4

แมวป่าล่าสวาท


แมวป่าล่าสวาท
เกือบหนึ่งเดือนก่อน...
ท่ามกลางความมืดสลัวและเสียงเพลงจังหวะเร้าใจของไนต์คลับหรูย่านใจกลางกรุง นักท่องราตรีทั้งหลายต่างกำลังยักย้ายส่ายสะโพกอยู่ที่ฟลอร์ดิสโก้ หนุ่มสาวแปลกหน้ายืนเต้นเบียดเสียดกันอย่างสนิทชิดเชื้อ เพราะในสถานที่มืดสลัวแบบนี้ แสงสีต่างๆ ช่วยอำพรางจุดบกพร่องตามร่างกายได้มาก ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอแต่คนสวยหล่อ และมีแรงดึงดูดให้อยากเข้าไปทำความรู้จักทั้งสิ้น
แน่ละ...คนหัวเก่าอาจมองว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควร แต่ในยุคที่หนุ่มสาวรักง่ายหน่ายเร็วกันเช่นนี้ ผู้หญิงหลายคนมองว่าตัวเองมีสิทธิ์เท่าเทียมชาย ถ้าถูกใจแล้วพากันไปต่อก็มีแต่ได้กับได้ ไม่มีใครเสียเปรียบใคร ยิ่งดึกขึ้นเท่าไร บรรยากาศจึงยิ่งทวีความครื้นเครง
เวลาเดียวกันนั้น ถัดมาจากฟลอร์ดิสโก้ที่คนส่วนใหญ่กำลังสนุกสนาน สาวสวยที่มัดจุกครึ่งหัวและทำไฮไลต์สีผมเป็นโทนน้ำตาลอ่อนไล่ลงไปเป็นสีชมพูกำลังนั่งเบะปากร้องไห้สะอึกสะอื้น มือบางยกแก้วค็อกเทลสีชมพูหวานตรงหน้าขึ้นซด
“ทำไมอะแก...” หล่อนสะอื้นฮัก วางแก้วค็อกเทลที่พร่องลงเกือบครึ่งลงพลางยกมือป้ายคราบน้ำตา “ทำไมพี่เคนถึงทำกับฉันแบบนี้ได้ลงคอ คบกันมาตั้งเจ็ดปี ฉันไม่ดีตรงไหนทำไมไม่บอก ทำไมต้องแทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจฉัน แล้วแอบไปกินกับเพื่อนฉันด้วยอะแก”
เกย์หนุ่มมีสีหน้าตกตะลึง ไม่อยากเชื่อเลยว่าเพื่อนจะร้องห่มร้องไห้เบอร์นี้
“เอาน่าแก...” ธนนท์ยื่นมือไปลูบแขนปลอบ “คิดเสียว่าได้รู้เช่นเห็นชาติกันก่อนแต่งงานก็ดีแล้ว”
“ไม่ดีอะ” หญิงสาวหันขวับไปหา หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันโดยไม่มีทีท่าว่าจะอยากร้องไห้อีก และเสียงเครือๆ เหมือนคนจะขาดใจเมื่อครู่ก็กลับกลายมาเป็นเสียงพูดแบบปกติ “ทำไมเวลานางเอกอกหักทีไร นางเอกต้องมาดื่มเหล้าฟูมฟายในผับด้วยอะแก ร้องไห้ตรงริมฟุตพาท ตรงหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวบ้างไม่ได้เหรอ”
ธนนท์ถึงกับกลอกตามองเพดาน เริ่มหมั่นไส้คนเป็นนักเขียนขึ้นมานิดหนึ่ง
“ก็ถ้าแกเปลี่ยนอาชีพพระเอกจากเจ้าพ่ออสังหาฯ เป็นพ่อค้าร้านก๋วยเตี๋ยว มันก็อาจจะได้อยู่อะ” เป็นการดับจินตนาการที่ทำเอาณจันทร์ถึงกับอ้าปากค้าง “อีกอย่าง...ฉันโทร. ชวนแกมาปรึกษาเรื่องว่าที่คู่หมั้นของฉันที่จู่ๆ ก็โผล่มา ไหงกลายเป็นว่าแกมาปรึกษาพลอตนิยายกับฉันล่ะคะคุณจันทร์ฝันหวาน”
“ก็...” เจ้าของนามปากกาจันทร์ฝันหวานอึกอัก ยอมรับว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคิดพลอตนิยาย “ก็ฉันติดฉากนี้มาตั้งสองวันแล้ว แกโทร. ไปตอนฉันกำลังทำงาน สมองฉันมันก็ยังคิดเรื่องงานอยู่ปะ? ส่วนเรื่องที่แกปรึกษา...เมื่อกี้ฉันก็แนะแกไปแล้วไง”
หญิงสาวคิดว่าธนนท์หายกลุ้มแล้วเสียอีก เพราะเมื่อครู่นี้ก็ดูจะเห็นด้วยกับการแกล้งทำตัวเป็นหนุ่มจืดชืดให้พลอยใสเบื่อหน่าย
เกย์หนุ่มถอนใจเฮือก เบนสายตาไปอีกทางด้วยสีหน้าเพลียๆ
“อุ๊ย!”
