3

แหย่อยู่นั่นแหละ


EP.3

แหย่อยู่นั่นแหละ

แม้จะปิดเทอม แต่อย่าลืมว่าเราอยู่ปีสองครับ และหน้าที่สำคัญมากๆ ของปีสองอย่างเราก็คือการรับน้องปีหนึ่ง แก๊งสามแยกปากอุ๋งของเราจึงต้องพาร่างกายอันขี้เกียจๆ ออกจากคอนโดมาที่หน้าตึกคณะทันตแพทยศาสตร์อย่างจำใจ ถึงจะไม่ค่อยอยากยุ่งกับระบบรับน้องแค่ไหน แต่พวกผมก็สุภาพบุรุษมากพอที่จะไม่เอาเปรียบเพื่อนครับ

“ปีนี้น้องๆ ไม่มีใครแฮกๆ เลยว่ะ”

“มึงไปหาหมอดีมั้ยฮึ อะไรจะหมกมุ่นขนาดนั้นวะ” ผมที่นั่งกระดิกเท้าอยู่ถึงกับทำหน้าเอือมใส่เอิร์ลเพื่อนรัก ไอ้ห่านี่แม่งก็พูดไม่เคยพ้นเรื่องอะไรพวกนี้เลยไอ้ห่า! สู้ผมก็ไม่ได้ ขรึมๆ คูลๆ (แบบเสแสร้งแกล้งทำ)

“ไอ้ควาย อย่าให้พวกกูรู้ความลับมึงนะ”

“ฮะ!?” ผมนิ่วหน้า “ความลับอะไรวะ”

“กูกับไอ้เอิร์ลกำลังคิดว่ามึงเปลี่ยนไป” ไอ้ทิมหรี่ตาทำเป็นจับผิด “น่าจะมีเมียหรืออะไรสักอย่าง”

“เพ้อเจ้อว่ะ” แล้วทำไมผมต้องทำเป็นเบนหน้าไปทางอื่นด้วยวะ

“มึงทำตัวแปลกๆ ตั้งแต่หันมาดูแลตัวเองแล้ว” ไอ้ทิมยังคงคาดคั้นไม่เลิก “จะยอมรับมาดีๆ หรือให้พวกกูจับมึงไปเค้น”

“เค้นเหี้ย’ไร”

“เค้นนมมั้งสัส! เค้นความลับจากมึงอะ”

ผมยิ้มกวนตีน “อย่าสาระแนจ้า”

แต่ขณะที่พวกเรากำลังพูดคุยกันอย่างออกรสอยู่นั้นก็มีน้องคณะกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ผมสำรวจป้ายชื่อเห็นว่าหนึ่งในนั้นมีน้องรหัสผมอยู่ด้วย ‘สมาย 0734’ เด็กหนุ่มจากเหนือหน้าตาบ้านๆ ขี้เก๊กนิดๆ แต่พอดูรวมๆ แล้วก็เป็นคนสัปปะรังเคที่น่าคบดี ดูจริงใจ

“อะไรครับ” ไอ้เอิร์ลกอดอก “เรียงหน้ากระดานเป็นขบวนการห้าสีเลย”

“พวกหนูอยากได้ลายเซ็นพี่อะค่ะ” น้องผู้หญิงรูปร่างท้วมๆ ซึ่งดูท่าแล้วจะเป็นแกนนำของกลุ่มนี้กล่าว

“โห่ ขอกันง่ายๆ งี้เลยอะนะ”

“พอๆ อย่าไปกวนตีนน้องไอ้ทิม” ผมทำท่าจะหยิบสมุดน้องๆ มา แต่ไอ้ห่าเอิร์ลที่นั่งข้างๆ ปัดแขนผมออกซะก่อน

“อย่าเพิ่งดิว้า มึงลืมไปแล้วหรือไงว่าตอนเราขอลายเซ็นรุ่นพี่แม่งลำบากขนาดไหน”

ผมพยายามนึกตามว่ามีอะไรบ้างนะที่ตัวเองโดนรุ่นพี่สั่งให้ทำ...ถอดเสื้ออวดพี่ปีสี่ เดินเท้าชี้ฟ้ารอบคณะ ร้องเพลงบอดี้สแลมในห้องสมุด

เออว่ะ ลำบากจริง กูไม่ให้ละ ขอโทษทีนะน้องๆ ใกล้ๆ เปิดเทอมค่อยมาขอใหม่ละกัน

“เอางี้” หัวไอ้เอิร์ลคงคิดแผนได้ “น้องๆ ช่วยหาเมียให้เพื่อนพี่หน่อย ถ้าทำสำเร็จได้ลายเซ็นจากพวกพี่ทั้งกลุ่มเลย”

“เพื่อนพี่คนไหนคะ” น้องคนเดิมถามกลับ

“คนนี้” ไอ้เอิร์ลชี้ที่ผม

“โอเคค่ะ ตอนแรกหนูก็นึกว่าคนนี้” น้องชี้ไปทางไอ้ทิมแบบเกร็งๆ “ยากไป”

“อ้าวน้อง!”

“ฮ่าๆๆ พอๆๆ” ไอ้เอิร์ลกดตัวเพื่อนไว้กับเก้าอี้ได้ทัน “น้องไปเอาใครก็ได้มาให้เพื่อนพี่ที เดี๋ยวจะให้มันตัดสินเองว่าอยากได้เป็นเมียหรือเปล่า”

“รับทราบค่ะ”

“เร็ว! ให้เวลาห้านาที!”

แล้วน้องๆ ก็วิ่งกันออกไป

“ไอ้เหี้ย ไปแกล้งน้อง” ผมส่ายหัวให้กับความปัญญาอ่อนของมัน

“เออน่า เผื่อมึงเจอคนเด็ดๆ ก็ใช้สอยต่อได้เลยไง”

“พูดไปเรื่อยคนอย่างมึงอะ”

“พี่คะ! พร้อมแล้วค่ะ!!!”

ผมแทบจะอ้าปากค้างตอนน้องๆ กลุ่มนั้นเดินกลับมา อะไรจะเร็วขนาดนี้วะ!!! อาบน้ำถูสบู่ยังไม่ทันทั่วตัวเลยมั้งเฮ้ย

“เร็วฉิบหาย” ไอ้เอิร์ลก็อึ้งไม่แพ้กัน “อ้ะ ไหนดูซิว่าพาใครมา”

พรึ่บ!

แล้วกลุ่มน้องๆ ก็แหวกทางออก ผมแทบจะสำลักน้ำลายเมื่อเห็นใครบางที่ยืนเกาแก้มเขินๆ อยู่ด้านหลัง

น้องปีใหม่!!!

เจอกันอีกแล้วเหรอวะ!

“แหะๆ หวัดดีพี่” น้องโบกมือ และดูเหมือนว่าตั้งใจจะโบกให้ผมคนเดียวซะด้วย แต่เผอิญว่าไอ้เอิร์ลกับไอ้ทิมหันมามองผมหวังจะจับผิดอยู่ ผมเลยทำเป็นตีเบลอเก๊กหน้าแข็งรอดตายได้หวุดหวิด

น้องปีใหม่เห็นผมทำเฉยเมยก็ลดมือลงพร้อมกับเกิดความงงบนใบหน้า เออ อยากโบกมือให้เหมือนกันแหละ แต่ตรงนี้ไม่ได้โว้ยน้อง

“อย่าลืมทำอย่างที่บอกนะ” น้องผู้หญิงคณะผมเดินเข้าไปกระซิบ แถมยังมีการผลักหลังน้องปีใหม่ให้เดินมายืนอยู่ตรงหน้าผมซะด้วย

ชักไม่ดีละ

น้องปีใหม่ยิ้มจนตาหยี “พี่ชอบผมมั้ยครับ”

แน่ะ! มีการเอียงคงเอียงคอ

“อ้าวสัสดิว มึงตอบน้องเขาไปดิ” ไอ้เอิร์ลตีไหล่ผมดังป้าบ

เวรเอ๊ยยย รู้แหละว่าโดนเสี้ยม แต่น้องจะมาพูดแบบนี้กับพี่ไม่ได้นะ

ผมทำเป็นชมนกชมไม้ “ก็ดี๊”

“โห! ใจแข็งว่ะ” ไอ้ทิมทำเป็นเกาคางชื่นชมแบบเฟคๆ “แต่งี้ก็แปลว่าไม่ผ่านอะดิวะ”

“ก็น่ารักดี” ผมยักไหล่ “แต่ก็งั้นๆ อะ”

ผมแอบเห็นหน้าน้องปีใหม่บึ้งตึงขึ้นมาทันที แถมทำเป็นกอดอกดูไม่ค่อยพอใจ

“งั้นยังไม่ได้ลายเซ็นนะครับน้องๆ พี่เสียใจด้วย”

พอสิ้นเสียงไอ้เอิร์ล น้องๆ คอตกสีหน้าผิดหวังทันที ทำเป็นจะเดินไปหาเหยื่อรายใหม่แล้วนะ แต่น้องต่างคณะที่ยืนอยู่ข้างหน้าผมนี้ดั๊นนนโพล่งขึ้นซะก่อน

“เดี๋ยวครับ”

“…”

ผมจ้องใบหน้ามึนๆ ที่ตอนนี้เรียบเฉยอย่างสำรวจท่าที แบบนี้ไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่เลยแฮะ

“ผมให้โอกาสพี่อีกที” น้องปีใหม่ยิ้มมุมปาก การยิ้มครั้งนี้ต่างจากที่เคยเห็น รู้สึกว่าเหมือนน้องกำลังเย้ยหยันผมยังไงก็ไม่รู้ “พี่ชอบผมมั้ยครับ”

“…”

“พี่ดิว”

“เฮ้ย!” ไอ้เอิร์ลกับไอ้ทิมร้องลั่นออกมาพร้อมกันตอนน้องปีน้องปีใหม่ปีนขึ้นมานั่งคร่อมบนตักผมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

ส่วนผมอะเหรอ...ก็อึ้งแดกสิครับ

น้องแม่งกล้าทำงี้ได้ไงวะ คนเยอะแยะเห็นมั้ยเนี่ยโว้ยยย!!!

