

“มิใช่นะเพคะ…” ธารทิพย์รีบยกมือขึ้นโบกไปมา ปฏิเสธว่าตนไม่ได้กล่าวเกินจริงดังที่ถูกเกล็ดมณีกล่าวหา “หม่อมฉันแค่กล่าวตามที่ได้ยินมาเท่านั้นเพคะ”

“ช่างเถอะ”

เกล็ดมณีพาธารทิพย์ขึ้นมายังสระบัวด้านบน ท้องนภายามนี้ทาบทาสีชาดระเรื่อ สื่อถึงยามเย็นเริ่มมาเยือนหิมพานต์ เกล็ดมณีสะบัดมือเพียงหนึ่งครั้งดอกบัวทั้งสระก็บานสะพรั่งสมดังใจหมาย นางออกเดินบนใบบัวเพื่อหาดอกบัวที่เหมาะสมกับการนั่งบำเพ็ญเพียรอีกครั้ง ถือเสียว่าการได้ออกจากสระบัวลึกลับเมื่อยามสายทำให้นางได้เปิดหูเปิดตาหลังจากปิดการรับรู้มากว่าเจ็ดร้อยปี

‘หากข้าหมายไปสักการะพระจุฬามณี ข้าจักบอกเจ้าเอง…’

ระหว่างที่นางสาวเท้าเดินไปบนใบบัว อยู่ๆ ภาพและเสียงช่วงที่นางสนสนทนากับอนิลพลันดังสะท้านเข้าสู่โสตประสาท ถึงแม้จะบอกตัวเองเสมอว่ามิควรคิดสิ่งใดไปไกลจนเผลอไผล แลอย่าได้หลงใหลชายใดเพราะรูปลักษณ์หล่อเหลาที่อาจหลอกตา แต่เหตุใดใบหน้าของอนิลพลันฉายแวบเข้ามาในห้วงความคิดของนางจนอดแย้มยิ้มมิได้

‘ดอกบัวนี้ฉาบสีสุวรรณพรรณราย ข้ากลับอยากนำมันไปสักการะพระจุฬามณีบนสรวงสวรรค์…’

เมื่อนึกถึงน้ำเสียงนุ่มนวลไร้เดียงสาของเขา ในห้วงหทัยของนางกลับรู้สึกวาบหวิวอย่างแปลกประหลาด นับตั้งแต่ถ้อยคำหวานที่วิหรุตกล่าวกับนางก็มิมีชายใดได้กล่าวคำหวานเหล่านั้นกับนางอีกเลย

พระจุฬามณีเจดีย์เช่นนั้นหรือ…

ยามนึกถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่บูชาของเหล่าเทพยาซึ่งจุติอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นางเองก็เคยได้ยินคำเล่าขานมาบ้าง แต่ก็ยังมิมีโอกาสไปสักการะสักครา

“ธารทิพย์ เจ้ารู้จักสถานที่ประดิษฐานพระจุฬามณีเจดีย์หรือไม่”

“พระจุฬามณีเจดีย์หรือเพคะ…” นางทำท่าครุ่นคิดครู่หนึ่ง ทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากองค์หญิงของนางที่ตอนนี้พบดอกบัวที่เหมาะสมแล้ว และกำลังทิ้งกายลงนั่งหลังตรงเพื่อเตรียมเข้าสมาธิ “พอจะทราบอยู่เพคะ เป็นสถานที่ที่เหล่าเทพยดาไปสักการะเพื่อสั่งสมบุญวาสนาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์”

หากข้ามิทำสิ่งใด ใจข้าคงมิสงบให้บำเพ็ญสมาธิเป็นแน่…

เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงเหลียวไปมองใบหน้าของธารทิพย์ ซึ่งฉายแววฉงนอย่างเห็นได้ชัด นั่นเพราะตลอดเจ็ดร้อยปีมานี้เกล็ดมณีมิเคยออกไปที่ไหน และมิเคยใช้ให้นาคีรับใช้ไปยังสถานที่แห่งใด นอกจากไปถามข่าวคราวของบิดามารดาที่วังบาดาลและผู้ที่อาศัยอยู่ที่วิมานฉิมพลีบ้างเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังตัดสินใจให้อีกฝ่ายกระทำการนั้นแทน

“ข้าจะเข้าสมาธิบำเพ็ญเพียรบนบัวดอกนี้จนรุ่งสาง ข้าอยากให้เจ้าเด็ดดอกบัวสุวรรณพรรณรายที่งดงามที่สุดในสระ ไปสักการะพระจุฬามณีแทนข้าที”

