2

เรื่องที่มิอาจลืม

เรื่องที่มิอาจลืม

 

รอยยิ้มของครุฑหนุ่มทำให้เกล็ดมณีหัวใจพองโต ยามเมื่อเขาบอกว่าตนนั้นยังมิมีผู้ใดร่วมเรียงเคียงหมอน สรรพสำเนียงของป่าพลันเงียบกริบดุจเข้าสู่ห้วงนิทรายามราตรีกาล คล้ายกับดวงตะวันพลันดับวูบลงในฉับพลัน นางรู้สึกเหมือนกับว่า ณ ห้วงเวลานั้นริมสระอโนดาตมีเพียงความเย็นจากสระและผู้ที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้นที่เป็นความจริง 

กายาของทั้งสองที่อยู่ห่างกันเพียงเอื้อมมือต่างดึงดูดซึ่งกันและกันด้วยเสน่หา แต่สายลมที่พัดผ่านช่องว่างนั้นของทั้งสองกลับย้ำเตือนเสมือนมีเส้นด้ายบางๆ จากวายุ กีดกั้นสองเผ่าพันธุ์ให้ตระหนักถึงความเจ็บปวดเมื่อครั้งนาคีมอบหัวใจให้ครุฑาว่าเจ็บปวดเพียงใด

“แล้วเจ้าล่ะ...” เสียงทุ้มละมุนปลุกให้นางหลุดออกจากภวังค์ “เจ้ามีผู้เคียงคู่อยู่แล้วหรือไม่”

“ข้ามิมีผู้ใด”

เกล็ดมณีตอบแล้วเอียงหน้าหนีโดยพลัน แต่ยังไม่วายลอบสังเกตอาการของอนิลที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เมื่อเห็นรอยยิ้มปลื้มปริ่มกับแววตาซุกซนมิต่างจากเด็กถูกใจของเล่นชิ้นใหม่ที่ฉายออกมาก็พอรู้ว่าเขาชอบใจในคำตอบของนาง นางจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อมิให้เขาคิดเกินเลยไปมากกว่านี้

“ดอกบัวสุวรรณในมือของเจ้า ข้ามอบให้เจ้านำไปสักการะพระจุฬามณีบนสรวงสวรรค์...” 

อนิลยกดอกบัวในมือขึ้นมาดู ดอกบัวทั้งสามดอกที่เคยเล็กจ้อยยามอยู่ในมือพญาครุฑ ตอนนี้กลับดูใหญ่โตในมือของบุรุษในร่างจำแลง เขามองดอกบัวสลับกับหน้าของนาคีสาวซึ่งวิจิตรกว่าดอกบัวสุวรรณพรรณรายที่หายากยิ่ง 

“เจ้ารีบนำไปเถิด ก่อนที่เหล่าดอกบัวจะเหี่ยวเฉา”

“เจ้ามิไปกับข้าจริงหรือเกล็ดมณี”

“หากข้าหมายไปสักการะพระจุฬามณี ข้าจักบอกเจ้าเอง”

“ข้าจะรอวันนั้น”

เกล็ดมณีหลับตาหลังจากความปากไวเปล่งวาจาอย่างไรสติของนางทำให้คำพูดนั้นกลายเป็นคำสัญญาอย่างมิเป็นทางการ เห็นได้ชัดว่าอนิลดูระรื่นกับคำพูดนั้นของนางเสียจนเก็บกลั้นความปรีดาเอาไว้มิอยู่ เพราะเขาเอาแต่แย้มยิ้มจนทำให้นางรู้สึกเขินอายกับความใสซื่อบริสุทธิ์นั้น เกล็ดมณีจึงเลี่ยงการสนทนาหลังจากนั้น และสาวเท้าออกเดินหมายกลับสระลึกลับเสียที

“เจ้าจะมิให้ข้าไปส่งจริงๆ หรือ”

“ข้ากลับเองได้...” นางตอบทั้งๆ ที่ยังสาวเท้าไปเรื่อยๆ ไม่หยุด หมายหลีกหนีจากเขา “เจ้ารีบไปเสียเถิด”

“หากเป็นเช่นนั้นข้าจักไปเยี่ยมเยือนเจ้าใหม่”

“มิต้อง” เกล็ดมณีรีบปฏิเสธ 

ใบหน้าของอนิลฉายแววฉงนทันที เสมือนกับปฏิกิริยาตอบโต้โดยอัตโนมัติ ในหัวเกิดคำถามที่ต้องการความกระจ่าง

“ทำไมเล่า ไยข้าจักไปเยี่ยมเจ้าอีกมิได้”

“สถานที่แห่งนั้นมิใช่สถานที่ที่ผู้ใดจักจรไปมาได้หรอกหนา ข้าอยากให้เจ้ารับรู้เอาไว้”

“ถ้าเช่นนั้นต้องทำอย่างไรจักไปเยือนสระบัวของเจ้าได้อีกเล่า”

“อนิล...” ความจริงเกล็ดมณีอยากปฏิเสธเขาไปตามตรง แต่ดวงหน้าเย้ายวนที่ฉายแววฉงนบัดนี้กลับทำให้นางหวั่นใจมิน้อยที่จะพูดคำนั้นออกไป เมื่อพบว่าการสบนัยน์ตามีเสน่ห์ทำให้ตนกลายเป็นผู้อ่อนแอ นางจึงเลี่ยงด้วยการหลับตาลง บ่งบอกกลายๆ ว่าตนมิอยากรับรู้สิ่งใด แล้วเอ่ยกับตัวต้นเหตุอีกครั้ง “ข้ามีความทรงจำมิดีกับเหล่าครุฑเท่าใดนัก”

“เจ้ามิจำเป็นต้องทำเช่นนี้หรอกเกล็ดมณี”

“มันจำเป็นสำหรับข้า”

ทันทีที่รู้สึกได้ว่าเจ้าของเสียงนุ่มยังมิมีทีท่าล่าถอยนางจึงลืมตาขึ้นมา ก่อนพบว่าเพียงชั่วพริบตาเดียว ร่างสูงโปร่งก็ขยับเข้ามาประชิดจนนางสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากกายหอมที่เป็นกลิ่นเฉพาะตัว คล้ายดอกพิกุลปนกลิ่นดอกลำดวน ต่างจากกลิ่นทิพย์ของเหล่าครุฑที่ส่วนมากล้วนแต่ให้กลิ่นหอมเชิงบริสุทธิ์ของกระแสวาโย

“กลิ่นกายเจ้า...”

“หอมมิต่างจากดอกไม้จนยากจำแนกใช่หรือไม่”

“ใช่...” 

