
หิมพานต์ถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าเทพยดา และเต็มไปด้วยสิ่งน่าอัศจรรย์จนเกินคาดเดา กึ่งกลางของป่าแห่งนี้มีสระอโนดาตอันเลื่องชื่อซึ่งรู้กันในหมู่ชาวหิมพานต์เป็นศูนย์กลาง แวดล้อมด้วยภูเขาสูงเสียดฟ้าห้าลูก ทุกลูกโน้มเข้าหากันเพื่อปกคลุมสระน้ำแห่งนี้ไว้ สายลมเฉื่อยฉิวที่รำเพยตามหน้าที่ของพระพายพัดเอาความเย็นมาสู่ชาวทิพย์ที่อาศัยอยู่เบื้องล่างแห่งเขาพระสุเมรุ เยื้องไปทางทิศอีสานของเทือกเขาสลับซับซ้อนด้วยแมกไม้นานาพรรณมีไม้ยืนต้นที่มีขนาดใหญ่เกินกว่ามนุษย์สิบคนโอบตั้งตระหง่านเรียงราย นอกจากนี้ยังมีสระบัวลึกลับที่กินพื้นที่เจ็ดโยชน์ รายล้อมด้วยต้นไม้แปลกพิสดาร ส่งกลิ่นหอมหวนแม้มิได้ผลิดอกให้ผู้ใดได้ยล
สีของวารีในสระลึกลับมิต่างจากสีน้ำของมหานทีสีทันดร ดอกบัวทุกดอกในสระน้ำก็มีสีสุวรรณพรรณราย เกสรนั้นทอแสงดุจอัญมณีหลากสีทั้งยังมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ไม่ว่าใครเดินผ่านเป็นต้องหลงใหล ทว่า ณ ที่แห่งนี้กลับมีเพียงนาคีสองตนพำนักอาศัยอยู่เท่านั้นที่ ทั้งยังถูกบดบังไว้ด้วยมนตร์มายาแห่งทิพย์จากพระแม่ลักษมีเทวี เพื่อให้ทั้งสองมีสมาธิในการบำเพ็ญเพียร ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจพานพบหากมิได้มีชะตาต้องกัน
นาคีธารทิพย์สวมอาภรณ์ขาวสะอาดตา ท่อนบนห่มสไบเฉียงสีขาว ท่อนล่างนุ่งผ้าซิ่นตีนทองสีเดียวกัน ที่เอวคาดเข็มขัดเงินยวงงามงด ที่คอไร้ซึ่งสิ่งใดสวมใส่ เส้นผมดำสลวยถูกรวบเป็นมวยไว้ด้านบน ปักปิ่นเงินลายกนกนาคราชบ่งบอกถึงชาติพันธุ์ของนาง เจ้าของใบหน้างามอมยิ้มบางๆ เช่นทุกครั้งที่ได้นั่งเชยชมดอกบัวเหล่านี้ผลิบาน ก่อนใช้ช้อนตักน้ำหวานจากเกสรของดอกบัวสุวรรณพรรณรายมาใส่ในโถแก้ว หมายเก็บไว้ถวายแด่ผู้ที่มิเสวยเนื้อสัตว์ใดเพื่อละทิ้งซึ่งกระแสแห่งกรรมในการเข่นฆ่า
ความสงบนี้ ข้าเพียรภาวนาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ว่ามันจะช่วยเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของท่านได้...
นางเอื้อมมือไปแตะกลีบบัวสุวรรณที่อยู่ใกล้ที่สุด ถึงแม้จะเป็นเพียงบัวดอกเล็กที่สุดในสระลึกลับแห่งนี้ แต่ก็มีขนาดไม่ต่างจากถ้วยสักใบสำหรับมนุษย์ ในขณะที่ดอกใหญ่สุดมีขนาดเทียบเท่ากับเรือลำหนึ่งซึ่งมนุษย์ตัวจ้อยสามารถขึ้นไปนั่งบนนั้นได้ถึงสิบห้าคน
“ธารทิพย์...” เสียงหวานใสที่ดังกังวานมาจากเบื้องล่างของสระทำให้ธารทิพย์เปลี่ยนจากร่างสตรีกลายเป็นนาคีทันทีที่ถูกเรียกหา ผิวกายขาวผ่องปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีเขียวเลื่อมพราย หงอนและครีบหลังสีทองคำเปล่งปลั่ง หางลายกนกแผ่ออกคล้ายครีบมัจฉา นัยน์ตาสีอำพันสุกใส แหวกว่ายลงสู่เบื้องลึก ผ่านเหล่าสายบัวนานาที่ทอดยาวสู่ด้านล่าง
ท่ามกลางวารีสีน้ำนมเต็มไปด้วยเหล่ามัจฉาหลากสีที่แหวกว่ายอยู่อย่างสบายใจ แม้จะมีความลึกกว่าเจ็ดโยชน์ แต่นาคีธารทิพย์สะบัดกายเพียงไม่กี่ครั้งก็ลงมาถึงวิมานด้านล่างได้อย่างรวดเร็ว
วิมานซึ่งอยู่เบื้องลึกของสระบัวลึกลับมิต่างจากปราสาทหินขนาดเล็กที่ถูกสร้างอย่างวิจิตร ถึงแม้มองจากภายนอกปราสาทแห่งนี้จะถูกสร้างขึ้นจากหินทรายสีชมพูธรรมดา แต่กลับเปล่งแสงสุวรรณแพรวระยับจากกระแสบุญที่ผู้อยู่อาศัยได้สั่งสมมาตลอดระยะหลายร้อยปี เมื่อนาคีธารทิพย์เลื้อยผ่านกำแพงที่กั้นขวางตัวปราสาทไว้ ร่างนาคีพลันกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ในทันที
“ธารทิพย์เจ้าอยู่ที่ใด”
“มาแล้วเพคะ” นาคีธารทิพย์ส่งเสียงตอบรับพร้อมกับรีบสาวเท้าไปตามทางเดินศิลาแลงที่ทอดยาวสู่ตัวปราสาทที่ถูกตกแต่งอย่างโอ่อ่าและมีข้าวของเครื่องใช้ครบครันไม่ต่างจากราชวังสมกับบารมีของผู้ครอบครอง และตรงไปยังห้องของผู้ที่เรียกหานางโดยเร็วที่สุด ด้วยตามรับใช้ผู้เป็นนายมาหลายร้อยปี จึงมิอยากให้ผู้เป็นนายเหนือหัวต้องรอนาน
“หม่อมฉันมาแล้วเพคะ องค์หญิงมีเรื่องอันใดหรือเพคะจึงเรียกหาหม่อมฉัน”
