2

สุดจะทนคนอย่างเธอ


EP.2

สุดจะทนคนอย่างเธอ

โครม!

ผมโยนหนังสือลงบนโต๊ะ จ้องมองมันด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่

‘คู่มือเสริมสร้างบุคลิกภาพให้น่าเชื่อถือ (ฉบับผู้ชาย)’

หึ! บอกเลยครับ การที่น้องปีใหม่มองผมเป็นไอ้โรคจิตแม่งทำให้โคตรเฟล!

อย่างที่บอก จริงๆ กฎของการเป็นนักทวงหนี้ คือห้ามเจอหรือสร้างสัมพันธ์กับเป้าหมายเด็ดขาด นั่นหมายความว่าการที่ผมได้ปะทะกับน้องปีใหม่เข้าอย่างจังเป็นเรื่องที่โคตรเหนือความคาดหมาย ทำให้ปฏิบัติการของผมจะยากมากขึ้น ต่อจากนี้อาจจะต้องระมัดระวังมากกว่าเดิมซะแล้ว

และในเมื่อน้องมันเห็นหน้าค่าตาผมแล้ว ผมคงจำเป็นต้องเป็นเปลี่ยนแผน จะตามถ่ายรูปแบล็กเมล์อย่างที่เคยทำคงไม่ได้ ถ้าเกิดวันไหนเจอน้องแล้วอยากยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูทำทีจะแอบถ่ายน้องแบบเนียนๆ แล้วอีกฝ่ายดันจำผมได้ขึ้นมา คราวนี้ไม่ใช่แค่ห้องปกครองครับ ชีวิตไอ้ดิวเป็นอันต้องจบในคุกแหงๆ กินข้าวแดงกันสุขภาพดีเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น เราจะต้องพิถีพิถันในทุกขั้นตอน!!!

พึ่บ! ผมกางหนังสือไปที่หน้าแรก

 

ข้อ.1

จงสำรวจตัวเองว่าตอนนี้คุณดูดีพอแล้วหรือยัง

 

“ไอ้เอิร์ล” ผมเอี้ยวตัวไปเรียกเพื่อน

“ว่า”

“กูหล่อปะ”

“-_-” ไอ้เพื่อนรักที่กำลังเล่นเกมในโทรศัพท์ถึงขั้นเอ๋อแดก “ถามทำห่าอะไรวะ”

“ตอบมา!”

“ไอ้ทิม!” มันหันไปเรียกคนข้างๆ “ตอบคำถามเพื่อนเราหน่อยดิ๊”

“กังวลไรวะไอ้ดิว มึงหล่อที่สุดในกลุ่มอยู่แล้วปะ”

“จริงอะ” ไอ้สัสเขิน

“มึงลืมตำแหน่งเดือนทันตะไปแล้วเหรอ”

“แต่กูไม่ติดท็อปห้าเดือนมหา’ลัยนะ”

“ไอ้ควายเอ๊ย” ไอ้เอิร์ลทำหน้าเป็นตูด “เดือนก็คือเดือน เป็นเดือนคณะก็ถือว่าการันตีได้ระดับหนึ่งแล้วปะ”

ผมพยักหน้าหลังจากขบคิดตาม จริงของมันว่ะ ชนะชายหนุ่มทั้งคณะได้ก็ถือว่าเกินความคาดหมายแล้ว

อ้ะ งั้นข้อนี้ติ๊กถูก

 

ข้อ.2

มั่นใจอยู่เสมอว่าสะอาดสะอ้านพร้อมเจอคนรอบข้าง

 

ข้อนี้ผ่านได้เลย จะบ้าเรอะ! แมวมันยังเลียขนทุกวัน คนจะไม่อาบน้ำได้ไง

 

ข้อ.3

สร้างความน่าเชื่อถือด้วยบุคลิกภาพที่ดี

 

สัส! ข้อนี้แหละหนัก เพิ่งทำให้คนอื่นคิดว่าเป็นโรคจิตมาหมาดๆ งี้แปลว่าผมต้องเปลี่ยนนิสัยตัวเองซะใหม่ คงต้องหยิบปากกามาจดว่าต้องแก้ไขอะไรบ้างสินะ

 

- ห้ามมองคนอื่นด้วยแววตาน่ากลัว

- อย่ามองต่ำกว่าใต้เข็มขัด

- เจอคนโมเอะให้กรี๊ดในใจ (หรือหยิกแขน, ไขว้นิ้วชี้กับนิ้วกลาง, โทร.ไปให้ไอ้ปู๊นด่า)

- หลีกเลี่ยงการพูดคุยเรื่องมังงะ, อะนิเมะอย่างออกรสในที่สาธารณะ

- ศึกษาธรรมะ ละเว้นการแฮก

 

ประมาณนี้น่าจะได้แฮะ คิดอะไรออกก็ค่อยเขียนเพิ่มเติมไปแล้วกัน

ไหนดูข้อต่อไปซิ

 

ข้อ.4 หมั่นพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

 

อะไรวะ...แล้วมันต้องพัฒนายังไงกูจะรู้มั้ยเนี่ย ลงเรียนพิเศษดาว้องก์เหรอ จะได้ไลน์บอกน้องให้ไปเอาใบสมัครให้เดี๋ยวนี้เลย

อ้าว! มีดอกจันตัวเล็กๆ อยู่ด้านล่างด้วยว่ะ

 

*อย่าเพิ่งฉุนเฉียว

 

แน่ะ! รู้ทันกูอี๊กกกกกก

 

พัฒนาตัวเองในที่นี้ หมายถึง ลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่เราไม่เคยทำมาก่อน อาจเป็นการออกกำลังกาย ฟังเพลงแนวอื่น วาดรูป หรือเจอใครใหม่ๆ

 

เออ ทีหลังก็บอกตัวโตๆ สิ จะไปเห็นได้ยังไง!

อืม...พัฒนาอะไรดีวะ อาจจะลองเปลี่ยนการแต่งตัว ใส่ใจความเท่ ละเว้นความเซอร์ ไอ้เรื่องออกกำลังกายก็ฟังดูน่าสนใจ ถึงยังไงผมก็เป็นนายแบบอยู่แล้ว หันมาดูแลรูปร่างตัวเองก็เข้าท่าดีเหมือนกัน

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา รีบหาคอนแท็กต์ของเพื่อนที่รู้จักคนนึงซึ่งเราเคยเป็นรูมเมทกันตอนอยู่ปีหนึ่ง มันเรียนวิทย์กีฯครับ ดูท่าจะช่วยผมได้ กล้ามงี้บะเอ้ก

 

DewsX: ไอ้ทัก

Tak_ไม่_Empty_แล้ว : มีอะไรรึออเจ้า

 

ชื่อไลน์ยาวเป็นรถไฟสายสังขละบุรีเลยสัส

 

DewsX : รับเทรนปะ

DewsX : อยากออกกำลังกายอะ

Tak_ไม่_Empty_แล้ว : ใจเย็นไอ้หมอ

Tak_ไม่_Empty_แล้ว : ช่วงนี้ไม่ว่างเลยว่ะ

DewsX : อ้าว! เคๆ

Tak_ไม่_Empty_แล้ว : ทำไมวะ จะจีบหญิงเหรอ

DewsX : อยากออกกำลังกายเกี่ยวอะไรกับจีบหญิง

Tak_ไม่_Empty_แล้ว : คนเรามักจะหันมาดูแลตัวเองเพื่อให้ใครสักคนประทับใจ

 

คมจนบาด เล่นเอาจุก...พูดไม่ออกครับ เหมือนโดนเตะป้าบเข้าซี่โครง

เออว่ะ สรุปนี่ผมทำเพื่องานตัวเอง หรือเพราะอยากล้างมลทินที่น้องปีใหม่เข้าใจผิดว่าเป็นโรคจิตกันแน่วะ

 

Tak_ไม่_Empty_แล้ว : เอางี้ เดี๋ยวกูทำตาราง Work Out กับตารางคุมอาหารให้

Tak_ไม่_Empty_แล้ว : มึงเป็นนายแบบใช่ปะ ลีนๆ อะไรงี้?