คำตอบของนางเป็นที่น่าพอใจสำหรับอนิล เขาจึงเอื้อมมือข้างหนึ่งไปด้านหลังเพื่อนำถุงหอมที่ถูกถักทอจากเส้นไหมทองคำขาวออกมาถือไว้เบื้องหน้าเพื่อให้ผู้ที่สงสัยได้ยลชัดๆ ภายในบรรจุกลีบดอกไม้นานาพรรณ ส่งกลิ่นหอมมิต่างจากกลิ่นกายของเขา 

“นี่คืออะไร”

“มันเป็นถุงหอมที่แม่ข้ามอบให้ก่อนนางจากไป”

“ข้าเสียใจด้วย”

“มิเป็นไร ข้ามอบให้เจ้า”

“ของสำคัญเช่นนี้ข้ามิอาจรับไว้ได้” นางชักมือหลบทันที

“รับไว้เถิด...” เขากำชับพร้อมรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข มันช่างให้ความรู้สึกอบอุ่นคล้ายแสงแรกแห่งอรุณ ยามเมื่อจับจ้องกลับยิ่งอบอุ่นมิต่างจากมีดวงสุริยะเคียงใกล้ “อย่างน้อยก็ถือเสียว่าเมื่อใดก็ตามที่เจ้าต้องการข้า ก็ให้ถือถุงหอมนี้มาที่ฉิมพลี มันเป็นกลิ่นประจำกายของข้า”

“ข้ารับไว้มิได้...”

“เจ้ารับไว้เถิดหนา” 

เขายื่นมันมาเบื้องหน้า ใจจริงอยากเอื้อมมือไปฉวยข้อมือบางอย่างถือวิสาสะ แล้วจับถุงหอมนี้ยัดใส่มือของนาง แต่ด้วยยังให้เกียรติในความเป็นสตรีแสนงดงามจนเขาเองก็มิกล้าล่วงเกินได้หากนางมิพึงใจ ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมออกอุบายเพื่อให้เข้าทางนางมากขึ้น จะได้ไม่ปฏิเสธที่จะรับสินน้ำใจจากเขาอีก 

“หากเจ้ารับไว้ ข้าสัญญาว่าจะรีบไปสักการะพระจุฬามณีในทันที”

ถึงแม้เกล็ดมณีจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจที่ถูกมัดมือชกกลายๆ แต่เพราะอยากให้เจ้าของใบหน้าเย้ายวนเบื้องหน้ารีบจากไปโดยเร็ว นางจึงเอื้อมมือไปฉวยถุงหอมนั้นมาถือไว้แต่โดยดี 

อนิลยิ้มเอ็นดูในท่าทีที่เหมือนวางตัวมิถูกของนาง

“ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”

“อืม” นางตอบรับในลำคอ

เจ้าของใบหน้าเย้ายวนถอยห่างจากนางไปเพียงไม่กี่ก้าวแล้วกลายร่างเป็นครุฑหนุ่ม ก่อนทะยานสู่เวหาโดยมิพูดสิ่งใดออกมาอีก

ถุงหอมหรือ...

เกล็ดมณียกถุงหอมที่ถูกถักอย่างประณีตขึ้นมามองใกล้ๆ อย่างพิเคราะห์ ผ้านั้นถูกถักด้วยไหมทองคำขาวก็จริง แต่ในเนื้อผ้ากลับมีลวดลายเป็นดอกพิกุลทองจนทั่วทั้งผืน แถมกลิ่นหอมของดอกไม้ที่บรรจุอยู่ภายในถึงแม้จะยากจำแนกว่าเป็นดอกไม้กี่สายพันธุ์ แต่กลิ่นที่เด่นชัดสำหรับนางคือกลิ่นพิกุลเคล้าลำดวน...กลิ่นเดียวกับกลิ่นที่นางสัมผัสได้จากกายของอนิล ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังคงหอมติดจมูกของนางอยู่ เหมือนกับถูกเขาร่ายมนตร์ใส่ทำให้นางหลงใหล

นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้นกับตัวข้า...

เกล็ดมณีเดินกลับมายังริมสระอโนดาต เหลียวมองสิ่งมีชีวิตสุดพิสดารสำหรับเมืองมนุษย์ แต่ในหิมพานต์กลับพบเห็นได้ง่าย พวกมันมีท่อนบนเป็นช้างสีขาวมีงายาวสวย ครึ่งล่างเป็นปลามีหางดุจปลาทอง สามารถแหวกว่ายในสายน้ำได้ทั้งแบบเชี่ยวกรากและน้ำนิ่ง สิ่งมีชีวิตนี้ชาวหิมพานต์ต่างรู้จักกันในนามของกุญชรวารี

ขณะที่พวกมันว่ายคลอเคลียกันอย่างสุขสมได้เห็นว่ามีผู้แอบมองอยู่ กุญชรวารีตัวเมียจึงดูดน้ำเข้างวงช้างแล้วพ่นน้ำใส่เกล็ดมณีจนนางเผลอยิ้มออกมาในความใสซื่อแห่งสัตว์ที่ไม่มีพิษมีภัยใด แถมกระแสวารีในกายของนางยังให้ความรู้สึกคล้ายกับตอบรับการกระทำของพวกมันที่หมายให้นางผ่อนคลายความกังวลลง

“เจ้าคงอยากเล่นกับข้าสินะ”

นางยื่นมือลงไปสัมผัสน้ำใสเย็น ก่อนเลูบหัวของกุญชรวารีตัวหนึ่ง มันใช้งวงเกี่ยวข้อมือของนางพร้อมทั้งฉุดลงสู่วารีเบื้องหน้า ร่างบางรู้อยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ยอมให้กุญชรวารีตัวนั้นลากนางลงสู่ใจกลางสระอโนดาตเบื้องลึก กุญชรวารีทั้งสองว่ายวนอยู่รอบกายนางอย่างหยอกล้อ มิต่างจากต้องการพยานรักระหว่างพวกมัน เกล็ดมณีจึงคืนร่างสู่สภาพเดิมของนาง

นาคีเกล็ดมณี...

