10

ตอนที่ 10


 

๑๐

มือไม้เด็กหนุ่มเริ่มไม่อยู่เฉย เขาใช้นิ้วเกี่ยวเสื้อเกาะอกสีชมพูของโบว์ลงมาโดยคนไม่ทันระวังตัวห้ามไม่ทัน หน้าอกล้นหลามของหญิงสาวเผยออกมาให้อาทิตย์เห็น ทว่าแทนที่เห็นของสวยงามแล้วจะทำให้อารมณ์เด็กหนุ่มเตลิด หัวคิ้วของอาทิตย์กลับขมวดมุ่นอย่างประหลาดใจ

ที่ประหลาดใจไม่ใช่เพราะว่าเธอไม่ได้สวมเสื้อชั้นใน แต่ประหลาดใจเพราะเห็นอกอวบอิ่มนั้นมีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ น่าเกลียดอยู่ทั่วต่างหาก

โบว์เห็นสายตาของอาทิตย์แล้วก็ก้มลงมองตนเอง เธอหัวเราะเบาๆ ก่อนบอก “แฟนทำ”

ปลายนิ้วของอาทิตย์แตะไปตามรอยเหล่านั้นเบาๆ ก่อนถาม “เจ็บไหม”

“แตะเบาๆ ก็ไม่เจ็บหรอก”

“ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ โกรธอะไรกัน”

“เขาจับได้ว่าฉันเต้นสยิวเรียกวิว” โบว์ยักไหล่ ทำให้อกอวบไหวสั่น ล่อตาล่อใจพิลึก “มันก็เรื่องปกติ ฉันหากินทางนี้ คนจะมาจ้างให้ฉันรีวิวของก็ต่อเมื่อยอดฟอลโลวฉันเยอะ แล้วทำยังไงถึงจะได้ยอดนั้นมาล่ะ นั่งกินส้มตำให้คนดูรึไง”

“ผู้ชาย...ก็ต้องหวงผู้หญิงของตัวเองเป็นธรรมดา” อาทิตย์อดแก้ตัวแทนผู้ชายด้วยกันไม่ได้ แม้ว่าโบว์จะไม่ได้สะสวยอะไรมาก ทว่าอะไรที่เป็นของเราแล้วเราย่อมไม่อยากให้คนอื่นมาแตะต้อง หรือแค่มอง...ก็ไม่ได้

“หวงแล้วจะเอาอะไรกิน” โบว์ดึงเสื้อขึ้นมาปิดหน้าอกเอาไว้เหมือนเดิม เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง มองนิ่ง ตรง ราวกับคนที่เธอรักยืนอยู่ตรงนั้น “นี่มันเป็นอาชีพ ฉันไม่เคยไปนอนกับคนอื่นเขาก็รู้ แต่ก็ยังระแวง”

“ไม่เคยเหรอ”

โบว์หันกลับมายิ้มให้อาทิตย์ “ไม่เคยสิ หนึ่งเป็นคนที่สองนะที่ฉันพาขึ้นห้อง” พูดจบหญิงสาวก็หัวเราะ “แต่ฉันก็มือขึ้นมาก คิดจะวันไนต์สแตนด์ประชดผัวสักหน ดันเลือกได้เด็กขบเผาะ”

ไม่รู้สิ แม้ว่าโบว์จะยิ้ม จะหัวเราะ ทว่าอาทิตย์ยังจับได้ว่าเธอไม่ได้หัวเราะ ไม่ได้ยิ้มเพราะความสุขหรือสนุก...คนประเภทเดียวกันมักมองกันออกสินะ โบว์กำลังประชดแฟน ส่วนเขาก็ประชดพ่อ ทั้งเขาและเธอไม่ได้มีอารมณ์อยากจะฟันกันทั้งคู่

รู้แบบนี้แล้วเด็กหนุ่มก็อดถอนหายใจไม่ได้ ความรู้สึกวูบวาบซู่ซ่าที่มีน้อยอยู่แล้วพลันมลายไปสิ้น สิ่งที่เหลืออยู่คือความหงอย ความเศร้า เหงาลึกที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้