“พี่ดิว พี่ดิว...” แขนเล็กๆ อย่างกับตะเกียบตวัดเกี่ยวไว้รอบคอ “เร็วๆ ผมให้โอกาสพี่พูดอีกที”

“อ๊ะ” ผมเผลอร้องออกมาเบาๆ ตอนที่สะโพกเล็กๆ นั้นทำทีบดลงมาแบบหยอกล้อ

แต่ผมไม่ได้ล้อเล่นด้วยนะ!!!

“ทำแบบนี้ทำไม” ผมจ้องเข้าไปในดวงตาคนบนตัก

“ก็ผมไม่อยากให้พี่เป็นเด็กโกหกอะ”

“แต่แบบนี้มัน...” อั้กกก เบียดอีกแล้ว โอ๊ย! ไอ้หนู!!!

“แค่พูดออกมาก็พอ แบบที่พี่รู้สึกจริงๆ อะ”

เบียดอีกแล้ว

ถึงร่างกายจะคุมไม่ค่อยไหว แต่ในใจกระซิบมาว่า ‘อย่าให้ความมืดครอบงำเจ้า’

“ไม่” ผมตอบชัดถ้อยชัดคำ ใช้แรงเฮือกใหญ่คุมเสียงไม่ให้เฮนไตแบบผู้แพ้

“ขนาดนี้แล้วพี่ยังปากแข็งอีกเหรอเนี่ย ใช้ไม่ได้เลย”

“…” ผมหดคอหนีตอนที่น้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ชิท! จมูกสูดกลิ่นหมากฝรั่งสตรอเบอรี่เข้าปอดจังๆ ทำไมชอบเคี้ยวชอบอมอะไรที่ทำให้ฟันผุตลอดเลยวะ

เดี๋ยวไอ้ห่า! มึงกำลังจะตายอยู่รอมร่อเสือกยังมีหน้าตรวจสุขภาพช่องฟันของเขาอีก สู้สิวะ!!!

“ลุก”

“ไม่” ยัง ยังจะเขยิบเข้ามาใกล้อีก

กูทนไม่ไหวแล้วนะ

ผมตั้งท่าจะจู่โจมเด็กดื้อตรงหน้าที่ซอกคอขาวๆ ด้วยความหน้ามืด แต่ทว่าจังหวะที่กำลังจะโน้มตัวไปหาอีกฝ่ายนั้นเอง น้องปีใหม่กลับผลักผมจนเกือบหงายหลังซะก่อน

“แบบนี้ถือว่าเป็นคำตอบได้ปะครับ?”

ผมมองตามนิ้วเรียวๆ ที่กำลังชี้...

สัส! นี่ผมจับเอวน้องอยู่เรอะ!

แถมไม่ได้จบนอกผ้า แต่กลับล้วงเข้าไปใต้เสื้อโดนเนื้อเต็มๆ เลยด้วย!

บ้าเอ๊ย! ก็ว่าทำไมนิ่มมือจัง แฮกกกกกก

“เอ่อ...” ไอ้เอิร์ลกับไอ้ทิมอ้ำอึ้ง มองมือผมที่กดลงบนเอวจนเนื้อบุ๋ม ก่อนจะเป็นคนแรกที่พยักหน้าออกมา “ดะ...ได้ครับๆ”

น้องปีใหม่ยิ้มแป้น เอี้ยวตัวไปหากลุ่มน้องคณะผมอย่างดีอกดีใจอย่างกับจะได้ลายเซ็นซะเอง

“ดีใจด้วยน้า~”

เดี๋ยว สนใจกูก่อนเฮ้ย! ยังค้างเติ่งอยู่แบบเนี้ยเห็นมั้ย

“เฮ้อ! ตอบมาตรงๆ ตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง” ปากสีชมพูสดนั้นขยับมุบมิบ น้องปีใหม่กระโดดออกจากตักไปแล้ว มีแต่ผมที่มองเอวบางๆ นั้นด้วยความเสียดาย

“ขอบใจมากนะคะ/ครับ” น้องๆ คณะผมแทบจะยกมือไหว้เด็กสินกำ

“เฮ้ย! ไม่เป็นไรเลย คณะเราก็รับน้อง เข้าใจเลยอยากช่วย” หลังจากตอบ น้องปีใหม่ก็พลันมองมาทางผม “พี่ๆ”

“…”

มือสวยๆ เคาะ ที่คางตัวเองโชว์ “เก็บอาการหน่อยพี่”

ฮะ!? คางผมเป็นอะไร...

“เฮ้ย! ไอ้ดิวแม่งน้ำลายหก!!!”

“ฮ่าๆๆๆ อ้าปากหวอเลยไอ้สัสเอ๊ยยย”

“น้ำลายเหี้ย’ไร!” ผมลองปาดคางแล้วไม่เห็นเจอน้ำอะไรสักหยด กูแค่อ้าปากค้างโว้ยยย

“ไปละนะครับ สินกำสวัสดีครับ” น้องปีใหม่ยิ้มหวานก่อนจะยกมือไหว้ลา ตายังคงจ้องผมไม่เลิก จ้องแบบสะใจซะด้วย!!!

ผมมองหลังเล็กๆ นั้นเดินจากไปอย่างโกรธแค้น มือไม้นี่สั่นไปหมด อย่างอื่นก็สั่นจนต้องนั่งไขว่ห้าง

หึ! แสบนักนะน้อง เดี๋ยวเราได้เห็นดีกัน

“ขอลายเซ็นหน่อยค่ะพี่”

“เดินเข้ามาใกล้ๆ กูลุกไม่ได้!”

 

RRRRRRRRR

ผมสะดุ้งตื่นเพราะรู้สึกตัวว่าโทรศัพท์กำลังสั่น พอดูเวลาหัวเตียงเท่านั้นแหละ หงุดหงิดเลยครับ! นี่มันสิบโมงเช้าเองนะโว้ย! ปิดเทอมทั้งทีขอกูนอนนานๆ หน่อยไม่ได้รึไงวะ เมื่อวานก็ไปช่วยดูน้องแล้วไงจะเอาอะไรกับผมอี๊กกก

ห่า! แล้วเบอร์ก็ไม่คุ้นด้วยไง ถ้าสรุปโทร.ผิด กูจะด่าให้ครางหงิงๆ เป็นหมาเลยสัส

“โมชิ โมชิ”

[เอ่อ ขอโทษนะครับ] เสียงนั้นดูเก้อๆ เขินๆ [ใช่พี่ดิวอี้หรือเปล่า]

“…”

[ผมปีใหม่เองนะ]

RRRRRRRRRR

“ถือสายรอก่อน แป๊บนะ” ใครมันโทร.ซ้อนเข้ามาวะ ไอ้บ้าเอ๊ย! ตาผมก็ปรือๆ พร้อมจะปิดอยู่รอมร่อ “โมชิ โมชิ”

[ไอ้พี่บ้า! ไอ้มหาเฮนไต!!! มึงไปทำอีท่าไหนให้พี่ปีใหม่มาขอเบอร์มึงจากกู ฮะ!? ไอ้...]

“หมดเวลา ค่อยโทร.มาด่าใหม่นะ”

[อ้าว! ไอ้!!!]

ตึ๊ด!

กลับมาที่สายหลักของเช้านี้ครับ เมื่อกี้ค่อนข้างเบลอๆ ไหนขอทบทวนอีกครั้งให้ชื่นใจ “อืม ใครนะครับ”

มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวแทรกมาจากปลายสาย น้องมันอยู่ที่ไหนวะเนี่ย สนามเด็กเล่นโรงเรียนอนุบาลเด่นหล้ารึไง

[ผมปีใหม่เองพี่]

“…”

ผมลูบหน้าลูบตาตัวเองให้สดชื่น พร้อมกับพาร่างเปลือยท่อนบนนั่งพิงกับหัวเตียง นี่มันห้องนอนของผม ในเมื่อมันไม่มีใครอยู่แถวนี้ จะผิดอะไรกันเล่าหากเราจะยิ้ม

โว้ยยย น้อง น้องงงงงง!!! น้องโทร.มา น้องจ๋า ไอ้ลูกหนี้ที่รัก!!!