ผลจากการบำเพ็ญเพียรมานานหลายร้อยปี ร่างนาคีจึงทอดยาว เกล็ดที่ปกคลุมกายตลอดทั้งตัวเป็นสีเขียวมรกตทว่ามีความใสกระจ่างมิต่างจากอัญมณีที่เปล่งประกายระยิบระยับยามต้องแสง หางลายกนกกวัดแกว่งไปมา นัยน์ตาสีสุวรรณทอดมองกุญชรวารีทั้งสองอย่างเอ็นดู

ข้าขอให้พวกเจ้าทั้งสองครองรักกันจนแก่เฒ่า

กุญชรวารีส่งเรียงร้องตอบรับพร้อมกับว่ายน้ำเข้ามาคลอเคลียผู้มอบคำอวยพรราวกับกำลังขอบคุณ แต่เมื่อเห็นนัยน์ตาสีสุวรรณคล้ายมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอ ทั้งสองจึงว่ายวนบริเวณนัยน์ตาเพื่อช่วยซับหยาดน้ำตาเหล่านั้นก่อนว่ายน้ำจากไป 

เกล็ดมณีทอดสายตามองไปยังเบื้องลึกของสระอโนดาตชั่วครู่ก่อนเลื้อยลงสู่เบื้องล่างท่ามกลางความมืดมิดและหนาวเหน็บ นางเพียงต้องการความสงบเพื่อขบคิดเรื่องราวบางอย่างก็เท่านั้น

ยังหอมอยู่เลย...

กระแสน้ำเย็นโดยรอบมิอาจทำให้นางขับไล่กลิ่นหอมจากกายของอนิลออกไปจากโสตประสาทได้ กลิ่นนั้นคล้ายกับเสน่ห์มายาเสียจริง เพราะนอกจากจะตามหลอกหลอนแล้ว มันยังให้ความรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งยามได้สูดดม มิต่างจากเจ้าของรอยยิ้มมีเสน่ห์ที่นางได้ยลเมื่อครู่

เหตุใดข้าถึงลบเลือนรอยยิ้มเมื่อครู่ออกไปมิได้...

ถึงแม้จะคิดถึงครุฑหนุ่มที่เพิ่งพานพบ เขาทำให้นางรู้สึกถึงความสุข แต่เพียงครู่ความเงียบงันและความเยือกเย็นโดยรอบพลันทำให้เรื่องราวแสนปวดใจย้อนกลับมา มิต่างจากฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนนางมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปีเช่นกัน

 

ครั้นเมื่อกว่าแปดร้อยปีก่อน...

สงครามระหว่างสองเผ่าพันธุ์ ครุฑกับนาคต่างสู้รบปรบมือกันด้วยความอยากเอาชนะ เนื่องจากเป็นปรปักษ์กันมาแต่อดีตกาล จวบจนรุ่นลูกสู่รุ่นหลานที่มิได้เป็นโอปปาติกะ เพราะไม่สามารถละทิ้งหรือปล่อยวางจากกระแสกรรมได้จึงบังเกิดสงครามที่ยืดเยื้อหลายร้อยหลายพันปี จนทำให้ทั้งสองเผ่าพันธุ์ต้องสูญเสียเลือดเนื้อไปมิใช่น้อย

“เกล็ดมณี การศึกครานี้เผ่านาคเสียเปรียบอยู่มาก เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ให้คงอยู่ บิดาอยากให้เจ้าเสกสมรสไปสู่วิมานฉิมพลีเพื่อยุติสงคราม”

“เจ้าพี่ตรัสสิ่งใดออกมา...” 

ในห้องนอนของนาคีที่มีรูปร่างงดงามจนเป็นที่หมายปองของเหล่านาคาแรกรุ่น เจ้าของห้องถูกผู้เป็นมารดาสวมกอดด้วยความห่วงใย ยิ่งได้ยินผู้เป็นสวามีกล่าวออกมาว่าแก้วตาดวงใจต้องสมรสกับบุรุษต่างเผ่าพันธุ์ด้วยแล้ว นางยิ่งมิอาจยอมรับในการตัดสินใจครานี้ได้ “หม่อมฉันมิยอมรับในการตัดสินใจครานี้หรอกหนาเพคะ”

“ขอละบุษปา อย่าขวางการตัดสินใจในครานี้ของข้าเลย”

หากจักเอ่ยว่าผู้ที่อยู่ในกระแสทิพย์มิรู้จักแก่เฒ่าก็ว่าได้ ผู้ที่เป็นบิดาของเกล็ดมณีนั้นถึงจะมีอายุอยู่นับพันปี แต่รูปลักษณ์ภายนอกกลับมิต่างจากบุรุษในวัยสามสิบต้นๆ ซึ่งยังคงความสง่างามแห่งบุรุษเพศที่เหล่าสตรีต่างหมายปองไว้ได้อย่างครบถ้วน  เช่นเดียวกับผู้เป็นมารดาและบุตรสาว “นี่ลูกของเรานะเพคะ...” พระนางผู้สวมอาภรณ์สีเขียวมรกตและประดับองค์ด้วยเครื่องทองคำจนสมศักดิ์และฐานะแห่งการเป็นราชินีของวังบาดาลโอบกอดบุตรีอันเป็นที่รักยิ่งไว้แนบอก พร้อมกันนั้นก็พยายามทัดทานผู้เป็นคู่ชีวิตที่ประสงค์ให้บุตรีต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อเสกสมรสกับครุฑ “การส่งลูกไปแต่งงานกับครุฑ มิต่างจากใช้ชีวิตของลูกไปเซ่นสังเวยคนถ่อยเหล่านั้นเพื่อยุติสงครามหรอกหรือเพคะ”

“หากเจ้ามิสงบอารมณ์ก็จงออกไปเสียเถิด” ราชานาคาภูชาเคนทร์เอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบ

ถึงแม้จะเป็นราชินีแห่งวังบาดาล แต่เมื่อสวามีตัดสินใจด้วยยึดถือชีวิตของเหล่าราษฎรเป็นที่ตั้งแล้ว นางเองก็มิอาจทักท้วงสิ่งใดได้ ทำได้เพียงประทับรอยจูบบนหน้าผากมนของบุตรีแล้วรีบออกจากห้องไปทั้งน้ำตา ถึงจักรักและห่วงใยบุตรีเช่นไร แต่การตัดสินใจของผู้เป็นพระราชาแห่งนครบาดาลก็ถือเป็นที่สิ้นสุดแล้ว เพราะถึงอย่างไรก็ต้องเลือกทางที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้เหล่านาคยังดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ต่อไปได้

“เกล็ดมณี…” ร่างสง่าเดินมาวางมือหนาลงบนศีรษะของบุตรีที่เส้นผมดำสลวยถูกเกล้าเป็นมวยไว้ด้านหลัง ดอกมะลิที่แซมประดับส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ “บิดาไม่อยากกระทำการใดที่ต้องพรากลูกไปจากอก แต่เพื่อประชาชนแล้ว บิดาจำเป็นต้องตัดสินใจเช่นนี้”