Tak_ไม่_Empty_แล้ว : นมมึงสวยอยู่แล้ว ขยันคาดิโออีกนิดคือแจ่ม

DewsX : เออ ขอบใจมาก

DewsX : เท่านี้แหละ

 

ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม กลับมาอ่านข้อต่อไปอย่างมีสมาธิ

 

ข้อ.5 ตั้งเป้าหมายในชีวิต เพื่อใช้ชีวิตอย่างมีจุดหมาย

 

หึ! ง่ายมาก เป้าหมายของผมจะเป็นอะไรได้นอกจาก...

 

- น้องปีให... -

 

เฮ้ยยย!!! สัสๆๆ เบลออีกแล้วกู จะเขียนชื่อน้องเขาทำไม!!! น้องเขาใช่สิ่งที่มึงอยากได้ที่สุดซะที่ไหน! ไอ้ดิวเอ๊ย! รีบขีดทิ้งให้ไวเลย ดีนะเหลือม.ม้ากับไม้เอก รอดตายหวุดหวิด

ตืดดด ตืดดดดดด

แต่ยังไม่ทันจะลบข้อความนั้นทิ้ง อยู่ๆ โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นซะก่อน ตอนแรกนึกว่าไอ้ทักมันส่งตารางมาให้เร็วจัง แต่พอหยิบขึ้นมาดู อ้าว! ไม่ใช่นี่หว่า

 

*เงินถูกโอนเข้าบัญชีของคุณ 35,000 บาท*

 

เฮ้ย! เงินค่าจ้างจากงานคราวก่อนเข้าแล้ว!!! ครั้งนี้บอสให้ตรงเวลาไม่เบี้ยวว่ะ งี้สิวะถึงน่าร่วมงานด้วยหน่อย

อืม...ผมมองตัวเลขยอดรวมในบัญชีแล้วขนลุก จำนวนไม่ใช่น้อยๆ เลยแฮะ ผมเก็บเงินได้เยอะขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย แล้วนี่ถ้าได้ค่าจ้างจากงานของน้องปีใหม่ตามไปสมทบ โอ้โห! ไม่ต้องเดาเลยว่ากลิ่นเงินมันต้องคละคลุ้งขนาดไหน!!!

ใช่!!! นี่แหละคือสิ่งที่ผมต้องการ เขียนลงไปเลย!

 

- เงิน 150,000 บาท*

 

นี่! มันต้องอย่างนี้!!! ใส่แม่งทั้งดอกดาวทั้งตัวเอียงทั้งขีดเส้นใต้ อยากจะขีดไฮไลท์ทับด้วยนะแต่หมึกเสือกหมด แต่แค่นี้ก็ลืมไม่ลงแล้ว

ใช่ไอ้ดิว มึงเป็นนักทวงหนี้ เงินต้องสำคัญที่สุดสิวะ ถึงเป้าหมายจะน่าสนใจ แต่อะไรก็สู้เงินไม่ได้ จำไว้!!!

น้องปีใหม่ครับ ถึงพี่จะเดินเกมผิดตั้งแต่เริ่ม แต่ต่อจากนี้ไป พี่เอาจริงแน่!!!

เตรียมตัวโดนเก็บได้เลย!

 

“นางเอกแม่งโคตรเท่ งี้สิวะพลังของอัศวิน”

ไอ้ทิมเริ่มชวนวิเคราะห์หลังจากพวกเราสามคนเดินออกมาจากโรงหนัง และการที่ตะบี้ตะบันดูดน้ำอัดลมจนหมดแก้วทำให้เราต้องรีบพุ่งไปยังห้องน้ำทันทีที่หนังจบ

“กูว่าภาคที่แล้วสนุกกว่า ภาคนี้อะไรไม่รู้มีเวทมนตร์ด้วย งี้มันจะเรียกว่าหนังไซไฟได้ไง” ไอ้เอิร์ลทำหน้าเหม็นเบื่อ

“แต่ดาวที่ยานนางเอกไปตกโคตรตระการตาเลยว่ะ อยากยืมขุมพลังของนักรบดาวนั้นมาใช้ฉิบหาย”

“เออแต่พวกนักรบเท่จริง กูโคตรชอบอาวุธของพวกแม่งเลย”

ครับ นี่แหละเพื่อนผม เนิร์ดกันมั้ยล่ะ ทุกครั้งที่ดูหนังมัน(ส์)ๆ จบก็จะออกมาโฟ่แตกหน้าโรงกันแบบนี้เสมอ

“มึงล่ะว่าไงไอ้ดิว?” ไอ้เอิร์ลหันมาถามผมบ้าง

“ก็สนุกดี”

“โห่’ไรวะ แค่นี้เอง มึงไม่ขบคิดอะไรหน่อยหรือไง”

“เฮ้อ!” ผมถอนหายใจ พยายามมองซ้ายมองขวา ตั้งใจแล้วนี่ครับว่าจะไม่ทำตัวเนิร์ดต่อหน้าคนอื่น พอเห็นว่าแถวนี้ไม่มีใครนอกจากเราก็เริ่มพล่ามทันที “กูคิดว่าถ้านางเอกไม่หาเรื่อง อาจารย์แม่งก็คงไม่ตาย แล้วจะบอกให้นะว่าถ้าตัวร้ายไม่ออมมือตอนปะทะกันแม่งเละแน่ โชคดีที่พระเอกเข้ามาช่วยทัน ไม่งั้นแม่งจะโง่มาก และดาบนั่นอะก็บอกอยู่ว่าจะเหมาะกับคนที่คู่ควร กูมองว่ายังไงๆ นางเอกก็ไม่ใช่ผู้ถูกเลือกว่ะ พระเอกตะหาก”

“…”

อ้าว! มองหน้ากันทำไม อยากถามความเห็นกูเองไม่ใช่เรอะ

“แหม่ ตั้งแต่มันเปลี่ยนลุคเป็นโอปป้าแล้วแม่งเนิร์ดไม่เข้าเลยว่ะ”

“นั่นดิ” ไอ้ทิมเห็นด้วยกับไอ้เอิร์ล แถมทำแซวด้วยการกระทุ้งสีข้างเล่นเอาผมจุก “เดี๋ยวนี้หัดมาแต่งตงแต่งตัว ได้ข่าวว่าเข้าออกฟิตเนสเป็นบ้าเป็นหลังเลยหนิ”

“พวกมึงพล่ามอะไรกันวะ” ผมทำเป็นเฉไฉทั้งๆ ที่ในใจยิ้ม หึ! แปลว่าบุคลิกภาพของผมดีขึ้นได้อย่างเห็นได้ชัด พวกมันถึงระดมทักกันแบบนี้ สงสัยต้องเอาหนังสือเล่มนั้นไปรีวิวลงพันดริฟต์ซะหน่อยแล้ว ถือว่าเป็นการส่งต่อกุศลที่ยิ่งใหญ่

“เฮ้ยมึง” ไอ้ทิมเบิกตากว้าง ตีไหล่ผมป้าบๆ เนื้อแทบบุบ “ดูนั่นๆ ความอุ๋งที่บ่ายสามโมง”

ผมกับไอ้เอิร์ลหันไปตามนิ้วที่เพื่อนชี้ แล้วก็เห็นร่างผอมๆ ของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง กำลังเดินออกมาจากโรงหนังด้วยท่าทีหัวเสีย คิ้วบางๆ ขมวดเข้าหากันแทบจะผูกเป็นโบ ปากนี่เม้มปิดสนิทแทบเป็นเส้นตรง โอ้โห! ใบหน้าโคตรมุ่ยจนอยากจะสะกิดถามว่ามีอะไรให้พี่ช่วยแบ่งเบาภาระหรือเปล่าครับน้อง

แต่เดี๋ยวนะ หน้าตาน้องคนนั้นแม่งคุ้นจังวะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนเลย

ชิท! จะไม่ให้คุ้นได้ยังไง นี่มันน้องปีใหม่ลูกหนี้ของผมนี่หว่า!!!