“โกรธเหรอที่ว่าหนึ่งเป็นเด็ก โกรธทำไม ก็เด็กจริงๆ ว่าแต่...เป็นเด็กทำไมไม่อยู่บ้าน อย่าบอกว่านะว่าเป็นไอ้ตัว โหงวเฮ้งหนึ่งดูมีชาติตระกูลมากกว่านั้น”

“ถ้าผมเป็นไอ้ตัวก็คงเรียกค่าตัวตั้งแต่ขึ้นรถมาแล้วปะ”

“เหรอ ไม่รู้ ไม่เคยซื้อ ปกติมีแต่คนมาให้ฟรี แต่ก็หยิ่ง ไม่เคยเอานะ” โบว์ยิ้มเศร้า “ถึงฉันจะเป็นพวกแก้ผ้าเรียกวิว แต่ก็ไม่ได้ง่ายนะ”

ลมหายใจเซ็งๆ เศร้าๆ ถูกพ่นออกมาจากจมูกพร้อมกันทั้งสองคน กิริยาที่เหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมายทำให้โบว์กับอาทิตย์หันมามองหน้ากันแล้วยิ้ม คราวนี้เป็นยิ้มจริงๆ

“สรุปจะไม่เอาเหรอ”

ทั้งที่อาทิตย์คิดว่ามันไม่ใช่คำถามที่ตลกตรงไหน แต่โบว์ก็หัวเราะ

“ขอคิดดูก่อนได้ไหม ตอนที่หนีบหนึ่งมาคิดว่าจะเอา คิดว่าจะทำได้ แต่ตอนนี้...มันไม่มีอารมณ์ไงไม่รุ เอางี้ เรามาแลกไลน์กันไว้ดีกว่า”

อาทิตย์คิดนิดหนึ่งก่อนดึงเอาโทรศัพท์มือถือของตนเองออกมาให้โบว์สแกนคิวอาร์โคด เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อยโบว์ก็อาสาจะไปส่งเขาที่บ้าน

“อย่าเลย ดึกแล้ว โบว์เป็นผู้หญิง ไปกลับคนเดียวมันอันตราย ผมกลับเองได้”

“โอ๊ย พ่อสุภาพบุรุษ” โบว์กระเซ้าก่อนเดินไปส่งอาทิตย์ที่หน้าประตูห้อง

แต่ก่อนที่อาทิตย์จะเปิดประตูออกไป แขนเขาก็ถูกรั้งเอาไว้ทำให้เด็กหนุ่มหันหน้ากลับไป เขาเห็นโบว์ยิ้มกว้างแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้เขาจนกระทั่งริมฝีปากของเขากับเธอพบกัน

มันเป็นจูบแบบผิวเผินเหมือนโบว์กำลังจูบเด็กอายุห้าขวบ เมื่อจูบเสร็จโบว์ยิ้มให้เขา

“จะได้ไม่ลืมกัน”

 

วันรุ่งขึ้นอาทิตย์ไม่ยอมไปกินข้าวกับพ่อที่ตึกใหญ่ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมายของชื่นจิต

การที่เมื่อวานมีเรื่องราวใหญ่โตขนาดนั้นแล้ววันนี้เด็กหนุ่มยอมไป นี่สิถึงจะเรียกว่าเกินความคาดหมาย

ชื่นจิตเป็นผู้ขับรถไปส่งอาทิตย์เหมือนเคย เธอประหลาดใจเมื่อเด็กหนุ่มดูนิ่ง เงียบ และไม่มีระลอกคลื่นแห่งความเศร้าเสียใจ หรือโมโหโกรธาอยู่ในตัวของเขาเลย

หญิงสาวหลงคิดว่าเด็กน้อยของเธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว รู้จักคิด รู้จักระงับ รู้จักควบคุมความโกรธแล้ว จนกระทั่งกลับมาที่บ้านและได้รับรายงานว่าอาทิตย์ทำกระจกในห้องนอนแตกละเอียดนั่นแหละ ชื่นจิตจึงได้รู้ว่าภายใต้ความสงบนิ่งคือโทสะอันร้อนแรง

หญิงสาวขมวดคิ้ว เธอรู้สึกใจไม่ดี เนื่องจากเธอคิดว่าระเบิดที่ตูมตามออกมาทันทีน่าจะมีแรงอัดน้อยกว่าระเบิดที่สะสมเชื้อเพลิงเอาไว้แล้วจึงระเบิดมิใช่หรือ