“อืม” ผมทำหยิ่ง แต่มือนี่จิกหมอนจนนุ่นจะระเบิดอยู่แล้ว “เอาเบอร์มาจากไหนครับ”

[ผมเคยบอกพี่แล้วน้า~ว่าจะขอเบอร์มาจากปู๊นปู๊น]

น้องแม่งคงไม่เก๊ตกับคำว่าหาเรื่องคุยแน่ๆ พี่รู้แต่พี่อยากถามอะ อยากได้ยินเสียงนุ่มนิ่มปนความดุแบบนี้อะผิดเหรอ

“อืม”

[บอกว่าให้เก็บคำว่าอืมไว้ใช้ในไลน์! เดี๋ยวตีซะเลย]

ตีตรงไหนดีหนู พี่จะได้ยื่นให้ถูก แต่พี่จะตีหนูก่อนนะ เมื่อวันก่อนเล่นซะพี่ยืนไม่ตรงเลย

ผมลุกพรวดจากผ้าห่มลายเบ็นเท็นแสนอบอุ่น พร้อมกับพาร่างที่สติสตังเริ่มเข้าที่ออกไปยังระเบียง คว้าเอาซองบุหรี่ส่วนกลางที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเคาะ พอมวนยาสูบโผล่ออกมา ผมก็คาบก้นสีน้ำตาลของมันไว้ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งซึมซับบรรยากาศยามเช้าพร้อมกับควันสีเทา

[พี่สูบบุหรี่เหรอ]

“เออ”

ผมทำแบบนี้ทุกเช้าแหละ มันช่วยให้ถ่ายได้ดี แต่ไม่ได้ดูดมันทั้งวันทั้งคืนนะครับ ไม่ได้ติดขนาดนั้น ก็มีบางตอนปาร์ตี้ แต่ไม่ถึงกับควักมาจุดไฟแช็กทุกชั่วโมง แถมยังไม่ได้พกอีกต่างหาก

[ไม่ดีเลยน้า~]

“รู้”

[...]

สัส! คงเย็นชาไป ดึงสติหน่อยน่าดิว “พยายามเลิกอยู่”

[ทำให้ได้นะ สู้ๆ]

“สรุปว่าโทร.มาแต่เช้าแบบนี้มีเรื่องอะไร” ต้องเข้าเรื่องสักที ก่อนที่ผมจะหงุดเงี้ยวไปมากกว่านี้ น้ำเสียงของน้องแม่งโคตรเสนาะหู

[ผมจะชวนพี่ไปกินข้าวฮะ พอดีวันนี้ผมว่าง เลยอยากจะเช็กว่าพี่ว่างเหมือนกันหรือเปล่า]

“ว่าง”

[อ้อ…] เสียงใสๆ นั้นดูตกใจเล็กน้อยที่ผมตอบแบบไม่คิด ซึ่งก็ไม่คิดจริงๆ ครับ [งั้นเรามาเจอกันในม.ได้มั้ยครับ พอดีผมแวะมาประชุมรุ่น แต่จะเสร็จแล้ว]

“ได้ หน้าตึกสินกำใช่มั้ย”

ขอถอนคำพูดเรื่องที่วันนี้ขี้เกียจนะครับ ที่จริงแล้วค่อนข้างกระปรี้กระเปร่ามากเลยละ สดชื่น!!!

[ใช่เลยครับพี่]

“ไม่เกินครึ่งชั่วโมงเจอกัน”

[พี่ดิวอี้]

“หืม?”

[แต่งตัวเท่ๆ นะ] ปลายสายว่า [ผมอยากเดินกับคนหล่ออะ]

“…”

หึ! งั้นเตรียมตัวเจอจัสติน บีเบอร์ได้เลยน้อง

แต่คิดได้แค่ในใจครับ เพราะสุดท้ายผมก็กลับไปวางฟอร์ม “ไร้สาระ”

[แหม ผมล้อเล่นน่ะพี่ แต่งมาธรรมดาๆ แหละครับ วันนี้ผมก็ชิลล์ๆ]

แหมะ ไอ้เด็กนี่...“แค่นี้แหละ จะไปอาบน้ำ”

[อย่าเพิ่งกินอะไรมาก่อนนะ ผมจะเลี้ยงชุดใหญ่ เอาให้พุงแตกเลย]

ผมกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยตอนที่ได้ยินคำพูดนั้น อะไรจะสดใสขนาดนี้วะ พาให้ใจฟุ้งซ่านอยู่เรื่อย

“แค่นี้แหละ”

ผมดับบุหรี่ตอนกดวางสายพอดี แอบลอบยิ้มกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในมืออย่างกับคนบ้า พอนั่งไปสักพักก็คิดได้ว่า เออ กูมีงานที่ต้องทำนี่หว่า

หวังว่าวันนี้จะได้อะไรดีๆ มาใช้ทวงหนี้บ้างนะ

 

หลังจากยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้านานเกือบทศวรรษ (อะไรนะ นานไปเหรอ) ผมก็ออกมาจากห้องด้วยลุคสบายๆ เสื้อแขนกุดสีขาวกับกางเกงขาสั้น เพิ่มความสแว็กให้ดูน่ามองด้วยการผูกผ้าเช็ดหน้าสีแดงไว้บนคอ เพิ่งมาคิดได้ว่ามหา’ลัยอยู่ใกล้แค่นี้เองไม่รู้จะแต่งตัวจัดเต็มไปทำไม และเดาได้เลยว่าน้องคงเลี้ยงข้าวผมที่ร้านอาหารแถวๆ นี้แหละ เด็กยังไม่จบมัธยมดีแถมมีหนี้ก้อนใหญ่อย่างปีใหม่จะมีเงินให้ใจป๋าขนาดไหนเชียว ถ้าฟุ่มเฟือยเดี๋ยวจะตีเนื้ออ่อนให้แดงก่ำเลย

ผมชะงักขาตัวเองตอนที่กำลังเลี้ยวเข้าซอกตึกที่สามารถทะลุไปยังคณะศิลปกรรมศาสตร์ได้ ผมเห็นเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังสามัคคียืนพ่นควันกันคละคลุ้งนึกว่ามีใครมาวางระเบิด ผมตั้งใจจะเดินไปอีกทางอยู่แล้วเชียว ถ้าสายตาไม่ไปเห็นคนที่เด่นที่สุดในกลุ่มคนโฉดนั้นซะก่อน

ปีใหม่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่ง ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสพร้อมทั้งระเบิดหัวเราะกับมุกตลกของเพื่อนๆ ที่อยู่รอบกาย ยอมรับนะครับว่าตอนแรกโมโหมากที่ไอ้หนูมันอยู่ในก๊วนเด็กเกเรแบบนี้ แต่พอได้เห็นว่าในมือเล็กๆ นั้นไม่ได้มีบุหรี่เหมือนคนอื่นก็เลยใจเย็นลง ไม่ดูดแล้วจะมานั่งดมควันพิษทำไมวะ ตัวเองก็เพิ่งเตือนคนอื่นเรื่องสูบบุหรี่มาไม่ใช่หรือไง โคตรหงุดหงิดสัสอะ!

เชี่ย...แต่ภาพนี้โคตรได้ หนุ่มน้อยหน้ามนกำลังมัวเมาอบายมุข ถึงจะไม่ได้ร่วมวงเผาปอดอะไรกับเขา แต่ถ้าผมแอบถ่ายน้องจากมุมนี้ องศาจะทำให้ได้ภาพที่โคตรใช่ หึ! ได้วัตถุดิบให้แบล็กเมล์เพิ่มอีกอันแล้ว

ผมรีบคว้ามือถือขึ้นมาเก็บหลักฐานทันที

หวืบ~ แชะ~

อ๊ะ แต่ปัญหาคือ กูจะต้องไปไหนต่อวะ คนที่นัดมายังอยู่ในดงเพื่อนๆ อยู่เลย จะให้โผล่โพล่งเข้าไปก็เด๋อตายดิ

ผมหยิบมือถือขึ้นมาโทร.ออก แล้วจัดการหามุมเหมาะๆ เพื่อหลบภัย

ไม่นานนักน้องปีใหม่ก็รับทันที [ฮัลโหลพี่ ถึงแล้วเหรอ]

“อืม กำลังจะเลี้ยวไปตึกสินกำ”

[เฮ้ย! หยุดเดินเลยๆ อยู่ตรงไหนเดี๋ยวออกไปหา]

“จะออกมาหาทำไม พี่กำลังถึงแล้ว”

[เราจะได้เดินเข้ามาพร้อมกัน พี่จะได้ไม่เก้อเขินตอนเจอเพื่อนผมไงเล่า]

“…”

[เร็วครับ] ไอ้หนูเร่ง [อยู่ตรงไหน บอกผมสิ]

“อยู่...” แถวนี้มันมีแลนด์มาร์กอะไรที่ใช้อ้างได้บ้างวะ “สนามบาสหน้าเบเกอรี่”

[อ๋อ ผมอยู่ใกล้ๆ เลย พี่อยู่ตรงนั้นแหละผมกำลังเดินออกไปหา]

ฉิบหายละ ถ้าน้องออกมาจากซอกเมื่อไหร่ มีหวังได้เห็นผมที่ยืนพรางตัวเป็นตุ๊กแกอยู่ตรงรางน้ำเก่าๆ นี้แน่นอน

วิ่งดิ รอ’ไรล่ะคร้าบบบ!