สัสสส ทำไมต้องมาเจอที่นี่ด้วยเนี่ยยย

เราสามคนยืนแข็งทื่อเป็นท่อพีวีซีตอนที่น้องเดินเข้ามาใกล้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ขยับตัวเลยนะ แต่กลายเป็นว่าสายตาของน้องกวาดขึ้นมาเจอพวกเราซะเอง และที่สำคัญ ตอนที่น้องจ้องผม คิ้วที่เคยขมวดเป็นปมก่อนหน้ามีทีท่าคลายลง ขาที่กำลังก้าวฉับๆ หยุดกึกห่างจากกลุ่มผมไม่ถึงเมตร ดวงตากลมโตมีทีท่าชั่งใจ คงกำลังสงสัยว่าเคยเห็นผมที่ไหนเหมือนกันละสิ

“โทษนะครับ” น้องปีใหม่เอียงคอ ทักทายผมอย่างลังเล “ใช่พี่ของน้องปู๊นปู๊นหรือเปล่า”

“เฮ้ย!” ไอ้เอิร์ลกระโดดมาหลบหลังผม “มึงรู้จักเขาด้วยเรอะ!”

ไอ้สัสเงียบๆ เดี๋ยวไก่ตื่น พวกมึงแม่งลุกลนจัง!

ผมไม่สนใจเพื่อน แต่ตอบน้องเขาแทน พยายามซ่อนรอยยิ้มไว้ภายใต้หน้านิ่งๆ ผมเป็นคนใหม่ครับ เป็นผู้ใหญ่ อบอุ่น สปอร์ต ใจดี กทม. โอตะคนเดิมตายไปแล้ว

“ใช่ครับ” ผมแยกเขี้ยว

“โอ้โห! พี่หล่อขึ้นมาก ผมจำแทบไม่ได้เลย”

สัสสส จับกูไว้! ใครก็ได้จับแขนกูไว้ กูจะลอย!!!

“อืม” ผมแสร้งทำเป็นเฉยเมย “คนที่น้องเคยด่าว่าเป็นโรคจิตไงล่ะ”

น้องปีใหม่อ้าปากค้างอย่างรู้สึกผิด หึ! พี่แกล้งน้อง พี่แกล้งเอง

“ผมขอโทษอีกครั้งนะครับ” เชี่ย...น้องไหว้ผมอีกแล้วว่ะ

“ไม่เป็นไร” ผมกอดอก “จะไปไหนล่ะถึงดูรีบๆ หนังไม่สนุกเหรอ”

“อ๋อ” ร่างเล็กๆ หันไปมองประตูโรงหนังที่เพิ่งเดินออกมาอย่างหวาดระแวง “พอดีผมมีธุระน่ะครับ”

“อืม”

“…”

ดูเย็นชาไปปะวะ...ไม่น่านะ พระเอกในมังงะเขาก็ซึนแบบนี้กันหมดไม่ใช่หรือไง

“งั้นผมไปก่อนนะครับ”

เส็งเคร็ง อย่าเพิ่งสิ พี่ไม่ได้มีเจตนาจะผลักไสน้องนะ แค่อยากล้างภาพจากคราวก่อนเท่านั้นเอง

แต่ถ้าน้องว่างั้น ผมเป็นใครถึงจะไปห้ามเขาได้ “โชคดีครับ”

“…”

ปีใหม่ยังรู้สึกผิดไม่เลิก น้องยิ้มอายๆ เดินหลบไปอีกทางเพื่อหนีพวกเรา แม้ใจจะอยากมองตามน้องถึงลิฟต์ แต่ผมก็ต้องพยายามทำเป็นยืนนิ่งไม่แสดงท่าทีสนใจ ผมไม่อยากให้น้องมองว่าผมเป็นโรคจิตอีกแล้วละ

ว่าแต่น้องเขามากับใครวะ

“โห…” ไอ้สัสเอิร์ลเขาไม่เคยมีฟอร์มครับ ไอ้ห่า! มองตามน้องจนคอจะหมุนได้รอบอยู่แล้ว “นางฟ้ามีจริง”

“แหม เก็บเงียบเลยนะพ่อ ไม่เล่าให้ฟังเลยว่ารู้จักน้องน่ารักๆ แบบนี้ด้วย” ไอ้ทิมกระทุ้งสีข้าง

บอกว่าอย่าแซว ไอ้สัส กูเขินนนนนน

“ไปๆ ไปเข้าห้องน้ำ บ่นปวดฉี่กันไม่ใช่เรอะ”

ผมดันหลังไอ้โอตะสองคนให้เดินไปข้างหน้า เลิกมองตามน้องได้แล้วไอ้พวกบ้า กูยิ่งมีกรณีกับเขาอยู่นะสัส

จึก! จึก!

ผมหยุดเดินตอนที่รู้สึกว่าโดนสะกิด ไอ้เพื่อนสองตัวที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเดินนำหน้าไปไกลแล้ว แม่งไม่มีทางรู้ได้เลยว่าพวกมันทิ้งให้ผมต้องเจอกับอะไร

น้องปีใหม่กลับมาทำไมวะเนี่ย!

“พี่ครับ” สีหน้าของน้องแน่วแน่มาก อยากผลักดันให้ไปแข่งโอลิมปิก

ผมเลิกคิ้วขึ้นหนึ่งข้าง ยังคงไว้ซึ่งท่าทีเย็นชา “มีอะไรเหรอ”

“ผมรู้นะว่าพี่โกรธ แต่ผมนึกว่าพี่จะให้อภัยผมตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว” น้องปีใหม่ว่า ส่วนผมก็จ้องดวงตามึนๆ โปนๆ เหมือนโดนป้ายด้วยพิมเสน อย่างกับคนตกบ่วงแต่ไม่ได้แสดงท่าทีออกมา “ถ้ายังไงผมขอโทษพี่อีกทีนะ”

“…”

“จริงๆ ผมอยากได้เบอร์พี่ แต่ผมต้องรีบไปแล้ว เดี๋ยวจะไปขอจากปู๊นปู๊นแล้วกัน”

“…”

“ให้ผมเลี้ยงข้าวพี่ไถ่โทษนะ”

“…”

“อ้อ แล้วผมจะบอกว่า...” คนตัวเล็กกว่าจ้องผ่านแพขนตางอน “ผมชอบพี่ลุคนี้แหละ”

ผมมัวแต่อึ้ง ยืนเกร็งจนปากไม่สามารถขยับได้ เลยทำได้แค่ยืนมองหลังเล็กๆ นั้นจากไปอย่างเร่งรีบโดยไม่ทันได้เอ่ยร่ำลาสักคำ

ฟู่ว! รอดไป ตกบ่วงอีกแล้วกู ดีนะควบคุมตัวเองได้ค่อนข้างดี แม่งน้องจ้องทีถึงกับต้องกลืนน้ำลายอึกๆ เลยว่ะ

ฉิบหายละ ไม่ได้ตั้งใจให้น้องเขารู้สึกผิดนะ ผมแค่ไม่อยากทำให้ตัวเองน่าสมเพชเกินไป มันจะกระทบกับงานเสริมที่ได้รับมอบหมายมาเท่านั้นเอง

แต่ผมได้ยินถูกต้องใช่มั้ย น้องเขาจะเลี้ยงข้าวผมงั้นเรอะ!!! ที่สำคัญ...ยังบอกอีกว่าชอบลุคนี้ซะด้วย

ยะฮู้! ถือว่าในเรื่องร้ายก็ยังมีเรื่องดีละวะ ฝันดีแน่กู

“มึง!”