เด็กน้อยของเธอเปลี่ยนไป จากเด็กตรงไปตรงมากลายเป็นเด็กหนุ่มที่ซับซ้อนขึ้น และถึงกับมีบางเรื่องที่เธอก็เข้าไม่ถึงในบางที เธอรู้สึกเหงาเบาๆ เศร้านิดๆ กระนั้นก็ยังพยายามทำตัวเป็นปกติ เมื่อถึงเวลาต้องไปรับอาทิตย์ เธอก็ไปรับตามเวลา และยังพบว่าน้องหนึ่งของเธอนิ่งเฉย...จนน่ากลัว

“ใจเย็นลงแล้วใช่ไหมหนึ่ง” เพราะต้องการรู้พื้นอารมณ์ของเด็กหนุ่ม ต้องการหยั่งว่าตอนนี้เขาคิดอะไรอยู่ ชื่นจิตจึงชวนเขาคุย

อาทิตย์เลิกคิ้วเล็กน้อย และหันไปมองเธอที่กำลังขับรถอยู่ “ทำไม”

“ถ้าใจเย็นลงแล้ววันนี้จะได้ไปพูดกับพ่อเขาไง พูดให้พ่อเข้าใจ”

“พ่อก็เข้าใจไม่ผิดนี่”

น้ำเสียงอาทิตย์ราบเรียบ จนชื่นจิตฟังไม่ออกว่านี่เขาประชดหรือเปล่า จนกระทั่งได้ยินประโยคต่อมา

“หนึ่งมันเลว ทำได้แต่เรื่องเลวๆ อธิบายไปก็ป่วยการ ในเมื่อเขาตัดสินหนึ่งไปแล้วแบบนี้ก็อย่าไปเปลี่ยนความคิดเขาเลย”

“น้องหนึ่ง...” ชื่นจิตเรียกเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ทำให้อาทิตย์ยิ้มให้เธอ

“ไม่ต้องห่วงหนึ่ง หนึ่งทำใจได้ เรื่องแพรว เรื่องเด็กในท้อง ถ้าคลอดออกมาแล้วจับตรวจดีเอ็นเอก็จบ นั่นคือสิ่งที่จะพิสูจน์ได้ว่าหนึ่งไม่ได้เลวอย่างที่เขาคิด”

“กว่าจะคลอดก็น่าจะอีกนาน แล้วช่วงระหว่างรอหนึ่งกับพ่อมิต้องทำสงครามเย็นใส่กันจนน่าอึดอัดเหรอ”

อาทิตย์ยักไหล่พร้อมเมินมองออกไปทางหน้าต่าง มองทิวทัศน์นอกรถซึ่งก็เป็นรถที่ติดยาวเป็นแพ ไม่มีอะไรเจริญตาเจริญใจเลย

“ระหว่างหนึ่งกับพ่อก็เป็นแบบนี้ตลอด น้าชื่นยังไม่ชินอีกเหรอ หนึ่งน่ะชินแล้ว การแสร้งทำดีต่อกันต่างหากที่หนึ่งออกจะไม่ชิน”

“หนึ่งครับ...” ชื่นจิตอยากพูดให้เด็กหนุ่มใจเย็นๆ แต่ก็พูดไม่ออก เพราะตอนนี้อาทิตย์ไม่ได้ดูร้อนตรงไหนเลย เปลือกนอกเขาเย็น เย็นเยียบจนน่ากลัวเกินไปเสียด้วยซ้ำ

“ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วละน้าชื่น หนึ่งไม่เป็นอะไร หนึ่งแค่ต้องรอ รอวันที่จะพิสูจน์ความจริง รอวันที่พ่อจะมาขอโทษหนึ่งก็เท่านั้น”

เพราะอาทิตย์เมินมองออกไปนอกหน้าต่าง ชื่นจิตที่ขับรถอยู่จึงไม่เห็นว่าสีหน้าสีตาตอนอาทิตย์พูดประโยคนี้เต็มไปด้วยความโกรธมากแค่ไหน

 