เสียงอุทานนั้นทำให้ณจันทร์ประหลาดใจ ไม่รอช้าที่จะมองตามสายตาอีกฝ่าย ก่อนจะพบว่าถัดไปไม่กี่โต๊ะมีหนุ่มตาน้ำข้าวคนหนึ่งกำลังมองมาทางนี้ด้วยแววตาหวานฉ่ำ เขามีรูปร่างสูงใหญ่ กล้ามเป็นมัดๆ ชนิดที่เห็นแล้วอยากกัดเล่นเบาๆ
“อู้ววว...งานดีย์” ณจันทร์จงใจเน้นเสียงตรงคำว่า ‘ดีย์’ เพื่ออรรถรสในการชื่นชมว่าดีจริงๆ แต่แล้วจู่ๆ ธนนท์ก็หันมาดัก
“เขามองฉันย่ะ”
“แล้วไง” หญิงสาวไหวไหล่นิดๆ แม้จะเห็นอยู่เต็มสมองตาว่าเขาไม่ได้มองหล่อนก็ตาม “เขาอาจจะไม่กล้าสบตาฉัน เลยแกล้งมองแกไปอย่างนั้นก็ได้”
“มั่นหน้าขนาดนี้ ตีปีกพั่บๆ รอได้เลย”
“อะไรของแก”
“ดูปากเพื่อนนนท์นะคะ” เกย์หนุ่มยกมือขึ้นชี้ปากตัวเอง ขณะที่ณจันทร์ยังคิดตามไม่ทันเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่เริ่มทำงาน “นก!”
หล่อนอ้าปากค้าง อดไม่ได้ที่จะตีแขนอีกฝ่ายเข้าให้
“เลว”
ธนนท์หัวเราะคิก พลอยทำให้เพื่อนสาวคนสนิทหัวเราะตามไปด้วย
“ถ้ามั่นใจว่าเขามองแก เรามาเดิมพันกันไหมล่ะ”
“ว่า?”
“แกกับฉันใครจะตกหนุ่มตาน้ำข้าวคนนั้นได้ก่อน คนแพ้ต้องเปลี่ยนรูปโพรไฟล์เฟซบุ๊กเป็นก้อยเนื้อร้านเจ๊จิ๋มหนึ่งเดือน” เป็นกติกาเพี้ยนๆ ที่แค่ฟังก็ขำ เพราะเจ๊จิ๋มคือเจ้าของร้านอาหารอีสานด้านหลังมหาวิทยาลัยที่พวกหล่อนชอบไปอุดหนุนประจำ แต่โลกนี้จะมีใครบ้าเอาเมนู ‘ก้อยเนื้อ’ มาตั้งเป็นรูปโพรไฟล์บนเฟซบุ๊กบ้าง ถ้าได้เงินค่าโฆษณาจากเจ๊จิ๋มก็ว่าไปอย่าง
“ถามจริง? ทำไมต้องรูปก้อยเนื้อ”
“ก็ถ้าโลกนี้มีก้อยนก ฉันคงไม่ตั้งกติกาเป็นก้อยเนื้ออะ” ราวกับจะอวยพรเป็นนัยๆ ว่าคืนนี้หล่อนต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
“แรง”
“หรือว่าป๊อด”
ธนนท์ลอยหน้าลอยตาท้า ผิดกับคนถูกท้าที่ได้แต่เม้มปากน้อยๆ แล้วหันไปมองเหยื่ออีกครั้งเพื่อประเมินสถานการณ์
พ่อหนุ่มกล้ามแน่นยังเอาแต่มองธนนท์ตาหวานฉ่ำขนาดนั้น ไม่ต้องแข่งกันอ่อยก็รู้ว่างานนี้ใครมาวิน ขืนรับเดิมพันจริงๆ มีหวังรูปโพรไฟล์ของสวยๆ ของหล่อนได้กลายเป็นอาหารอีสานแน่
ณจันทร์ยิ่งชอบเขียนนิยายตอนดึกๆ อยู่ด้วย ช่วงพักสมองมักชอบเข้าไปหาอะไรอ่านเพลินๆ ในเฟซบุ๊กบ้าง ขืนเห็นรูปก้อยเนื้อทุกครั้งที่พักงาน มีหวังท้องร้องโครกครากจนคิดนิยายไม่ออกละสิไม่ว่า