ผมเงยหน้าขึ้นมาเมื่อรู้ตัวว่าโดนเรียก จากที่เคยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนหน้านี้เป็นอันต้องสลายทันทีเมื่อเห็นผู้ชายวัยกลางคนทำท่าฟึดฟัดตรงมาทางนี้ ใส่สูทผูกไทเล่นเอานึกว่าเป็นพนักงานฉีกตั๋วเลยทีเดียว

“เห็นคนตัวเล็กๆ มาทางนี้มั้ย!!!”

สัส! เขาคุยกับคนแปลกหน้าแบบนี้เหรอ

แม่งโคตรน่ากลัวอะ “หน้าตาเป็นยังไงครับ”

“จิ๊!” อ้าว! มีสิทธิ์อะไรมาจิ๊ปากใส่กูฮึ “ผอมๆ ตาโปนๆ อ้อนแอ้นปวกเปียก”

เอ?...ทำไมคุณสมบัติคุ้นจังวะ

น้องปีใหม่หรือเปล่า...เฮ้ย!!! งั้นแปลว่าน้องมากับไอ้หน้าปลาจวดนี่เหรอ ตาต่ำมากอ่าาา

“ไม่เห็นครับ” ปากไวกว่าความคิดครับ ไม่มีทาง ผมจะไม่บอกมันหรอก ไม่รู้ว่าแม่งเป็นคนที่ทำร้ายน้องปีใหม่จนเป็นแผลหรือเปล่า รอยช้ำสีม่วงห้อเลือดยังติดตายากจะลืม

“เสียเวลาว่ะ!”

อ้าวไอ้ควาย! ตกแร็งก์ ROV มาหรือเรอะถึงหัวร้อนขนาดนี้ น่าจับไปขังรวมกับไอ้ปู๊นปู๊น ฉุนเฉียวแม่งพอกันทั้งคู่

“ขอโทษด้วยครับ”

“เฮอะ!”

พ่นลมขนาดนี้ มึงถุยน้ำลายใส่หน้าผากกูเลยสิ! ไอ้เส็งเคร็ง

ไอ้ปลาริวกิวฟึดฟัดเดินออกไปตามหาสุดที่รักของตัวเอง ตอนที่มันจากไปนั่นเองอยู่ๆ ผมก็มีอารมณ์หงุดหงิดขึ้นมาเฉย

หึ! น้องปีใหม่ เพิ่งเลิกกับเสี่ยกำพลอะไรนั่นไม่ทันไร ยืมเงินเขามาก็ยังไม่ได้ใช้ คิดจะเกาะหนุ่มแก่ใส่สูทคนใหม่อีกแล้วเหรอครับ เราแม่งซนใช้ได้เลยน้า~ เจอกันครั้งหน้าจับเขย่าแม่งให้เข็ด หึ

เดี๋ยวดิ ผมจะโมโหทำไมวะ เขาจะมากับใครอยู่กับใครก็เรื่องของเขาปะวะ ท่าจะบ้า พอๆ เลิกคิดเลย

ว่าแล้วผมก็จัดการล้วงโทรศัพท์ออกมาแล้วกดโทร.ออกทันที

“ฮัลโหลไอ้ปู๊น ได้มีคนขอเบอร์กูจากมึงยัง”

 

ช่วงเวลาปิดเทอมของใครหลายๆ คนอาจจะคือสวรรค์

เราว่างจนสามารถทำอะไรได้เต็มที่ แต่สำหรับคนอยากรวยอย่างผม เวลานี้คือบ่อเงินบ่อทองดีๆ นี่เอง

ทุกๆ ซัมเมอร์ แบรนด์เสื้อผ้าต่างๆ จะร่วมกันจัดสัปดาห์แฟชั่นโชว์ แปลว่าจะมีนายแบบนางแบบมากมายตระเวนแคสติ้งกับแบรนด์ต่างๆ เพื่อจะได้เดินแบบแสดงผลงานของพวกเขา ถ้าคุณเป็นตัวท็อป คุณอาจจะได้ร่วมงานกับทุกแบรนด์ก็ได้ ปีที่แล้วผมได้เดินตั้งห้าแบรนด์ เดินแม่งจนขาโก่งเป็นตัวโอ แต่ถ้าเทียบเม็ดเงินที่ได้ถือว่าคุ้มค่าอยู่ทีเดียวครับ

แต่งานวันนี้ ยังไม่ใช่จ๊อบใหญ่ๆ แบบนั้นครับ (เอ๊า! แล้วมึงจะพล่ามทำแมว’ไร) ผมได้รับมอบหมายให้มาถ่ายภาพนิ่งเพื่อโปรโมทข่าวสารในมหาวิทยาลัย จริงๆ แล้วผมก็ร่วมงานกับพวกสภานิสิตบ่อยนะ ส่วนมากเป็นงานฟรี แต่ครั้งนี้เซอร์ไพรส์ตรงที่เป็นงานจ้างว่ะ เพราะงั้นผมจึงกระตือรือร้นกว่าเดิมนิดนึง อิๆ

“โอ้โห! น้องดิวน่ารักมากกก” พี่ช่างแต่งหน้าร้องออกมาตอนทำหน้าที่เสร็จ ก่อนจะลุกออกไปพัก

ผมเหล่มองกระจก เชี่ยยย หล่อว่ะ เอาจริงนะ มันคือเรื่องมหัศจรรย์มาก ปกติผมอาจจะเป็นคนจืดๆ แต่พอได้แต่งหน้าแต่งตัวตอนเดินแบบหรือถ่ายแบบเท่านั้นแหละ ไม่รู้ทำไมถึงดูดีขึ้นอย่างกับเป็นคนละคน

“ไงมึง นมแน่นเชียว” บรู๊ซ เพื่อนจากโมเดลลิ่งเดียวกันเข้ามาทิ้งตัวบนเก้าอี้ข้างๆ แถมมองหน้าอกผมตาเป็นมัน

“ชอบปะ” ผมยิ้มกวนๆ

“เป็นสายล่ำแล้วเหรอ”

“ช่วงนี้เข้าฟิตเนสบ่อย” ผมว่า

“อืม…” บรู๊ซทำเป็นมองซ้ายมองขวา พอเห็นว่ารอบข้างไม่มีใครจึงพูดต่อ “งานไปถึงไหนแล้วเหรอ”

ผมเลิกคิ้ว แน่นอนครับ เราอยู่โมเดลลิ่งเดียวกันแบบนี้ แปลว่าเราเป็นนายแบบควบนักทวงหนี้เหมือนกันนั่นเอง

“น้องปีใหม่น่ะเหรอ อยากรู้ไปทำไม”

“เงินตั้งเป็นแสนนะดิว น่าตื่นเต้นจะตาย”

ผมขำเมื่อเห็นดวงตาที่เป็นประกายของคนข้างๆ “ว่าแต่บรู๊ซเถอะ งานของตัวเองเป็นไงบ้าง”

อีกฝ่ายคงรู้ว่าผมพยายามเปลี่ยนเรื่องก็เลยเบ้ปาก “เพิ่งปิดจ๊อบไปเมื่อวาน ค่าตอบแทนตั้งเจ็ดหมื่น”

ผมใจแป้วทันที อย่าพูดถึงเรื่องเงินเซ่ พอคิดได้ว่างานตัวเองยังไปไม่ถึงไหนแล้วแม่งเจ็บใจสัสๆ เอาวะ ต้องเดินหน้าสักที อยากจับเงินแสนใจจะขาดแล้ว

“น้องจักรวาลนายแบบใหม่มาแล้วค่า!!!” พี่สต๊าฟฟ์คนหนึ่งตะโกนลั่นห้อง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงใสๆ พร่ำขอโทษขอโพย

“มาแล้วครับ มาแล้วครับ มาแล้วครับ” บุคคลปริศนาวิ่งเข้ามา “ขอโทษทุกคนที่มาช้านะครับ!”