เบื้องหน้าของธารทิพย์คือสตรีงามเจ้าของดวงหน้าสวยดุจเทพธิดาในวัยสาวสะพรั่ง ริมฝีปากสีชมพูกลีบบัว กลางหน้าผากแต้มจุดแดงหนึ่งจุด สวมอาภรณ์สีขาวสะอาดมิต่างจากนาคีรับใช้ ปล่อยเส้นผมสีดำยาวสยายจนถึงสะโพก ท่าทีสงบนิ่งเปี่ยมด้วยบารมีทำให้ธารทิพย์เลื่อมใสและพยายามดำรงตนอยู่ในการบำเพ็ญเพียร ให้เหมือนกับผู้ที่นางยินยอมติดตามรับใช้ตั้งแต่ออกจากวังบาดาล
“คืนนี้เป็นคืนจันทราสุกสกาว ข้าจักขึ้นไปนั่งสมาธิที่ดอกบัวสุวรรณพรรณรายเสียหน่อย จึงอยากวานเจ้าช่วยไปเลือกเฟ้นดอกบัวที่เหมาะสมให้ข้าที”
“ได้เลยเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจัดการให้”
“อ้อ! ธารทิพย์”
“เพคะ องค์หญิงต้องพระประสงค์สิ่งใดเป็นพิเศษอีกหรือไม่ ตรัสกับหม่อมฉันได้เลยเพคะ”
ใจจริงตัวนางเองอยากจะสั่งสอนให้นาคีรับใช้อย่างธารทิพย์หัดบำเพ็ญเพียรให้มากกว่านี้เสียหน่อย แต่ด้วยความที่อีกฝ่ายคอยดูแลตนตั้งแต่ออกจากวังบาดาล จึงตำหนินาคีเพียงตนเดียวที่อยู่กับนางที่นี่ไม่ลง ทำได้เพียงลอบทอดถอนหายใจ ก่อนส่งยิ้มกลับไปให้ด้วยความเอ็นดู
“ข้ามิประสงค์สิ่งใด” พูดจบเจ้าของใบหน้างามก็ทอดสายตามองไปยังกำแพงหินด้านนอกหน้าต่าง
ธารทิพย์เห็นเช่นนั้นจึงรีบคลานเข่าเข้าไปหาผู้เป็นองค์หญิงอย่างรวดเร็ว
“องค์หญิงมีสิ่งใดไม่สบายพระทัยหรือเพคะ เหตุใดอยู่ๆ จึงดูพระพักตร์หมองลง”
“ข้าอยู่ที่นี่มานานกว่าเจ็ดร้อยปีเพราะพระแม่ลักษมีทรงพระกรุณา...” น้ำเสียงยามที่เอ่ยออกมามิต่างจากต้องมนตร์ ทั้งเลื่อนลอยและรู้สึกเจ็บปวดในอกเบื้องลึก คล้ายกับถูกคมหอกคมดาบนับไม่ถ้วนเสียบแทงเข้ามา จนภายในหฤทัยดวงน้อยแทบแหลกสลาย “แต่เหตุใดข้าจึงยังมิลืมความเจ็บปวดเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในครานั้น”
“โธ่! ทูนหัวของหม่อมฉัน หากมันเป็นความทรงจำแสนเจ็บปวด หม่อมฉันอยากให้องค์หญิงทรงลืมเลือนมันไปเสีย หรือหากว่ามีสิ่งใดที่ทำให้องค์หญิงทรงลืมเลือนไปได้ หม่อมฉันก็อยากจะไปนำสิ่งนั้นมาให้องค์หญิงเพคะ” ธารทิพย์คลานเข้าใกล้นางมากขึ้น ก่อนซบใบหน้างามบนเข่าของคนที่นั่งขัดสมาธิในท่าสบายๆ
เกล็ดมณีหันกลับมามองนาคีรับใช้พลันยิ้มออกมา ถึงจะเป็นเพียงนาคีนางเดียวที่เข้าใจหัวอกของนางที่สุด แต่นางกลับโทษตนเองที่ทำให้นาคีรับใช้ต้องลำบากลำบนเพื่อนางมาหลายครั้งหลายครา
ถึงจะมิเท่าเด็กแรกเกิด แต่เจ้าก็คอยดูแลข้ามาโดยตลอด...
“แค่ความทรงจำกับบุรุษเพียงหนึ่งตน มิอาจทำอะไรข้าได้หรอกหนา”
“หม่อมฉันเจ็บใจแทนองค์หญิงจริงๆ เลยเพคะ กับเรื่องในครานั้น”
“ช่างเถิด...” นางวางมือลงบนบ่าของผู้ที่ยังแนบแก้มกับเข่าของตน ธารทิพย์จึงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นผู้เป็นนายแย้มยิ้มแสนโสภา “ลำบากเจ้าแล้วที่ตามดูแลข้ามาหลายร้อยปี เดิมทีเจ้าควรแต่งงานกับนาคาสักตนและมีทายาทให้เลี้ยงดูได้แล้ว เรื่องทั้งหมดมันผิดที่ข้าเอง”
“ไม่หรอกเพคะ องค์หญิงจะผิดได้อย่างไร”
“เจ้าไปเตรียมดอกบัวให้ข้าเถิด...” เกล็ดมณีตัดบทพร้อมรอยยิ้มงดงามปานเทพธิดาจนนาคีรับใช้เผลอเผยยิ้มตอบ “อีกประเดี๋ยวข้าจักตามขึ้นไป”
“เพคะ” ธารทิพย์รับคำแล้วรีบไปทำตามในสิ่งที่องค์หญิงของนางต้องการเมื่อนาคีรับใช้หายออกไปนอกวิมานร่างบางจึงขยับกายเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งมาเป็นยืน สาวเท้าเยื้องย่างอย่างเชื่องช้าตรงไปยังหน้าต่างบานที่ทอดมองออกไปยังกำแพงเมื่อครู่ เพราะวิมานนี้ตั้งอยู่กึ่งกลางสระบัว ภายนอกตัวปราสาทซึ่งกินพื้นที่กว่าสองโยชน์นี้จึงถูกรายล้อมไปด้วยสระน้ำใสสีมรกต ผิดจากสีน้ำนมของสระบัวลึกลับ นอกจากพื้นที่ของศิลาแลงที่ถูกปูลาดเป็นทางเดินด้านนอกแล้วบริเวณที่เหลือภายในอาณาเขตกำแพงก็มิได้ถูกแทนที่ด้วยพื้นดิน แถมดอกบัวสุวรรณที่ผุดพรายขึ้นมาเบื้องหลังกำแพงนี้ก็มีขนาดไม่ต่างจากดอกบัวบนโลกมนุษย์ เพียงแต่พิเศษกว่าตรงที่ส่งกลิ่นหอมหวนซึ่งสามารถช่วยให้ผู้ที่ได้ดอมดมรู้สึกผ่อนคลายจิตใจอย่างบอกมิถูก
ข้าทำสิ่งใดผิดพลาดเช่นนั้นหรือ ไยผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว ตัวข้ากลับยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ถึงเพียงนี้...
