9

ตอนที่ 9


 

“พ่อแม่ของยายเด็กแพรวนี่จะเอาเรื่อง พวกมันต้องการให้ฉันรับผิดชอบ รับผิดชอบแทนไอ้ลูกชายที่สักแต่หาเรื่อง แต่ไม่รับผิดชอบอะไรสักอย่าง”

เมื่อมือของดามพ์ชี้ไปยังจุดที่อาทิตย์ยืนมองเขาอยู่ ชื่นจิตก็เดินไปตีมือเขาแล้วเตือน

“อย่าชี้หน้าลูก ตอนนี้น้องหนึ่งยังไม่ใช่คนผิด เขาเป็นเพียงแค่คนที่ถูกกล่าวหาว่าผิดเท่านั้น”

“อ้อ นี่ริจะเป็นทนายอีกคนละสิ จำเลยยังไม่ผิดจนกว่าศาลจะตัดสินว่าผิด” ดามพ์เยาะด้วยน้ำเสียงไม่น่าฟัง แถมยังทำสีหน้าน่าตบอีกต่างหาก

“ถามจริงๆ เถอะ เธออยากให้เรื่องนี้มันถึงตำรวจ ถึงศาลจริงๆ น่ะหรือ หลักฐานก็ชี้ชัดว่าไอ้หนึ่งมันไปปู้ยี่ปู้ยำลูกสาวเขาจริงๆ ยังไม่ต้องพิสูจน์ว่าเด็กในท้องนั่นเป็นลูกมันหรือไม่ใช่ ถ้าเรื่องถึงตำรวจเมื่อไหร่มันต้องหมดอนาคตเมื่อนั้น”

สำหรับเรื่องนี้...ชื่นจิตเถียงไม่ออก กฎหมายตราเอาไว้ชัดเจนเรื่องพรากผู้เยาว์ มิหนำซ้ำยังมีหลักฐานทั้งภาพนิ่งภาพเคลื่อนไหว ถ้าจะโทษก็ต้องโทษฝ่ายเราที่รักสนุกก่อนวัยอันควร

“แล้วคุณจัดการไปยังไง” เมื่อรับรู้ว่ามีข้อหาซึ่งไม่อาจพ้นผิดได้คล้องคออาทิตย์อยู่ เสียงชื่นจิตก็อ่อนลง

“จ่ายเงินไป” ดามพ์แค่นยิ้ม “ห้าแสนบาทเป็นค่าหุบปาก และหลังจากเด็กคลอด ถ้าเป็นลูกของไอ้ลูกไม่รักดีของฉันจริงๆ ฉันคงต้องเลี้ยงดูไอ้เด็กที่กำลังจะเกิดมาไปตลอดชีวิต”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ลูกของผม ผมกับแพรวนอนด้วยกันแค่ไม่กี่ครั้ง และทุกครั้งก็ป้องกันอย่างดี ผมไม่ใช่ไก่อ่อนนะ ถึงจะได้ทำผิดพลาดโง่ๆ แบบนี้ พ่อก็งี่เง่า จ่ายเงินให้พวกมันไปได้” อาทิตย์ซึ่งยืนฟังมานานโต้กลับพ่ออย่างรุนแรง

“แกว่าฉันงี่เง่าเหรอไอ้หนึ่ง แกสิโง่ หรือไม่ก็โง่ฉิบหาย แกคิดว่าเรื่องของแกมันอยู่ที่ท้องหรือไม่ท้อง ใช่ลูกแกหรือไม่ใช่ลูกแกแค่นั้นเหรอ ไม่...มันไม่ใช่ ปัญหาสำคัญคือแกไปมีอะไรกับเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ยังไงก็ผิด ยังไงก็คุก ทีนี้สมองที่มีแต่ขี้เลื่อยของแกเข้าใจปัญหา เข้าใจความผิดของตัวเองรึยัง” ดามพ์เทอารมณ์เดือดพล่านใส่ลูก