น้องคนนั้นยกมือไหว้ตลอดทาง รวมถึงผมกับบรู๊ซที่นั่งอยู่ด้วย ผมยกมือรับไหว้แบบเก้ๆ กังๆ แต่ก็ต้องนะจังงังเมื่อเห็นหน้าน้องคนนั้นชัดๆ เต็มสองตา

“อ้าว!” ผมอ้าปากค้าง

น้องปีใหม่! มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงวะ!!!

สัส! แล้วมีคนมาคุมซะด้วยนะ ไอ้หัวร้อนที่เจอในโรงหนังคราวก่อนไงล่ะ มันยังใส่ชุดสูทสีดำเหมือนเดิมเลย เหอะ! เหม็นคนรวยว่ะ

“เฮ้ยพี่!!!” น้องเขาดูตกใจไม่แพ้กัน แต่พอเห็นหน้าบรู๊ซเท่านั้นแหละถึงกับเจื่อน “สวัสดีครับพี่”

“วันนี้มีรับน้องไม่ใช่เหรอ” คนข้างๆ ผมตีหน้านิ่ง

“พอดีผมขออนุญาตออกมาครับ ถ้าทำงานเสร็จผมจะกลับไปแน่นอน”

บรู๊ซพยักหน้าเป็นอันรับรู้ เออว่ะ ลืมไปว่าเขาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน เคยเห็นแว่บๆ ในข้อมูลที่บอสส่งมาให้ว่าเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์

“บังเอิญจังเลยนะครับ”

ผมหันซ้ายหันขวา ฮะ!? น้องมันพูดกับผมเรอะ

“เอ่อ...” ผมอ้ำอึ้งตอนที่เห็นบรู๊ซหรี่ตามองอย่างสงสัย คงงงอะดิว่าน้องปีใหม่รู้จักผมได้ยังไง “มาทำงานเหมือนกันสินะ”

“ครับ ผมอาจจะใหม่ในวงการนี้ ฝากตัวด้วยนะครับ”

ไม่ต้องไหว้ บอกกี่ทีแล้วว่าให้มากราบที่อก

แฮกได้แค่ในความคิดเท่านั้นแหละครับ สุดท้ายผมทำแค่พยักหน้ารับรู้ไปเท่านั้นเอง เราจะต้องไม่แสดงความโอตะที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในใจออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้อีกเด็ดขาด เสียงานหมด

“ไปรอข้างนอกก่อน” โอ้โห! น้องหันไปสั่งไอ้หมาชุดสูทที่ตามตูดด้วยน้ำเสียงที่โคตรวางมาด ดูเด้ะ ไอ้นั่นยอมทำตามแม้จะดูไม่ค่อยพอใจอยู่หน่อยๆ

“น้องจักรวาลมาแต่งหน้าทางนี้จ้า”

พอฝ่ายน้องเดินไป บรู๊ซก็ซักถามผมทันที “ไปรู้จักกันได้ยังไงอะ”

“เรื่องมันยาว ไว้อธิบายทีหลังได้มั้ย”

“แบบนี้มันจะไม่เสียงานเหรอ”

“ใจเย็นน่าบรู๊ซ เรารู้ตัวว่ากำลังจะทำอะไร”

คนข้างๆ นิ่งไปถนัด ทำท่าทีเย่อหยิ่งเหมือนที่เป็นมาตลอด “ก็ตามใจ ระวังจะชวดเงินแสนนะ ไม่งั้นเราเสียบแทนแน่”

พูดทิ้งท้ายไว้อย่างเลือดเย็น จากนั้นร่างสูงๆ ก็เดินออกไปจากห้องโดยไม่ร่ำไม่ลา

แหม่ มีขู่ด้วยว่ะ มันน่าจับนอนราบตีก้นด้วยฟุตเหล็กให้ร้องโอดโอย

“ดิวอี้เนอะ”

“ครับ!”

ไอ้เราก็นึกว่าใครเรียก รีบสะบัดหน้าหันไปหาให้ไว สุดท้ายเห็นแต่พี่ช่างแต่งหน้ากับน้องปีใหม่หัวเราะคิกคักกันอยู่หน้ากระจก

น้องปีใหม่เม้มปากเหมือนพยายามห้ามรอยยิ้ม “มันคือการแต่งหน้าครับ หน้ามันๆ แบบเกาหลีอะ”

“อ้อ”

สัส! โชว์โง่ให้เขาหัวเราะเยาะ เส็งเคร็งเอ๊ย

“ดิวอี้ เดี๋ยวเรามาแต่งตัวตรงนี้หน่อยนะ”

“ครับ”

ผมลุกขึ้นไปยืนหน้าเซต วันนี้เราจะถ่ายภาพเพื่อโปรโมทโปรเจ็กต์ ‘แต่งชุดไปรเวท เท่แบบสุภาพ!’ ตรงนั้นเลยมีเสื้อของแบรนด์ดังมากมายแขวนเรียงเป็นตับรอการใช้สอย พี่สไตลิสต์สำรวจรูปร่างผมอย่างพินิจพิเคราะห์ว่าเหมาะกับลุคไหน

“อ้ะ” พี่คนสวยยื่นกางเกงมาให้ “ลองใส่ตัวนี้ซิ”

ในฐานะนายแบบเราต้องห้ามอายครับ เพราะว่าเวลาฟิตติ้ง ถ้าเขาสั่งให้ลองเสื้อผ้าหมายความว่าเราต้องทำกันสดๆ ตรงนั้นเลย ผมเลยปลดเข็มขัด รูดซิปกางเกงยีน จัดการถอดมันไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม

“ไม่เอาๆ หาตัวใหม่ดีกว่า”

อ้าวพี่ ยังไม่ทันหยิบก็เปลี่ยนใจซะแล้ว อะไรของพี่เนี่ย ผมค้างเติ่งมีแค่กางเกงในปกปิดร่างกายอยู่ตัวเดียวเห็นมั้ยคร้าบบบ หนาววว

“พี่ไม่รู้ว่าน้องจะเหมาะกับตัวไหนมากกว่ากันว่ะ” พี่คนสวยเกาคาง “สงสัยต้องหานายแบบอีกคนมาลอง”

แล้วจะหาที่ไหนได้ล่ะครับ ในนี้มีผู้ชายคนไหนอีกนอกจาก...

เวรแล้วไง!