เกล็ดมณีคิดพลางวางมือบางทาบหน้าอกข้างซ้าย นางยังคงจำพิษรักเมื่อครานั้นได้ดี เดิมทีนางมิได้มีใจให้ชายใดในโลกหล้า แต่เมื่อถูกจับแต่งงานเพื่อยุติสงคราม นานเข้านางกลับมอบใจให้บุรุษผู้นั้น แต่ท้ายที่สุดเขากลับไม่เลือกนางเป็นยอดยาใจ นั่นจึงทำให้นางเผลอทำเรื่องที่มิควรลงไปในที่สุด
หรือเป็นตัวข้าเองที่ปล่อยวางมิมากพอ...
ณ ห้วงเวลาแห่งการบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ ถึงแม้จะผ่านมาหลายร้อยปี แต่ภาพของบุรุษที่ต้องแต่งงานกับนางเพียงเพื่อยุติสงครามสองเผ่าพันธุ์ ยอมสละดวงจิตและไปจุติยังโลกมนุษย์เพื่อเคียงคู่กับสตรีที่เขารักยังคงทำให้นางรู้สึกอยากปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลรินออกมาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดให้เจือจางลง แต่มันหาได้มีประโยชน์ต่อสิ่งใดไม่ เมื่อความรักในครานั้นมิได้ต่างจากยาพิษที่นางเลือกดื่มกินมันลงไป
“ข้าเข้มแข็งมากพอที่จะไม่ปล่อยให้เจ้าไหลออกมา...”
นางเผยยิ้มละไมพลางสาวเท้าออกมาจากที่พำนักเพื่อมุ่งตรงขึ้นไปยังเบื้องบน แต่มิได้กลับสู่ร่างของนาคีให้ผู้ใดได้ยลความงดงามแห่งเกล็ดนาคี ที่มีประกายแสงรัตนะโสภาจากการบำเพ็ญเพียรโดยง่าย
“บุรุษ เช่นไรก็เป็นเพียงบุรุษ เมื่อได้ปักใจลุ่มหลงมัวเมาในรูปลักษณ์ของสตรีใดแล้ว ล้วนมิอาจแปรใจได้โดยง่าย”
เมื่อก้าวพ้นแนวกำแพงหินออกมา ร่างกายก็สัมผัสกับสายน้ำในสระ เหล่ามัจฉานานาพันธุ์ต่างแหวกว่ายเข้ามาหานางด้วยความรักใคร่ มัจฉาที่อาศัยอยู่ในสระนี้ล้วนแล้วแต่มีรูปลักษณ์แปลกตา บ้างมีเกล็ดเป็นสีทองคำเลื่อมมรกต บ้างมีเขาแหลมยื่นออกมา บ้างมีลำตัวใหญ่เทียบเท่ากุญชร บ้างมีคมเขี้ยวแหลมคมดุจราชสีห์ แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่กินเนื้อสัตว์ด้วยกันเอง ล้วนกินไคลน้ำเพื่อลดกระแสแห่งกรรมที่อาจก่อเกิด และมักดำรงอยู่ในสถานที่ที่นาคีเกล็ดมณีใช้เป็นที่บำเพ็ญเพียร
“ข้าคิดถึงพวกเจ้าเช่นกัน”
เพียงนางยื่นมือออกไปข้างหน้า ปลาหลายสิบตัวต่างแก่งแย่งเบียดเสียดกันเพื่อหมายเอาหัวของมันมาให้นางได้สัมผัส กระแสบุญที่นางนาคีบำเพ็ญเพียรที่นี่ ล้วนส่งถึงพวกมันให้ได้สั่งสมบารมีไปด้วยในตัว จึงทำให้เกล็ดมณีเป็นที่โปรดปรานของเหล่าสรรพชีวิตที่อาศัยอยู่ในสระลึกลับแห่งนี้
เมื่อทักทายเหล่ามัจฉาเสร็จสรรพนางก็ลอยตัวขึ้นสู่ผิวน้ำเบื้องบน โดยมีพวกมันว่ายน้ำตามมาเป็นพรวน เพียงไม่นานร่างงามก็ทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำ ก้าวเดินบนใบบัวขนาดใหญ่ซึ่งรับน้ำหนักได้ดีเกินคาดหมายตรงไปทางธารทิพย์ที่กำลังเดินสำรวจดอกบัวสุวรรณอย่างพินิจพิเคราะห์ ใบหน้างามฉายแววสับสนงุนงง คิ้วโก่งขมวดมุ่นจนหัวคิ้วเกือบชนกัน เพราะนางมิรู้ว่าควรเป็นบัวสุวรรณพรรณรายดอกใดที่เหมาะสมและคู่ควร
“เจ้ามีปัญหาอันใดหรือไม่” เมื่อสังเกตอยู่นานเกล็ดมณีจึงเอ่ยถามนาคีรับใช้
“ขออภัยด้วยเพคะ หม่อมฉันแค่มิอาจหาดอกบัวที่เหมาะสมกับการนั่งสมาธิขององค์หญิงได้เพคะ”
“เจ้าคิดมากจนเกินไปน่ะสิ...”