ร่างบางยังมิตอบรับ นางทำเพียงนิ่งงันก่อนหลับตาลง กลั้นความเสียใจเอาไว้ในอก มิอยากหลั่งน้ำตาออกมาต่อหน้าผู้เป็นบิดา เพราะเกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ

“เพคะ” นางตอบรับแผ่วเบาในที่สุด

ภูชาเคนทร์รักบุตรีมากจนมิยอมยกนางให้เจ้าชายนาคาองค์ใดได้ดูแล แต่การศึกครานี้ยืดเยื้อและคร่าชีวิตของเหล่านาคไปเป็นจำนวนมาก หากศึกนี้ยืดเยื้อไปอีกหลายร้อยหลายพันปี เผ่านาคอาจลดน้อยลงจนไม่เหลือผู้อยู่รอด การตัดสินใจในครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่ทำให้พระองค์เจ็บปวดพระทัยที่สุด

“ลูกเข้าใจความประสงค์ของบิดาใช่หรือไม่เกล็ดมณี”

ร่างสูงกำยำ เจ้าของผิวสีงาขาว สวมโจงกระเบนสีมรกต คาดเข็มขัดทอง สวมกรองศอลายกนกนาคราชบ่งบอกถึงความเป็นนาคา เส้นผมสีดำยาวถูกกเกล้าเป็นมวยไว้ด้านบน คาดสังวาลทองคำเบี่ยงขวา ประดับอัญมณีห้าสี เยื้องกรายมานั่งข้างลูกสาวที่มิเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาให้สดับอีก จึงจำเป็นต้องเอ่ยอีกครั้งเพื่อเรียกสติอีกฝ่ายให้กลับมาจากห้วงความคิด

“เกล็ดมณี”

“หลายปีมานี้เสด็จพ่อมิอาจวางใจให้ชายใดดูแลลูก แต่กลับทรงมอบลูกให้ศัตรูเช่นนั้นหรือเพคะ”

“บิดาเชื่อว่าเจ้าจักเป็นที่เอ็นดูของวิหรุตครุฑา”

“ลูกสามารถเลือกสิ่งใดได้หรือไม่ล่ะเพคะ”

“บิดาเองก็รู้สึกเสียใจมิใช่น้อย แต่เจ้าก็รู้คำตอบอยู่แล้ว...” ภูชาเคนทร์วางมือลงบนบ่าของบุตรีด้วยความอาทร ทั้งยังเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและหวงแหนในเวลาเดียวกัน “เจ้ามิอาจเลือกสิ่งใดได้”

“ลูกจักแต่งเข้าฉิมพลีตามพระประสงค์เพคะ”

ร่างบางลุกออกจากที่นั่ง ตรงออกมายังด้านนอกของวังบาดาล เบื้องล่างนี้มีวิมานที่ถูกสร้างขึ้นใต้น้ำลึก ทั้งปราสาท พระราชวัง ล้วนถูกสร้างขึ้นด้วยหินทรายสีชมพูและศิลาแลงอย่างวิจิตร หินทุกก้อนทอประกายสีมรกตจนเหมือนมีตะไคร่เกาะ แต่แท้จริงแล้วนั่นคืออัญมณีแห่งนาคีที่เกิดขึ้นจากกระแสแห่งทิพย์ที่พวกเขาสั่งสมบารมีกันมา เบื้องนอกปราสาทในอุทยานหลวงมีสระบัวที่เลี้ยงปลาบึกไว้หลายตัว แถมในสระก็มีบัวหลากสายพันธุ์ขึ้นจนเต็มสระ แต่ขนาดของมันก็มิต่างจากบัวของเมืองมนุษย์เท่าไหร่

เกล็ดมณีเดินไปจนทั่วอุทยานก่อนนั่งลงบนโขดหินใหญ่ข้างสระบัว ปลาบึกในสระต่างแหวกว่ายเข้ามาใกล้เพราะอยากเล่นกับนางอย่างเช่นเคย แต่ครานี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะความมัวหมองกำลังปะทุขึ้นในอก นางมิอาจคิดเรื่องสนุกอันใดกระทั่งเล่นกับพวกมันได้ ตอนนี้นางทำได้เพียงพยายามกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้เท่านั้น เพราะมิอยากหลั่งมันออกมาให้ผู้ใดได้ยลในความอ่อนแอแห่งตน

“องค์หญิงเพคะ” นาคีรับใช้ประจำตัวรีบตรงเข้ามานั่งยังหินก้อนที่อยู่ลดหลั่นลงไปจากผู้เป็นนายเหนือหัว

“ธารทิพย์หรอกหรือ...” เกล็ดมณีพยายามฝืนกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้แต่ในที่สุดก็มิอาจทำได้ จึงปล่อยหยาดน้ำตาไหลริบอาบสองข้างแก้มเนียนอย่างมิปิดกลั้นความรู้สึกอีก  “ข้ารู้สึกสับสนอย่างบอกมิถูก นี่ข้าต้องจากเสด็จพ่อเสด็จแม่ไปจริงๆ เช่นนั้นหรือ”

“โธ่ องค์หญิงของหม่อมฉัน” ธารทิพย์ถึงกับต้องยกมือขึ้นปิดปากไว้ด้วยความสงสารผู้เป็นนายจับใจ ก่อนจะขยับเข้าไปวางศีรษะลงบนตัก และร้องไห้ออกมา ทุกเรื่องที่อยู่ภายใต้การดูแลของนาง นางมิเคยปล่อยให้องค์หญิงของนางต้องเสียน้ำตาไม่ว่าด้วยเรื่องอันใด แถมองค์ภูชาเคนทร์นาคราชและองค์บุษปานาคินีก็มิเคยกระทำการใดให้พระนางต้องเจ็บปวดสักครั้ง

“ข้าเพียรบอกตัวเองเสมอว่านี่เป็นหน้าที่อันสำคัญ ยามเงยหน้าขึ้นมองเบื้องบนจากวังบาดาลก็จะเห็นกระแสน้ำคอยโอบล้อม แต่จากนี้ไปหากข้าเพียรมองหาภาพเหล่านี้ ก็จำเป็นต้องก้มมองแล้วใช่หรือไม่”

“ไม่หรอกเพคะองค์หญิง วังบาดาลจะทรงอยู่ในพระทัยของพระนางตลอดไปเพคะ”

“ขอบใจเจ้ามากนะธารทิพย์”

“ไม่ว่าองค์หญิงจะเสด็จแห่งหนใด หม่อมฉันจะขอติดตามพระองค์ไปมิให้ห่างกายเลยเพคะ”

“ข้าขอบใจเจ้ามาก”