พอวางสายปุ๊บ ผมก็รีบสาวเท้าวิ่งอ้อมโลกทันที อ้อมไกลแทบจะไปปัตตานีแล้วนะโว้ย! ทำไมไม่บอกว่าอยู่ใกล้ๆ หน่อยวะกู

แต่สุดท้ายผมก็ทำเป็นยืนขรึมๆ ริมสนามบาสได้ตามแผนครับ แต่กว่าจะถึงก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน ฮู้ว!

“พี่ดิวอี้” เสียงใสๆ โพล่งมาจากทางด้านหลัง น้องปีใหม่ยืนยิ้มแป้นโชว์ฟันกระต่ายน้อยๆ สีขาวจั๊วะ แต่ถึงใบหน้าจะน่ามองขนาดไหน มันก็ไม่สามารถดึงผมไม่ให้มองต่ำลงกว่านั้นได้เลย

ลมหายใจผมติดขัดตอนที่เห็นว่าแสงแดดที่เจิดจ้าของวันนี้ทะลุเข้าไปยังเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่งที่โคตรจะบางเฉียบยังกะลอริเอะ จนผิวเนื้อใต้ร่มผ้าโผล่ออกมาเป็นเงาทักทาย ผมกลืนน้ำลายหลายอึกตอนได้รับรู้ว่าเอวของน้องนั้นคอดแค่นั้น คอดจนผมอยากจะป้อนข้าวและให้กินน้ำมันตับปลาปิดท้ายสักมื้อ คนผอมขนาดนี้ถ้าล้มขึ้นมาแขนขาหักได้เลยนะเนี่ย คิดไว้อยู่แหละว่าต้องขี้ก้างเพราะไหปลาร้าชัดขนาดนั้น แต่ไม่คิดว่าจะซูบขนาดนี้

แต่ทั้งหมดทั้งมวล บ่นไปงั้นแหละครับ ผมชอบ

แฮก แฮก แฮก

“หิวหรือยัง” น้องเห็นผมเงียบก็เลยถามต่อ

“นิดหน่อย” ผมพูดตรงๆ เอาจริงตั้งแต่ตื่นยังไม่ได้เอาอะไรเข้าปากเลย ตอนนี้ท้องเริ่มร้องละ

“เดี๋ยวกลับไปเอาของกับผมก่อน แล้วเดี๋ยวเราไปกันนะ” ไอ้หนูเอียงคอ “เอ?...ชวนปู๊นปู๊นด้วยดีมั้ยหว่า”

ฟ้าถล่มต่อหน้าผมทันทีเมื่อได้ยินชื่อนั้น “จะเอามันมาด้วยทำไม”

“ก็น้องมันไลน์มาถามใหญ่เลยว่าทำไมผมถึงขอเบอร์พี่อะ พอผมบอกว่าจะเลี้ยงข้าว ก็งอแงใหญ่เลย ไม่รู้ทำไม”

“มันคงหึง”

“หา!? ปู๊นปู๊นเนี่ยนะ” ใบหน้าขาวใสนั้นออกจะขำๆ

“อืม เห็นมันชอบโม้ว่าเคยจีบ”

หึ! โดนกูเผานั่งยางแล้วไอ้น้องเวร

ปีใหม่ถึงกับหน้าเหวอ “บ้าแล้วพี่! ผมไม่เคยคิดอะไรกับน้องเลยนะ”

“จริงอะ” ผมเลิกคิ้วทั้งสองข้าง ทำเป็นแหย่คนตรงหน้า ซึ่งตอนนี้เขินหูเหอแดงไปหมด

“จริงครับ”

“เออ”

“จริงนะพี่”

หมับ!

หืม? จับแขนว่ะ “เชื่อผมนะพี่!”

“เอ่อ” อะไรวะ ทำไมดูร้อนรนจัง แค่แซวเล่นเองเฮ้ย! “ไม่ได้เป็นก็ไม่ได้เป็น ไม่ต้องซีเรียส”

“ผมกลัวพี่เข้าใจผิดอะ”

“…”

“กลัวว่าพี่จะเกลียดผมถ้าพี่เข้าใจว่าผมกับน้องชายพี่เคยเป็นอะไรกัน”

“ถึงจริงก็ไม่เห็นเป็นอะไร” ผมกอดอก “ทำไมถึงซีเรียสนักฮึ?”

“ใครๆ ก็ทำแบบนั้นทั้งนั้นแหละ” น้องปีใหม่ก้มหน้างุด ยังกับว่ากำลังบ่นเรื่องที่สะสมในอกออกมาเพื่อระบาย “พอผมยุ่งกับใคร ทั้งพ่อแม่ ทั้งพี่น้อง เพื่อนๆ เขาเกลียดผมกันหมดเลย”

ผมได้ยินประโยคนั้นถึงกับผงะ ทำไมวะ ทำไมพวกนั้นแม่งใจร้ายกับเด็กคนนี้ได้ลงคอ

“แล้วไปทำอีท่าไหนให้พวกเขาเกลียด”

“ผมคงอัธยาศัยดีเกินไปมั้ง”

“หืม?”

“ช่างเหอะพี่” น้องโบกมือเหมือนต้องการให้ลืมเรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้ไปซะ “พี่เหอะ! เกลียดผมหรือเปล่า”

ผมจ้องไปในใบหน้าที่อยู่ๆ ก็กลับมายิ้มแย้มด้วยความงง ไอ้เด็กคนนี้มันยังไงของมัน รู้สึกตงิดๆ เหมือนมีอะไรอีกร้อยอย่างพันอย่างซ่อนอยู่ในดวงตาที่ทำเป็นร่าเริงนั้นงั้นแหละ

แต่ถ้าถามว่าผมเกลียดน้องหรือเปล่า...

ไม่ ไม่เกลียด แถมถ้าทำได้จะเอาไปเลี้ยงที่บ้านด้วย

แต่นี่คือสิ่งที่ผมพูดออกไป “ตอนนี้ยัง”

“คิกๆ ผมรู้แหละว่าพี่ไม่มีทางเกลียดผมหรอก” ร่างบางๆ นั้นโน้มตัวมากระซิบ เรือนผมสีน้ำตาลดูยุ่งๆ นั้นขยับเขยื้อนตามการเคลื่อนไหว “พี่ชอบผม”

“ให้มันน้อยๆ หน่อย” ผมแยกเขี้ยว ถึงแม้ที่สิ่งที่น้องแหย่จะเป็นเรื่องจริงอยู่หน่อยนึง

ชอบ แต่ไม่ได้คิดจะทำอะไรนะโว้ย! เก็บไว้รู้สึกในใจแค่นี้ก็มีความสุขละ เคยฟังเปล่าเพลงชู้กะชู้ของพี่เอ๊ะ! ซินโดรมอะ

ฉันคิดแค่นั้น ฉันไม่บอกใคร รดความรักให้ชื้นขึ้นในใจ ให้มันมีความหมาย ชู้ก็ชู้ในใจก็พอ

“ไปสิครับ” ปีใหม่ทำท่าจะเดินนำ แต่อยู่ๆ น้องก็เอี้ยวตัวมาให้ผมเห็นเพียงเสี้ยวหน้า “นี่พี่ไปตึกสินกำถูกใช่ปะ?”

“ถูก”

“ครับ” ใบหน้าสวยๆ พยักหน้า “ก็นึกว่าไม่ถูก”

“…”

“จะได้ยื่นมือให้จับ”

แน่ะ! ไอ้เด็กนี่แม่ง “หยุดแหย่แล้วเดินนำไปซะที”

“แหะๆ รู้อีกว่าแหย่”

“พี่ฉลาดพอ”

“ตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง”

“ซีเรียสทำไมพี่ ขำๆ น่า”

ผมโน้มตัวไปหาอีกฝ่ายบ้าง “แล้วอยากเจอของจริงมั้ยล่ะ”

หมับ!

“เฮ้ย!” น้องปีใหม่ตาโตตอนที่ผมพุ่งเข้าไปโอบเอวบางๆ นั้นแบบไม่ทันให้ตั้งตัว “พี่...”

“ทีนี้จะเดินออกไปได้หรือยัง หรือต้องให้ควงไปแบบนี้ตลอดทาง”

คนตัวเล็กกว่าผมหูแดง “ไม่ดีกว่าครับ”

หึ! ผมละสะใจกับหน้าเหวอๆ ของน้องนัก ไงล่ะน้อง เจอของจริงเข้าไปถึงกับกระอักไปต่อไม่ถูก ทีหลังอย่ามาล้อเล่นให้ตบะแตกอีกนะ นี่คือการเตือน

โห! แต่เมื่อกี้ถือว่าเกรี้ยวกราดใช้ได้ว่ะ แหม่ ภูมิใจในผลงานตัวเองสัสๆ

น้องจักรวาลเดินนำผมไปยังลานกว้างของคณะสินกำ เด็กๆ ผู้มีสไตล์การแต่งตัวที่จัดจ้านจนคล้ายคนบ้านั่งจับกลุ่มกันอยู่มุมหนึ่งของสนาม จากที่ตอนแรกทุกคนคุยกันเซ็งแซ่กลับเงียบกริบเมื่อเห็นผมเดินตามคนตัวเล็กๆ ตรงหน้านี้มา ใจเย็นๆ น้อง มองกันขนาดนี้ถ้าเป็นกระสุนร่างพี่คงซันสวีทพรุนแน่นอน อะไรจะจับจ้องกันขนาดนี้วะ

“ไหนล่ะของ” ผมถามหลังจากทนสายตานับสิบไม่ไหวแล้ว

“ตรงนี้ๆ ผมล่ามไว้ตรงนี้” ปีใหม่ชี้ไปยังม้าหินตัวสุดท้าย

หืม? ของอะไรวะถึงต้องผูกไว้ด้วย รถจักรยาน?