ผมกับพี่สไตลิสต์หันไปทางน้องปีใหม่พร้อมกัน

“น้องจักรวาล” พี่สไตลิสต์กวักมือเรียกคนที่เพิ่งแต่งหน้าเสร็จพอดี “มาตรงนี้หน่อยสิ”

เอ่อพี่...จะเรียกน้องเขามาจริงอะ ชิท! ชิท! ชิท

น้องปีใหม่ยิ้มมาแต่ไกล ผมได้แต่ถอยติดผนังตอนที่น้องก้าวเข้ามาในเซต

แล้วทำไมคนอื่นเรียกน้องว่าจักรวาลวะ เต็มยศเชียว สงสัยตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาแล้ว

ทำขรึมถามหน่อยก็ได้ “ทำไมไม่ให้พี่ๆ เขาเรียกชื่อเล่น”

คนตัวเล็กหันมายิ้ม “เขาให้ใช้ชื่อจริงไปเลยอะครับ พอดีพี่ที่พาผมมาทำงานบอกว่าคนในสภานิสิตชื่อปีใหม่เป็นสิบแน่ะ! กลัวสับสน”

“แล้วพี่ต้องเรียกว่าอะไร”

“ตามใจพี่เลยครับ”

“อ่อ”

“แต่...” สาบานเลยว่าผมโคตรเกลียดการปรายตาของน้องเขามาก

“…”

“พี่จะเรียกว่าที่รักก็ได้นะฮะ”

!!!

“ฮ่าๆๆ” คนหน้าใสเอียงคอหัวเราะคิกคัก “ผมแหย่เล่นนะพี่”

“…”

“พี่เรียกผมว่าปีใหม่แหละครับ เพื่อนๆ พี่ๆ ในคณะผมก็เรียกว่าปีใหม่เหมือนกัน”

ฮึ่มมม แหย่เหรอ หนูแหย่พี่ได้แสบมาก ระวังโดนแหย่กลับนะน้อง จะเอาให้จุกเลย

“อ้ะได้ละ เดี๋ยวดิวอี้ใส่ตัวนี้นะ ส่วนจักรวาลตัวนี้จ้ะ” พี่สไตลิสต์ยื่นกางเกงให้พวกเราทั้งสองคน

“ผมต้องถอดตรงนี้เลยใช่มั้ยครับ”

“ใช่จ้ะ”

ขวับ! ผมรีบสะบัดหัว “ไม่ได้!!!”

“หืม? ทำไมอะครับ” น้องคนข้างๆ เอียงคอมอง

โอยยย จะบอกยังไงดีวะ บอกไปทั้งน้องทั้งพี่เขาต้องเห็นผมเป็นไอ้โรคจิตหมกมุ่นมักมากในกามแน่นอน ไม่นะน้อง ไม่ๆๆๆ ไปถอดในห้องน้ำโน่น เชื่อพี่!!!

เชี่ยเอ๊ยยย ดูเหมือนว่าจะห้ามไม่ทันแล้ววว

พรึ่บ!

ผ่าง! แสงสีขาวทำลายโสตประสาทผมแล้วเรียบร้อย โอ้...แสบตาเหลือเกิน

“ดิวอี้...ยืนตัวงออยู่ทำไม ไม่ใส่กางเกงล่ะจ๊ะ?”

“แหะๆ” ผมยิ้มแห้งๆ ในขณะที่เอากางเกงปกปิดความโค้งมนของมะม่วงอกร่องทองแสนหวาน “ปะ...ปวดท้องครับ”

“ไหวมั้ยพี่”

สัส! อย่าแตะตัวกู๊วววววว

“ไหวๆ” ผมเหงื่อตก พยายามเดินหนีให้พ้นมือน้อง “รอแป๊บนึง น่าจะไหว”

“เอาดีๆ พี่”

โอ๊ย! ไม่ต้องแตะท้องกูก็ได้!!! จิ้มกูเป็นขี้เลยหนู ฮึ่ยยย แล้วมือแม่งก็นิ่มจังนะไอ้ฉิบหาย

ผมหายใจเข้าออก พยายามนึกถึงหน้าปกหนังสือสวดมนต์เพื่อลดไฟราคะในจิตใจ พออะไรๆ เริ่มเข้าที่เข้าทางผมจึงหันหลังแล้วใส่กางเกงที่ถืออยู่มานานได้สักที

“โอเค สวยเลย พี่ชอบหุ่นเรานะ ดีกว่าแต่ก่อนเยอะ” พี่สไตลิสต์ยกนิ้ว “เดี๋ยวดิวออกไปก่อนนะ พี่ขอหากางเกงเหมาะๆ ให้น้องจักรวาลก่อนเดี๋ยวเรามาใส่เสื้อกัน”

“ครับ” ฮู่ว! รอดแล้วกู

“ตายแล้ว รอยอะไรน่ะลูก!”

ยังเดินไปไม่ทันไรก็สะดุดกึก จริงสิ เมื่อกี้แอบดูแต่ต้นขา ไม่ได้มองท่อนบนเล้ยยย รอยแผลนั้นยังไม่หายสินะ

ผมแอบมองน้องปีใหม่อยู่หลังเสา เห็นน้องทำหน้าขืนๆ ตอนที่พี่สไตลิสต์ลูบรอยม่วงๆ ใต้หน้าอกข้างซ้ายด้วยความเป็นห่วง โวะ! อย่ากดแรงนะครับ น้องเขาคงเจ็บ ยังไม่หายอีกเหรอวะ ยาที่ให้ไปไม่ได้ทาเลยรึไง

เดี๋ยวดิไอ้ดิว มึงเลิกแฮกได้แล้ว นี่แหละคือหลักฐานที่มึงสามารถเก็บไว้แบล็กเมล์ได้!!!

คิดได้อย่างนั้นผมก็รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา จัดการซูมไปยังจุดเด่นหราที่ปรากฏอยู่บนเนื้อหนังอันขาวบริสุทธิ์

หวืบบบ แชะ~ หึๆ ไหนขอดูผลงานให้ชื่นใจหน่อยซิ...

แผลพ่อง! นี่มันนม!!! รีบลบแล้วถ่ายใหม่ให้ไวเลย หัวมึงนี่คิดดีไม่ได้จริงๆ นะไอ้ดิว

งั้นเอาใหม่อีกรอบ หวืบบบ แชะ~

หึๆ เรียบร้อย...

ร่องรอยการโดนทำร้ายอยู่บนร่างกายเด็กหนุ่มหน้าใส...ถ้าขู่ว่าจะปล่อยลงโซเชียล ยังไงก็ต้องคืนเงิน!

บอกแล้วไง พี่จะไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นเหยื่ออีกครั้งหรอกครับน้อง

 

การทำงานผ่านไปได้ด้วยดี ผมบอกลาบรู๊ซเพื่อนร่วมโมเดลลิ่งและรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมกลับคอนโด แต่พอคว้ากระเป๋าทำท่าจะออกจากห้องเท่านั้นแหละ สายตาผมดันไปเห็นความขาวสะดุดตาเข้าจนต้องหยุดกึก

น้องปีใหม่ยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า ร่างบางๆ นั้นยังคงสวมแค่กางเกงในกับถุงเท้ายาวถึงเข่า มีกิ๊บสีชมพูสามตัวติดอยู่บนหัวซะด้วย ยอมรับครับว่าเห็นแล้วอ้าปากค้าง ไหนจะท่าทางเงอะงะในการกินโดนัทแบบไม่ให้มันหกนั่นอีก สดใสจังนะมึง เห็นมั้ยเนี่ยว่าคนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะแยะ ไม่อายบ้างหรือไง

ตอนแรกว่าจะไม่ยุ่งแล้วนะ งอนที่ทำให้ตัวงอไปต่อไม่ถูก แต่ถ้าจะไม่พูดแม่งก็เกินไป ยืนโทงๆ ให้คนอื่นแทะโลมทางสายตาแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกันเล่า

“รีบใส่เสื้อผ้าดีมั้ย” ผมยืนกอดอกประจันหน้ากับคนที่เตี้ยกว่า

ปีใหม่อ้าปากค้าง จังหวะที่กำลังจะงับโดนัทที่พี่ๆ สวัสดิการซื้อมาให้พอดิบพอดี “หืม?”

“ใส่เสื้อผ้าเถอะ”

“ผมกลัวไอซิ่งมันเลอะเสื้อ”

“ก็เลยยืนแก้ผ้า?”