เกล็ดมณีเยื้องกรายบนใบบัวที่ต่างเคลื่อนมารองรับทุกการเยื้องย่างของนาง เมื่อเดินไปเรื่อยๆ จนมาถึงดอกบัวดอกหนึ่งซึ่งมีขนาดพอเหมาะ นางก็ก้มลงใช้ปลายนิ้วเรียวงามสัมผัสบัวดอกนั้นแผ่วเบา บัวตูมขนาดใหญ่พลันผลิกลีบเบ่งบานออกช้าๆ ใจกลางเกสรเป็นสีทองอ่อน ส่งกลิ่นหอมประดุจดอกไม้ป่า
“เอาดอกนี้แล้วกัน”
“เพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจัดการให้ องค์หญิงเสด็จไปประทับรอใต้ต้นกัลปพฤกษ์ก่อนเถิดเพคะ”
เกล็ดมณีพยักหน้ารับ ก่อนตรงไปยังต้นกัลปพฤกษ์ที่อยู่ริมสระ ที่ตรงนั้นมีตั่งไม้สักเนื้อดีวางอยู่ เพราะหากมิได้นั่งสมาธิบนดอกบัว นางก็มักจะใช้ตั่งไม้ใต้ต้นกัลปพฤกษ์ตัวนี้นี่แหละเป็นทีนั่งบำเพ็ญเพียรอยู่เนืองนิจ
ธารทิพย์เดินไปที่บัวดอกนั้นแล้วสะบัดมือกรีดกรายไปมา ดอกบัวโดยรอบพลันผลิบานอย่างถ้วนทั่ว และเคลื่อนตัวออกห่างจากดอกบัวที่เกล็ดมณีจะใช้นั่งสมาธิในราตรีนี้ บัวดอกหลักถูกปูด้วยผ้าทอเนื้อดีสีขาวสะอาด ปักด้วยไหมทองเป็นลายนาคีขดตัวอยู่กึ่งกลางผ้าผืนนั้น เมื่อตระเตรียมสถานที่เสร็จสรรพจึงรีบปรี่ไปหานายเหนือหัวทันที
“องค์หญิงจะรับน้ำค้างยามตะวันรุ่ง น้ำหวานจากดอกบัวสุวรรณพรรณราย หรือรับของว่างอะไรเสวยก่อนหรือไม่เพคะ”
“ดูแลแต่ข้า ตัวเจ้าหาสิ่งใดรองท้องหรือยังเล่า”
“เรียบร้อยแล้วเพคะ หม่อมฉันทานน้ำหวานจากเกสรบัวไปแล้วเพคะ”
“อืม...ข้าเองก็อยากทานน้ำหวานจากเกสรบัวบ้าง”
“ได้เพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปนำมาให้เสวย”
ธารทิพย์สะบัดมือเพียงครั้งหนึ่งก็ปรากฏถ้วยกระเบื้องที่วางอยู่บนพานทองคำ โถแก้วที่นางเพิ่งบรรจงตักน้ำหวานจากเกสรดอกบัวก่อนหน้านี้ปรากฏขึ้นในมือบาง นางจึงบรรจงเทมันลงสู่ถ้วยกระเบื้องอย่างระมัดระวัง
เกล็ดมณีเงยหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบน ถึงแม้ว่าบนนั้นจะมีเหล่าวิหคยักษ์บินร่อนไปมา แต่พวกมันหาได้มองเห็นสระบัวแห่งนี้ไม่
การตัดขาดจากโลกภายนอกดังเช่นที่พระแม่บอกนี่ก็ดีเหมือนกัน มิมีผู้ใดมายุ่งกับข้า และข้าเองก็มิได้หมายไปยุ่งกับผู้ใด...
แต่ความคิดยังมิทันสิ้นสุด สายลมหอบหนึ่งพลันพัดผ่านร่างของนางจนเกศาสลวยปลิวสะบัด เบื้องบนเวหามีนกยักษ์ตัวหนึ่งโบยบินเหนือเขตสระลึกลับเป็นวงกลมจนเกิดกระแสลมแรงที่เบื้องล่าง เมื่อพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน ด้วยมีศีรษะเป็นช้าง คอยาวดุจหงส์ สยายปีกกว้าง ขนหางยาวดุจไก่ฟ้า ทั้งตัวเป็นสีมรกตเลื่อมทองนางก็รับรู้ได้ทันทีว่านกยักษ์ตัวนี้มาเพื่อบอกเหตุบางประการ
หัสดีลิงค์...
“องค์หญิงเพคะ” ธารทิพย์โผเข้ามาหาเกล็ดมณีโดยเร็วด้วยความห่วงใย เพราะอยู่ๆ กระแสลมก็พัดแรงจนเหล่าดอกบัวในสระพากันหุบกลีบลงทันที เหล่ามัจฉาน้อยใหญ่ต่างเร้นกายลงใต้น้ำลึกด้วยความตระหนัก
“ข้ามิเป็นไรหรอก”
เสียงร้องคำรามกึกก้องแสบแก้วหูกลางเวหาส่งให้เหล่าวิหคอื่นต่างหลีกหนีกลับรวงรัง เดิมทีหัสดีลิงค์ก็มีนิสัยดุร้ายและมักจับสัตว์ใหญ่กินเป็นอาหารอยู่แล้ว แถมป่าแถบนี้ยังมิใช่รวงรังของนกยักษ์หรือทางผ่านบไป การปรากฏกายของมันจึงทำให้เกล็ดมณีรู้สึกถึงลางบอกเหตุบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่นางยังคงเจ็บปวดดวงหทัยมิคลาย มืองามยกขึ้นทาบอกอวบอิ่มโดยมิรู้ตัว
หรือเจ้าจะมาบอกสิ่งใดกับข้า...เกี่ยวกับวิหรุต
เมื่อนึกถึงนามของบุรุษที่นางเคยมอบดวงใจให้ ความเจ็บปวดก็แล่นปราดขึ้นมาทันที พิษรักในครานั้นถึงจะถูกชำระไปด้วยระยะเวลาหลายร้อยปี แต่ก็ใช่ว่าพิษของมันจักมิหลงเหลืออยู่ เหมือนยังขาดโอสถอีกตัวที่จะช่วยชำระมันไปให้หมดสิ้น
“หลายร้อยปีมานี้ มากสุดกลางเวหาแถบนี้ก็มักจะพบเห็นเพียงกินนร กินรี หรือเหล่าอสูรปักษาบ้าง แต่แปลกอยู่ๆ ทำไมหัสดีลิงค์ถึงปรากฏกายได้นะเพคะ”
“ข้าคิดว่ามันอาจนำข่าวคราวมาบอกกับข้าก็ได้นะธารทิพย์”
“ข่าวหรือเพคะ”
“ใช่...” มือบางสั่นเทาเมื่อคิดถึงใบหน้าคมคายดุจภาพปฏิมากรรม เจ้าของเรือนผมสีดำ รูปร่างกำยำสมชายชาตรี ผู้ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นดุจแสงตะวัน และยังเป็นราชาแห่งครุฑผู้ปกครองฉิมพลีในยามนี้ “ข้าเกรงว่ามันอาจมาส่งข่าวเกี่ยวกับวิหรุต”
“ครุฑชั่วตนนั้น...”