ดามพ์นั่งอยู่เพียงลำพังในห้องรับประทานอาหาร โต๊ะรับประทานข้าวของบ้านเขารับคนได้ถึงสิบสองคน เดิมทีมันก็ดูกว้างเกินไปอยู่แล้ว พอมาตอนนี้ ตอนที่ที่นั่งท้ายโต๊ะซึ่งเคยมีลูกชายนั่งอยู่ว่างเปล่า ไอ้โต๊ะกินข้าวบ้านี่ก็ดูเหมือนจะกว้างขึ้นจนเขาด่าตัวเองว่าโง่เลย

ไม่รู้ว่าตอนนักตกแต่งภายในแนะนำโต๊ะตัวนี้ให้ทำไมเขาถึงไม่ปฏิเสธไปวะ

อาหารที่จัดขึ้นโต๊ะวันนี้มีแต่ของโปรดของเขา พวกในครัวคงรู้สินะว่าตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดี จึงบำรุงบำเรอเขาเต็มที่เพื่อไม่ให้เขาอารมณ์เสียมากไปกว่านี้

ดูสิ...ขนาดคนอื่นแท้ๆ ยังรู้เลยว่าควรทำอย่างไรเวลาเขาอารมณ์เสีย แต่ไอ้ลูกชาย...ไอ้ลูกชายของเขาดันไม่รู้ ยังทำพยศใส่อย่างไม่เข้าท่า

ดามพ์ไม่รู้ว่าขณะกำลังโกรธคิ้วเขาจะขมวด ตาจะดุ ปากจะคว่ำ ใบหน้าแบบนี้เขย่าอารมณ์คนในห้องครัวและคนรับใช้ที่ต้องอยู่โยงในห้องรับประทานอาหารอย่างมาก

ยิ่งทุกคนระวังตัว บรรยากาศในห้องรับประทานอาหารยิ่งไม่ผ่อนคลาย มันตึงเครียดเสียจนเมื่อดามพ์กระแทกช้อนส้อมลงกับจานกระเบื้องสีขาว สาวใช้สองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาก็สะดุ้งเฮือกพร้อมกัน

ทว่าแม้เจ้านายจะอารมณ์เสียก็ไม่ได้เอาความโกรธมาลงกับพวกเธอแต่อย่างใด หลังวางช้อนส้อมแรงไปหน่อย เจ้านายก็ลุกขึ้นจากโต๊ะรับประทานอาหาร จากนั้นจึงเดินลงส้นเท้าเข้าไปในห้องทำงาน นำพาบรรยากาศอึมครึมน่าอึดอัดจากไปพร้อมเขาด้วย

สาวใช้ทั้งสองมองเจ้านายเดินจากไปแล้วหันมาถอนหายใจใส่กัน พวกเธอโล่งอกเมื่อไม่ต้องรองรับอารมณ์เจ้านาย โดยไม่ได้สนใจเลยว่าวันนี้ดูเหมือนเจ้านายจะกินข้าวไปเพียงสองสามคำเท่านั้น

 

ในขณะที่เจ้านายคนหนึ่งรับประทานอะไรไม่ลง เจ้านายอีกคนกลับเจริญอาหารมาก ชื่นจิตเกือบยิ้มอย่างพอใจหากในใจเธอไม่มีความกังวลเหลืออยู่

หญิงสาวค่อนข้างเหนื่อย...เหนื่อยใจไม่น้อย เธอหรืออุตส่าห์ลงทุนลงแรงดัดไม้แก่และไม้อ่อนให้โอนอ่อนเข้าหากัน กิ่งไม้จากต้นสองต้นเกือบเกี่ยวกัน รัดกันได้แล้วเชียว ไม่คาดว่าพอมีลมพัดมาเพียงวูบเดียว ความตั้งใจของเธอก็มีอันต้องภินท์พัง มิหนำซ้ำ หนทางที่จะทำให้ไม้สองต้นเชื่อมกันได้อีกครั้งยังยากลำบากจนเพียงแค่มองก็พานให้ท้อใจแล้ว

อาจเป็นเพราะท้อ วันนี้ชื่นจิตจึงไม่พูดเรื่องพ่อกับอาทิตย์อีก ส่วนตัวอาทิตย์เองก็ไม่ถามไถ่ แถมยังใช้ชีวิตอย่างปกติสุข จริงๆ เมื่อไม่ต้องไปพบพ่อ เด็กหนุ่มดูมีความสุขมากกว่าเสียอีก