“โฮ่ง!”

ฮะ...O_O

ชิบเป๋งละ ไม่ใช่จักรยานครับ มันคือหมา! คอร์กี้ขนสีส้มพุงขาวขาสั้นๆ แลบสิ้นต้อนรับผมทันทีเมื่อเดินไปถึงโต๊ะม้าหินตัวสุดท้าย สายจูงสีแดงของมันถูกผูกอยู่ที่ขาเก้าอี้ มันเลยได้แต่ลุกลี้ลุกลนอยากจะหลุดไปจากเชือกเพื่อจะมาเล่นกับคนมาใหม่อย่างผม

“ลูฟี่”

ขวับ! ผมนี่สะบัดหน้ามองน้องอย่างไวเลยครับ โว้ยยย เอาชื่อมหาเทพโจรสลัดมาตั้งเป็นชื่อหมาได้ยังไงวะ บอกเลยไม่พอใจ!

“พี่ดิวอี้นั่งรอตรงนี้แป๊บนะ เดี๋ยวผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อน”

“…”

“ลูฟี่ นั่งตักพี่สุดหล่อคนนี้ไปก่อนนะ” น้องปีใหม่ปลดสายจูงแล้วอุ้มเจ้าหมาที่ชื่อเหมือนตัวละครในอะนิเมะวางแหมะบนตักผม

และพอเจ้าวิ่งปราดไปห้องน้ำเท่านั้นแหละ กลุ่มเพื่อนที่เฝ้าดูลาดเลาอยู่นานก็เริ่มซุบซิบ ผมทำเป็นไถมือถืออัปเดตโมเดลกันดั้มรุ่นใหม่ๆ เพื่อหลบหลีกสายตาที่จับจ้อง แต่ก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาเมื่อเห็นว่ามีน้องๆ กลุ่มหนึ่งถือวิสาสะนั่งม้าหินฝั่งตรงข้ามโดยไม่บอกกล่าวกันสักคำ

แถมจ้องอย่างกับจะแดกผมแม่งตรงนี้!

“พี่เป็นใคร” น้องผู้หญิงคนที่หนึ่งยิงคำถาม

“แฟนไอ้ใหม่เหรอ” น้องตุ๊ดหน้าตาจิ้มลิ้มเลิกคิ้ว

“คิดจะงาบเพื่อนผมใช่มั้ย” ไอ้คนหัวสกินเฮดคนนี้ดูเอาเรื่อง มาดดูคล้ายกับหัวหน้ากลุ่ม

ถามมาพร้อมกันงี้จะให้ตอบใครก่อนวะ เขียนคำถามใส่กระดาษได้มั้ยเดี๋ยวกูสุ่มจับขึ้นมาเอง

“เปล่า” ผมส่งเสียง มือก็พยายามจับลูฟี่ไม่ให้มันดิ้นบนไข่ผมมากมายนัก

“พี่รู้มั้ยคะ ไอ้ใหม่ไม่เคยพาใครเข้ามานั่งตรงนี้” น้องผู้หญิงว่า

“ใช่ เวลาใครมามันจะให้รอตรงนั้น” น้องตุ๊ดชี้ไปยังม้าหินอีกฟากของสนาม โห! ไกลว่ะ

“ซึ่งนั่นแปลว่าพี่พิเศษกว่าคนอื่น” ไอ้หัวสกินเฮดทำเป็นเกาคาง อะไรฮึ คิดว่าเป็นโคนันเหรอไก่อ่อน “บอกมาตรงๆ เลยครับว่าพี่เป็นอะไรกับมัน”

“ก็บอกว่าไม่ได้เป็น”

“แล้วพี่ชอบมันหรือเปล่า”

ถามตรงอะไรขนาดนี้วะ กูนึกว่าสะพานสาทร “ไม่ได้ชอบ”

“พี่จะจีบมันหรือเปล่าคะ”

“ไม่ได้ชอบแล้วจะจีบได้ไง”

“แล้วพี่มากับมันได้ยังไง”

โว้ยยย ซักเก่งกันจังวะ นี่ถ้าเป็นกางเกงกูขาดเป็นริ้วๆ แล้ว ปั่นกันเอาเป็นเอาตายแบบนี้

“น้องเขาจะเลี้ยงข้าว”

“ว้าย” น้องผู้หญิงถึงกับเอามือทาบอก รีบปรึกษาเพื่อนๆ ทันที “คนนี้แอ๊ดว้านซ์ว่ะ”

“หึ! แม่งดูไม่ชอบมาพากลว่ะ”

“กูก็ว่างั้น”

น้องๆ ครับ คือพี่ยังอยู่ตรงนี้ไง พูดอะไรไม่สนว่าพี่จะได้ยินเลยเรอะ

“กูรู้แล้ว!”

สัส! ผมนี่สะดุ้งพร้อมกับน้องทั้งสามคนเลย

น้องผู้หญิงชี้นิ้ว “ไอ้ใหม่ต้องชอบพี่แน่”

“…”

“มันจีบพี่หรือเปล่าคะ”

“เปล่า”

“มันแสดงท่าทีสนอกสนใจพี่หรือเปล่าครับ”

“พี่จะไปรู้มั้ย” ผมโบกมือ “พี่ว่าน้องๆ อย่าคิดไปเองดีกว่า ไม่มีอะไรคือไม่มีอะไรจริงๆ”

“แต่ยังไงก็น่าสงสัยอยู่ดี”

เฮ้อ! งั้นแล้วแต่น้องเหอะ! พี่เหนื่อย

“โฮ่ง!” ลูฟี่ส่งเสียงเห่าเพราะเห็นเจ้านายของมันกำลังเดินมาจากอีกฟากของลานกว้าง

“ว้าย” น้องผู้หญิงสะกิดเพื่อนชายทั้งสองคน “กลับที่ค่ะ มันมาแล้ว!”

แล้วพนักงานสอบสวนทั้งสามคนก็แตกฮือไปคนละทิศละทาง ทำเป็นนั่งนิ่งอยู่กับที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ปีใหม่ที่เดินมาถึงโต๊ะพอดิบพอดีส่งสายตาขำๆ มาให้ผม

“เพื่อนๆ ผมมันมาคุยอะไรกับพี่อะ”

ผมเหล่มองน้องผู้หญิงคนนั้น แต่เธอทำเป็นชูนิ้วชี้ชู่ว์ปากให้ผมเงียบๆ

“เปล่า แค่มาทักทาย”

“อ๋อเหรอ” สายตาดุๆ ของปีใหม่จับจ้องไปยังกลุ่มเพื่อน “อย่าให้รู้ทีหลังนะ”

“โฮ่ง!”

“รู้แล้วๆ ลูฟี่ จะพาไปกินข้าวเดี๋ยวนี้แหละ” น้องรับหมาจากมือผมไป “ไปเลยมั้ยพี่ นี่ก็จะเที่ยงแล้วพี่คงหิว”

“ไปสิ” อยากออกไปจากตรงนี้จะแย่แล้วด้วยคร้าบบบ ตรงนี้มีแต่คนเพี้ยนๆ พี่กลัว พี่ขวัญอ่อน

“กูไปก่อนนะพวกมึง เดี๋ยวยังไงเจอกันพรุ่งนี้”

“บายยยยยย”

ทุกคนในรุ่นโบกไม้โบกมือร่ำลาปีใหม่แทบจะพร้อมกัน โอ้โห! คงเป็นที่รักน่าดูเลยแฮะ แต่น่ารักขนาดนี้เพื่อนๆ จะไม่เอ็นดูก็แปลก

“ไปกันเถอะครับพี่”

“อืม” ผมกำลังจะเดินตามหลังเล็กๆ นั้นไปอยู่แล้ว ถ้าไม่ดันไปเห็นเด็กสามคนก่อนหน้านี้รุมจ้องผมอีกครั้ง

“พี่คะ”

ผมจ้องแววตาจับผิดเกินเหตุสามคู่นั้นด้วยใบหน้านิ่งๆ

น้องผู้หญิงชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นมา ทำเป็นชี้ที่ตาตัวเองก่อนจะหันมาทางผม

“…”

“พวกหนูจับตามองพี่อยู่นะ”

อะไรวะ พี่แค่มากินข้าวกับเพื่อนน้องเท่านั้นเอง แถมพี่ยังมีงานจะต้องทำ น้องไม่เข้าใจหรอก!