และอาทิตย์ก็เดือดตอบกลับ เด็กหนุ่มพยายามเดินเข้าหาพ่อ สีหน้าเอาเรื่องแบบนั้นทำให้ชื่นจิตต้องรีบก้าวเข้าไปยืนขวาง กางแขนห้าม ด้วยเกรงว่าลูกจะลุแก่โทสะแล้วทำในสิ่งที่ถือว่าเป็นการอกตัญญูอย่างเช่น...ต่อยพ่อ

“แพรวยังไม่บรรลุนิติภาวะ แล้วผมล่ะ มันก็เหมือนๆ กัน เราสนุกด้วยกัน ไม่ได้บังคับหรือข่มขืนสักหน่อย ดูภาพสิ ก็เห็นว่าเขาขึ้นขย่มเองด้วยซ้ำ แบบนี้มันก็วินวิน ไม่มีใครผิด ก็อยากทั้งคู่”

เพราะชื่นจิตยืนขวางอยู่ตรงหน้าดามพ์ ดังนั้นเธอจึงไม่เห็นตอนที่มือของดามพ์ยื่นออกมา และกว่าจะเห็นอะไรแวบๆ ที่หางตา มือของพ่อก็ตบหัวลูกอย่างแรงจนเกิดเสียงดังเผียะ!

“วินวินพ่อแกสิ” ดามพ์ตวาดลั่น “พ่อแม่เด็กนั่นมันไม่ยอมเว้ย ไม่เกี่ยวอะไรกับที่แกข่มขืนหรือไม่ข่มขืน สนุกเหรอ เออ เด็กสมัยนี้มันคิดแต่เรื่องสนุกสินะ พ่อแม่มันถึงได้ต้องมาเดือดร้อน เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่ต้องเอากระดูกมาแขวนคอ”

ถ้าจะถามตรงๆ ว่าอาทิตย์เข้าใจหรือไม่ว่าไอ้เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่เอากระดูกมาแขวนคอนั่นหมายความว่าอย่างไร เด็กหนุ่มคงตอบได้เต็มปากว่าไม่เข้าใจ ทว่าแม้จะไม่เข้าใจความหมาย เขาก็ยังทราบดีว่าประโยคนั้นต้องไม่ใช่การเอ่ยชมเชยเขาแน่ๆ

“โว้ย!” เด็กหนุ่มตะโกนออกมาพร้อมสลัดเป้ใส่หนังสือเรียนซึ่งสะพายอยู่บนบ่าทิ้งลงพื้น “ผมทำเอง ผมก็จะแก้เอง ใครใช้ให้คนอื่นมาแก้ให้ เสียดายนักเหรอไอ้เงินแค่ห้าแสนน่ะ ไม่ต้องห่วง ผมมี แม่ให้ผมไว้เยอะ ผมจ่ายเองก็ได้”

“เออ ไอ้คนเก่ง แกนึกว่าจะแก้ไขปัญหานี้ได้ใช่ไหม งั้นแกแก้เลย ฉันยกปัญหานี้ให้แก แล้วถ้าแก้ไปแก้มาเกิดแก้ไม่ตกจนต้องเดินคอตกเข้าคุก ฉันจะไม่เฉียดเข้าไปใกล้ให้เสนียดคนคุกติดฉันเลย”

“ถึงผมจะไม่เข้าคุก พ่อก็มองผมเป็นเสนียดอยู่แล้วปะ” ความน้อยใจทำให้อาทิตย์โวยวายใหญ่โต “อย่ามาทำพูดดีเลย ถ้าพ่อเห็นว่าผมดี คงไม่คิดว่าผมจะไปทำคนอื่นท้องได้หรอก” พูดจบคนที่อารมณ์พลุ่งพล่านก็สะบัดหน้าวิ่งออกจากตึกใหญ่ไป