ดังนั้นหากชื่นจิตอยากให้เด็กที่เธอรักมีความสุข เธอจึงควรกีดกัน ควรช่วยตัดความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกให้ขาดสะบั้นไปเลยใช่ไหม หากทั้งคู่แยกกันอยู่ เธอก็ได้เป็นคนดูแลอาทิตย์ แบบนี้มันคือสิ่งที่เธอเคยหวังมิใช่หรือ

เฮ้อ...นี่ถ้าเธอเป็นคนใจดำอีกนิด เหี้ยมอีกสักหน่อย เธอคงฉวยโอกาสนี้ชิงตัวลูกคนอื่นมาเลี้ยงได้แบบเนียนๆ แล้ว

“วันนี้มีเค้กส้มด้วยนะ น้าทำเอาไว้ให้หนึ่ง”

ความชอบของเด็กชายซึ่งตอนนี้กลายมาเป็นเด็กหนุ่มยังคงเหมือนเดิม อาทิตย์รวบช้อนส้อมแล้วยิ้มให้ชื่นจิตที่นั่งขัดสมาธิรับประทานอาหารอยู่ตรงกันข้ามกับเขา

เรือนเล็กหลังนี้จริงๆ ก็มีห้องครัวเล็กๆ และโต๊ะรับประทานอาหารแบบสี่ที่นั่งอยู่ในครัวนั้น ทว่าอาทิตย์ไม่ชอบใช้ เขาชอบนั่งพื้น กินอาหารหน้าโทรทัศน์ในห้องรับแขกมากกว่า

“น้าชื่นน่ารักที่สุด รู้ใจหนึ่งที่สุด หนึ่งขอสองชิ้นเลยนะ”

ชื่นจิตยิ้มก่อนลุกไปนำเค้กซึ่งพักเอาไว้ในตู้เย็นออกมา

เมื่อเธอวางเค้กส้มซึ่งมีรสหวานนำ เปรี้ยวตาม และทิ้งความขมนิดๆ เอาไว้ที่ปลายลิ้นหลังรับประทานเสร็จลงตรงหน้าอาทิตย์ เด็กหนุ่มก็ตักกินแล้วทำหน้า ‘ฟิน’ เขาพยายามทำตัวร่าเริง ทำเหมือนกำลังมีความสุข โดยไม่รู้เลยว่าการพยายามมากเกินไปนั้นไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย

แต่ก็นั่นแหละ แม้จะรู้ว่าเด็กน้อยของเธอกำลังเสแสร้ง ชื่นจิตก็ทำอะไรไม่ได้ น้ำกำลังเชี่ยวหากเอาเรือไปขวางก็มีแต่จะจม เธอไม่อยากทำตัวเป็นปรปักษ์กับอาทิตย์ เธออยากเป็นเพื่อนเขา เป็นพวกเดียวกับเขา เวลาเขาทุกข์มาจะได้มีเธอเป็นที่พึ่งพิง

คนเราล้วนแต่ต้องการที่พึ่งพิงในเวลาที่ห่วยแตกทั้งนั้น

“อร่อยมากครับน้าชื่น ฝีมือน้าชื่นไม่ตกเลย”

“ขอบใจจ้ะ อร่อยก็กินเยอะๆ นะ ยังเหลืออีกหลายชิ้นเลย”

อาทิตย์ยิ้มกว้าง “เวลาเรากินข้าวกับคนที่เรารักมันมีความสุขเนอะน้าชื่น แค่กับข้าวธรรมดาๆ ก็ยังอร่อยขึ้นเลย”

“ปากหวาน”

“พูดเรื่องจริง” นัยน์ตาคมมีเงาของความเศร้าวูบผ่าน ทว่าเพียงแค่เขาหลุบตาลงมองเค้กส้มที่กินไปครึ่งชิ้นแล้วเงานั้นก็เลือนหาย พอเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอีกครั้งนัยน์ตาก็กลับไปคมกล้าเช่นเดิม “ตอนหนึ่งไปกินข้าวบ้านโน้น ของกินหรูหรามากมาย แต่ไม่อร่อยเท่าได้กินกันสองคนกับน้าชื่น”

“หนึ่งครับ...”