“ระวังวาจาหน่อยธารทิพย์...” นางขัดนาคีรับใช้ในทันทีที่กล่าวก้าวล่วงต่อราชาแห่งครุฑ
ธารทิพย์เม้มริมฝีปากแน่นด้วยความขุ่นเคืองใจแทนผู้เป็นนายเหนือหัว หากมิใช่เพราะครุฑตนนั้นหมายเสกสมรสกับองค์หญิงของนาง ป่านฉะนี้เกล็ดมณีคงสุขสมกว่านี้ที่บาดาลนคร
“ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นราชาแห่งครุฑ เจ้าต้องให้เกียรติเขาในฐานะนั้น”
“แต่เขาผิดสัญญากับองค์หญิงของหม่อมฉันก่อนนะเพคะ”
“เดิมทีข้าเองก็มิคิดแต่งงาน แต่เมื่อเสด็จพ่อขอร้องข้าจึงยอมทำตาม เพื่อความสงบสุขของสองเผ่าพันธุ์ นี่ก็มิเกิดสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว ข้าคิดว่ามันคุ้มค่ากับการที่ข้าได้มาอยู่ที่นี่”
“องค์หญิงเพคะ” ธารทิพย์รู้ดีว่าการเอ่ยเช่นนั้นของเกล็ดมณีแฝงไว้ด้วยการตัดพ้อ แต่นางเองก็ทำอันใดมิได้ นอกเหนือจากการคอยอยู่เคียงข้างผู้เป็นนายเท่านั้น
“ที่แห่งนี้มิเคยมีผู้ใดย่างกรายเข้ามาหลายร้อยปีแล้ว มันจึงมิใช่เหตุบังเอิญแน่ที่หัสดีลิงค์จะมาบินวนกลางเวหาเหนือสระลึกลับแห่งนี้”
“คงมิใช่เหตุร้ายหรอกนะเพคะ”
“ข้าว่ามิใช่หรอก...” เกล็ดมณีหันไปหานาคีรับใช้ “ธารทิพย์ จริงอยู่ที่ข้ามิรับรู้ข่าวคราวของวิหรุตมาหลายร้อยปี แต่หัสดีลิงค์มาปรากฏตัวเช่นนี้ล้วนมิใช่เรื่องดีแน่ อย่างไรข้าไหว้วานให้เจ้าออกจากสระบัวลึกลับแห่งนี้เพื่อสืบความได้หรือไม่”
“ได้แน่นอนเพคะ หม่อมฉันจะรีบไปรีบกลับ”
“ดูแลตัวเองด้วย”
“เพคะ”
ธารทิพย์วางพานทองเหลืองบรรจุถ้วยน้ำหวานจากเกสรบัวสุวรรณลงใกล้ๆ เกล็ดมณี เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายหยิบถ้วยนั้นขึ้นจดริมฝีปากเพื่อลิ้มรสน้ำหวานแล้ว นางจึงเดินหายเข้าไปในเขตชายป่าเพื่อเร้นกายออกไปสู่หิมพานต์เบื้องนอก
เกล็ดมณีเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนอีกครั้ง หัสดีลิงค์ยังคงบินวนเป็นวงกลม พร้อมส่งเสียงร้องคำรามไม่ต่างจากการเตือนภัย ถึงแม้จะรู้สึกใจคอไม่ดีอยู่บ้าง แต่อย่างไรสถานที่แห่งนี้ก็เกิดขึ้นจากกระแสทิพย์ที่ถูกเนรมิตขึ้นจากพระแม่ลักษมีซึ่งเป็นเทพีชั้นสูง หัสดีลิงค์จึงมิอาจหลุดเข้ามาได้โดยง่าย
ข้าควรทำหน้าที่ของข้าให้ดี มิควรคิดถึงสิ่งใดที่ทำให้เป็นกังวล...
เมื่อคิดได้ดังนั้น เกล็ดมณีจึงวางถ้วยน้ำหวานลงทั้งที่เพิ่งจิบไปได้เล็กน้อย พอแค่ให้รู้รสชาติความหอมหวานเท่านั้น นางหยัดกายยืนขึ้น แล้วเดินไปยังดอกบัวที่หมายจะใช้เป็นที่นั่งทำสมาธิ แต่เพราะสายลมยังพัดแรงทำให้ดอกบัวเหล่านั้นไม่ยอมผลิบาน นางจึงต้องจำแลงกายเข้าไปด้านใน รวบรวมสมาธิให้สงบ พลันเข้าสมาธิท่ามกลางความมืดมิด สรรพสิ่งโดยรอบมิไหวติง แม้จะสัมผัสได้ถึงกระแสลมแรง แต่ภายในกลับนิ่งสงบ
ดีเหมือนกัน เข้าสมาธิตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงราตรีกาลเลยก็มิเสียหาย...
เมื่อตัดเหตุกังวลได้ ร่างบางจึงขัดสมาธิภายในดอกบัว เหยียดหลังตรงทรงสง่า มือขวาวางทับมือซ้ายดังเช่นเคย หลับตาลงแล้วสละสิ้นซึ่งสรรพสิ่งที่รบกวนโดยรอบ โดยหาได้รู้ไม่ว่ากลางเวหาตอนนี้พลันเกิดเรื่องที่นางเองก็มิเคยนึกฝันมาก่อน
ทิศที่ตั้งแห่งฉิมพลี ครุฑหนุ่มในร่างจำแลงทะยานโลดแล่นกลางเวหาอย่างสุขสมอารมณ์ รูปลักษณ์นั้นคล้ายบุรุษทุกประการ ทว่าทั่วร่างปกคลุมไปด้วยขนวิหคสีดำเหลือบทองคำที่ปลายเส้นขน ใบหน้ามีจะงอยปากนกยื่นออกมา มือทั้งสองข้างมีกรงเล็บแหลมคม ท่อนล่างสวมอาภรณ์สีเดียวกับขนวิหค
ครุฑหนุ่มผู้นี้เป็นที่รักใคร่ประดุจญาติสนิทของเหล่าวิคแห่งป่าหิมพานต์ ซึ่งผิดแผกไปจากครุฑตนอื่นที่ถือยศถืออย่าง มิเคยมาเล่นปะปนกับสัตว์หิมพานต์เหล่านี้แม้เพียงเฉียดกาย
“หัสดีลิงค์”
เสียงเรียกที่ปลิวมาตามแรงลมส่งผลให้นกยักษ์เจ้าของนามหันไปแผดเสียงก้องให้แก่ผู้ที่กระพือปีกเพียงครั้งหนึ่งก็สามารถทะยานบนเวหาได้ไกลเป็นโยชน์
เมื่อเขามาถึงก็พบว่ามันเอาแต่แผดเสียงร้องพร้อมกับบินวนเป็นวงกลมทำให้เขาจำต้องทอดสายตามองลงไปเบื้องล่างอย่างแปลกใจ พลันเห็นประกายแสงสีทองคำสุกปลั่งสะท้อนจากเหล่าดอกบัวสุวรรณพรรณรายที่ยากพานพบในสระบัวแห่งไหนทั่วทั้งหิมพานต์ แต่ก่อนที่จะทันได้ทำอะไรมากกว่านั้น เจ้านกหัสดีลิงค์ตัวนั้นกลับบินชนเข้าที่หลังของเขาอย่างจัง จนตัวเขาถลาไปไกล
“นี่เจ้าคิดจะเล่นอะไรกันแน่...” ถามพลางบินเข้าไปใกล้ๆ วางมือที่ปกคลุมไปด้วยขนสีดำลูบหัวของเจ้านกตัวใหญ่อย่างเอ็นดู หัสดีลิงค์ถือว่าเป็นสัตว์ดุร้ายแต่กลับเชื่องกับครุฑหนุ่มตนนี้ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงแสนรักของเขา “เป็นเด็กดีเถิดหนา อย่าสร้างความวุ่นวายให้ป่าผืนนี้เลย กลับไปสู่รังนอนของเจ้าเสียเถิด”
นกยักษ์แผดเสียงก้องอีกครั้งก่อนบินกลับรังตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ใบหน้าบุรุษคมคายที่มีจะงอยปากแหลมคมประกายทองเผยยิ้มมุมปาก นัยน์ตาคมคล้ายเหยี่ยวจับจ้องลงไปเบื้องล่างอีกครั้ง กลิ่นหอมประหลาดจากสระบัวทำให้เขาถึงกับเคลิบเคลิ้ม เมื่อพบว่าบัวเหล่านั้นเป็นสีสุวรรณพรรณราย ในใจซึ่งเปี่ยมไปด้วยบุญญาวาสนาจึงหมายเก็บพวกมันไปถวายแด่พระจุฬามณีที่ประดิษฐานบนสรวงสวรรค์
แปลก ข้าบินเล่นในป่าแถบนี้มาหลายร้อยปี แต่กลับมิเคยพบเห็นสระบัวแห่งนี้แม้เพียงครั้งเดียว...