“กล้าท้ามาก็กล้ารับคำท้า แต่ฉันว่าเรามาเพิ่มกติกาดีกว่า...” นักเขียนสาวยื่นหน้าไปใกล้ๆ ธนนท์พลางเหล่มองไปทางเป้าหมายหนุ่มตาน้ำข้าวรูปหล่อ “คนนั้นฉันยกให้แก เพราะฉันไม่ชอบแย่งของเพื่อน”
“ค่า...คนดีย์” เกย์หนุ่มมิวายทอดเสียงจิก มองออกว่าณจันทร์รู้สถานะมวยรองของตัวเองอยู่แล้ว ถึงได้อยากปรับปรุงกติกาเพื่อความยุติธรรม
“กติกามีอยู่ว่าคืนนี้ใครหาหนุ่มเลี้ยงเหล้าแพงกว่าได้...ชนะ”
เกมนี้ยังช่วยให้ณจันทร์พอมีลุ้นบ้าง เนื่องจากทุกครั้งที่มาเที่ยวด้วยกัน หล่อนนั่งอยู่เฉยๆ ก็มีหนุ่มแปลกหน้ามาขอเลี้ยงเครื่องดื่มบ่อยครั้ง ซึ่งธนนท์เองก็รู้และไม่คิดทัดทาน กติกาแฟร์ๆ แบบนี้ย่อมน่าสนุกกว่าแบบที่เขานอนมาอยู่แล้ว
“เตรียมรูปก้อยนก เอ้ย! ก้อยเนื้อไว้ได้เลย” ถึงอย่างนั้นก็ยังมิวายแกล้งข่ม ก่อนจะถือแก้วเครื่องดื่มของตนไปทางโต๊ะพ่อหนุ่มตาน้ำข้าว
เมื่อเป้าหมายยิ้มรับและผายมือเชื้อเชิญอย่างมีไมตรี ท่าทีที่ธนนท์หันมายักคิ้วเป็นต่อก็พาให้นักเขียนสาวอดหมั่นไส้ไม่ได้ แต่ลึกๆ ไม่ได้ถือสาอะไร กลับดีใจเสียด้วยซ้ำที่ชวนคุยให้เพื่อนหายกลุ้มจากปัญหาคาราคาซังจนมีอารมณ์ไปแอ๊วหนุ่มได้
ณจันทร์ก้มลงหยิบเครื่องดื่มสีชมพูหวานตรงหน้ามาดื่มต่อบ้าง แม้จะเห็นว่าเหลืออีกไม่ถึงครึ่งแก้ว หล่อนก็ไม่คิดสั่งเพิ่ม เพราะรู้ลิมิตตัวเองดีว่าดื่มได้ไม่เกินสองแก้วต่อคืน ไม่อย่างนั้นจะเมาจนเสียลุค
ท่ามกลางเสียงดนตรีอาร์แอนด์บีในผับ หญิงสาวนั่งฟังเพลงเพลินๆ สลับกับจิบค็อกเทลบ้างเล็กน้อย โดยตั้งใจดึงเวลาให้เครื่องดื่มหมดช้าๆ แล้วคอยกวาดตามองหาเหยื่อมาเปย์ค่าเหล้า
ไม่ได้อยากหลอกกินฟรีนะ แต่ก็แค่ไม่อยากเปลี่ยนรูปโพรไฟล์เป็นก้อยนก เอ้ย! ก้อยเนื้อจริงๆ ก็เท่านั้นเอง
นึกไม่ถึงว่าเพลงผ่านไปไม่กี่ท่อน หล่อนจะได้ยินเสียงปรบมือเบาๆ มาจากทางโต๊ะหนุ่มตาน้ำข้าว เมื่อหันไปมองก็พบว่าหนุ่มหล่อกำลังส่งสัญญาณเรียกบริกรเพื่อสั่งเครื่องดื่มมาเพิ่มให้ธนนท์
นั่นยังไม่เสียความมั่นใจเท่ากับที่เกย์หนุ่มหันมาขยิบตานิดๆ เป็นนัยว่า ‘ของจริงไม่ต้องพูดเยอะ’ ก่อนจะแกล้งทำท่าไอแล้วยกมือทาบลำคอตัวเองซึ่งตีความได้ว่า ‘เจ็บคอ’
ณจันทร์เม้มปากแน่น อดไม่ได้ที่จะตอบโต้ไปทางสายตาบ้าง
‘สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหารย่ะ’