พอชื่นจิตเริ่มต้นประโยคแบบนี้ อาทิตย์ก็รีบยกมือขึ้นห้าม ด้วยรู้ว่าประโยคที่เธอกำลังจะพูดออกมานั้นต้องเป็นคำสั่งคำสอนยืดยาว มิหนำซ้ำยังต้องเป็นคำสั่งสอนที่เกี่ยวข้องกับผู้ซึ่งมีสถานะเป็นพ่อของเขาด้วย

“อย่าพูดเลยครับน้าชื่น หนึ่งไม่มีเขาก็อยู่ได้ เราไม่มีเขาก็อยู่ได้ไม่ใช่เหรอ ทำไมน้าชื่นต้องดึงเขาเข้ามาเพื่อทำให้ชีวิตของหนึ่งยุ่งยากขึ้นด้วย” อาทิตย์ถอนหายใจแล้วพูดต่อ

“หนึ่งคิดว่า หลังจากหนึ่งพิสูจน์ตัวเองได้ว่าไม่ใช่พ่อของลูกแพรว หนึ่งจะย้ายออกจากที่นี่ น้าชื่นไปกับหนึ่งนะ เราไปเช่าบ้าน หรือเช่าคอนโดอยู่กันก็ได้ หนึ่งมีเงินฝากมากพอจะเลี้ยงดูตัวเองและน้าชื่นไปจนกว่าน้าชื่นจะแก่เลย”

“พอคนเรากำลังโกรธ ก็คิดเรื่องประชดประชันกันได้สารพัด” ชื่นจิตพยายามพูดด้วยเหตุผล “น้องหนึ่งเชื่อน้านะ พอเราพิสูจน์ได้ว่าหนึ่งไม่ได้ทำผิด พ่อของหนึ่งต้องมาขอโทษหนึ่งแน่ และไม่มีทางที่เขาจะยอมให้หนึ่งย้ายออกจากบ้านนี้เด็ดขาด”

เด็กหนุ่มยิ้มด้วยปาก แต่นัยน์ตาฉาบความเศร้า “หนึ่งว่าน้าชื่นคิดผิดแล้ว เขาอยากไล่หนึ่งออกไปจากบ้านใจแทบขาด น้าชื่นลืมไปแล้วหรือว่าเขาอยากให้หนึ่งไปอยู่โรงเรียนประจำเทอมหน้า”

ชื่นจิตมองความรวดร้าวในแววตาเด็กหนุ่มนิ่ง เถียงไม่ออก เพราะมันเป็นความจริง

“ถ้าหนึ่งย้ายออกไปซะ ไม่อยู่ขัดลูกหูลูกตาเขา ทั้งหนึ่งและเขาก็คงมีความสุข”

แม้อาทิตย์จะจบประโยคนั้นด้วยคำว่าความสุข ทว่าชื่นจิตรู้ รู้ดีเลยว่าเขาไม่ได้มีความสุขดังปากว่า

แต่รู้แล้วอย่างไร เธอจะทำอะไรได้

 

หลังรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จ อาทิตย์ก็ขอตัวขึ้นนอนท่ามกลางความประหลาดใจของชื่นจิต

“ทำไมนอนเร็วจ๊ะ ไม่สบายตรงไหนรึเปล่า” ชื่นจิตยื่นมือไปอังหน้าผากเด็กหนุ่ม

“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก หนึ่งแค่เพลียๆ นิดหน่อย แล้วพรุ่งนี้ก็ต้องไปโรงเรียนอีก นอนหัวค่ำตื่นแต่เช้าก็เป็นแบบอย่างของนักเรียนที่ดีไม่ใช่เหรอ”

ชื่นจิตยิ้ม “ก็จริง ถ้าอย่างนั้นหนึ่งนอนเถอะจ้ะ เดี๋ยวน้าปิดบ้านให้เอง”

อาทิตย์เอ่ยขอบคุณแล้วเดินขึ้นมาบนชั้นสองของบ้านหลังน้อย เขาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงโดยไม่ลืมตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ มุมปากเด็กหนุ่มยกขึ้น ก่อนดวงตาจะหรี่หลับลง

 

สี่ทุ่มครึ่งนาฬิกาจากโทรศัพท์มือถือเขาก็ปลุก อาทิตย์ควานมือหาโทรศัพท์ที่วางอยู่แถวหัวเตียงแล้วกดปิด