ชื่นจิตห้ามอะไรไม่ได้เลยรีบวิ่งตามพร้อมร้องเรียก แต่อาทิตย์ไม่สนใจเธอ วิ่งเข้าบ้านของเขาได้ก็ปิดประตูแน่น ไม่เปิด ไม่รับฟังเสียงเคาะกระจก เสียงเรียกด้วยความเป็นห่วงของคนที่ห่วงใยเขายิ่ง

 

ท้องเด็กหนุ่มร้องครวญครางเนื่องจากเขานอนโดยไม่ได้กินข้าวมื้อเย็น ถึงกระนั้นร่างซึ่งนอนอยู่บนเตียงก็ปล่อยให้กระเพาะทำการย่อยตัวเองต่อไปโดยไม่คิดจะไปหาอะไรกิน

ร่างผอมนอนคู้ตัวอยู่บนเตียง แขนยาวเก้งก้างโอบกอดตนเองเอาไว้ ดวงตาแห้งผากมองเหม่อไปยังโทรศัพท์มือถือซึ่งโปรแกรมแชตโปรแกรมหนึ่งทำให้มันเรืองแสงขึ้นมา

อาทิตย์ไม่มีกะจิตกะใจจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุยกับเพื่อน จึงนอนมองมันนิ่งอยู่แบบนั้น จนกระทั่งมันเริ่มสั่นเป็นสัญญาณว่ามีคนโทร. เข้า

ใจจริงเขาก็ยังไม่มีอารมณ์จะคุยกับใครอีกเช่นกัน ทว่าเมื่อโทรศัพท์สั่นไม่หยุดสร้างความรำคาญให้เขา สุดท้ายอาทิตย์ก็จำใจยื่นมือออกไปรับ

“เฮ้ยไอ้หนึ่ง พวกเราจะไปเที่ยวผับกัน แกจะไปไหม จะแวะไปรับ” เสียงปลายสายเอ่ยชวนง่ายๆ

“ผับ...มีอะไรให้กินไหม”

ปลายสายซึ่งอาทิตย์ไม่รู้ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นใครหัวเราะร่วนกลับมา “มีสิวะ มีเหล้าให้แดกเพียบเลย อ้อ หรือถ้าจะกินสาวก็มีนะเว้ย”

สิ้นเสียงพูดก็มีเสียงหัวเราะและโห่ฮาดังเข้าหูอาทิตย์ บอกให้เด็กหนุ่มรู้ว่า ตอนนี้คนที่โทร. มาชวนคงอยู่กับเพื่อนอีกกลุ่มใหญ่

“ถ้างั้นไป มารับด้วย จะรอที่เดิม”

อาทิตย์ไม่ได้อยากไปเที่ยว อารมณ์เขาตอนนี้อยู่ห่างไกลจากคำว่าอยากสนุก แต่ผู้หญิงซึ่งเพื่อนเพิ่งพูดถึงดึงดูดความสนใจของเขา

เด็กหนุ่มที่ยังอยู่ในชุดนักเรียนมัธยมปลายลุกขึ้นมานั่ง มุมปากเขาเหยียดยิ้มก่อนพึมพำ “กูมันเลว คนเลวๆ ทำเรื่องดีไม่เป็นหรอก อยากให้มีลูกนักใช่ไหม เดี๋ยวจัดให้เจ็ดคนรวดเลย”

 

อาทิตย์รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยไม่สนใจว่าเสื้อกับกางเกงจะเข้ากันไหม ตอนนี้เขาไม่สนอะไรทั้งนั้น แม้กระทั่งท้องที่รองครวญครางของตนเองเขาก็ไม่แคร์ จิตใจเด็กหนุ่มตั้งมั่นอยู่กับการทำลายล้าง

ทำลายอะไรน่ะหรือ...ก็ทำลายตัวเองอย่างไรเล่า

เด็กหนุ่มในชุดเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนสีเข้มเดินไปคว้าโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสตางค์ซึ่งวางไว้ข้างๆ กันมาใส่กระเป๋ากางเกงยีน แล้วเดินตรงมายังประตูห้องซึ่งหน้าประตูตั้งกระจกบานยาวเอาไว้ให้เจ้าของห้องได้สำรวจตนเองก่อนจะออกจากห้อง