จากหน้าต่างบานหนึ่งของวังบาดาล ภูชาเคนทร์จ้องมองบุตรีที่กรรแสงออกมาด้วยความรวดร้าวในอก ส่วนตัวพระองค์เองก็ปวดแปลบในอุระมิต่างจากมีไฟที่พร้อมจะทะลักออกมาให้โลหิตพวยพุ่ง การส่งเกล็ดมณีไปเข้าพิธีเสกสมรสครานี้มิต่างจากยื่นเนื้อเข้าปากเสือ แต่ลึกๆ พระองค์กลับมีความคิดว่าวิหรุตครุฑาจักมิทำอันใดเกล็ดมณีนาคีให้ถึงแก่ชีวิตเป็นแน่ เพราะอย่างน้อยนางก็เป็นถึงองค์หญิงแห่งวังบาดาล อย่างไรเขาก็ต้องให้เกียรตินางบ้างไม่มากก็น้อย และด้วยศักดิ์ฐานะ นางสมควรที่จะได้ขึ้นเป็นราชินีแห่งฉิมพลีเสียด้วยซ้ำไป

บิดาขอโทษ...

 

การส่งมอบตัวเจ้าสาวเพื่อเข้าพิธีกับราชาครุฑวิหรุตเกิดขึ้นหลังจากการตัดสินใจของภูชาเคนทร์ไม่กี่ราตรี ที่พื้นทรายขาวสะอาดแถมละเอียดอ่อนมิต่างจากพรมนุ่ม มหานทีสีทันดรที่เคยงดงามด้วยแม่น้ำสีน้ำนมและสุขสงบยามได้เพ่งมอง ยามนี้กลับคล้ายหยาดน้ำตาจากเผ่านาคหลั่งไหลมาหลอมรวมจนกลายเป็นธาราแห่งความระทม วันมงคลกลายเป็นวันที่แสนเศร้าของเหล่านาคที่ต้องส่งมอบสตรีงามที่สุดแห่งเผ่าพันธุ์ให้ครุฑได้ครอบครอง

เกล็ดมณีซึ่งสวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์และเครื่องประดับทองครบองค์สวยสมดังเป็นเจ้าสาว   ข้างกายยังคงมีนาคีรับใช้อย่างธารทิพย์คอยตามประกบมิห่าง ที่ผืนทรายถูกโปรยด้วยกลีบดอกบัวและกลีบกุหลาบหลากสีส่งกลิ่นหอมหวน การส่งตัวเจ้าสาวมีเพียงผู้เป็นบิดาอย่างภูชาเคนทร์นาคา และผู้เป็นมารดาอย่างบุษปานาคีเท่านั้น สิ่งที่พวกเขาทำได้ยามนี้ก็เพียงแค่รอการมาถึงของเจ้าบ่าวที่จะต้องมารับตัวเจ้าสาวสู่วิมานฉิมพลี

“อยู่ที่นั่นเจ้าต้องดูแลตัวเองดีๆ หนาลูกรัก” บุษปากลั้นน้ำตาเอาไว้มิได้ ยามเมื่อต้องปล่อยแก้วตาดวงใจให้ไปเป็นของผู้อื่น ก็มิต่างจากนางถูกควักเอาดวงตาทั้งสองข้างออกไป

“เพคะเสด็จแม่” เกล็ดมณีตอบรับพร้อมรอยยิ้มเพื่อมิให้มารดาต้องเป็นกังวล

อยู่ๆ สายลมก็พัดกระโชกแรงพร้อมกับการปรากฏกายอย่างอุกอาจของครุฑหนุ่ม มิมีขบวนต้อนรับอย่างสมเกียรติ มีเพียงบุรุษร่างกำยำน่าเกรงขามที่ปกคลุมด้วยเส้นขนสีน้ำตาลแดง ปลายเส้นขนขลิบสีทองคำ   ยามเมื่อปลายเท้าที่มีกรงเล็บแหลมคมเหยียบพื้นทรายละเอียดก็กลับสู่ร่างทิพย์ในชุดขาวสะอาดตา ประโคมด้วยเครื่องทองคำพร้อมสำหรับเข้าพิธีวิวาห์

นี่น่ะหรือ...วิหรุต

เกล็ดมณีนิ่งงัน นั่นเพราะบุรุษตรงหน้าเลอลักษณ์ ใบหน้านั้นคมคายเสียยิ่งกว่านาคาตนใด ท่าทางองอาจ แถมยังมีเสน่ห์แสนเย้ายวนพร้อมกลิ่นหอมจางๆ แบบชาวทิพย์บนสวรรค์เมืองแมน จนนางเผลอใจให้ผู้ที่เป็นทั้งศัตรูและอนาคตสวามีโดยไม่รู้ตัว

“ข้ามารับตัวเจ้าสาว”

“เจ้าต้องดูแลนางให้ดี...” ภูชาเคนทร์เอ่ยด้วยเสียงขมขื่น “อย่าหักหาญน้ำใจนาง มิเช่นนั้นสงครามจักเกิดขึ้นอีกคราเป็นแน่”

“เดิมทีข้าก็มิใช่ผู้ที่จักเสกสมรสกับใครก็ได้...” วิหรุตเงียบเสียงลงเมื่อเพ่งพินิจใบหน้าของนาคีเบื้องหน้า ความงามที่เขาเองก็ยังตกตะลึงจนแทบหยุดหายใจทำให้เขามิอาจเอ่ยสิ่งใดออกมาได้อีก นอกเหนือจากเยื้องกรายเข้าหาร่างงามที่ยืนนิ่งสงบมิต่างจากรูปปั้น “แต่กับนาคีที่โสภาเยี่ยงนี้ ข้าถือเป็นข้อยกเว้น”

“หากพระองค์ทรงให้สัญญาว่าสองเผ่าพันธุ์จักไม่เข่นฆ่ากันอีก หม่อมฉันพร้อมจะมอบให้ได้แม้กระทั่งชีวิตของหม่อมฉัน” ริมฝีปากบางสีกลีบบัวเอื้อนเอ่ย

ความพิเราะของสำเนียงนั้นทำให้วิหรุตยิ่งตะลึงเข้าไปอีก ไหนจะทีท่าสง่างามเกินกว่าสตรีใด นางมิต่างจากผู้เป็นกษัตรีสักนาง เหมาะสมจะอยู่เคียงคู่บนบัลลังก์ทองคำ และเชิดชูเกียรติแห่งวงศ์กษัตริย์ในเผ่าพันธุ์นั้นๆ ให้จำเริญไปในหนทางที่ดีงาม