“เพลานี้หรือเพคะ”

“ใช่…” นางหลับตาลง หลังจากเอ่ยเสียงแผ่วเบาจนแทบมีเพียงลมที่เล็ดลอดออกมา “เพลานี้”

ยามเมื่อร่างบางสงบเงียบมิไหวติง ธารทิพย์จึงออกเดินไปโดยรอบเพื่อเฟ้นหาดอกบัวสุวรรณพรรณรายที่งามงดที่สุด โดยคัดเลือกจากดอกบัวตูมทรงขนาดเท่าฝ่ามือ ไล่สีสดจากปลายกลีบมายังโคน ส่งกลิ่นหอมรวยรินแม้ยังมิผลิบาน ธารทิพย์เลือกเฟ้นหาดอกบัวที่สวยงามที่สุดอยู่นานพอควร ก่อนจะเด็ดดอกบัวเหล่านั้นอย่างพิถีพิถัน 

ครั้นเมื่อได้ดอกบัวตูมที่คัดเลือกสมดังใจแล้วจึงนำมาพับกลีบให้ได้รูปทรงสวยงาม และจะคัดเลือกเฉพาะดอกที่มียอดเกสรทอประกายระยิบดุจอัญมณีเท่านั้น จึงจักนำไปสักการะแด่พระจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ได้อย่างภาคภูมิ

เมื่อพับกลีบบัวสุวรรณพรรณรายจนเสร็จเรียบร้อยธารทิพย์ก็ได้ดอกบัวเข้าเกณฑ์ทั้งสิ้นสิบแปดดอก แบ่งออกเป็นสองกำมือ กำมือละเก้าดอก นางวางดอกบัวทั้งสองกำลงบนพานทอง แล้วเหลียวมองเกล็ดมณีว่ายังคงอยู่ดีบนดอกบัวงามดอกนั้นหรือไม่ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเข้าสมาธินิ่งมิไหวติงก็ยกพานทองขึ้นเหนือหัวแล้วเดินทางสู่ดาวดึงส์ทันที

จิต ปล่อย วาง…

เกล็ดมณีเพียรบอกตนเองหลังจากรับรู้ว่านาคีรับใช้เดินทางสู่ดาวดึงส์เรียบร้อยแล้ว การกำหนดลมหายใจเข้า-ออกช่วยให้นางมีสมาธิมากยิ่งขึ้น จากความคิดหมกมุ่นตีกันจนยุ่งเหยิงเมื่อครู่ก็ค่อยสงบลง จนกระทั่งเข้าสู่สภาวะนิ่งงัน ในสุด

เหนือน่านฟ้าแดนหิมพานต์ขึ้นมาสู่เมฆาเย็นเยียบ ผ่านสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาที่แบ่งออกเป็นสี่แดนเมืองแมนมาอีกหนึ่งหมื่นห้าร้อยโยชน์ก็พบสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งตั้งอยู่บนเทือกเขาพระสุเมรุอันสูงกว่าแปดหมื่นโยชน์ เมื่อเคลื่อนกายเข้าไปใกล้ก็ได้สดับเสียงดนตรีขับบรรเลงเจื้อยแจ้วเสนาะหู กลางเมืองดาวดึงส์มีปราสาทใหญ่ที่เป็นสถานที่ประทับแห่งองค์อินทร์ ซึ่งธารทิพย์มิอาจย่างกรายเฉียดใกล้

แสงทิพย์แห่งบุญแผ่กำจายไปโดยรอบจนทำให้นาคีรับใช้ที่ในมือถือถาดทองคำบรรจุดอกบัวสุวรรณพรรณรายสองกำมือรู้สึกแสบตา นางทอดสายตามองไปโดยรอบอย่างแปลกตาเพราะเพิ่งเดินทางมายังดาวดึงส์แห่งนี้เป็นคราแรก

งดงามสมเป็นแดนแห่งองค์อินทร์เสียจริง…

พระจุฬามณีประดิษฐานอยู่บนดาวดึงส์ก็จริง แต่สถานที่ประดิษฐานเป็นดินแดนที่ลอยอยู่เหนือพื้นสวรรค์ ทั่วทุกพื้นที่ที่รายล้อมมีเหล่าพฤกษาปกคลุมให้ความร่มรื่น ส่งกลิ่นหอมของไม้ป่าจนน่าสูดดม เหล่าเทพยาดาต่างวนเวียนกันมาสักการะมิขาดสาย บ้างนั่งพนมมือกราบกรานบนเมฆาบ้างก็นำดอกไม้แห่งสวรรค์มาสักการะเพื่อเพิ่มความเป็นสิริมงคล