เด็กหนุ่มนอนอย่างขี้เกียจอยู่อีกเกือบสิบนาทีตามนิสัย ก่อนดีดตัวขึ้นมาจากเตียงนอน เขาสลัดเสื้อผ้าออกจากตัวแล้วเดินตัวเปล่าเข้าห้องน้ำเพื่อใช้น้ำเย็นทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่ง่วง เพราะราตรีนี้ยังอีกยาวนานนัก

ร่างผอมสูงเดินออกมาจากส่วนที่เป็นที่อาบน้ำ เขาหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่บนราวมาพันรอบเอวเอาไว้หลวมๆ แล้วจึงก้าวต่อมายังอ่างล้างหน้า กำลังจะหยิบแปรงสีฟันขึ้นมา เขาก็เห็นถึงความผิดปกติที่ทำเอาขนลุกซู่

‘เงา’ ของเขามันไม่รักดีอีกแล้ว ทั้งๆ ที่เขากำลังเอื้อมมือไปหยิบแปรงสีฟัน แต่เงาในกระจกไม่ได้ทำตาม

อาทิตย์ข่มใจไม่ให้หวาดกลัว เขาพยายามคิดว่าสิ่งที่เห็นเป็นเพียงความผิดปกติของสมอง เขากำลังเห็นภาพลวงตา...ภาพลวงตาที่ทำเอาเขาขวัญหนีดีฝ่อหลายหนแล้ว ทว่าอย่างไรก็ตาม ในเมื่อสิ่งที่ตาเขามองเห็นเป็นเพียงภาพลวงตา มันก็ทำอะไรมากไปกว่าทำให้กลัวไม่ได้

เด็กหนุ่มที่เพิ่งพ้นวัยเด็กมาไม่นานปลุกปลอบตนเองให้ห้าวหาญแล้วกระตุกผ้าเช็ดตัวออกจากเอว ตวัดทีเดียวผ้าสีขาวผืนหนาก็คลุมกระจกที่อยู่บนอ่างล้างหน้ามิด และเพราะโตแล้ว ไม่ควรกลัวอะไรเป็นเด็กๆ ดังนั้นแม้ขนแขนอาทิตย์จะยังลุกอยู่ แต่เขาก็บังคับตนเองให้หยิบแปรงสีฟันมาบีบยาสีฟันใส่ ก่อนแปรงฟันราวกับไม่กลัวเกรงอะไร

เมื่อแปรงฟันเสร็จ เด็กหนุ่มก็ภูมิใจในตัวเองมาก เขารู้สึกว่าตนเองโตขึ้นเพราะไม่กลัวสิ่งเหนือธรรมชาติเป็นเด็กๆ อีกต่อไปแล้ว

ร่างเปลือยเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วแต่งตัวด้วยชุดเสื้อยืดกางเกงยีนเหมือนเมื่อคืน จากนั้นจึงเดินไปนั่งบนเตียง คว้าโทรศัพท์มือถือมาดูข้อความจากโปรแกรมแชตสุดฮิต

ในห้องสนทนาที่มีเพื่อนเที่ยวรวมตัวกันอยู่มากมีข้อความส่งถึงเขา โดยบอกว่าจะมารับที่เก่าเวลาเดิม เพิ่มเติมตรงที่ว่า วันนี้จะไปหาอะไรสนุกๆ ทำกัน

อาทิตย์ขมวดคิ้ว เพราะมันผิดแผนไปหน่อย คืนนี้เขาควรกลับไปที่เก่า ไปเจอกับสาวโบว์คนเดิมที่น่าจะรอเขาอยู่

ปลายนิ้วเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วปิดหน้าแชตแล้วไปยังห้องซึ่งมีเขากับโบว์อยู่ด้วยกันสองคน ข้อความเชิญชวนให้ไปเที่ยวด้วยกันถูกเปิดอ่านแล้ว แต่แทนที่จะได้รับการตอบรับ โบว์กลับส่งสติกเกอร์ผู้หญิงร้องไห้มาให้