“อย่าได้กล่าวเช่นนั้น...” มือหนาเชยคางของนางขึ้นมาเชยชมก่อนเผยยิ้มที่มุมปากอย่างชอบใจในวาจาห้าวหาญของนาคีตนนี้ “ข้าจักดูแลเจ้าเป็นอย่างดี ดูท่าว่าสตรีงามเยี่ยงเจ้าคงมิเคยมีผู้ใดได้เชยชมโดยง่าย”

“ขอบพระทัยเพคะ...” เกล็ดมณีค้อมตัวเล็กน้อย เมื่อเห็นวิหรุตเหลียวไปมองธารทิพย์ที่นั่งพับเพียบอยู่มิห่างกายผู้เป็นนายเหนือหัว ใบหน้าของเขาฉายแววสงสัยอย่างเห็นได้ชัด นางจึงได้ไขความกระจ่างให้แก่เขา “นางเป็นนาคีรับใช้ของหม่อมฉัน การไปอยู่ฉิมพลีท่ามกลางเหล่าครุฑ หม่อมฉันเกรงว่าอาจจะเหงาได้ จึงขอพานางตามไปรับใช้เพคะ”

“ข้ามิขัดในเรื่องนั้น”

เมื่อกล่าวจบวิหรุตพลันกลับสู่ร่างเดิม พร้อมทั้งหอบเอาเกล็ดมณีและธารทิพย์ทะยานสู่ฉิมพลีเบื้องบน ภาพของผู้เป็นที่รักสุดชีวิตเริ่มเล็กลงเรื่อยๆ แถมผืนน้ำที่คล้ายกับกระแสพลังที่คอยโอบอุ้มนางอยู่ตลอดเวลาก็ยิ่งห่างไกลออกไปเรื่อยๆ จนทำให้หทัยดวงน้อยคล้ากับจะหยุดเต้น

ลาก่อนเพคะ เสด็จพ่อ เสด็จแม่...

ถึงแม้จะอยากกรรแสงเพียงใดที่เห็นมารดาโผเข้ากอดบิดาด้วยความเสียใจ แต่อย่างไรตนก็ต้องเข้มแข็ง ยิ่งเมื่อต้องมาอยู่ในแดนศัตรูเช่นนี้ จักแสดงความอ่อนแอให้พวกเขาเห็นมิได้ นางฝืนกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้ เม้มริมฝีปากบางแน่น แล้วแสร้งเผยยิ้มกลบความขมขื่นทั้งปวงที่เกิดขึ้น

 

จากสีทันดรมาฉิมพลีใช้เวลามินานนัก วิหรุตพาเกล็ดมณีและธารทิพย์มายังวิมานเล็กๆ ซึ่งอยู่ใกล้วิมานหลัก ถึงแม้เกล็ดมณีจักมีคำถามในใจอยู่บ้าง แต่ด้วยเพิ่งเคยมายังสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรกจึงยอมสงบปากสงบคำ มิกล่าวสิ่งใดออกมาให้เป็นเรื่องขุ่นข้องหมองใจของทั้งสองฝ่าย

“ที่วิมานนี้เจ้าจะสามารถเป็นอิสระจากเหล่าครุฑตนอื่น ข้าจึงเลือกวิมานนี้เพื่อรองรับเจ้า”

เขาหวังดีกับข้าเช่นนั้นหรือ...

เกล็ดมณีมิเคยคาดคิดมาก่อนว่าแท้จริงแล้ววิหรุตจะมีจิตใจอารีถึงเพียงนี้ เขาพานางเดินชมวิมานหลังนั้น ถึงแม้จะมีขนาดเล็กกว่าวังบาดาล แต่นางก็สามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างสุขสบาย เพราะข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างมีครบครัน อีกทั้งยังมีข้าทาสบริวารประจำวิมานกว่าสิบนาง

“ด้านหน้าวิมานของเจ้า ข้าได้ให้ทหารสร้างสระบัวขึ้นมาใหม่ อาจจะเป็นเพราะความคิดของข้ากระมังที่คิดว่าเหล่านาคีชอบนั่งเชยชมดอกบัว”

“เป็นความคิดของพระองค์ แต่ถูกต้องแล้วเพคะ...” 

เมื่อเดินมาถึงสระบัวด้านหน้าที่เหล่ากอบัวยังมิแตกกอ แม้ยังมิมีดอกให้ผลิบาน แต่การที่ชายชาตรีผู้เจนสนามรบเอาอกเอาใจนาคีพลัดถิ่นอย่างนาง ก็ทำให้รู้สึกสุขล้นในดวงหทัยอย่างบอกมิถูก 

“หม่อมฉันชอบสระบัวเป็นที่สุด”

“ข้าจะส่งนางรับใช้มาที่ตำหนักของเจ้าเพิ่ม”

“มิเป็นไรหรอกเพคะ ความจริงหม่อมฉันอยู่ที่นี่กับธารทิพย์เพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”

“เจ้ามิไว้ใจในตัวข้าหรือ” เขาเอ่ยพลางขยับเข้าใกล้นางมากขึ้น

ถึงแม้ธารทิพย์จะหวงแหนองค์หญิงของนาง แต่ทั้งสองก็แต่งงานกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากจะถูกเนื้อต้องตัวกันก็มิใช่เรื่องแปลก นางจึงยอมถอยออกห่างเพื่อให้ทั้งสองได้เดินชมอุทยานหน้าวิมานกันสองต่อสอง ส่วนตนเองแอบสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ เพื่อคอยระแวดระวังภัย เพราะพลัดถิ่นมาไกลจึงยังคงวางใจมิได้ ใครล่ะจะกล้าเชื่อใจผู้ที่ชอบเข่นฆ่าเหล่านาคเป็นว่าเล่นอย่างพวกครุฑได้

“หามิได้เพคะ แต่หม่อมฉันมิรู้ว่าในประวัติศาสตร์เคยมีนาคีขึ้นมาอยู่แดนฉิมพลมาก่อนหรือไม่”

“ขนาดนางมนุษย์ยังเคยมาเยือนฉิมพลี เหตุใดนาคีจักมามิได้เล่า”

“วาจาพระองค์ช่างคมคายยิ่งนัก”

เกล็ดมณีมิได้เอ่ยเกินจริง เพราะเรื่องที่ครุฑตนหนึ่งเคยพานางมนุษย์ขึ้นมาบนฉิมพลีล้วนเกิดขึ้นจริง การเปรียบเปรยเช่นนั้นของวิหรุตจึงมิต่างจากการให้เกียรติเผ่าพันธุ์อื่นนอกเหนือจากเหล่าทิพยปักษา ทำให้นางพึงใจในตัวเขามากขึ้นถึงขั้นคิดไปว่าวิหรุตเองก็มีใจให้นางเช่นกัน