ด้วยความเคยชิน อาทิตย์เหลือบมองกระจกแล้วก็เห็น...เงาในกระจกของเขากำลังอ้าปากคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง

ขนอ่อนหลังคอเขาลุกซู่เมื่อรู้ตัวดีว่าตอนนี้เขากำลังเม้มปากแน่น แล้ว...แล้วเงาในกระจกจะอ้าปากได้อย่างไร

เด็กหนุ่มตัวสั่น ก่อนเอื้อมมือไปหากระจกบานนั้น กระชากมันไปทางซ้ายจนกระจกทั้งบานแตกเปรื่อง

“ไม่มีหรอกผีสาง แกก็แค่ตาฝาดเหมือนเมื่อครั้งที่แล้วนั่นแหละ” อาทิตย์พูดกับตนเอง ก่อนเอื้อมมือไปเปิดประตูแล้วสาวเท้าออกจากห้องไป

 

พอเปิดประตูหน้าบ้านออกอาทิตย์ก็เห็นสำรับอาหารมื้อเย็นวางอยู่ที่ระเบียงด้านนอก เด็กหนุ่มคิดถึงชื่นจิตขึ้นมาจนเกือบเปลี่ยนใจกลับเข้าบ้าน

เขาไม่รักตัวเองก็จริง ทว่าอย่างน้อยก็ยังมีชื่นจิตที่รักเขา ห่วงใยเขา หากเขาทำสิ่งใดผิดพลาด ชื่นจิตคงเป็นคนแรกที่เสียน้ำตา...

ความคิดด้านดีที่แวบเข้ามาในสมองถูกเสียงแตรของรถคันหนึ่งปัดมันทิ้งไป อาทิตย์มองออกไปนอกกำแพงทึบที่สูงราวสองเมตร รู้ดีว่าเป็นเพื่อนเขานั่นเองที่บีบแตรให้สัญญาณ

เด็กหนุ่มเอี้ยวตัวไปปิดประตูบ้านแล้ววิ่งจากระเบียงอ้อมไปยังต้นมะม่วงริมรั้วบ้าน เขาปีนขึ้นไปอย่างชำนาญเนื่องจากใช้เส้นทางนี้มาจนชินแล้ว ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีเขาก็ปีนจากต้นมะม่วงขึ้นไปคร่อมบนรั้วบ้านได้

มองลงไปด้านล่างก็เห็นรถเอสยูวีของเพื่อนจอดรออยู่แล้ว อาทิตย์ตวัดขาแล้วกระโดดลงไปบนหลังคารถ จากนั้นก็ไถลตัวลงมาทางกระจกหน้า เพื่อนๆ ซึ่งเปิดประตูรออยู่แล้วเป่าปากทักทายพร้อมตบหลังตบไหล่ดันเขาขึ้นไปบนรถ

จากนั้นไม่ถึงสองนาที รถเอสยูวีสีดำคันนั้นก็แล่นหายไปในความมืด

 

ผับในย่านที่มีแสงไฟสว่างไสวเกือบตลอดคืนมักมีบรรยากาศคล้ายๆ กันนั่นก็คือมืด เสียงดัง เต็มไปด้วยผู้คน และความสนุกแบบฉาบฉวย

คนที่อยู่โต๊ะโน้นโต๊ะนี้ยืนเต้นด้วยท่าทางประหลาดแบบไม่แคร์สายตาใคร ในมือของทุกคนมักมีแก้วเหล้า

เหล้านั้นบางคนก็ถือเอาไว้เพื่อดื่มให้อารมณ์ยิ่งคึกคัก ในขณะที่บางคนถือเหล้าเป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับร่างกายอย่างหนึ่ง และอาทิตย์ก็เป็นคนจำพวกหลัง