นั่นเป็นจริงดังว่า เพราะตลอดหลายร้อยปีมานี้ปลอดสงครามระหว่างสองเผ่าพันธุ์ เหตุการณ์สุขสงบจนเขาเที่ยวเล่นไปทั่วหิมพานต์ได้ จากทิศอุดรจดทักษิณเขารู้ดีว่าที่แห่งไหนเป็นเช่นไร แต่แปลกตรงที่เขากลับไม่เคยพบสระบัวแห่งนี้มาก่อน
คงเป็นบุพเพวาสนา...
เมื่อคิดได้ดังนั้นครุฑหนุ่มจึงทะยานลงสู่เบื้องล่างในบัดดล บินโฉบเหนือสระน้ำและเอื้อมไปดึงดอกบัวสุวรรณพรรณรายติดมือมาสามดอก ผิวน้ำกระเพื่อมจากแรงลม เหล่ามัจฉาบ้างกระโดดขึ้นเหนือผิวน้ำด้วยความตกใจ บ้างหนีลงสู่ก้นบึ้งของสระ แต่ร่างที่ปกคลุมด้วยเส้นขนสีดำขลิบทองสุวรรณที่ปลายขนกลับมิได้รู้สึกถึงความผิดปรกติใด ทะยานขึ้นสู่กลางเวหาหาวทันที
ทว่าด้วยกระแสลมที่พัดรุนแรงกลางเวหายามครุฑหนุ่มกระพือปีกส่งผลให้เกิดการสั่นไหวภายในดอกบัว ร่างบางที่นั่งสมาธิเพื่อบำเพ็ญเพียรอยู่รู้สึกระสับระส่ายจนต้องออกจากสมาธิก่อนเวลาตามที่ตั้งใจไว้ ครั้นเมื่อลืมตาขึ้นกลับพบว่าตอนนี้ตนกำลังล่องลอยตามกระแสวายุ เพราะเสียงกระแสลมพัดพลิ้วดังอื้ออึง กลิ่นความบริสุทธิ์ของอากาศเย็นเยียบ อีกทั้งความวูบไหวที่อยู่สูงขนาดนี้ต้องมิใช่เหตุบังเอิญเป็นแน่
หรือหัสดีลิงค์จะลงไปโฉบดอกบัวขึ้นกลางเวหา...
ด้วยความฉงนเกล็ดมณีจึงจำแลงกายเป็นละอองสีมรกตปลิดปลิวออกมาจากดอกบัวสุวรรณพรรณรายที่ตนเข้าสมาธิอยู่ และกลับสู่ร่างทิพย์ขวางหน้าผู้หอบนางขึ้นมาในบัดดล
ครุฑหนุ่มชะงักงันในความงามถึงขั้นหยุดกระพือปีก ร่างทิพย์ของสตรีงามตรงหน้ามิต่างจากเทพธิดาบนสวรรค์ชั้นฟ้า อาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ แถมเครื่องประดับยังทอประกายเปล่งปลั่ง กระแสแห่งทิพย์พวยพุ่งปกคลุมร่างบางมิต่างจากเกราะกำบัง ฉายชัดถึงบุญวาสนาที่สั่งสมมาหลายร้อยปี
เกล็ดมณีจ้องมองพญาครุฑในร่างใหญ่โตกว่าตนด้วยอาการนิ่งสงบ มิได้แสดงออกถึงความยำเกรงแต่อย่างใด
“เจ้าเป็นใคร...” เจ้าของร่างงามเอื้อนเอ่ยเสียงหวานใส ทว่าครุฑหนุ่มกลับเอื้อมมือมาหมายพาเทพธิดาที่ตนเห็นลงไปเบื้องล่างด้วยกัน แต่นางสะบัดมือเพียงครั้งเดียว ไอเย็นแห่งวารีบริสุทธิ์ก็ปัดมือของเขาออกได้ในทันใด “อย่าแตะตัวข้า”
“ขออภัยด้วย ถ้าเช่นนั้นเชิญแม่นางลงไปเบื้องล่าง ข้างอโนดาตได้หรือไม่”
เกล็ดมณีชำเลืองไปยังเบื้องล่าง ซึ่งบัดนี้กลายเป็นภาพสระน้ำขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางของหิมพานต์ นางเหลียวมองครุฑหนุ่มอีกครั้งแล้วมุ่งตรงไปเบื้องล่างโดยมิให้คำตอบแก่เขา
ครุฑหนุ่มจ้องมองแผ่นหลังบางของเจ้าของร่างผู้มีทรวดทรงอรชรที่ค่อยๆ ลอยลิ่วลงไปเบื้องล่างอย่างสง่างาม
ดวงหทัยของข้าเป็นอะไรไป...