อาทิตย์เลื่อนสายตาจากรูปที่เคลื่อนไหวได้ลงไปยังข้อความเบื้องล่าง

วันนี้ไปไม่ได้ ต้องทำงาน เจอกันวันศุกร์ได้ไหม

อาทิตย์พ่นลมหายใจออกจากจมูกอย่างไม่พอใจ เขาไม่ตอบแต่ปิดโปรแกรมแชตนั้น ยัดโทรศัพท์ลงกระเป๋าก่อนเดินออกจากห้องไป เนื่องจากตอนนี้ใกล้เวลานัดเต็มทนแล้ว

 

ความสนุกของเพื่อนๆ เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับอาทิตย์ คืนนี้เพื่อนกลุ่มเก่าไม่ได้พาเขาไปเที่ยวผับหรือเทกที่ไหน แต่กลับพามายังนอกเมือง มารวมกลุ่มกับวัยรุ่นอีกนับร้อยชีวิตที่ยืนบ้าง ดื่มบ้าง เต้นบ้างอยู่ริมถนน

นี่มันเป็นบาร์ราคาถูกหรือไร อาทิตย์ไม่เข้าใจ ทว่าไม่ถามเพื่อน เพราะหากแสดงความ ‘อ่อน’ ให้เพื่อนเห็น มีหวังพวกมันล้อเขาไปอีกนานแน่

ริจะเป็นเด็กเที่ยวมันต้องทำเท่ ไม่รู้ก็ไม่ต้องพูดให้เสียรังวัด ตามๆ เขาไปเดี๋ยวก็รู้เรื่องเองนั่นแหละ

อาทิตย์เดินตามกลุ่มเพื่อนไปเรื่อยๆ ผ่านคนกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ที่ดูแล้วเป็นคนละระดับกับเขาอย่างสิ้นเชิง

ดูสารรูปแต่ละคนสิ แต่งตัวเหมือนพวกแก๊งกวนเมือง สีหน้าท่าทางบอกชัดว่าชาตินี้คงไม่มีวันมีอนาคตที่ดีได้

‘เอ๊ะ!’ อาทิตย์สะดุดเมื่อตัดสินผู้คนทั้งที่เขายังไม่ได้รู้จักมักจี่แบบนั้นด้วยข้อความที่คล้ายกับที่พ่อเคยพูดใส่หูเขา

เด็กหนุ่มที่ไม่อยากเป็นเหมือนพ่อ คิดเหมือนพ่อ ทำเหมือนพ่อ รีบสลัดศีรษะขับไล่ความคิดคล้ายพ่อที่ฝังอยู่ในสมองตนทิ้งไป

ในที่สุดกลุ่มเพื่อนของอาทิตย์ก็พาเขาเดินมาหยุดอยู่ที่หน้ารถยนต์คันหนึ่งซึ่งมีผู้คนรวมตัวอยู่เป็นจำนวนมาก อาทิตย์สังเกตเห็นผู้ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขามุงดูอะไรสักอย่างอยู่ แถมในมือแต่ละคนก็ถือเงินเอาไว้

“แทงข้างไอ้เมฆห้าพัน”

เสียงที่ลอยมาเข้าหูทำให้อาทิตย์เข้าใจได้โดยไม่ต้องถาม คนพวกนี้กำลังเล่นการพนันกันอยู่ แต่พวกเขาพนันอะไรกันล่ะ

ยังไม่ทันคิดออกว่าคนพวกนี้พนันอะไรกัน เสียงแสบแก้วหูที่เรียกว่าคุ้นหูพอควรก็ดังขึ้น อาทิตย์ไม่เคยเห็นรถที่ทำเสียงน่ารำคาญนั้นเพราะมันแล่นเร็วเกินกว่าเขาจะมองทัน กระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังรู้ว่ารถซึ่งทำเสียงเสียดแก้วหูทุกค่ำคืนเป็นรถมอเตอร์ไซค์

อ้อ...พวกนี้เป็นเด็กแว้นใช่หรือไม่

เมื่อหาคำตอบที่ต้องการได้ อาทิตย์ก็มีแก่ใจเหลือบมองไปรอบกาย เขาเห็นคนที่แบ่งออกเป็นกลุ่มๆ นั้นรุมล้อมอยู่ตามรถมอเตอร์ไซค์หรือไม่ก็รถยนต์

ไม่ต้องสงสัยแล้ว นี่ต้องเป็นถนนที่ใช้แข่งรถแน่ ว่าแต่...เพื่อนพาเขามาที่นี่ทำไม สนุกตรงไหน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น