เด็กหนุ่มที่หากนับตามอายุแล้วเขายังไม่สามารถเข้ามาเที่ยวสถานบันเทิงได้ไม่ค่อยดื่ม เหล้าซึ่งอยู่ในมือยังไม่พร่อง ในขณะที่เพื่อนๆ เริ่มพูดเสียงอ้อแอ้ เริ่มสนุกมากขึ้นเพราะฤทธิ์สุรา

“เป็นอะไรวะไอ้หนึ่ง ไม่ค่อยกินเลย แล้วดูหน้าตามึงสิ เหมือนคนอึไม่ออกมาสามวันแล้ว” ปราการซึ่งเป็นเพื่อนที่สนิทกับอาทิตย์ที่สุดในโรงเรียนใหม่เป็นผู้ตั้งข้อสังเกต ทำให้เพื่อนในกลุ่มซึ่งวันนี้มีทั้งหมดหกคนหันมามองหน้าขาเปย์ประจำกลุ่ม

จากนั้นเพื่อนคนหนึ่งก็เดาว่า “จะมีอาไร้ มันทะเลาะกับพ่อมาอีกแล้วน่ะสิ”

เด็กหนุ่มหกคนต่างหัวเราะงอหายเมื่อได้ยินข้อสันนิษฐานที่น่าจะเป็นจริง แต่อาทิตย์ไม่ขำด้วย ยิ่งโดนล้อเขายิ่งทำหน้าตูมแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ทางที่มีหญิงสาวกลุ่มหนึ่งกำลังมองเขาอยู่

เมื่อตาประสานตา สาวทั้งสี่คนที่สวมเสื้อผ้าหนักไปในทางอวดเนื้อหนังก็ส่งยิ้มให้เขา

อาทิตย์มองนิ่งอยู่ไม่กี่วินาทีก็ยิ้มตอบ จากนั้นก็เดินเข้าไปหาผู้หญิงกลุ่มนั้นเพื่อสานต่อความสัมพันธ์

อันที่จริงความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนแบบนี้อาทิตย์เลิกราไปนานแล้ว หากจะถามว่านานแค่ไหนก็ต้องบอกว่า ตั้งแต่ที่แม่กับน้องเขาเสียชีวิตไปนั่นแหละ

เขาไม่ใช่เด็กดีที่อยู่ในโอวาทของแม่มาตั้งแต่ไหนแต่ไร เรื่องหนีเที่ยว กินเหล้าเคล้านารี เขาทำมันทุกอย่าง ทว่าเขาไม่เคยเที่ยวเปรอะเสียจนแม่รู้ ไม่เคยเสียการเรียน แม้จะเรียนไม่เก่งเท่าน้อง แต่เขาก็เอาตัวรอดได้ ไม่เคยตกสักวิชา

กระนั้น...สิ่งที่เขาเป็นก็ไม่ดีเท่าน้อง น้องที่เป็นลูกรักของทั้งพ่อและแม่ น้องที่เป็นเด็กดี ไม่เคยเที่ยวเตร่ ไม่เกเร น้อง...ที่ตายไปโดยยังใช้ชีวิตไม่คุ้ม

“ชื่ออะไรคะ”

ผู้หญิงที่สวมเสื้อเกาะอกอวดโนมเนื้อเกือบครึ่งค่อนเต้าถามเขาพร้อมชม้ายชายตาให้

อาทิตย์ยิ้มเจ้าชู้ส่งให้ก่อนตอบ “หนึ่งครับ คุณล่ะ”

“โบว์ค่ะ” สาวอกใหญ่ตอบก่อนเดินมาจากที่ที่ยืนซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับเขาแล้วเข้ามากระแซะ แนบหน้าอกลงบนต้นแขนเขา “หนึ่งอายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย หน้าดูเด๊กเด็ก”

อาทิตย์ยิ่งยิ้มกว้าง ยิ้มในแบบที่เขารู้ว่าสาวๆ ชอบ “เด็กแล้วไม่ดีตรงไหน กินเด็กน่ะเป็นอมตะนะ”