บอกไว้เลยนะ ที่คิดในใจว่าชอบเนี่ยคือน้องน่ารักไง ถ้าจะงาบ ไม่ปล่อยให้มาถึงวันนี้หรอก ลักพาตัวตั้งแต่วันสองวันแรกที่เจอกันแล้วจ้า

 

“ไม่ได้ใช้ยาที่ให้ไปหรือไง”

“ครับ?” น้องปีใหม่ค่อนข้างประหลาดใจอยู่ๆ ผมก็ถามพรวดพราด ไม่ได้เกริ่นอะไรให้รู้เรื่องก่อนเลย

“นั่นน่ะ” ผมชี้รอยช้ำบนเนื้อที่มองเห็นได้ผ่านเนื้อผ้าบางๆ “ดูไม่มีทีท่าว่าจะหายเลย”

“อ๋อ…”

อย่าหาว่าผมหื่นนะครับ ผมไม่ได้มีเจตนาจับจดอยู่กับเนื้อตัวของน้องนะเฟ้ย พอดีตามันไปเห็นเองอะ ก็เวลากินข้าวหน้าอกน้องมันแนบอยู่กับโต๊ะ แถมเสื้อบางแบบนั้นมันก็ต้องเห็นทะลุปรุโปร่งอยู่ดี แล้วอีกอย่าง ดูเหมือนรอยนั้นจะช้ำมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย โมโหว่ะ ถ้าไม่ใช้ยาก็บอกมาตั้งแต่แรกสิว่าไม่ต้องการ ไม่น่าให้ไปเล้ย

“ทาแล้วมันไม่หายอะดิพี่” น้องปีใหม่ก้มลงมองตัวเอง มีการแหวกกระดุมเสื้อเผื่อโชว์รอยช้ำให้เห็นชัดๆ อีก

สัส! อึ้งเลยกู

“เจ็บสินะ”

“หืม?”

ผมทำเป็นคีบปลาดิบเข้าปาก “โดนเต็มๆ แบบนั้นคงเจ็บน่าดู”

“อะไรนะ” ปีใหม่ขมวดคิ้ว “โดนอะไรพี่”

“รอยกระแทกใช่มั้ยล่ะ พี่ดูออก” ขอถือโอกาสนี้ถามสาเหตุของรอยนั้นเลยแล้วกัน สงสัยมานานแล้ว “ซุ่มซ่ามหรือว่ามีเรื่องชกต่อยเข้าสินะ”

“เดี๋ยวๆ พี่” น้องปีใหม่ยิ้มจนตาหยี “พี่รู้ได้ไงว่ามันเป็นรอยชก?”

“แล้วใช่มั้ยล่ะ” ผมพูดสวนก่อนที่น้องจะพูดจบ

“ผมนึกว่าตอนนั้นพี่ทักเพราะคิดว่าเป็นรอยดูดซะอีก”

สัสสสสสสสสส

ฮ่วยยย กูไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลยนะ พูดออกมาทำไม หน้ากูแดงหมดแล้วโว้ยยย

ฮือออ หรือแม่งเป็นรอยดูดจริงๆ วะ นี่ผมหน่อมแน้มจนแยกไม่ออกจริงๆ เหรอเนี่ย จะบ้าตายยย

“เอ่อ...” สุดท้ายผมได้แต่อ้ำอึ้ง เพราะช็อก! ลิ้นนี่พันกันยังกะโบบนกล่องของขวัญวันเกิด

“ใจเย็นพี่” อยู่ดีๆ น้องมันก็คว้าจับมือผม โอย...กูสั่นกว่าเดิมอีก เซียมซีเรียกพ่อเลย “รอยชกก็รอยชก”

“...” ใช่เปล่าว้าาา ตอนนี้ชักไม่แน่ใจละ “ถ้างั้น...ทายาซะ จะได้หาย”

“ไปห้องน้ำด้วยกันสิ ผมอยากให้พี่ช่วยทาให้”

“ไม่ตลก”

ต้องทำดุหน่อยแล้วครับ ไม่งั้นเสียฟอร์มมากกว่านี้แน่ “ครับ ผมจะทายา แต่ไม่รู้จะหายหรือเปล่านะ คิกๆ”

เออ พูดอะไรให้มันเชื่อฟังหน่อย ไอ้เด็กดื้อ

เรานิ่งกันอยู่นาน ต่างคนต่างคีบอาหารลงท้อง ผมเหลือบไปเห็นว่าปีใหม่เอาซาชิมิป้อนไอ้ลูฟี่ที่นอนรออยู่ใต้โต๊ะซะด้วย อะไรจะกินดีอยู่ดีขนาดน้านนน เห็นแล้วหมั่นไส้ อยากเตะให้ร้องเอ๋ง

“กินเสร็จแล้วพี่จะไปไหนต่อ” ปีใหม่เท้าคางมองผม

“กลับห้องนอน”

“โห่ อะไรอะพี่ นานๆ ผมจะมีเวลาว่าง ไปทำอะไรสนุกๆ กันเถอะ”

ผมเลิกคิ้ว “ก็ไปสนุกคนเดียวสิ จะมาชวนทำไม”

“วันนี้ผมอยากอยู่กับพี่”

“…”

ดาเมจใส่พี่อีกแล้วหนู เดี๋ยวปั๊ด!

“ถ้างั้นผมไปห้องพี่ด้วยสิ”

“จะไปทำบ้าอะไร”

“นอนเล่นก็ได้”

ผมส่ายหัว “บ้านช่องไม่มีกลับหรือไงหนู”

“หนู?”

“…”

“พี่เรียกผมว่าหนูเหรอ โคตรละมุนอะ”

แววตาดีอกดีใจเกินเหตุนั้นทำให้ผมต้องเฉไฉทำเป็นมองไปทางอื่น อืม...โคมไฟร้านนี้สวยดีว่ะ

ชิททท! หลุดปากจนได้จวยเอ๊ย

น้องปีใหม่เห็นว่าผมพยายามตีเบลอก็ยิ้มสิทีนี้ “ผมไม่อยากกลับบ้านหรอก”

ฮะ!? “ใครมันจะไม่อยากกลับบ้านกัน”

“อยู่บ้านแล้วมันอึดอัด เหมือนเป็นส่วนเกินยังไงก็ไม่รู้” ร่างบางๆ เอนตัวติดเก้าอี้ “ลูกคนกลางก็เงี้ยแหละพี่ ใครๆ ก็คุยกับน้องคุยกับพี่มากกว่า”

โห! เอาจริงถ้าอ้างประเด็นนี้คือเข้าใจเลย ผมก็มักจะครั่นเนื้อครั่นตัวเสมอๆ เวลาเข้าบ้านไปเจอพ่อกับเมียใหม่ ถ้าให้เลือกได้ผมยอมนอนอ่านการ์ตูนอยู่ที่คอนโดดีกว่า ถ้าไม่ติดว่าน้องชายผมยังอยู่ในบ้านหลังนั้นนะ ไม่มีทางที่ผมจะย่างกรายไปเยือนแน่

“แล้วเวลากลับบ้านหลังเลิกเรียนล่ะทำไง คุยกับคุณพ่อคุณแม่บ้างมั้ย”

“คุยนะพี่ กับแม่ผมอะปกติ แต่ว่าพ่อ...” ดวงตาโปนๆ นั้นทำเลื่อนลอย “ผมสนิทกับเพื่อนพ่อมากกว่าอีกมั้ง”

“อะไรนะ!”

“ช่างเหอะครับ” ไอ้ตัวเล็กรีบโบกไม้โบกมือให้ยุ่ง และพอผมเห็นฟันกระต่ายคู่นั้น ความสงสัยตะกี้หายไปทันทีเลย “ไปเดินเล่นกันมั้ยพี่”

“ไม่มีเพื่อนหรือไง”

“มี แต่บอกแล้วไงว่าวันนี้ผมอยากอยู่กับพี่อะ”

“พี่โรคจิตนะ” ผมทำเป็นแหย่

“โอ๊ยยย เลิกล้อเรื่องนี้ได้แล้ว ผมอาย!” ไอ้หนูทำหน้ามุ่ย เห็นแล้วแม่งอยากจะหยิก “ผมขอโทษ ตอนนี้ผมรู้แล้วไงว่าพี่ไม่ได้โรคจิต วันนั้นผมแม่งขี้เว่อร์จริงๆ แหละ”

“อ่อเหรอ” ผมทำเป็นลอยหน้าลอยตา

“พี่กวนตีนนะรู้ตัวปะ”

“โอเค จะจดไว้” ผมแบมือขึ้นมาจินตนาการว่ามันเป็นกระดาษ “หนึ่งโรคจิต สองกวนตีน”

“เนี่ย กวนตีนจริงๆ”

“หึๆ” ผมกลับมากอดอก “งั้นไปรอคอนโด พี่จะไปเอารถ จะแวะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อด้วย”

“เอารถอะโอเค แต่ผมไม่อยากให้พี่เปลี่ยนเสื้ออะ” แววตาซุกซนทำเป็นโลมเลียแขนแน่นๆ ของผมทั้งสองข้าง “แบบนี้โคตรโดนใจ”

“ใครกันแน่วะที่โรคจิต”

“สงสัยเราโรคจิตกันแม่งทั้งสองคนเลยว่ะพี่ ฮ่าๆๆ”

“เออ ก็ว่างั้น”

พอผมเห็นอีกฝ่ายหัวเราะ ไม่รู้ทำไมถึงไม่สามารถกลั้นรอยยิ้มของตัวเองได้ เหมือนรอบตัวน้องเต็มไปด้วยพลังงานอันสดใส และผมก็โดนมันเข้าให้เต็มๆ ไม่ไหวๆ สงสัยต้องเรียกพนักงานมาเก็บตังค์จะได้ออกไปจากตรงนี้สักที แค่นั่งกินข้าวตรงข้ามโต๊ะกันก็คือว่าได้ทดสอบความอดทนผมเป็นอย่างมากแล้ว

“พี่ดิวอี้” น้องเรียกผมตอนที่เราลุกจากที่นั่ง

“ครับ”

ยิ้มทำไมฮะ ดูแม่งจะชอบใจที่ผมพูดครับใส่ เอาจริงเพราะชินแหละ กับคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนผมชอบขานรับด้วยคำนี้ตลอด เคยชินแล้วละครับ

“เลิกพูดเรื่องโรคจิตได้แล้วนะ โอเค้?”