“วันนี้เจ้าคงเหนื่อยมามากแล้ว ข้าว่าเจ้ากลับไปพักผ่อนเสียก่อนดีกว่า”

“ขอบพระทัยเพคะ”

“หากประสงค์สิ่งใดเพิ่มเติม เจ้าให้นาคีรับใช้ของเจ้าไปบอกข้าที่ตำหนักใหญ่ได้ตลอดเวลา”

“เพคะ”

วิหรุตเดินมาส่งเกล็ดมณียังหน้าวิมาน แล้วหันหลังเตรียมเดินกลับไป แต่ยังมิทันที่จะได้เยื้องกรายไปไหน กลับปรากฏสตรีงามในอาภรณ์สีทองคำนางหนึ่งซึ่งมีดวงหน้าสวยได้รูป เส้นผมสลวยถูกเกล้าเป็นมวยไว้ด้านบนกึ่งกลางศีรษะ ปักปิ่นทองคำลายหงษ์ สวมอาภรณ์สีทองคำ พร้อมประโคมเครื่องประดับทองครบองค์ เดินนวยหน้ามาที่วิมานเล็กแห่งนี้ 

เกล็ดมณีจับจ้องใบหน้าที่ฉายความทะนง เพียงปราดเดียวก็รู้ถึงชาติกำเนิดโดยแท้ของร่างทิพยปักษาตนนี้

ยูงทอง...

“พระสวามี” นางตรงเข้าจับมือของวิหรุตโดยเร็ว 

เกล็ดมณีมองภาพเบื้องหน้าด้วยดวงหทัยแทบแดดิ้น...สวามีเช่นนั้นหรือ

มือบางรวบจับกันแน่น แต่ใบหน้างามยังคงฝืนริมฝีปากให้เผยยิ้มละไม ท่วงท่าสมกับผู้ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี ว่ามิควรต้องลดตัวลงไปข้องแวะกับผู้ที่มีศักดิ์ต่ำกว่าตนมากอย่างทิพยปักษาที่บำเพ็ญเพียรจนกลายร่างเป็นมนุษย์ได้

“พิลาสมยุรา” น้ำเสียงของวิหรุตบ่งบอกชัดเจนว่าเขาหลงใหลนางเพียงใด

พวกเขารักกันก่อนการปรากฏกายของข้าเสียอีก...นางคิดก่อนลอบระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา

นาคีธารทิพย์รีบตรงเข้ามานั่งพับเพียบเบื้องหลังผู้เป็นนายเหนือหัว หมายปลอบประโลมด้วยเข้าใจความรู้สึกของนางดีว่าตอนนี้ดวงทหัยคงกำลังแหลกสลาย

ทว่าเกล็ดมณียังคงวางทีท่าของสตรีชั้นสูง มิได้แสดงออกถึงความรู้สึกอิจฉาใดๆ ทั้งที่ในหทัยเต้นเร่ามิต่างจากเสียงกรรแสงของพญาช้างสารยามตกมัน นางอยากไปให้พ้นจากที่ตรงนี้ เพราะนางเพียรคิดมาตลอดว่าการแต่งงานครานี้ ราชาครุฑควรมีนางเป็นภริยาแต่เพียงผู้เดียว ดังเช่นภูชาเคนทร์ที่มีบุษปาเป็นชายาเพียงหนึ่งเดียว

“นี่น่ะหรือเพคะ นาคีที่พระองค์ทรงเสกสมรสมาวันนี้...” ถึงแม้ใบหน้าของผู้พูดจะไม่ได้แสดงอารมณ์อันใดออกมานอกจากความอ่อนโยน แต่ในน้ำเสียงนั้นกลับแฝงความเย้ยหยันอย่างปิดไม่มิด “ทรงงดงามปานเทพธิดาดังคำร่ำลือจริงด้วยเพคะ”

“ขอบพระทัย” เกล็ดมณีเผยยิ้ม

“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรพิลาสมยุรา ข้าสั่งให้เจ้ารอที่อุทยานหลวงมิใช่หรือ” แม้น้ำเสียงยามเอ่ยถามจะแฝงความดุดันอยู่บ้าง แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความเอ็นดู ดูเหมือนผู้มาเยือนจะเก่งเรื่องการเล่นหูเล่นตา และใช้วาจาเอาอกเอาใจราชาครุฑจนทำให้เขาหลงใหล

“ขออภัยด้วยเพคะ หม่อมฉันอดใจรอที่จะได้เห็นพระพักตร์อันงดงามของนาคีที่ร่ำลือมิไหวน่ะเพคะ”

“ด้วยชาติพันธุ์ของข้า ใบหน้าอย่างข้ามิอาจใช้คำว่างดงามได้หรอกหนา” เกล็ดมณีเอ่ยเสียงเรียบ

“ท่านถ่อมตัวเกินไปกระมัง...” พิลาสมยุรายังมิหยุดเอ่ยวาจา เกล็ดมณีพยายามระบายลมหายใจเข้า-ออกยาวๆ เพื่อข่มความพิโรธที่กำลังก่อตัวขึ้นกลางอก “แล้วชาติพันธุ์อย่างข้า จักใช้คำใดเปรียบว่างดงามได้กันเล่า”

“ความงามในแบบของชาวเผ่าวิหคแตกต่างจากความงามของข้าที่เป็นนาคี แล้วแต่ว่าผู้ที่ได้ยลคิดเช่นไร หรืออาจจะด้วยบารมีที่ต่างกันของชนชั้น ข้าเองก็มิอาจเทียบให้เจ้าฟังได้หรอกหนา...ยูงทอง” 

การเอ่ยของเกล็ดมณีทำให้ใบหน้ายิ้มแย้มของพิลาสมยุราถึงกับกลายเป็นใบหน้าเรียบสนิท ด้วยเพราะบารมีที่ต่างกันดังว่า ทำให้คู่สนทนารู้สึกได้ถึงกระแสแห่งวารีที่พร้อมพวยพุ่งออกมาสังหารทิพยปักษาที่มิได้มีกระแสทิพย์สูงส่งเยี่ยงนางได้โดยง่าย  “เกล็ดมณี...” วิหรุตเอ่ยแทรกเสียงแผ่ว นั่นเพราะสัมผัสได้ถึงความคุกรุ่นที่ใกล้ปะทุระหว่างสองสตรีงาม แต่เกล็ดมณีกลับหันไปจับจ้องผู้ที่นางเพิ่งแต่งงานด้วยสายตามิยำเกรง ทำให้วิหรุตรู้ได้ในทันทีว่านางนั้นมิใช่สตรีที่พร้อมจะมอบกายถวายหัวให้กับเขา ทว่าทั้งแข็งแกร่งและดื้อดึงมิต่างจากเด็กเอาแต่ใจสักคน “ข้าว่าวันนี้เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนด้านในก่อนเถิด”