พระจุฬามณีเจดีย์ตกแต่งด้วยแก้วรัตนะเจ็ดประการ มีขนาดสูงกว่าสามโยชน์ รูปทรงงดงามวิจิตรจนยากจะบรรยาย ธารทิพย์สาวเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ตรงไปยังจุดที่เต็มไปด้วยกระถาง อ่างน้ำ และเหล่าพานเงินพานทองวางเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมากสำหรับวางสิ่งของที่มีผู้นำมาสักการะ

“นางนาคีนั่นมาจากที่แห่งใด”

“ดูดอกบัวที่นางนำมาสิ…งดงามจนยากจะหาได้จากแดนสวรรค์เรา”

 

“”

ถึงแม้ธารทิพย์จะได้ยินบทสนทนาที่นางฟ้าทั้งสองพูดคุยกัน แต่นางก็มิได้ใส่ใจ ยังคงเดินตรงไปยังสถานที่สำหรับวางเครื่องสักการะ หยิบดอกบัวสุวรรณพรรณรายหนึ่งกำวางที่พานเงินเบื้องซ้าย แล้วจึงนำอีกกำไปวางไว้ที่พานทองเบื้องขวา ก่อนก้มลงกราบกรานองค์พระจุฬามณีถึงสามครั้ง

หากองค์หญิงมิได้มายลกับตาของตัวเอง คงมิเชื่อข้าแน่ว่าพระจุฬามณีเจดีย์แห่งนี้เปี่ยมไปด้วยกระแสบุญเพียงใด…

ธารทิพย์ลุกขึ้นยืนก่อนลอบสังเกตเหล่านางฟ้านางสวรรค์โดยรอบด้วยความฉงน แต่ละนางล้วนมีผิวกายขาวอมชมพูอ่อน ห่มอาภรณ์สวยสมกับเป็นเทพธิดา ใบหน้างดงามเจือด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร หากเทียบเรื่องบารมีที่สั่งน้อยสม นาคีถือว่ามีศักดิ์ต่ำกว่าเหล่านางฟ้าบนสรวงสวรรค์อยู่บ้าง แต่พวกนางก็มิได้แสดงความเดียดฉันท์ออกมาเลยแม้แต่

“นาคี” 

เสียงใสกังวานมิต่างจากแก้วดังขึ้นด้านหลัง ธารทิพย์จึงหันไปยังต้นเสียง และพบนางสวรรค์รูปร่างอรชรห่มอาภรณ์ทองคำสวยสด บนศีรษะสวมศิราภรณ์สามยอด   กิริยาวาจานั้นก็มิต่างจากผู้มีหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์ วางตนเหมาะสมกับทิพย์แห่งกายาที่ฟุ้งกำจาย

“ท่านเรียกขานข้าหรือ”

“ข้าเรียกขานเจ้า”

“ท่านมีสิ่งใดหรือไม่ท่านผู้มีฤทธิ์” ธารทิพย์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม พร้อมเดินไปหานางสวรรค์ที่ยืนอยู่ใต้ร่มของต้นกฤษณา

“ดอกบัวที่เจ้านำมาสวยสดยิ่ง มิทราบว่าเจ้าไปเก็บมาจากที่ใด ข้าพอจะมีบุญได้นำมันมาสักการะแก่พระจุฬามณีหรือไม่”

ธารทิพย์จนใจที่จะตอบ เพราะดอกบัวสุวรรณพรรณรายเหล่านี้ขึ้นอยู่ใน สระลึกลับที่พระแม่ลักษมี มหาเทวีของพระวิษณุทรงเนรมิตขึ้นมาเท่านั้น มิใช่ดอกไม้ที่ใครจักหาพบได้โดยทั่วไป หากนางจะบอกสถานที่ตั้งให้นางสวรรค์ผู้นี้รู้ ก็เกรงว่าจะมิบังควรเท่าใดนัก แต่ก่อนที่นางจะได้พูดอะไรออกไป สายลมหอบใหญ่พลันพัดเอากลีบดอกไม้ในอุทยานโดยรอบพระจุฬามณีเจดีย์ปลิวว่อน พร้อมกับร่างจำแลงของบุรุษที่ร่อนลงสู่พื้นเบื้องหน้าลานถวายเครื่องสักการะ