สาวทั้งสี่หัวเราะกันใหญ่ จากนั้นก็เป็นสาวโบว์อกภูเขาไฟนั่นแหละที่กระเซ้าอาทิตย์

“ชักอยากเป็นอมตะแล้วสิ ว่าแต่...เด็กแบบนี้ทำเป็นรึเปล่า”

คำถามสุดท้ายเธอลดเสียงลงจนอาทิตย์ต้องเงี่ยหูฟัง และพอทำเช่นนั้นเขาก็ถูกสาวใจกล้ากัดติ่งหูเบาๆ

แบบนี้ไม่ต้องถามอะไรกันต่อแล้ว อาทิตย์มองผู้หญิงคนนั้นตาวาว ตั้งใจเต็มที่ว่าเขาจะทำให้เธอท้องอีกคน แบบนี้คงสาแก่ใจพ่อน่าดู

 

ทั้งๆ ที่อาทิตย์คิดจะทำผู้หญิงท้องในคืนนี้ให้มากที่สุด แต่สาวที่เขาจับได้เป็นคนแรกกลับไม่ใช่คนชุ่ยอย่างที่คิด เธอไม่ยอมให้เขาทำในรถ แต่กลับขับรถของเธอพาเขามายังคอนโดแห่งหนึ่ง

อาทิตย์มองสภาพคอนโดของเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็น แล้วก็พบว่ามันค่อนข้างใช้ได้ ไม่ใช่คอนโดโลโซที่เต็มไปด้วยชนชั้นกลางค่อนข้างต่ำแต่อย่างใด

“โบว์อยู่คนเดียวเหรอ”

พอโบว์ไม่ได้อยู่ในแสงสลัวแล้ว อาทิตย์ก็พบว่าเธอดูสวยน้อยลง และดูมีอายุมากกว่าเขาชัดเจน

เธอยิ้มให้อาทิตย์อย่างยั่วเย้า มือคว้าแขนเขาแล้วเอามาแนบหน้าอก “ถ้าไม่ได้อยู่คนเดียวจะกล้าพาหนึ่งมาเหรอ”

อาทิตย์ชะงักฝีเท้านิดหนึ่ง เกิดความกลัวขึ้นมาเล็กน้อย แม้เขาจะเป็นผู้ชาย ขึ้นห้องมากับผู้หญิงแบบนี้มันไม่มีอะไรเสียหายทั้งนั้น แต่ถ้าผู้หญิงคนนี้มีแฟนแล้ว แล้วแฟนเธอขึ้นมาเจอ...

“โบว์มีแฟนรึยัง” อาทิตย์รู้สึกว่าคำถามของเขางี่เง่าพิลึก ‘มาถึงขั้นนี้แล้วผู้หญิงที่ไหนจะตอบว่ามีวะ’

ผู้หญิงที่สูงแค่ไหล่เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มกว้าง ก่อนตอบอย่างภูมิใจ “สวยๆ แบบนี้...มีแล้วสิ”

คำตอบแบบผิดคาดที่ได้รับทำให้อาทิตย์เบิกตาโตขึ้นเล็กน้อย เขาเริ่มรู้สึกว่าเธอดูไม่เหมือนเด็กๆ ที่เขาเคยคบ เธอดูเปิดเผย คล้ายจะจริงใจ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่เธอพูดออกมานั้นจริงหรือว่าเรื่องแต่ง

เด็กหนุ่มที่เริ่มคิดเยอะส่ายหน้า ไล่ความคิดเป็นเหตุเป็นผลของตนเองทิ้งไป เขาลืมได้อย่างไรว่าที่ยอมให้เธอหิ้วมาคืนนี้ก็เพื่อฟัน เสร็จกิจแล้วก็แยกย้าย ชาตินี้เขากับเธอคงไม่เจอกันอีกด้วยซ้ำ ฉะนั้น รีบทำแล้วรีบชิ่งดีกว่า

 