“…” ผมมองไปที่สัญญาณ OK บนมืออีกฝ่าย “อ่า”

“พี่ไม่ได้โรคจิตหรอกน่า” แก้มใสๆ นั้นโชว์สีแดงระเรื่อ “ผมสบายใจเวลาที่อยู่กับพี่จะตาย”

โอย...รู้สึกอยากนั่งไขว่ห้าง

RRRRRRRRR

แรงสั่นบนโต๊ะทำให้ผมเหลือบไปมองหน้าจอไอโฟนรุ่นใหม่ของคนตรงข้ามที่จอใหญ่อย่างกับโรงหนังไอแมกซ์ ทำให้ผมเห็นชื่อคนที่โทร.เข้าเต็มๆ ตา

‘คุณกำพล’

นี่มัน...

“ฮัลโหล” ปีใหม่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับแทบจะในทันที นัยน์ตาที่ร่าเริงตอนนี้กลับกลายเป็นเศร้า แต่พอรู้ตัวว่าโดนผมจ้องอยู่ น้องก็ฝืนยิ้มขึ้นมา “ผมต้องคุยสายนี้อะ ขอออกไปนอกร้านแป๊บนะครับ”

“แล้วแต่สิ ได้เลย” ผมจะไปห้ามได้ยังไงวะ

คนตัวเล็กผงกหัวให้ผมเป็นเชิงขอโทษขอโพย แล้วก็เดินหายแนบออกไปริมฟุตบาทหน้าร้าน ผมตั้งใจจะชะเง้อตามไปดูสถานการณ์นะ แต่ไอ้ป่วนใต้โต๊ะดันเกาะขาผมซะก่อน เล่นเอาตกอกตกใจจนตาหลุดโฟกัส รู้ตัวอีกทีปีใหม่ก็หายลับไปซะแล้ว

ไอ้หมาเวรเอ๊ย

“โฮ่ง!”

“อะไรมึงเนี่ย” ผมย่นคิ้วใส่ไอ้ลูฟี่ที่กระดิกหางดิ๊กๆ ทำท่าจะเล่นกับผมซะให้ได้

“โฮ่ง!”

ก็พูดภาษาคนสิวะ จะรู้กับมึงมั้ยว่าต้องการอะไร

ผมมองหน้าลูฟี่ที่บัดนี้แลบลิ้นห้อยๆ เกาะขาผมเป็นเด็กอ้อนแม่ ตาละห้อยนั้นมองอยู่ที่บริเวณคอของผมจนต้องมองตาม

“อยากได้เหรอ” ผมชี้ไปที่ผ้าเช็ดหน้าสีแดงเหนือหน้าอก

“โฮ่ง!”

“กูไม่ให้”

“แง่งงง! แกร๊ซซซ!!!”

สัส...มีแยกเขี้ยวขู่ด้วยว่ะ

“อยากหล่อเหมือนกูอะดิ”

“โฮ่ง!”

“เฮ้อ! ก็ได้ มาๆ” ผมยอมแพ้ อยากได้นักก็เอาไปวะ เห่าเสียงดังแบบนี้เดี๋ยวโต๊ะข้างๆ จะรำคาญเราสองคนเอาได้

ผมนั่งยองๆ ข้างๆ ตัวเจ้าลูฟี่ ยอมสละผ้าพันคอสีแดงให้กับไอ้แคระนี่ไป มันดีใจจนเดินหมุนไปมา พยายามจะงับผ้าที่คอตัวเองมาเล่นแต่มันคงโง่จนไม่รู้ว่าตัวเองคอสั้น เออว่ะ เห็นแล้วก็น่ารักดี ผมไม่เคยมีหมา นี่เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ได้ใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงสี่ขาสายพันธุ์นี้

“มาให้กูอุ้มหน่อย”

“โฮ่ง!” ไอ้ลูฟี่กระดิกหากยอมให้ผมแตะเนื้อต้องตัวแต่โดยดี แหม่ อยู่เป็นเชียวนะมึง

“พี่ดิว”

แชะ~

หือออ? อะไรวะ

ความปุบปับทำให้ผมทำตัวไม่ถูก เพราะอยู่ๆ น้องปีใหม่กลับเข้ามาในร้านตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมมือก็ยังถือโทรศัพท์ค้างไว้เพื่อจะเก็บภาพผมตอนปัญญาอ่อนเอาไว้อีก

สัส! เสียภาพเลยกู เส็งเคร็ง!

“ถ่ายทำบ้าอะไร”

“น่ารักดีออก”

ใจจริงก็อยากจะถามว่าคนหรือหมา แต่คิดอีกทีไม่เอาดีกว่าแฮะ

“พี่ให้มันเหรอ” น้องปีใหม่ชี้ไปยังผ้าพันคอสีแดง

“มันเซ้าซี้ก็เลยให้ไป”

“โหย! ใช้ไม่ได้เลยแฮะ” มือเล็กๆ นั้นเข้ามาขยุ้มแก้มอ้วนๆ ของไอ้หน้าขนที่ผมอุ้มอยู่ เห็นแล้วใจมันนึกอิจฉาหมายังไงก็ไม่รู้แฮะ “พี่ดิวครับ”

“ว่าไง” ผมเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าน้องทำหน้านิ่งๆ มีอะไรหรือเปล่าวะ

“ผมฝากลูฟี่หน่อยได้มั้ย พอดีจะไปหาเพื่อน แล้วเขาไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่”

แน่ใจนะว่าเพื่อน รู้นะว่าใครโทร.มา “นานมั้ย”

“น่าจะไม่นานครับ” น้องบอกพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าเสร็จธุระแล้วผมจะโทร.หาพี่นะ”

“ได้เลย” พอผมพยักหน้ารับปาก น้องก็หันไปเรียกพนักงานเพื่อเรียกเก็บเงินทันที

แต่ผมนี่ดิ ไม่รู้ทำไมใจถึงหวั่นๆ แปลกๆ ความรู้สึกเหมือนเป็นผู้ปกครองกังวลว่าลูกจะทำอะไรไม่ถูกไม่ควรยังไงยังงั้น

คุณกำพลอะไรนี่จะยังติดต่อน้องอยู่อีกทำไมวะ เลิกรากันไปไม่ใช่หรือไงฮึ แล้วแบบนี้จะจ้างนักทวงหนี้อย่างผมไปเพื่ออะไรวะ

แม่งเอ๊ย! อยู่ดีๆ ก็หงุดหงิด

“โอเคปะพี่”

ผมพยายามซ่อนสายตาสงสัยนั้น “เปล่า”

“เมื่อกี้พี่ขมวดคิ้วใส่ผม”

สังเกตนักนะ นึกว่าจะเป็นผมคนเดียวที่เอาแต่มองน้องมันซะอีก “ก็บอกว่าไม่มีอะไร”

“อ่า...โอเคครับ”

โว้ย! ช่างแม่งละ

หมับ!

น้องปีใหม่หยุดเดินเมื่อรู้ตัวว่าโดนดึงแขนไว้ “ครับ?”

“ไม่ไปไม่ได้เหรอ”

สัส! พูดออกไปจนได้

คนตัวเล็กกว่าระบายยิ้มบางๆ “ผมต้องไปจริงๆ พี่”

“…”

“ไม่มีอะไรหรอก แค่เขาอยากเจอผม” แล้วน้องก็ลูบหัวสัตว์เลี้ยงที่ผมเป็นคนอุ้มอยู่ “ผมฝากลูฟี่ด้วยนะ”

“รีบกลับมา”

ปีใหม่ชะงัก “ครับ...”

“ลูฟี่รออยู่”

รวมถึงกูด้วย

 

“โฮ่ง!”

“เงียบๆ ดิวะ เดี๋ยวข้างห้องก็มาด่าหรอก”

“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!”

“โอ๊ยยย ไอ้สัสดิว” ไอ้เอิร์ลที่ทนไม่ไหวลุกขึ้นจากโซฟา “กูดูการ์ตูนไม่รู้เรื่องเพราะหมาของมึงเนี่ย!!!”