“นั่นองค์อนิล” 

เมื่อนางสวรรค์นางนั้นเอ่ยพร้อมแววตาหลงใหลในรูปลักษณ์ของครุฑหนุ่มเบื้องหน้า ธารทิพย์จึงรีบเหลียวไปมองในทันที

“องค์อนิลหรือ”

เป็นเรื่องน่าฉงนอีกเรื่องที่ธารทิพย์ประสบ ใบหน้านั้นเลอลักษณ์เสียยิ่งกว่าชายใดที่นางเคยพานพบ ท่วงท่าสง่างามมิต่างจากหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์ผู้มีปัญญา ทั้งยังมิได้แสดงถึงทีท่าทะนงเช่นที่เหล่าครุฑมักจะแผ่มายังเผ่านาค แต่เป็นความสุขุมนุ่มลึกที่เปี่ยมด้วยไมตรี ยามเมื่อสัมผัสกระแสทิพย์ที่แผ่ออกมากลับให้ความรู้สึกอบอุ่นมิต่างจากแสงยามรุ่งอรุณมาเยือน

เหตุใดครุฑหนุ่มผู้นี้จึงมีกระแสทิพย์ที่ต่างออกไปจากเหล่าครุฑตนอื่นกันหนา...

นางเพียรคิดขณะพินิจรูปร่างสมชายชาตรีที่ขยับเข้าใกล้พานเงินพานทองเพื่อวางเครื่องสักการะที่อยู่ในมือ ก่อนเสียงหวานใสของนางสวรรค์จักเรียกความสนใจของนางจนต้องละสายตากลับมา

“พระองค์มักมาถวายดอกไม้แก่พระจุฬามณีเป็นประจำ ภายหลังจากที่พระมารดาทรงสิ้นพระชนม์”

“ดูเหมือนท่านอยู่ที่นี่มานานมากแล้วนะ” ธารทิพย์เอ่ยพลางเหลียวมองดอกบัวในมือของเขา

นั่นมันดอกบัวสุวรรณพรรณรายนี่…

นาคีรับใช้ยกมือทาบอก แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่าดอกบัวที่เพิ่งถูกวางลงบนพานทองจะเป็นดอกบัวสุวรรณพรรณรายจากสระลึกลับ เมื่อเขาก้มลงกราบพระจุฬามณีเจดีย์จนเสร็จสิ้น สายลมเย็นหอบหนึ่งพลันพัดพาเอากลิ่นหอมฟุ้งของพฤกษชาติแถบนั้นมาเข้าจมูก แต่กลับมีอีกกลิ่นหนึ่งที่เจือมาในกระแสวายุนั้น เป็นกลิ่นบุปผชาตินานาพรรณที่นางเคยได้กลิ่นมาก่อน

กลิ่นนี้มัน…ธารทิพย์จำได้ดี กลิ่นหอมนี้เป็นกลิ่นเดียวกับกลิ่นที่ติดกายของเกล็ดมณีมาเมื่อครั้นนางไปที่สระอโนดาต 

เมื่อถูกนางจ้องมองอยู่นาน  ครุฑหนุ่มจึงสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้เพื่อไต่ถาม แต่กลับทำให้นางสวรรค์ที่ยืนอยู่ข้างๆ นาคีถึงกับเอียงอายในรูปลักษณ์ที่น่าหลงใหลเกินต้านทาน

“เจ้าจับตามองข้า มีปัญหาอันใดหรือไม่”

ยิ่งเข้ามาใกล้ กลิ่นกายก็ยิ่งชัดเจน…

ธารทิพย์มิได้ตอบ นางยังคงนิ่งงันเพื่อรอดูว่าครุฑหนุ่มจะกล่าวสิ่งใดต่อไป แต่เขากลับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนผ่อนมันออกมาพร้อมรอยยิ้มมีเสน่ห์ซึ่งปรากฏใบหน้าเลอลักษณ์ ก่อนจะเอ่ยวาจาที่ทำให้นาคีรับใช้ถึงกับอยากกลายร่างกลับสู่เผ่าพันธุ์เดิมเพื่อสั่งสอนเขา

“กลิ่นหอมจากถุงหอมของข้า…” อนิลเอ่ยพลางเอียงหน้ามองนางเพื่อเค้นความจริงให้จงได้ “เจ้าเกี่ยวข้องอันใดกับเกล็ดมณี”