“แหม พี่ดุจัง” คิ้วสวยๆ นั้นย่นเข้าหากันนิดหน่อย แต่รอยยิ้มก็ยังปรากฏอยู่ที่ปากอยู่ดี “ก็ได้ครับ เดี๋ยวผม...เฮ้ย!”

แหมะ!

ไส้ครีมในโดนัทหยดลงมากลางหน้าอกที่ผอมกะหร่อง เวรเอ๊ย! แล้วตาผมก็มองตามด้วยนะ มันหยดแหมะลงเหนือจุดสีชมพูสวยๆ นั้นพอดิบพอดี

“เห็นมั้ยล่ะพี่” ปีใหม่ทำสายตาดุๆ “ดีนะยังไม่ใส่เสื้อผ้า”

เฮ้ยแล้วนั่นจะทำอะไร

เดี๋ยวปีใหม่ น้องทำแบบนี้ต่อหน้าพี่ไม่ได้!!!

น้องเอานิ้วเรียวๆ ปาดครีมขึ้นมาดูดต่อ!

“จ๊วบ”

“…”

“แหะๆ” ยิ้ม ยิ้มอีกแล้ว! “เสียดายอะ”

เอื้ออออออ มันจะเกินลิมิตพี่แล้วนะน้อง นี่กูกำลังมองอะไรอยู่ หนัง AV งั้นเรอะ!!! สงสัยต้องให้ดุแล้วละมั้งเนี่ย ไม่เคยเชื่อฟังกันเล้ย

“ใส่เสื้อผ้า!”

“…”

“แล้วกลับบ้านซะ” ผมกระซิบปิดท้าย

ตาโปนๆ นั้นทำงงอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายน้องปีใหม่ก็ยอมวางขนมที่ยังกินไม่หมดไว้บนโต๊ะ จัดการคว้าเสื้อผ้าของตัวเองและรีบวิ่งเข้าห้องแต่งตัวทันที

“พี่ครับ!” เสียงนั้นดังมาจากหลังผ้าม่าน

“อะไร!”

“พี่รอผมก่อนนะ”

จะให้รอทำไมวะ

ผ่านไปไม่นาน น้องปีใหม่ในสภาพที่มีเสื้อผ้าปกปิดร่างกายก็เดินออกมาจากห้องเปลี่ยนชุด น้องหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นบ่า เดินตรงรี่มายิ้มกว้างตรงหน้าผมทันที

“อะไร”

คนตัวเล็กกระตุกยิ้ม “อะไรเนี่ย ทำไมวันนี้ดูเย็นชาจัง”

“ก็ปกติ”

“น่ารักให้เหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรกสิครับ”

“ที่น้องหาว่าพี่โรคจิตอะนะ”

“ไม่ช่ายยย” น้องโบกมือให้ยุ่ง “หมายถึงพี่อะ คุยกับผมแบบคนรู้จักกันหน่อยสิ นี่อะไร ทำอย่างกับเจอกันครั้งแรกไปได้ จะตีเบลอว่าไม่เคยคุยกับผมเหรอ ไม่ทันแล้วมั้ยล่ะพี่ ฮ่าๆ”

“…”

ผมได้แต่ยืดกอดอกนิ่ง ตกตะลึงกับความสดใสตรงหน้าไปแล้วเรียบร้อย

เชี่ยยย คนอะไรวะหัวเราะพร้อมๆ กับพูดได้ ความสามารถพิเศษที่น่ายกย่องจนอยากซื้อบัตรจับมือเพื่อซัปพอร์ต

“จะกลับได้หรือยัง” ผมทำท่าจะเดินหนี

“เดี๋ยวดิพี่” เฮ้ย! มีการจับแขนผมด้วยว่ะ “ผมเคยบอกว่าจะเลี้ยงข้าวพี่ไม่ใช่หรือไงเล่า”

ใช่จ้า แล้วใครบอกกันน้า~ว่าจะขอเบอร์มาจากไอ้ปู๊น ป่านนี้ยังไม่มีใครโทร.มาเล้ยยย

ผมทำเป็นพูดขรึมๆ อย่าให้อีกฝ่ายรู้ว่าเราดีใจเด็ดขาดครับ “อืม นึกว่าลืมซะแล้ว”

“คิกๆ ดูทำท่าทาง เปลี่ยนลุคนิดหน่อยก็ทำขรึมเลยนะ” น้องปีใหม่ส่ายหัว “แต่ผมยังเลี้ยงพี่ไม่ได้หรอกน้า~ พอดีวันนี้ต้องกลับไปรับน้องต่ออะ”

“ไม่เป็นไร ถ้าลำบากไม่ต้องก็ได้นะ”

กูพูดไปงั้นแหละ ปฏิเสธสิ ปฏิเสธ ปฏิเสธเลยหนูววว!

“ไม่ได้หรอก ผมสัญญากับพี่ไว้แล้ว”

เยส!!! ดีมากลูกที่รักษาสัญญา คนอย่างน้องมีแต่จะเจริญๆ สาธุ

“อืม ไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ย ไว้เจอกันนะ”

“โอ๊ยพี่! ผมซื้อได้มั้ยคำว่าอืมอะ เก็บไว้ใช้ในไลน์เถอะ” ผมแอบขำในใจตอนที่น้องบุ้ยปาก นี่โกรธแล้วใช่มั้ยฮะ! น่าหยิกชิบเป๋ง “ถ้างั้นก็สวัสดีนะครับ”

พอน้องยกมือไหว้ ผมก็รีบกระชับกระเป๋าให้มั่นทันที เอาละ ถึงเวลากลับไปนอน เดี๋ยวเปิดเทอมจะไม่ได้นอนเอา

“พี่ครับ!”

“…”

อะไรอีกล่ะวะ

น้องปีใหม่ทำหน้ารู้สึกผิด ยอมรับครับว่าเห็นแล้วโกรธไม่ลง “หืม?”

“เอ่อ...ที่นี่มีทางออกไหนอีกมั้ยที่ไม่ใช่ประตูข้างหน้า”

“ทำไมอะ มีคนรอรับอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่ครับ แต่ว่าผมไม่อยากเจอเขาแล้ว” น้องก้มหน้า ไม่รู้ว่ากังวลผมจะโกรธเอาหรือเปล่า “พี่ช่วยผมหน่อยได้มั้ย”

“…”

สัสเอ๊ย! คนอะไรทำหน้าเศร้าได้ขนาดนี้วะ ยิ่งดวงตาโปนๆ เหมือนโดนป้ายพิมเสนแบบนี้ แม่งอย่างกับโลกกำลังจะแตกอยู่รอมร่อ

“มีอีกทาง แต่ต้องผ่านทางระเบียงข้างหลัง” ผมกอดอก “คิดว่ากระโดดจากชั้นสองไหวมั้ย”

น้องปีใหม่ระบายยิ้ม “ไหวครับ สบายมาก!”

“งั้นไปกับพี่ รถพี่จอดอยู่ตรงนั้นพอดี”

“เฮ้ย! พี่แค่พาผมออกไปก็พอ เดี๋ยวผมหาทางกลับเอง”

“จะกลับคณะไม่ใช่หรือไง ยังไงต้องผ่านไปทางนั้นอยู่แล้ว”

“จะดีเหรอครับ”

“แล้วแต่นะ เห็นจะหนี พี่ก็แค่ยื่นมือช่วย”

น้องปีใหม่ชั่งใจอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็พยักหน้าซ้ำๆ จนผมเผลอยิ้ม “ก็ได้ครับ”

“ตามมา”

ผมหันหลังเดินนำ พอพ้นสายตาน้องเขาเท่านั้นแหละ แก้มระเบิดตู้มมม ยิ้มแบบไม่กลัวใครหาว่าบ้าเลยครับ

เห็นดื้อๆ จริงๆ ก็เป็นเด็กดีเหมือนกันนี่หว่า

 

“ตรงไหน”

“เฮ้ยพี่ จอดตรงเมื่อกี้ก็ได้ ไม่ต้องเลี้ยวเข้ามาหรอก”

“ไม่ทันแล้ว” หักพวงมาลัยขนาดนี้ดื้อไม่ได้แล้วนะน้อง “สรุปจะลงที่ไหน ลานหน้าตึกสินกำ?”