ประตูห้องของโบว์เป็นประตูแบบดิจิทัล เธอยืนบังเล็กน้อยก่อนคีย์รหัส จากนั้นก็เปิดประตูกว้างแล้วยิ้มให้อาหารอมตะของเธอ

“เข้ามาสิ รับรองว่าแฟนไม่อยู่ และแฟนก็ไม่มาด้วย ไม่ต้องกลัว”

“ไม่ได้กลัว” อาทิตย์ตอบแล้วเดินเข้าไปทันที

ห้องของโบว์ก็เหมือนห้องภายในคอนโดเกรดบีเกรดซีทั่วๆ ไป ทางซ้ายมือคือโซฟาขนาดสองคนนั่ง ขวามือตรงข้ามกับโซฟาคือโต๊ะวางโทรทัศน์และตู้เก็บรองเท้าที่โบว์นำรองเท้าเข้าไปเก็บ มองตรงไปจะเห็นห้องนอนซึ่งมีประตูกระจกกั้นเอาไว้

อาทิตย์เดินเข้าไปอีกหน่อยก็เห็นว่าบริเวณระหว่างห้องรับแขกกับห้อนอนมีช่องว่างทางขวามือซึ่งจัดเป็นครัวเล็กๆ

“หิวไหม”

พอถูกถามท้องเด็กหนุ่มก็ร้องทันที “นิดหน่อย”

“มีแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนะ จะกินไหม”

ในเวลาแบบนี้ มันแปลกที่เธอมาถามเขาเรื่องนี้ ปกติเวลาอาทิตย์อยู่กับสาวๆ ก็มักจะต้องเร่งรีบทำให้เสร็จๆ แล้วก็ไป เขาไม่เคยได้ใช้เวลาสบายๆ กับผู้หญิงมาก่อน จึงทำให้เขาทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง

“โบว์เลี้ยงบะหมี่ผู้ชายทุกคนที่พามาเหรอ”

มันคงเป็นคำถามที่ไม่เข้าท่าใช่หรือไม่ เพราะพอเขาถามออกไปแล้วโบว์ซึ่งเข้าไปในห้องครัวและกำลังติดเตาต้มน้ำก็หันมาเลิกคิ้วใส่เขา

เขาคิดว่าเธออาจจะด่า อาจจะไล่เขาไป แต่เธอกลับส่งยิ้มให้

“ไม่หรอก เฉพาะคนที่น่ารักเท่านั้นถึงจะทำให้”

น่ารักอย่างนั้นหรือ ไม่มีคนบอกว่าเขาน่ารักมานานแล้ว กระทั่งชื่นจิตก็เลิกพูดคำนี้ไปแล้ว ส่วนพ่อน่ะหรือ...เห็นเขาเป็นตัวน่ารังเกียจตลอด

พอหวนคิดถึงคนที่ตนไม่อยากคิดถึง อาทิตย์ก็เดินเข้าไปยืนซ้อนหลังโบว์ที่ยืนอยู่หน้าเตาไฟฟ้า เขากอดร่างซึ่งยืนหันหลังให้ ซบแก้มลงกับเรือนผมเธอ

“ไหนว่าหิว” โบว์ถามเสียงกลั้วหัวเราะ

“ก็หิว” มือของเด็กหนุ่มเลื่อนขึ้นมาจนเกือบถึงโนมเนื้อขนาดมหึมา แต่ยังไม่ทันได้แตะต้อง โบว์ก็คว้ามือเขาเอาไว้ก่อน

“กินให้ท้องอิ่มก่อนเถอะ ส่วนเรื่องอื่นเดี๋ยวค่อยว่ากัน ปะ ไปนั่งรอที่โต๊ะก่อนไป เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”

อาทิตย์มองไปยังโต๊ะขนาดเล็กสองที่นั่งที่อยู่ห่างไปไม่ถึงเมตร ก่อนกระซิบ “ผมเป็นคนกินจุนะ แล้วก็กินเก่งด้วย”