“ท่านรู้จักองค์หญิงด้วยหรือ” น้ำเสียงของนางนิ่งเรียบขึ้นอย่างระแวดระวัง

“ข้ารู้จักนาง”

“ไยท่านจึงรู้จักองค์หญิงของข้า นางมิได้ออกจากวิมานมากว่าเจ็ดร้อยปีแล้ว…” นางพลันฉุกคิดถึงเหตุการณ์เมื่อกลางวัน องค์หญิงของนางแอบไปเล่นน้ำที่สระอโนดาต และกลับมาพร้อมกลิ่นหอมของบุปผชาติบางอย่าง เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ธารทิพย์ก็เริ่มเก็บกลั้นอารมณ์โกรธเกรี้ยวเอาไว้มิอยู่ “หรือว่าท่านเข้ามาที่สระบัวลึกลับได้เช่นนั้นหรือ”

“เจ้าตอบข้ามาก่อน ว่าเจ้าเกี่ยวข้องอันใดกับเกล็ดมณี”

“ข้าเป็นนาคีรับใช้ของนาง…” ธารทิพย์รีบตอบทันควัน แต่สิ่งที่ได้จากเขากลับเป็นรอยยิ้มพราวเสน่ห์ เมื่อเหลือบไปมองเหล่านางฟ้านางสวรรค์ก็พบว่าพวกนางยังคงเอียงอายต่อรอยยิ้มนั้นของอนิล ขณะที่นางจิตใจร้อนรุ่มเพราะอยากรู้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เป็นองค์หญิงกับครุฑแปลกหน้าตนนี้มากกว่า “คราวนี้ท่านตอบข้ามาได้แล้วว่าเหตุใดท่านจึงรู้จักกับองค์หญิงของข้า”

“เจ้าไปถามเกล็ดมณีเองดีกว่า” เขายิ้มชอบใจที่เห็นท่าทีขัดใจของนาง

“นี่ท่าน…”

ยังมิทันที่นางจะได้กล่าวสิ่งใดต่อ อนิลพลันกลับสู่ร่างพญาครุฑ บินหายไปในเวหาทันที ทิ้งไว้เพียงความอยากรู้ในใจของธารทิพย์  

“เจ้ารู้จักองค์อนิลด้วยหรือ” นางสวรรค์ยังคงเอียงอายมิต่างจากเพิ่งถูกบอกรัก ทั้งที่แท้จริงแล้ว อนิลเพียงมาเพื่อเย้าให้ธารทิพย์อารมณ์เสีย

“ข้ามิได้รู้จักองค์อนิลดอก”

“แล้วไยเมื่อครู่ พระองค์จึงเข้ามาสนทนากับเจ้าเล่า”

“ข้าเองก็มิรู้เช่นกัน”

“ถ้าเช่นนั้น…”

“ข้าขอตัวก่อนนะ” ยังมิทันที่นางสวรรค์นางนั้นจะได้เอ่ยอันใดต่อ ธารทิพย์ก็รีบหายตัวกลับสู่สระลึกลับโดยเร็ว

ทว่าคงจะรีบมากจนเกินไป เมื่อมาถึงที่หมายนางจึงรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยหอบ แต่ถึงจะรู้สึกเหนื่อยเช่นไร เมื่อได้เห็นว่าร่างบางยังนั่งเหยียดหลังตรงในท่วงท่าสง่างาม มือขวาวางทับมือซ้าย เข้าสู่สมาธิในห้วงลึกสมดังตั้งใจ นางก็มิอาจกระทำการใดที่อาจทำให้นายเหนือหัวหลุดจากสมาธิได้

เอาไว้ค่อยถามหลังจากที่องค์หญิงออกจากสมาธิก็ได้…

ธารทิพย์กลับสู่ร่างของนาคีดังเดิม เลื้อยลงสู่สระบัวเพื่อขดพันร่างโอบล้อมอาณาบริเวณของเหล่ากอบัวที่เกล็ดมณีนั่งสมาธิอยู่ เพื่อคอยระวังภัยให้ในทุกด้าน รวมถึงป้องกันลมแรงในยามราตรีของหิมพานต์ที่เต็มไปด้วยความหนาวเหน็บจากหน้าที่ของพระพาย

เมื่อขดกายจนสูงมากพอจะบังลมแล้ว นางจึงพาดเศียรของตนมายังเบื้องหลังขององค์หญิงเพื่อระวังภัยจากด้านหลังให้ ก่อนจะเข้าสมาธิในร่างของนาคีเพื่อบำเพ็ญเพียรร่วมกัน

 

ในห้วงสมาธิที่แสนเงียบสงบพลันปรากฏเสียงเพรียกหาแห่งความเจ็บปวด ที่แฝงลึกในความทรงจำและยังมิอาจลบเลือนออกไปจากใจได้

‘ข้ามิได้รักเจ้า…’ วิหรุตบันดาลโทสะออกมาจนเกิดกระแสลมพัดกระหน่ำรอบวิมาน ‘ข้ารักนางแต่เพียงผู้เดียว!’