หญิงสาวยกแก้วของตนมาเตรียมจะดื่มต่อแก้อาการเสียหน้า แต่ก็ต้องพบว่าของเหลวสีชมพูในแก้วเหลืออยู่นิดหนึ่งเท่านั้น เวลาผ่านไปเกือบจะครึ่งเพลงแล้ว หล่อนนั่งอยู่คนเดียว ไม่มีธนนท์เป็นไม้กันหมาแบบนี้ เหตุใดถึงไม่มีเหยื่อหลงเข้ามาขอเลี้ยงเหล้าบ้าง
หรือวันนี้ปากซีด?
ก็อาจเป็นได้...เพราะตอนนั่งคิดฉากนางเอกอกหักเมื่อครู่ หล่อนก็เผลออินในบทจนดื่มเอาๆ
ในที่สุดเมื่อไม่มั่นใจในตัวเองเสียแล้ว ร่างบางในชุดเชิ้ตเปิดไหล่กับกางเกงยีนสั้นจู๋จึงขยับตัวลุกจากโต๊ะเพื่อไปสำรวจตัวเองในห้องน้ำ แต่ไม่ทันถึงทางเข้าด้วยซ้ำ ณจันทร์ก็พลันชนกับชายคนหนึ่งที่เพิ่งสวนออกมาจากห้องน้ำชายข้างๆ
“อุ๊ย!”
ณจันทร์ถึงกับเสียหลักเซไป แต่ยังเคราะห์ดีที่คู่กรณีหนุ่มคว้าต้นแขนเอาไว้ได้ทัน แล้วพอหล่อนเงยหน้ามองเขาเท่านั้น ดวงตาคมๆ ที่กำลังมองมาอย่างห่วงใยนั้นก็ทำเอาณจันทร์ตะลึง หัวใจดวงน้อยๆ เต้นโครมครามอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นบ่อยนัก บางทีคงเพราะหัวใจกำลังสับสนว่าเขาเป็นคนจริงๆ หรือเริ่มเมาจนฝันเห็นเทพบุตรกันแน่
พ่อคุณขา...หล่อออร่า หล่อไม่บันยะบันยัง หล่อไม่เผื่อแผ่ชาวบ้าน หล่อวัวตายควายล้ม หล่อล้ำในสามโลก! อารมณ์ต้องมนตร์สะกดแบบในนิยายพาฝันเป็นอย่างไร นักเขียนสาวเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็วันนี้เอง
ฝ่ายรามิลสังเกตว่าหล่อนค่อยๆ ยืนทรงตัวเองได้แล้วจึงปล่อยมือ
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”
ตรงนี้ค่ะที่รัก...ณจันทร์อยากยกมือทาบอกข้างซ้ายที่โดนศรรักปักเข้ากลางใจอย่างแรง แต่ขืนทำอย่างในจินตนาการจริงๆ คงไม่งาม เพราะนางเอกอย่างหล่อนต้องตอบแบบนางเอกเท่านั้น
“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวยิ้มน้อยๆ เป็นการผูกมิตร “คุณล่ะคะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรครับ ต้องขอโทษด้วยที่ผมเดินไม่ทันระวัง”
“หนูต่างหากที่ไม่ทันระวัง...” ถึงได้มาสะดุดรักเข้าให้
ประโยคหลังหล่อนไม่ได้พูดเพราะอยากคีปลุคนางเอก ส่วนเรื่องที่เดินชนกันเมื่อครู่...จริงๆ แล้วหล่อนเดินทางตรง ส่วนเขาโผล่พรวดออกมาจากห้องน้ำแบบนั้น เขานั่นละที่เป็นฝ่ายผิด แต่นาทีนี้ความรักบังตาจนมองไม่เห็นความผิดใดๆ ของเขาเลย เพราะฉะนั้นถือเป็นพรหมลิขิต ณจันทร์ยกประโยชน์ให้จำเลยละกัน