เกล็ดมณีมิได้กล่าวสิ่งใด เพียงโค้งคำนับเล็กน้อยก่อนเดินหายเข้าไปด้านในพร้อมกับนาคีรับใช้ ขณะเดียวกันวิหรุตก็ต้องรีบพาพิลาสมยุราออกจากวิมานของนางโดยเร็ว นั่นเพราะจากสายตาที่จับจ้องเขาเมื่อครู่ พิลาสมยุรามิใช่คู่ต่อสู้ของนาง หากนางเอาจริงขึ้นมา ยูงทองหรือจะหาญสู้นาคีผู้มากด้วยบารมีเยี่ยงนางได้

 

เกล็ดมณีทรุดกายลงนั่งยังมุมหนึ่งในวิมาน ธารทิพย์ที่เดินตามมาถึงกับต้องรีบตรงเข้าช่วยพยุงร่างบางเอาไว้ให้นั่งลงอย่างแผ่วเบา เหตุการณ์หมองพระทัยแรกคือการจากบ้านมาไกลแสนไกลจนสุดขอบฟ้า และได้มอบใจให้ครุฑแปลกหน้าที่แม้จะเป็นสวามีแต่ก็นับเป็นศัตรูแห่งเผ่าพันธุ์ เหตุการณ์ที่สองที่ทำให้สะเทือนใจ คือการที่ตนมิใช่คู่สามีภรรยาดังเช่นพระบิดาที่มีมารดาเพียงคนเดียว ตนกลับกลายเป็นคู่สมรสรองของวิหคที่บารมีต่ำกว่าตนเสียอีก

“องค์หญิงเพคะ”

“นี่เป็นกรรมอันใดของข้าที่ต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้กันธารทิพย์” เกล็ดมณีเอ่ยทั้งที่น้ำตาคลอ

“องค์หญิงเพคะ หากคิดในแง่ดีก็ดีแล้วนะเพคะ ที่ฝ่าบาทวิหรุตมีราชินีอยู่ก่อนแล้ว พระองค์จักได้มิต้องมายุ่มย่ามกับองค์หญิงไงเพคะ”

“เจ้าเห็นสายตาของยูงทองหรือไม่ ข้าว่านางมิยอมจบง่ายๆ แน่”

“ให้หม่อมฉันไปจัดการเลยดีหรือไม่เพคะ”

“อย่าเลย...” ด้วยบารมีของยูงทอง มิอาจเทียบได้แม้กระทั่งนาคีรับใช้อย่างธารทิพย์ แต่ในเมื่อนางเสกสมรสเข้ามาเป็นสะใภ้ฉิมพลีก่อน เกล็ดมณีเองก็ไม่อยากจะแตะต้อง “ถึงแม้เจ้าจะจัดการนางได้อย่างง่ายดาย แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องไปผูกกรรมอันเกิดจากตัวข้าเป็นต้นเหตุ เจ้าเข้าใจหรือไม่”

“เพคะองค์หญิง”

“เอาละ ข้าว่าเจ้ากลับไปพักที่ห้องของเจ้าเสียเถิด”

“องค์หญิงมิต้องการให้หม่อมฉันอยู่เป็นเพื่อนหรือเพคะ”

“เจ้าเองก็เหนื่อยกับการเดินทาง...” เกล็ดมณีหันมาส่งยิ้มให้ผู้ที่นั่งพับเพียบอยู่เบื้องล่าง “ข้าขอนั่งตรงนี้อีกครู่เดียว แล้วจักเข้าไปพักผ่อนที่ห้องนอนแล้วละ”

“เช่นนั้นให้หม่อมฉันได้ส่งองค์หญิงเข้าบรรทมก่อนนะเพคะ หม่อมฉันถึงจะไปพักได้อย่างสบายใจ”

“เจ้านี่นะ ดื้อเสียจริง”

ธารทิพย์มิตอบสิ่งใดกลับมา เพียงแต่นั่งนิ่งๆ เคียงข้างองค์หญิงของนาง นั่นเพราะหตุการณ์สุดวิสัยต่างๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะมีจิตที่ตั้งมั่นหรือครองสติครบ ก็ยากที่จะทำใจรับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้ โดยมิคิดเสียใจภายหลัง

 

เมื่อคิดมาจนถึงตอนนี้ เกล็ดมณีในคราบนาคีพลันกรรแสงออกมาที่เบื้องลึกของสระอโนดาตจนเกิดคลื่นสูงทั่วทั้งสระ เหล่ามัจฉาน้อยใหญ่ที่แหวกว่ายอยู่พลันแตกตื่นถ้วนทั่ว ความเสียใจในครานั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การทำร้ายจิตใจของนางในหลายครั้งหลายครา ใบหน้าเลอลักษณ์ของวิหรุตทำให้นางหลงใหล ก่อนลอบทำร้ายจนนางมิสามารถอยู่ฉิมพลีได้อีกต่อไป

ข้าจะมิหลงกลในรูปลักษณ์ของครุฑเยี่ยงท่านอีก...

วิหรุต...

เมื่อสลัดคราบน้ำตาออกจนหมด นางจึงทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำในร่างนาคีเกล็ดแก้วมรกต ครั้นเมื่อต้องกับแสงสุริยา พลันเกิดแสงสะท้อนจากเกล็ดแก้วเป็นประกายระยิบระยับคล้ายอัญมณีรัตนะ ซึ่งผิดแผกไปจากเกล็ดของเหล่านาคทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ความสวยงามตระการตาอันหาได้ยากยิ่งเช่นนี้ทำให้ไม่ว่าผู้ใดที่ได้พานพบต่างก็ต้องหยุดนิ่งเพื่อเชยชมอย่างตื่นตะลึง

ทว่าก่อนที่จะมีผู้ใดได้ยลความงดงามตระการตาไปมากกว่านั้น ร่างงามนั้นพลันทะยานหายไปกลางอากาศเพื่อกลับสู่สถานที่สุขสงบซึ่งตนจากมาด้วยเหตุบังเอิญ

แต่อย่างที่ใครสักคนกล่าวเอาไว้ว่า...เรื่องบังเอิญมิมีอยู่จริง

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น