‘แล้วท่านเสกสมรสกับข้าด้วยเหตุผลอันใด’ หยาดน้ำตาไหลอาบสองข้างแก้มเป็นสาย เกล็ดมณีเจ็บปวดดวงหทัยดวงน้อยของนางยิ่งนักที่ถูกบุรุษที่นางมอบใจให้ปฏิเสธ

‘ข้าเสกสมรสกับเจ้าเพื่อยุติสงครามบ้าๆ นี่…’ การสนทนาครานั้นมิอาจเรียกได้ว่าเป็นการสนทนาส่วนตัว เพราะที่ด้านหลังกำแพงอีกฟากหนึ่ง พิลาสมยุรากลับยืนยิ้มเยาะอย่างพอใจในสิ่งที่เกล็ดมณีได้รับ ‘ข้าเองก็อยากใช้ชีวิตเช่นชายหนุ่มทั่วไป เที่ยวเล่น สุขสำราญในสุรานารี ไยเจ้าต้องมายึดติดกับข้า’

‘หากมันมิมีความหมายอันใด ไยท่านจึงเสนอข้อตกลงนี้มาให้พระบิดาของข้ากันเล่า’

‘หึๆ ข้าแค่อยากยลเจ้าใกล้ๆ ก็เท่านั้น’

‘ยลข้า?’ 

ครานั้นเกล็ดมณียังมิเข้าใจในสิ่งที่ตนได้ยิน นางมิต่างจากเด็กหญิงที่เพิ่งสูญเสียของเล่นแสนรักไป นางร้องไห้ฟูมฟายจนแทบขาดใจเมื่อถูกปฏิเสธซึ่งๆ หน้า ทั้งที่รับรู้ว่ายังมีสตรีอีกนางกำลังยืนยิ้มเยาะอย่างมีความสุขในความอัปยศครั้งนี้ของนาง

‘ใช่...’ เขาเค้นเสียงตอบคล้ายเกลียดชังในรูปลักษณ์งดงามภายใต้อาภรณ์แพรม่วงเบื้องหน้า ‘ข้าแค่หมายนำนาคีอย่างเจ้ามาเป็นของสะสม มิใช่เสกสมรสเพราะความรักเสียหน่อย’

‘ข้าอยู่ในวิมานของข้า…’ ถึงแม้จักเจ็บปวดเยี่ยงไร นางก็มิอาจปล่อยให้ผู้ใดมาหยามเกียรติแห่งความเป็นเลือดขัตติยะได้ ‘เป็นนางที่เข้ามาหาเรื่องข้าถึงวิมาน ไยท่านจึงเข้าข้างนาง’

‘หากเจ้ามิลงมือกับพิลาสมยุรา ข้าก็คงจะเลี้ยงดูเจ้าเป็นสนมเอกได้’

‘ข้ามิได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน’

‘เจ้าทำร้ายนาง!’ เสียงตวาดกึกก้องดังลั่นวิมาน

ข้าทำร้ายนางหรือ…

เกล็ดมณียกมือสั่นเทิ้มขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้า เพ่งมองบุรุษผู้ได้ชื่อว่าเป็นสวามี และยังเป็นราชาแห่งครุฑทั้งปวง จากเหตุการณ์เข้าใจผิดที่เกิดขึ้นจนพิลาสมยุราได้รับบาดเจ็บ นางมิได้เป็นผู้กระทำ แต่ยูงทองจงใจกระทำการนั้นเพื่อป้ายสีนางต่างหาก

‘ข้าคิดมาตลอดว่าท่านเป็นราชาผู้ทรงธรรม ไยท่านมิถามข้าก่อนว่าข้ากระทำสิ่งใด ไยท่านจึงไต่ถามแต่นาง’

‘สิ่งที่ข้าเห็นล้วนเป็นความจริง’