ข้อความแฝงนัยทำให้หญิงสาวซึ่งน่าจะโตกว่าเขาหลายปีหัวเราะร่วน ดวงตาพราวระยับมองเขาอย่างเอ็นดู

“จ้า แล้วจะคอยดูว่าเก่งแต่ปากรึเปล่า”

 

“หนึ่งยังเรียนอยู่ใช่มะ ชั้นไหนแล้ว”

อาทิตย์สูดเส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเข้าปากพร้อมคิด...มันต้องไม่ดีแน่หากพูดความจริงออกไป ดังนั้นเขาจึงตอบไปว่า “ชั้นห้า”

เหมือนจะได้ผล โบว์หัวเราะร่วน วางตะเกียบแล้วใช้มือข้างถนัดตีเขาไม่แรงนัก “แหม มุกเยอะนะ ไม่เอาสิ ถามจริงๆ”

“แล้วโบว์ล่ะ เรียนหรือทำงาน” แทนที่จะตอบ อาทิตย์กลับบ่ายเบี่ยงไปอีกเรื่อง

“เพิ่งจบ ตอนนี้ทำงาน”

แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิด ผู้หญิงคนนี้โตกว่าเขาไม่ต่ำกว่าหกเจ็ดปี “ทำงานอะไร”

“งานในเน็ต แบบว่า...” โบว์ส่ายหน้าอกจนนมต้มตู้มต้ามของเธอสั่นระริกยั่วสายตา “เต้นๆ แล้วก็รับรีวิวเครื่องสำอางอะไรแบบนี้”

“อ้อ” อาทิตย์งึมงำในลำคอ มองพวกนารีมีรูปเป็นทรัพย์อย่างไม่ประหลาดใจเท่าไร เดี๋ยวนี้คนทำงานแบบนี้เยอะ บางคนเด็กกว่านี้ บางคนก็โชว์ผ่านโปรแกรมต่างๆ ให้ดูฟรีเสียด้วยซ้ำ

“ม. ปลายละสิ”

กำลังคิดเพลินๆ พอได้ยินวลีที่เดาได้ถูกเป๊ะแบบนั้นอาทิตย์ก็เกือบสำลักบะหมี่ เขาเหลือบมองโบว์ซึ่งนั่งเท้าคางมองเขาอยู่ด้วยแววตารู้ทัน

“เด็กเอ๊ยเด็ก นี่ฉันหิ้วคุกกลับบ้านมาด้วยงั้นเหรอ”

“คุกบ้าอะไรล่ะ ถ้าผมเต็มใจ คุณเต็มใจ มันก็ต่างคนต่างฟัน” อาทิตย์เถียงแล้ววางตะเกียบ แม้จะยังไม่อิ่ม แต่ก็กินไม่ลงเสียแล้ว

“ย่ะ ฟันก็ฟันแค่ชั่วครู่ชั่วยาม แต่ถ้าพ่อแม่หนึ่งรู้โบว์มิเข้าปิ้งเรอะ”

“ถ้าผมไม่บอกใครจะรู้ หรือโบว์จะไปบอกพ่อผมเองว่าฟันผมแล้ว”

หญิงสาวหัวเราะร่วน “โบว์ไม่โง่แบบนั้นหรอก เอาละ หนึ่งอิ่มแล้วใช่ไหม”

“อือ” ตอบจบเด็กหนุ่มที่ปิดความเด็กของตนเองจากสายตาคนที่โตกว่าไม่มิดก็โน้มตัวไปหาเธอ หมายจะจูบริมฝีปากโบว์

ทว่าหญิงสาวที่ดูง่ายๆ กลับเบี่ยงริมฝีปากหนี ปากของอาทิตย์จึงพลาดเป้าไปฝังอยู่ที่แก้มเธอแทน

อาทิตย์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ด้วยไม่คิดว่าจู่ๆ ผู้หญิงง่ายๆ ก็ทำให้เรื่องเหมือนจะยากขึ้นมา

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น