“ว่าแต่...มาคนเดียวเหรอคะ”
ชายหนุ่มนิ่ง ดวงตาคมๆ ภายใต้คิ้วหนาเข้มที่กำลังมองหล่อนอย่างพิจารณาทำให้คนตัวเล็กกว่าใจสั่น เกิดมายี่สิบสามปีไม่เคยเจอใครหล่อแรงเบอร์นี้ เขาหล่อยิ่งกว่าดาราบางคน การแต่งกายก็ดูดีมีรสนิยม แม้จะดูมีอายุสักหน่อย แต่หล่อเข้มและเป็นผู้ใหญ่กว่าแบบนี้แหละ...สเปก!
“มากับเพื่อนครับ”
แปลว่ายังไม่มีเมีย...
“ดีจังเลยค่ะ” หล่อนยิ้มน้อยๆ โดยไม่เปิดเผยความในใจมากนัก เพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าหล่อนเอานอไปทิ่ม
ไม่สิ...หล่อนไม่ใช่แรดเสียหน่อย แถวบ้านเรียกว่าปล่อยให้หัวใจนำทางล้วนๆ
“เพื่อนหนูไม่รู้หายไปไหนแล้ว...” หญิงสาวมิวายแกล้งหยอดนิดๆ เพราะมั่นใจว่าโดยมารยาทแล้วเขาคงชวนหล่อนไปนั่งร่วมโต๊ะด้วย หรือไม่ก็เสนอตัวมานั่งคุยเป็นเพื่อน
“ก็น่าจะอยู่แถวนี้...มาด้วยกันคงไม่ทิ้งกันหรอกครับ ไม่งั้นจะเรียกว่าเพื่อนได้ไง” เป็นประโยคนอกเหนือจากความคาดหมาย ก่อนที่เขาจะยิ้มน้อยๆ มาให้ตามมารยาท “ขอตัวนะครับ”
ณจันทร์ได้แต่อ้าปากค้าง มองตามหลังชายหนุ่มที่เดินตรงไปยังบันไดทางขึ้นชั้นลอยของไนต์คลับพร้อมกับความรู้สึกว่าหากนี่คือการ์ตูนคงมีนกสองตัวบินผ่านศีรษะหล่อน แล้วแหกปากร้อง...ก๊า...ก๊า
นก!
หญิงสาวหันขวับไปมองธนนท์ นับว่ายังเคราะห์ดีที่อีกฝ่ายกำลังคุยกับหนุ่มตาน้ำข้าวอย่างกะหนุงกะหนิง เมื่อครู่จึงไม่น่าจะเห็นว่าหล่อนตกผู้ชายไม่ติด ไม่อย่างนั้นมีหวังล้อยันลูกบวชแน่ๆ
แต่ถึงธนนท์จะไม่ทันเห็น ณจันทร์ก็ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะนกง่ายๆ แบบนี้ หน้าตาหล่อนก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่เสียหน่อย หากจะบอกว่าสวยก็ถูกไปอีก
ไม่ได้หลงตัวเองนะ...ตำแหน่งดาวคณะบอกมา
หญิงสาวหันกลับไปมองคนเล่นตัวบนทางเดินชั้นลอยอีกครั้ง นึกหมั่นไส้เขาตงิดๆ เพราะปกติหล่อนนั่งเฉยๆ ก็มีหนุ่มมาขอแลกไลน์ถมเถ แน่ละว่าไม่ได้ให้ อย่างมากก็แค่คุยเล่นสนุกๆ ตามประสาคนมนุษยสัมพันธ์ดีที่มาเที่ยวเพื่อเปิดหูเปิดตา พอถึงเวลาก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ณจันทร์ไม่เคยคิดว่าจะมาหาแฟนจริงๆ ในผับอยู่แล้ว เขาเป็นคนแรกเลยที่แอ๊วแล้วเดินหนีง่ายๆ
ตาลุงขี้เก๊ก!