“หมาเพื่อนกู”

“จะหมามึงหมาเพื่อนหรือหมาวัดก็ช่วยสั่งให้มันหุบปากทีดิ๊ กูไม่มีสมาธิแล้วสัส” ไอ้เอิร์ลคว้าผ้าเช็ดตัวขึ้นพาดบ่า “ไม่ดูแม่งและสัส”

ไอ้ทิมหันมาคุยกับผมบ้าง “เพื่อนมึงจะมาเอาหมาเมื่อไหร่”

“เขาบอกว่าจะโทร.มาว่ะ”

“นี่จะตีหนึ่งแล้วนะสัส ไม่ใช่ว่าทิ้งไว้กับมึงนะ กูไม่เลี้ยงด้วยหรอกนะกูแพ้ขนหมา”

ไอ้พวกนี้แม่งไก่อ่อนสัสๆ หมาตัวแค่นี้ยังไปจะไปรำคาญมัน พวกมึงไม่มีจิตวิญญาณของบุรุษผู้อ่อนโยนต่อทุกสรรพสิ่งแบบกูเล้ย แล้วจะให้กูทำไงได้วะ ก็ปีใหม่ยังไม่โทร.มาหาเลยเนี่ย พอจะเป็นฝ่ายโทร.ไปก็เสือกไม่ติดอีก ไม่รู้ไปดื้ออยู่ที่ไหน น่าเหลาไม้เรียวรอจริงๆ

ว่าแล้วก็ขอโทร.อีกทีซิ

‘หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’

นั่นไง ตั้งแต่เย็นมาผมฟังเจ๊คนนี้มาเป็นร้อยรอบแล้วมั้ง

ผมอุ้มไอ้ลูฟี่ขึ้นมามอง “สงสัยมึงได้เป็นหมาของแก๊งพวกกูแล้วละว่ะ”

“โฮ่ง!”

แน่ะ! รีบปฏิเสธเชียวนะสัส

เดี๋ยวก่อน แล้วกูฟังภาษาหมารู้เรื่องได้ไง

RRRRRRRRRRRR

ผมกับไอ้ทิมหันมานิ่วหน้าใส่กันตอนที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ตั้งโต๊ะใกล้ๆ จอทีวี...เฮ้ย! ไอ้เครื่องนี้ยังไม่เคยมีใครโทร.เข้ามาเลยนะตั้งแต่ย้ายห้องมา เวรละ! ไอ้ข้างห้องแม่งฟ้องส่วนกลางแหง

ผมตัดสินใจว่าจะเป็นคนรับเอง พอยกหูผมก็กรอกลงไปด้วยความนุ่มนวลที่สุด

“สวัสดีครับ”

[โทร.จากส่วนกลางนะครับ] นั่นไงล่ะ เดาไว้ไม่เคยผิดเลยกู [มีแขกขอพบครับ]

“หืม? ใครเหรอครับ”

[เห็นบอกว่าชื่อปีใหม่] คนปลายสายว่า [จะให้ผมเปิดประตูให้หรือคุณจะลงมาที่นี่เองครับ]

“เดี๋ยวผมลงไปเอง ขอบคุณครับ”

อะไรของน้องเขาวะ หายไปทั้งวันแล้วอยู่ดีๆ มาโผล่หน้าคอนโดเช้ย!

“เพื่อนมาแล้วเหรอ” ไอ้ทิมถามขึ้นมา

“เออ” ผมอุ้มเจ้าลูฟี่ไว้แนบอก “เดี๋ยวกูขึ้นมานะ”

ผมกับไอ้ตัวป่วนลงจากลิฟต์มาด้วยกัน ประตูเปิดอีกครั้งที่ชั้นล็อบบี้ ผมแตะบัตรออกมาเพื่อมองหาคนที่ส่วนกลางบอกว่ากำลังรอผมอยู่

นั่นไง น้องปีใหม่นั่งอยู่ตรงโซฟารับรองแขก ผมนึกแปลกใจนิดหน่อยตอนที่เห็นน้องคลุมฮู้ดสีเทา เท่าที่จำไม่ผิดตอนเช้าน้องใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวไม่ใช่เหรอวะ แล้วไหนจะผ้าปิดปากสีดำนั่นอีก จะใส่ทำไม อยู่ดีๆ ก็เป็นหวัดขึ้นมางี้?

“ปีใหม่” ผมส่งเสียงจนอีกฝ่ายตัวกระตุกเล็กน้อย คงเพราะกำลังเหม่อเลยตกใจละสิท่า “กว่าจะมา”

ดวงตานั้นเศร้าสร้อยกว่าทุกครั้งที่เจอ ทว่าน้ำเสียงติดตลกอยู่ “คิดถึงอะดี๊”

แหม่ ถ้าบอกว่าใช่เดี๋ยวหน้าสั่นเป็นระฆังไม่รู้ด้วยนะ

แต่ว่า...ทำไมเสียงสั่นๆ สรุปว่าไม่สบายจริงๆ เหรอ

“ใส่ผ้าปิดปากทำไม”

“แบบนักร้องเกาหลีไง” เสียงใสๆ นั้นสวนทันควัน

“ไม่ใช่ไม่สบายนะ” ผมถามด้วยความเป็นห่วง เอาจริง ตัวแค่นี้เป็นอะไรขึ้นมารักษาลำบากแน่ แถมยังดูขี้โรคจะตาย

“ผมสบายดีพี่ๆ ฮ่าๆๆ” น้องโบกมือ “ฮรึกกก”

เฮ้ย!? เมื่อกี้เสียงสะอื้นใช่มั้ย

น้องคงสังเกตได้ว่าผมกำลังจับผิด “ขอลูฟี่คืนด้วยครับ”

“เป็นอะไร”

“ไม่ได้เป็นอะไรเลยพี่” สองแขนที่ยื่นมานั้นดูสั่นๆ “ขอลูฟี่คืนเถอะนะ ฮรึกกก”

“ปีใหม่”

“นะครับ!”

“…”

ความจริงจังของอีกฝ่ายทำให้ผมยอมแพ้ ไม่เค้นก็ได้วะ ไม่ชอบเลยคนปิดบัง มีอะไรก็บอกสิ ไอ้เราก็นึกว่าสนิทกันมาระดับหนึ่งแล้วซะอีก

ปีใหม่ตระกองกอดสัตว์เลี้ยงของตัวเอง แต่พอได้หมาไปกอดเท่านั้นแหละหลุดโฮออกมาเลย

“ฮืออออออ”

ชิท! ผมแพ้น้ำตา...จริงๆ นะ อันนี้ไม่ได้หื่นหรือว่าอะไร มันเป็นธรรมชาติของผู้ชายที่รู้สึกแย่มากๆ ที่เห็นใครสักคนอ่อนแอกว่า แล้วตอนนี้คนอ่อนแอที่ว่านั้นก็ดันยืนอยู่ตรงหน้าผมซะด้วย มันจะผิดอะไรหากผมจะเข้าไปถามไถ่ตามประสาเพื่อนร่วมโลก

“ปีใหม่...”

“ฮรึกกก ไม่เป็นไรๆ” น้องพยายามกลั้นสะอื้น “ผมแค่...”

โธ่! จะพูดก็ยังลำบาก มีอะไรก็บอกสิ

หรือน้องจะเห็นผมว่าเป็นคนนอกวะ...

ช่างแม่ง พูดตามที่รู้สึกแล้วกัน “พี่เป็นห่วงหนู”

อีกฝ่ายนิ่งไปเลย “จริงเหรอ...”

ผมเดินเข้าไปสองก้าว “เป็นอะไรก็บอกมา”

น้องปีใหม่ดูชั่งอกชั่งใจกับตัวเองสักพัก สุดท้ายก็จำใจปล่อยเลยตามเลย นิ้วเรียวๆ ของน้องปลดผ้าปิดปากสีดำนั้นจนหลุด และทันทีที่ไม่มีอะไรปกปิดหน้าน้องอีกต่อไป สายตาของผมรีบจับไปที่ริมฝีปากของน้องเป็นที่แรก

“สัส!” ผมถึงกับหลุดพูดออกมา “ใครทำอะไรน้อง”

แต่น้องเลือกที่จะปฏิเสธผม “ฮรึก...โคตรเจ็บเลย”

น้องโดนต่อย

ต่อยแบบต่อยของแท้โดยไม่ต้องวินิจฉัยให้มากความ ปากที่เคยชมพูจัดตอนนี้เจ่อแถมยังม่วงเพราะห้อเลือด ที่มุมปากด้านขวาเกิดแผลขนาดที่เลือดยังไหลไม่หยุดอย่างกับมันเพิ่งเกิดสดๆ ร้อนๆ ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ และไหนจะรอยช้ำม่วงๆ ใต้คางและใกล้ๆ กรามนั่นอีก

ไปทำอะไรมาวะน้อง!

“ปีใหม่” แขนผมไวกว่าความคิด รีบพุ่งเข้าไปประคองหน้าเล็กๆ นั้นไว้ตามสัญชาตญาณลูกผู้ชาย “ทำไมถึงเป็นแบบนี้”

แต่ทว่าน้องก็ยังส่ายหน้า

ใจคอน้องแม่งไม่คิดจะตอบผมจริงๆ สินะ

“พี่ดิว...”

“…”

“คืนนี้ผมอยู่กับพี่ได้มั้ย” แววตานั้นเหมือนกำลังขอร้องให้ผมเห็นใจ ซึ่งผมทำอยู่ “ผม...ไม่มีที่ไป”

“อืม”

“ขอบคุณจริงๆ นะพี่”

นี่มันเกิดบ้าอะไรกันขึ้นวะ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น