‘แต่สิ่งที่ข้าเห็นก็ล้วนเป็นความจริงเช่นกัน…’ เกล็ดมณีเสียงแข็งจนทำให้ผู้ที่มีโทสะอยู่ก่อนแล้วเริ่มเปลี่ยนทีท่าเป็นเยียบเย็น นั่นเพราะหากปล่อยให้เกิดการปะทะมากไปกว่านี้ ฉิมพลีอาจลุกเป็นไฟด้วยพิษร้ายจากเกล็ดมณีก็เป็นได้ นั่นจึงทำให้เขาขยับกายเข้าหานางมากขึ้นเพื่อบีบบังคับให้นางยอมจำนน ทั้งด้วยรูปกายที่สูงใหญ่และกำยำล่ำสันมากกว่า แต่ก็มิอาจทำให้นางยอมถอยแม้เพียงก้าว ‘ท่านลุ่มหลงในสตรีจนกู่มิกลับแล้ววิหรุต’

‘อย่ามายอกย้อนข้านะ’

‘หากข้าทำผิดจริงดังที่นางว่า เหตุใดข้ายังคงด้านหน้าอยู่ที่นี่ต่อไปกัน’

‘นั่นเพราะเจ้ามิอาจทำเรื่องให้เสื่อมเสียแก่เกียรติของบิดามารดาเจ้าได้อย่างไรเล่า’

‘ดูเหมือนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้คงสาแก่ใจเจ้ามากสินะ’ เกล็ดมณีเค้นเสียงถาม

วิหรุตจิกกรงเล็บคมลงบนแขนของนางสุดพลัง ถึงแม้จะเจ็บปวดร้อนเร่าดุจเพลิงเผาผลาญ แต่นัยน์ตากร้าวก็จ้องกลับไปอย่างไม่ลดละ นั่นเพราะสิ่งที่นางได้พูดออกไปมิได้หมายถึงครุฑหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า แต่หมายถึงสตรีที่ลอบฟังการสนทนามาตั้งแต่ต้น และยิ้มเยาะชอบใจในความสำเร็จของแผนการที่ทำให้วิหรุตบันดาลโทสะใส่นาคีได้

‘เจ้าสามหาวเกินไปแล้วนะเกล็ดมณี’

‘ข้ามิได้หมายถึงท่าน...’ เกล็ดมณีเผยยิ้มที่มุมปาก ฉายชัดถึงความเจ้าเล่ห์แห่งอสรพิษ ปลายนิ้วเรียวชี้ไปที่กำแพงที่อยู่มิห่าง ก่อนวารีในสระบัวด้านหน้าวิมานจักหลอมรวมกันจนกลายเป็นร่างนาคาตัวใหญ่ พวยพุ่งเข้าซัดใส่ร่างของพิลาสมยุราที่แอบฟังอยู่ด้านนอกจนกระเด็นทะลุกำแพงเข้ามาด้านใน ‘ข้าหมายถึงนาง!’

‘พิลาสมยุรา!’

วิหรุตรีบคลายกรงเล็บที่จิกต้นแขนของเกล็ดมณีออก เลือดข้นคลั่กสีมรกตไหลรินลงมาเป็นทาง แต่ความเจ็บปวดจากบาดแผล ยังเทียบกับความเจ็บปวดภายในหทัยของนางมิได้แม้แต่น้อย

‘สวามี’ น้ำเสียงรวยรินนั้นแฝงไปด้วยมารยาเย้ายวนบนหน้าตาที่แสดงถึงความเจ็บปวดจากการถูกทำร้าย ร่างบางตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่กลับล้มพับลงคล้ายเรี่ยวแรงถูกสายน้ำเมื่อครู่ทำลายไปเสียหมด

‘เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง’

‘หม่อมฉัน...’ พิลาสมยุราทำท่าปานจะขาดใจตายได้ทุกเมื่อพร้อมกับยกมือบางขึ้นไขว่คว้าไปในอากาศหาผู้เป็นที่พึ่งหนึ่งเดียว เสมือนว่านัยน์ตาคู่งามไร้ซึ่งการมองเห็น ‘หม่อมฉันเจ็บเหลือเกินเพคะ’

เกล็ดมณีมองภาพเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา นั่นเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ตนทำมิได้ทำให้ยูงทองนางนี้บาดเจ็บสาหัสเพียงนั้น...เดิมทีข้านึกว่าเหล่าผู้ที่อยู่อาศัยในหิมพานต์จักมีแต่ความจริงใจ แต่นี่นางแสร้งทำได้สมบทบาทเสียจริง