หล่อนเปลี่ยนสรรพนามจาก ‘ที่รัก’ เป็น ‘ลุง’ ทันที กระทั่งเห็นลุงก้าวไปนั่งลงบนโต๊ะวีไอพีริมระเบียงชั้นลอยที่มีชายอีกคนหนึ่งนั่งรออยู่ก่อน ร่างสูงดูสะโอดสะองของคนที่มากับลุงก็ทำให้ความคิดบางอย่างเดินทางมาสู่สมอง
หนุ่มหล่อมากันสองคน ไม่มีเด็กดริงก์ไปนั่งคุยที่โต๊ะ และไม่มีทีท่าว่าใครคนใดคนหนึ่งจะหันไปมองสาวๆ โต๊ะอื่นตามประสาผู้ชายที่ชอบมาเที่ยว
หรือจะกินกันเอง?
คิดแล้วณจันทร์ก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือก...ผู้ชายสมัยนี้เป็นอะไรกันไปหมด ชะนงชะนีอดอยากปากแห้งหมดแล้ว!
เสียงเพลงแนวอาร์แอนด์บีดังคลอเคล้าบรรยากาศผ่อนคลายภายในไนต์คลับ ชายหนุ่มร่างสูงสะโอดสะองนั่งคิดอะไรเพลินๆ อยู่เพียงลำพังบนโซฟาชั้นลอย กระทั่งเห็นเพื่อนที่กลับมาจากห้องน้ำนั่งลงหยิบแก้วแมนฮัตตันบนโต๊ะขึ้นดื่ม เขาก็เอ่ยเสียงเรียบ
“ไอ้หมีกริซลี่เพิ่งโทร. มาเมื่อกี้ บอกว่าจะตามเข้ามาดึกๆ หน่อยเพราะติดลูกค้า”
รามิลพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงว่ารับรู้ คนที่ศรุตเพิ่งเอ่ยถึงคือเพื่อนอีกคนในกลุ่มที่สนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนเอ็มบีเอในต่างประเทศ แม้ว่าทั้งสามหนุ่มจะจบมานานนับสิบปี และต่างมีหน้าที่การงานของตัวเองให้รับผิดชอบมากมาย แต่ก็ยังนัดสังสรรค์กันอยู่เนืองๆ ตามแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย
เมื่อศรุตไม่ได้ชวนคุยอะไรต่อ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเด็กหัวชมพูที่เพิ่งเดินเข้าห้องน้ำไปหมาดๆ มุมปากกระตุกยิ้มเล็กน้อย เพราะไม่อยากเชื่อเลยว่านางแมวป่าที่เขาบังเอิญได้ยินหล่อนวางแผนล่าเหยื่อตรงหน้าทางเข้าไนต์คลับจะมาล่าเขาเสียได้
ก็หล่อนยังดูเป็นเด็กวัยรุ่นอยู่เลย ไม่น่าจะสนใจอะไรคนอายุมากกว่าเป็นสิบปีแบบเขา แต่เอาเข้าจริงก็ไม่แปลก...เด็กๆ สมัยนี้หลายคนรักสนุกและรักสบาย ส่วนรามิลเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมาเจอกุลสตรีในสถานบันเทิงแบบนี้อยู่แล้ว หากเป็นหลายปีก่อนละก็...มีเด็กน่ารักๆ แบบหล่อนมาอ้อน เขาก็ชอบแน่นอน แต่ถ้าจะพัฒนาไปถึงขั้นคบหาจริงจังคงไม่ ส่วนเวลานี้เขากลับไม่รู้สึกอยากจะล้อเล่นในความสัมพันธ์กับใคร อาจเพราะอายุที่เริ่มมากขึ้นจึงรู้สึกอิ่มตัว