ครุฑหนุ่มยกมือกุมหน้าอกข้างซ้าย หัวใจของเขาเต้นเร่ามิเป็นจังหวะ สตรีงามที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นทำให้เขารู้สึกว่าปีกที่หลังทั้งสองข้างคล้ายอ่อนแรงกำลังลง ได้แต่ปล่อยร่างให้ร่อนถลาลงไปที่พื้นตามร่างบางที่กำลังยืนทอดมองน้ำในสระอโนดาตด้วยความนิ่งงัน
“เจ้าเป็นใคร”
ทันทีที่เจ้าของเส้นขนสีดำปลายทองคำร่อนลงมาถึงพื้น เกล็ดมณีก็ยิงคำถามเดิมกลับไป ร่างครุฑพลันจำแลงเป็นร่างบุรุษหนุ่มเลอลักษณ์ กำยำสมชายชาตรี รูปร่างสูงโปร่งกว่านางหลายคืบ ท่อนล่างนุ่งโจงกระเบนดิ้นทอง คาดเข็มขัดทองคำประดับอัญมณีสีนิล กลางหน้าอกคาดสังวาลเส้นเล็ก ประดับพลอยสีนิลเช่นเดียวกับหัวเข็มขัด ท่วงท่านั้นสง่างามมิต่างจากผู้เป็นราชัน แต่กระแสแห่งทิพย์ที่อยู่ในกายของเขาทำให้นางรับรู้ได้ว่าครุฑหนุ่มผู้นี้มีสายเลือดแห่งกษัตริย์
“นามข้าคืออนิล” อนิลเอ่ยเสียงทุ้มนุ่มลึกออกมาจากริมฝีปากหนา แต่ก็ยังมิอาจทำให้นางหันไปมองเขาได้
“เหตุใดจึงนำข้าที่เข้าสมาธิอยู่ในดอกบัวสุวรรณพรรณรายขึ้นไปกลางเวหาเช่นนั้น...” นางหันกลับมาหาคู่สนทนา แม้ว่าบุรุษตรงหน้าจะมีความสง่างามอย่างที่หาได้ยากยิ่ง แต่ด้วยการสงวนทีท่าแต่แรก นางจึงมิอาจหลุดชื่นชมสิ่งใดออกไปให้เขารับรู้ได้ “เจ้าทำให้ข้าเสียสมาธิในการบำเพ็ญเพียร”
“ข้าต้องขออภัยเจ้าด้วย ข้าเพียงมิเคยพบเห็นสระบัวแห่งนั้นมาก่อน เมื่อพบว่าดอกบัวเหล่านี้ฉาบสีสุวรรณพรรณราย ข้าจึงอยากนำมันไปสักการะพระจุฬามณีบนสรวงสวรรค์”
“เช่นนั้นหรอกหรือ” เกล็ดมณีเอ่ยพลางนิ่งคิดพิเคราะห์
แปลกจริง ตลอดเจ็ดร้อยปีที่ผ่านมามิเคยมีผู้ใดล่วงล้ำลงไปที่นั่นได้ ไยครุฑหนุ่มผู้นี้ถึงลงไปเด็ดดอกบัวสุวรรณพรรณรายขึ้นมาได้กันเล่า...
“ข้ามิมีสิ่งใดปิดบัง...” น้ำเสียงยามที่เอ่ยแฝงไว้ด้วยความสัตย์จริง เกล็ดมณีจึงเบือนหน้าหนีไปมองทางอื่น “หากเจ้ามิเชื่อ ข้าสามารถพาเจ้าทะยานขึ้นกลางเวหาเพื่อไปสักการะพระจุฬามณีพร้อมกันกับข้าก็ย่อมได้”
“ขอบคุณที่เชิญ แต่มิเป็นไรจะดีกว่า”
“เดี๋ยว...” เกล็ดมณีกำลังจะหายตัวเพื่อกลับสู่สระลึกลับ แต่กลับถูกครุฑหนุ่มรั้งไว้เสียก่อน “ข้ายังมิรู้จักนามของเจ้าเลย”
“เกล็ดมณี”
“ไยเมื่อครู่พลังของเจ้าถึงบริสุทธิ์และเยียบเย็นดุจวารี เจ้ามิใช่นางอัปสรหรอกหรือ”
“ข้าเป็นนาคี...” เกล็ดมณีเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย หมายให้ครุฑหนุ่มแสดงธาตุแท้แห่งเผ่าครุฑ ที่มักจับนาคีหรือนาคาที่ศักดิ์ต่ำกว่าตนกินเป็นอาหาร หรือฆ่าเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน แต่เขากลับส่งยิ้มกลับมาให้จนทำให้นางรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ได้เห็นท่วงท่าร่าเริงแบบนั้น “เจ้ายิ้มเพราะเหตุใด”
“ญาติผู้พี่ของข้ามักบอกว่า ในบรรดานางฟ้านางสวรรค์ เหล่าเทพอัปสรมักจะสวยสมเป็นดังเทพธิดาหาที่เปรียบมิได้ ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าข้าสามารถหาสตรีงามที่เทียบกับเทพอัปสรเหล่านั้นของญาติผู้พี่ของข้าได้แล้ว”
“นี่เจ้า...” หัวใจของเกล็ดมณีเต้นโครมครามขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ นางรับรู้ว่าสิ่งที่อนิลพูดเป็นความจริง ครุฑหนุ่มเติบใหญ่หลังสงครามจึงมองโลกในแง่ดี ลืมเลือนความสูญเสียของการรบราฆ่าฟันกัน จนหยาดโลหิตนองผืนปฐพีเบื้องล่างแห่งฉิมพลี “บุรุษที่ปากหวานเช่นเจ้าคงมีนางเล็กๆ ตามติดเป็นพรวน ข้ามิอยากยุ่งเกี่ยวกับบุรุษเยี่ยงเจ้าหรอกหนา”
“ช้าก่อน เจ้ารังเกียจที่ข้าเป็นครุฑเช่นนั้นหรือ” ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มฉายแววเศร้าหมองลง
“เจ้ายังมิรู้จักข้าดีหรอกหนาหนุ่มน้อย”
“ข้ามิใช่หนุ่มน้อย...” เขาสวนขึ้นทันควันทำให้ผู้ที่รักษาท่าทีสงบเยือกเย็นมาตลอดถึงกับต้องพยายามกลั้นอารมณ์ขันเอาไว้ ทีท่านั้นมิได้ต่างจากตัวนางเองเมื่อเยาว์วัย ไม่ว่าใบหน้าบึ้งตึงหรือท่าทีเง้างอน “ข้ามีอายุเกือบเจ็ดร้อยปีแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะกำเนิดหลังญาติผู้พี่ของข้าเพียงไม่กี่วันก็เถอะ แต่ข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่า เหตุการณ์บ้านเมืองของเหล่าครุฑและนาคในยามนี้เป็นเช่นไร”
“ฉิมพลีสงบสุขดี ส่วนชาวบาดาลข้ามิอาจรู้ได้ พวกเขาหลีกลี้อยู่ในที่ของตนภายหลังสงครามเมื่อครั้งก่อน”
“สงครามหรือ...” เกล็ดมณีทวนคำ เมื่อเอ่ยถึงสงคราม ภาพการเสียเลือดเนื้อของสองเผ่าพันธุ์พลันแวบเข้ามาในหัวของนาง รวมทั้งภาพของอดีตผู้ที่นางเสกสมรสด้วยทำให้รู้สึกชอกช้ำในอก “ช่างเถอะ ข้ามิอยากรู้แล้ว”
“เจ้าอยู่ที่นั่น มิได้รับรู้เรื่องของโลกภายนอกเลยเช่นนั้นหรือ”
“บางเรื่องมิรู้จักดีกว่านะ” นางว่าก่อนผละห่างจากเขาหมายกลับสระบัว แต่เขาก็เดินตามไม่หยุด
“นั่นเจ้าจะไปที่ใด”
“ข้าจะกลับแล้ว”
“ให้ข้าไปส่งเจ้าได้หรือไม่”
เกล็ดมณีหยุดอยู่กับที่ นั่นทำให้อนิลแปลกใจมิใช่น้อย นางเหลียวกลับมามองดวงหน้าที่ถือได้ว่าเลอลักษณ์กว่าวิหรุต แถมยังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกเสน่หาอย่างแปลกประหลาดที่ในใจของนางรับรู้ได้ ความใสซื่อที่แสดงออกมาสื่อถึงความบริสุทธิ์ใจโดยแท้จริง ความจริงใจของครุฑหนุ่มตรงหน้ายากจะปกปิดถึงจุดประสงค์ของเขา ซึ่งแสดงออกชัดเจนถึงความพึงใจยามบุรุษหมายเข้าหาสตรีงามทั่วไป แต่นางกลับมิอาจทลายกำแพงของตนลงมาได้
ไยครุฑต้องมาข้องแวะกับข้า...