นาคีสาวยังคงมองดูละครฉากหนึ่งที่ถูกสร้างด้วยมารยาสตรี พลังที่นางใช้มิต่างจากการนำวารีใส่ขันเงินแล้วสาดใส่กัน แต่นางจงใจสร้างนาคาวารีขึ้นมาเพียงเพื่อทลายกำแพงวิมานต่างหาก นั่นจึงเป็นไปมิได้เลยที่ยูงทองนางนี้จักบาดเจ็บอย่างที่กล่าวอ้าง

‘เกล็ดมณี!’ วิหรุตตวาดลั่น

‘หากท่านลงมือกับข้ามากไปกว่านี้...’ ทั่วกายของนางปรากฏเกล็ดสีเขียวมรกตประปราย บ่งบอกว่านางเองก็พร้อมจะต่อสู้มิต่างจากเขาที่พร้อมจะปกป้องยูงทองนางนั้น ‘เรื่องนี้ต้องถึงเกษียรสมุทรเป็นแน่ แล้วบัดนั้น ราชาผู้ทรงธรรมจะอธิบายต่อพระวิษณุท่านอย่างไร ข่มเหงภริยา เพียงเพราะมารยาของสตรีอีกนางเช่นนั้นหรือ’

วิหรุตจำใจต้องหยุดการวิวาทครั้งนี้ นั่นเพราะสิ่งที่เกล็ดมณีบอกล้วนแล้วแต่เป็นความจริงที่เขาเองก็หาได้มีข้อแก้ตัวไม่ หากเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงองค์วิษณุเทพ เขาเองก็ถือว่ามีความผิด นั่นจึงทำให้เขายอมรามือ แล้วอุ้มพิลาสมยุราขึ้นแนบอก

‘จำไว้เกล็ดมณี...’ เขาเอ่ยทั้งที่ยังหันหลังให้นาง ‘ข้ามิได้มีใจให้แก่เจ้า’

วิหรุตก้าวเดินออกไปพร้อมกับพิลาสมยุราที่หันมายิ้มเย้ยนางด้วยใบหน้าที่แสดงออกชัดเจนถึงความมาดร้าย เกล็ดมณีมองตอบพร้อมรอยยิ้มที่มิต่างจากนาง นั่นจึงทำให้ใบหน้าทะนงของยูงทองเริ่มฉายชัดถึงความเกลียดชังในตัวนาง แต่มีหรือที่นาคีผู้สูงศักดิ์อย่างนางจักยินยอมให้ทิพยปักษาตัวจ้อยมาข่มเหงอยู่ฝ่ายเดียว

นังปีศาจ...

 

ความทรงจำที่แสนเลวร้ายเมื่อหลายร้อยปีก่อนสิ้นสุดลง เกล็ดมณีตัวสั่นเทิ้ม มิควมีสตรีนางใดในฉิมพลีต้องประสบกับความโหดร้ายเช่นเดียวกับนาง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วดวงหทัย ถึงแม้จะผ่านมานานเนิ่นแล้วก็ตาม

เจ้าของใบหน้างามทอดสายตามองดวงจันทราสุกสกาวบนท้องนภาอย่างเลื่อนลอย บ่งบอกว่าราตรีนี้ยังอีกยาวไกล ธารทิพย์ที่ขดกายปกป้องลมเย็นยามดึกให้นางยังมิรู้ตัวว่าตอนนี้นางออกจากสมาธิแล้ว นางจึงเพียรคิดถึงสิ่งเลวร้ายที่ควรจักลืมเลือนไปเสีย แต่ไยจึงยังจดจำฝังไว้ในเบื้องลึกแห่งห้วงหทัย

เป็นข้าเองหรือไม่ ที่เลือกเก็บความเลวร้ายนั้นไว้...

สายลมเย็นพัดเฉื่อยฉิว ถึงแม้จะมิได้พัดผ่านร่างบางโดยตรง แต่ก็สัมผัสได้จากเสียงที่ดังแว่วท่ามกลางราตรีสงัด กลิ่นหอมจากถุงหอมโชยมาเตะจมูกทำให้นางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาจากภายใน นั่นจึงเป็นเหตุให้นางพิเคราะห์ถึงสิ่งที่อยู่ภายในห้วงหทัยของนาง ณ ห้วงกาลนี้

หรือจะเป็นเจ้าที่เข้ามาทำให้ข้าลืมเลือนเรื่องราวเหล่านั้นกันแน่...อนิล

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น