“ครับ รบกวนด้วยนะพี่”

หึ! มารยาทงามยกมือไหว้แล้วยกมือไหว้อีก อยากมีลูกน่ารักแบบนี้ว่ะ

ผมชะลอจอดที่ลานกว้างๆ ใกล้ๆ ตึกที่ว่านั้น ไม่ใกล้ไม่ไกลมีน้องๆ ว่าที่ปีหนึ่งนั่งเข้าระเบียบโดนพี่ว้ากตะโกนด่าจนตัวสั่น ถ้ามองไม่ผิดน่าจะนำทีมโดยไอ้อู๋ประธานรุ่นสินกำผู้เคยอยู่ชมรมอะนิเมะคลับกับผมตอนปีหนึ่ง ใกล้ๆ กันมีสาวผมสั้นย้อมสีแดงยืนเท้าเอวบนส้นสูงที่สูงอย่างกับยืนเขย่ง ส่วนด้านหลังน้องๆ มีก้อนสีเหลืองๆ นั่งแหมะดมยาดมอยู่ เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ผู้ใส่เสื้อยืดสีมัสตาร์ดคนนี้คือกุ้งสินกำคนที่ไอ้ปู๊นน้องชายผมอยากถ่ายรูปด้วยจนตัวสั่นนั่นเอง

“ดูน่าสนุกดีนิ” ผมพูดออกมา เห็นบรรยากาศแล้วคิดถึงสมัยเรียนปีหนึ่ง ตอนนั้นทุกคนต่างตกใจกับวัฒนธรรมบ้าระห่ำของคณะนี้

“สนุกดีนะพี่ แต่เหนื่อยโคตรเลยว่ะ” คนข้างๆ ผมทำหน้ามุ่ย “เออ! พี่รุ่นเดียวกับพวกพี่ๆ เขานี่หว่า สืบให้หน่อยสิว่าพี่เทคของผมคือใคร”

“ชื่ออะไรล่ะ”

“พี่เจี๊ยบ”

“เออ ไว้ถามให้” ผมพยักหน้า “แต่อย่าไปอยากรู้เลย พี่เทคคือเสน่ห์ของการรับน้อง เก็บไว้เป็นเซอร์ไพรส์ดีกว่า”

“นั่นสินะครับ” สุดท้ายก็ยอมพยักหน้าเห็นด้วย “ผมไปแล้วนะ”

“เดี๋ยว” ผมรั้งน้องเขาไว้ ว่าจะพูดอะไรหน่อย เห็นมานานแล้วรู้สึกอึดอัด

กึก! กึก!

ผมเคาะไปที่ก้านจูปาจุ๊บที่โผล่ออกมาจากช่องปากของน้องปีใหม่ซึ่งเจ้าตัวดูดแจ๊บๆ โชยกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่มาตลอดทาง ถึงจะดูน่ารัก แต่ในฐานะหมอฟัน เห็นแล้วมันอึดอัด

“อย่าอมมันบ่อยรู้มั้ย” ผมขมวดคิ้ว “ชอบกินของหวานหรือไง ก่อนนี้ก็โดนัท นี่ก็จูปาจุ๊บ เดี๋ยวฟันผุกันพอดี”

“ผมตรวจฟันตลอดๆ แหละพี่”

“นั่นไง ทำเก่ง”

“อ้าว!” จู่ๆ น้องเขาก็ขยับตัวหันเข้าหาผม “นี่พี่คิดจะดุผมอีกแล้วเหรอ”

“…”

เชี่ย! ทำไมกูรู้สึกแปลกๆ วะ เหมือนกับโดนข่ม

“อย่ามาทำเหมือนกับว่าผมเป็นหมาของพี่น้า~”

“…”

“อ้าปาก”

“ฮะ!?” อะไรวะ อยู่ดีๆ ก็มาสั่ง

“อ้า - ปาก”

“…”

อยู่ๆ ตาน้องปีใหม่ก็แข็งซะจนผมใจสั่น จะว่ากลัวก็ไม่ใช่ ออกแนวหวั่นๆ มากกว่า แต่สุดท้ายก็ยอมทำตามอย่างที่อีกฝ่ายว่าโดยดีครับ

“กินแทนผมหน่อย”

“เฮ้ย! อุ๊บ OxO”

ยังไม่ทันได้ตั้งตัว จูปาจุ๊บที่ก่อนหน้านี้เคยอยู่ในปากน้องปีใหม่ บัดนี้มันย้ายมาในปากของผมเรียบร้อย ด้วยการป้อนของเจ้าตัวเอง!

อะไรกันวะเนี่ย อ๊ากกกกกกกกก

“คิกๆๆ”

หัวเราะอะไรวะไอ้เด็กบ้า!

“…”

“ผมเสียดายอะ พี่คงไม่รังเกียจเนอะ”

อืม...แจ๊บๆๆ ก็หวานดีหนิ ไม่รู้ว่าหวานที่รสสตรอว์เบอร์รี่หรือหวานที่รสปากน้อง

“ผมไปแล้วนะครับ ขอบคุณนะ”

อ้าว! แล้วคิดจะหนีลงจากรถไปง่ายๆ ทั้งๆ ที่พี่กำลังอึ้งอยู่แบบนี้อะเหรอไอ้หนู!

“โอ๊ย! เกือบลืม” น้องปีใหม่กระชากประตูออกอีกครั้ง “ขอบคุณนะครับที่พาผมหนีออกมา ไม่ได้พี่ผมแย่เลย”

อยู่ๆ ก็ทำหน้าจริงจัง อะไรของเขาวะ เดายากจริงๆ

“ไม่เป็นไร”

“พี่ดิวอี้ครับ”

“ว่าไง”

น้องปีใหม่เอียงคอพร้อมกับรอยยิ้มอันสดใส “ไม่มีอะไรครับ แค่อยากทดสอบว่าพี่ชื่อดิวอี้จริงๆ หรือเปล่า”

“…”

“ผมรู้ชื่อพี่ตั้งแต่ที่ห้องแต่งหน้าแล้ว” โว้ยยย เลิกยิ้มแบบนี้ซะที มัน...แฮก แฮกจนคุมไม่อยู่แล้ว “ส่วนผมปีใหม่นะ”

“อืม ก็รู้แล้วไง”

“แต่ยังไงผมก็ยังรอให้พี่เรียกว่าที่รักอยู่จริงๆ นา”

“…”

“คิกๆ ไปแล้วครับ!”

ปึก!

พอประตูกระแทกปิดเท่านั้นแหละครับ มือไม้ผมอ่อนทิ้งลงข้างตัวทันที ตูดนี่แทบจะพาตัวไหลไปกองรวมกันอยู่ที่คันเร่ง สัสเอ๊ยยย เก็บอารมณ์ต่อหน้าน้องแม่งไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วดูที่มันทำ อย่างนี้เขาเรียกว่าอ่อยหรือยั่วยวนโดยธรรมชาติวะ!!!

แต่ถึงยังไงก็เถอะครับ วันนี้น้องแม่งแฮกฉิบหาย

เวรเอ๊ย! สงสัยคืนนี้ต้องซื้อบรีส

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น