“ว่าอย่างไรเล่า ข้ากระพือปีกมิกี่ครั้งก็ไปถึงสระบัวของเจ้าแล้ว”
เมื่อเห็นว่านางยังเงียบงัน เขาจึงเว้นระยะห่างระหว่างทั้งคู่และมิได้ถามไถ่สิ่งใดอีก เพียงยืนส่งยิ้มละไมมาให้ มิต่างจากเด็กหนุ่มออดอ้อนสาวงามให้ตามใจ แต่ตอนนี้ในใจของเกล็ดมณีกลับมีคำตอบอยู่แล้ว นางอยากปฏิเสธอนิลให้เด็ดขาด แต่ดูจากความดื้อรั้นที่แสดงออกผ่านรอยยิ้มซุกซนของเขาก็รู้ว่าเขามิยอมรามือง่ายๆ แน่
“เหตุใดข้าต้องให้เจ้าไปส่งเล่า ข้าอยู่ที่นี่มานานกว่าเจ็ดร้อยปี ไยจะหาทางกลับเองมิได้”
“โห! เจ้าอยู่ที่นี่เจ็ดร้อยปีเชียวหรือ เกือบเท่าอายุของข้าเลยนะ”
“เช่นนั้นแสดงว่าข้ามีความอาวุโสกว่าเจ้ามากนะครุฑน้อย”
“คำก็หนุ่มน้อย สองคำก็ครุฑน้อย...”
คราวนี้ทีท่างอแงของเขาทำให้นางรู้สึกอยากตีเจ้าหนุ่มน้อยคนนี้เสียให้เข็ด ทั้งทีท่าเบือนหน้าหนี แล้วยังเชิดปากขึ้นคล้ายจะร้องไห้นั่นอีก แต่ก็ทำได้แค่ลอบขำในใจ ขณะเดียวกันก็อยากแกล้งอีกฝ่ายต่อไปอีก ด้วยชอบใจในทีท่าเง้างอนบนใบหน้านั้น
“ข้าบอกแล้วไง ข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ข้าก็แค่ยังอยากเที่ยวเล่นไปเรื่อยๆ ก่อน มิเหมือนญาติผู้พี่ของข้า ที่มีสนมเป็นกินรีงามถึงสองนาง”
กินรีเช่นนั้นหรือ...
ยามเมื่อได้ยินเผ่าพันธุ์ของทิพยปักษีตรงหน้า หัวใจของนางพลันนึกถึงใบหน้างามใสซื่อบริสุทธิ์ ที่เคยพึ่งใบบุญของนางในการปกปักรักษายามเมื่ออาศัยยังวิมานฉิมพลี แต่อดีตอย่างไรก็คืออดีต ตอนนี้นางกลับให้ความสนใจแก่ใบหน้างอแงของครุฑหนุ่มตรงหน้ามากกว่า
“อย่าเอาญาติผู้พี่ของเจ้ามาเป็นข้ออ้าง ตอบข้ามาตามตรงเถิดว่าเจ้ามีนางเล็กๆ อยู่กี่นาง”
“ข้ายังมิมีใครร่วมเรียงเคียงหมอนหรอกหนา”
“โกหกทั้งเพ” นางรีบแย้งทันควัน
“ข้ามิได้ปดเจ้าหรอกหนา...” เขาตอบพร้อมกับจับจ้องใบหน้างาม หมายให้นางสบตาเพื่อที่ตนจะได้แสดงความบริสุทธิ์ใจ แต่มีหรือที่นาคีอย่างนางจะยอมเสียท่าให้แก่เสน่ห์มารยาของเขา “หากเจ้ามิเชื่อ ข้าพาเจ้าไปยังวิมานข้าที่ฉิมพลีก็ได้หนา หากเจ้าต้องการ”
“ข้ามิใช่สตรีงามที่หลงใหลในรูปลักษณ์เพียงอย่างเดียวหรอกหนา”
“แล้วต้องทำอย่างไร เจ้าถึงจะเชื่อข้า”
นางเสมองไปทางอื่น แต่กลับเผลอเหลือบไปสบเข้ากับนัยน์ตามีเสน่ห์ของเขาโดยมิตั้งใจ ยามเมื่อทั้งสองได้สบตากัน ความจริงใจที่ส่งผ่านมาก่อเกิดเป็นความรู้สึกแรกเริ่มโดยที่เจ้าของดวงหทัยทั้งสองไม่รู้ตัว
แปลก...
ทันทีที่ได้ยินเสียงของหฤทัยที่เต้นเร่าจนผิดจังหวะ เกล็ดมณีกลับรู้สึกว่าร่างกายที่เคยเย็นเยียบจากลมหนาวของนางค่อยคลายลง ความอบอุ่นแทรกเข้ามาแทนที่จากแห่งใดก็มิอาจหยั่งได้ การถูกจับจ้องจากเจ้าของรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเบื้องหน้าส่งผลให้อวัยวะที่อยู่ภายใต้ทรวงอกอวบอิ่มของนางกำลังเต้นเร่าจนแทบคลั่ง มันสั่นสะเทือนรุนแรงจนแทบทะลุออกมาด้านนอก นางต้องรวบรวมสติทั้งหมดเพื่อสลัดความคิดนั้นออกไป ก่อนจะเผลอไผลไปมากกว่านี้
แปลกที่ข้าหัวใจเต้นแรง...
ความคิดเห็น |
---|