เมื่อสาวน้อยคนเดิมกลับออกมาจากห้องน้ำอีกครั้ง รามิลจึงอดอยากรู้ไม่ได้ว่านางแมวป่าตะปบเขาไม่สำเร็จแล้วจะหันไปล่าสวาทใครต่อ
“นี่แกเปลี่ยนแนวแล้วเหรอไอ้มิล”
เสียงของเพื่อนที่นั่งดื่มอยู่ข้างๆ ทำให้รามิลหันหน้าไปหา คิ้วหนาขมวดเข้าหากันน้อยๆ เพราะไม่แน่ใจว่าศรุตกำลังหมายถึงเรื่องใด
“เปลี่ยนแนวอะไรวะ”
“ก็แม่เหยื่อสาวหัวไฮไลต์ชมพูนั่นไง ฉันเห็นแกมองอยู่นะไอ้เสือ”
รามิลขำ ไม่แปลกใจที่เพื่อนจะสังเกตเห็น เพราะเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าการมองผู้หญิงสักคนในไนต์คลับเป็นเรื่องผิดปกติ โดยเฉพาะแม่สาวน้อยหัวสีชมพูคนนั้น หล่อนตั้งใจสวมเสื้อเปิดไหล่โชว์สะดือ นุ่งกางเกงสั้นเกือบเห็นแก้มก้นมาเที่ยว แสดงว่าเจ้าตัวไม่ได้หวงห้ามสายตาใครอยู่แล้ว
“ฉันต่างหากที่เป็นเหยื่อเขา”
“โอ้ว...พลาดแล้ว” ศรุตทำเป็นร้องตกใจแล้วหลุดหัวเราะเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะขำรามิลหรือขำผู้หญิงที่คิดว่ารามิลเป็นเหยื่อดี เพราะสมัยเรียนด้วยกัน รามิลนี่ละขึ้นชื่อว่าเสือซุ่ม เห็นนิ่งๆ ท่าทางเหมือนสุภาพบุรุษ แต่เขี้ยวเล็บไม่ธรรมดา จนแม่สาวหลายคนคิดว่าเป็นผู้ชายที่เข้าหาง่ายและไม่มีพิษภัย “น่าสงสารเด็กน้อย ริจะเป็นแม่เสือ...ไม่เช็กประวัติเหยื่อให้ดีเสียก่อน”
แม่เสือหรือ...เป็นการเปรียบเปรยที่ทำให้เขาขบขัน เพราะเมื่อนึกถึงตาแป๋วๆ ของหล่อนตอนคุยกันตรงหน้าห้องน้ำด้านล่าง เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าหล่อนเป็นได้แค่แมวป่า
รามิลหยิบค็อกเทลบนโต๊ะมาดื่มอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจที่เห็นนางแมวสาวยืนงงในดงคนเมาเหมือนกำลังมองหาอะไรสักอย่าง
ตอนยืนคุยโทรศัพท์ตรงหน้าทางเข้าไนต์คลับก็ดูเป็นคนจัดจ้านในย่านนี้ เขามั่นใจว่าหล่อนไม่ได้มาคนเดียวแน่ๆ
‘เพื่อนหนูไม่รู้หายไปไหนแล้ว...’
เสียงอ้อนๆ ของหล่อนก่อนหน้านี้ลอยเข้ามาในสมอง ตอนนั้นรามิลคิดว่าเป็นมุกเปิดโอกาสให้เหยื่อติดกับเสียอีก
หรือจะไม่ได้มุกจริงๆ
ชายหนุ่มยังคงนั่งมองอยู่ห่างๆ อย่างไม่อยากเชื่อ และท่าทางของนางแมวป่าที่กำลังชะเง้อชะแง้มองหาใครบางคนรอบๆ ไนต์คลับก็ดูไม่ก๋ากั่นเหมือนตอนคุยโทรศัพท์เลย เพราะหล่อนดูเหมือนเด็กน้อยหลงทางมากกว่า
แมวหลงงั้นหรือ...ดูๆ ไปก็ชักอยากอุ้มกลับบ้านชะมัด!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น