4
ล่ามรัก
“ว่าไงนะครับสารวัตร”
เสียงอุทานเหมือนตกใจของโทนี่ ทำให้มินตราที่กำลังเดินออกจากห้องตรวจของคลินิกแห่งหนึ่งบริเวณชายหาด ถึงกับชะงักกึกขึ้นมาทันที ก่อนจะหยุดและเงี่ยหูฟังว่ามันเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมเจ้าพ่ออย่างโทนี่ถึงได้มีสีหน้าเครียดแบบนั้น
“โอเคครับ ผมจะระวัง ขอบคุณสารวัตรที่โทร. มาเตือน” โทนี่กล่าวขอบคุณอีกฝ่าย ก่อนจะวางสายแล้วหันมามองร่างเล็กที่กำลังยืนมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวงและสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ เมื่อเห็นแววตาของเขาดูมีแวววิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด คล้ายกำลังมีเรื่องไม่สบายใจอยู่ และมันก็อาจจะเกี่ยวข้องกับหล่อนด้วย
“หมอว่าไง” แทนที่จะตอบคำถาม แต่ชายหนุ่มกลับเดินเข้ามาหาหล่อน แล้วสำรวจที่หัวไหล่ขวาอย่างละเอียดเลยทีเดียว
“หมอเย็บแผลให้ใหม่ค่ะ แล้วก็ฉีดยาให้หนึ่งเข็ม พร้อมกับยาอีกตั้งหอบนี่ด้วย” มินตรายกถุงยาให้เขาดู ก่อนจะถูกอีกฝ่ายแย่งไปถือเอาไว้เสียเอง
จริงๆ หมอให้หล่อนนอนพักดูอาการอยู่ที่คลินิกนี้สักคืน แต่มินตราแกล้งบอกว่าจะไปนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลต่อดีกว่า หมอวัยกลางคนจึงไม่ซักไซ้และคะยั้นคะยออะไรอีก แต่ก็กำชับให้หล่อนรักษาแผลให้ดี อย่าให้มีอะไรไปกระทบกระเทือนได้อีก
“โรเจอร์ล่ะคะ” มินตราถามหาคนสนิทของเขา หลังจากเรือเทียบท่าแล้ว โรเจอร์ก็แยกตัวออกไป แล้วปล่อยให้เจ้านายของตนพาหล่อนมาหาหมอที่คลินิกแห่งนี้ และจนป่านนี้ มินตราก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของโรเจอร์เลย
“เดี๋ยวก็มา ไปเถอะ...ผมจะพาคุณไปหาเสื้อผ้าชุดใหม่” ชายหนุ่มฉวยข้อมือหล่อนมากุม ก่อนจะพาเดินออกจากคลินิกอย่างช้าๆ แล้วมุ่งหน้าไปยังตลาดนัดกลางคืน ที่เขามองเห็นตั้งแต่พาหล่อนขึ้นฝั่งมาแล้ว
มินตรามองฝ่ามือใหญ่ที่กุมมือหล่อนไว้ด้วยความรู้สึกประหลาดในใจ แต่ก็ยอมรับว่าสัมผัสของโทนี่ไม่ได้ทำให้หล่อนรู้สึกรังเกียจหรือขยะแขยงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม มันกลับทำให้หล่อนอบอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว
“เจ้านาย” โรเจอร์โผล่มาจากไหนไม่รู้ เขาเดินเข้ามาหาทั้งคู่โดยมีเป้ใบใหญ่สะพายหลังมาด้วย
“ของที่สั่งล่ะ” โทนี่ถามหาบางอย่างจากลูกน้องหนุ่ม ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบเปิดกระเป๋าแล้วหยิบออกมาให้ทันที
มินตราพยายามเพ่งมองว่าของนั้นคืออะไร แต่โทนี่เองก็เหมือนจะรู้ว่าหล่อนกำลังแอบสังเกตการณ์อยู่ จึงถือโอกาสเอามือข้างนั้นล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะออกคำสั่งกับคนของตนอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
“ไปรอที่รถ เดี๋ยวฉันกับคุณมินนี่ตามไป”
“ครับ” โรเจอร์รับคำสั่ง ก่อนจะเดินปะปนออกไปกับผู้คนและชาวต่างชาติมากหน้าหลายตา ซึ่งนิยมมาเดินเที่ยวที่ถนนคนเดินแห่งนี้ในยามค่ำคืนเพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตติดอันดับของประเทศ
“ทำไมไม่ให้โรเจอร์เดินกับเราด้วยคะ” มินตราเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย
“โรเจอร์ต้องไปเอารถ และขับมารับเราที่นี่ในอีกสามสิบนาทีข้างหน้า” โทนี่อธิบาย ก่อนจะเอามือออกจากกระเป๋ากางเกงในระหว่างที่หล่อนเผลอ
“มีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมพวกคุณทำลับๆ ล่อๆ เหมือนมีความลับ”
“ไม่มีอะไรจะปกปิดคุณได้จริงๆ สินะ” โทนี่ยิ้มมุมปาก หล่อนเป็นสายลับมือดีของหน่วยลับทางราชการ แน่นอนว่าต้องฉลาดและมองอะไรออกทะลุปรุโปร่งอยู่แล้ว
“คุณก็บอกฉันสิคะว่า...เอ๊ะ!” มินตราขมวดคิ้วโก่งเข้าหากันทันที เมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็สวมบางอย่างที่ข้อมือให้ พร้อมกับเสียงดังกริ๊กหนึ่งครั้ง ก่อนที่มันจะเงียบหายไป
นี่มันอะไร...
มินตรามองนาฬิกาข้อมือสีเงินขนาดเล็กบนข้อมือด้วยความประหลาดใจ โทนี่เอามันมาสวมให้หล่อนทำไมกัน มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลในนาฬิกาข้อมือเรือนนี้ สัญชาตญาณของมินตราบอกแบบนั้น
“ยิ่งดึงออกมันก็จะยิ่งรัดคุณแน่น เพราะฉะนั้นอย่าพยายามเลยคุณ” โทนี่ดักคอหล่อน เมื่อหญิงสาวกำลังพยายามที่จะปลดมันออกจากข้อมือ แต่ว่ายิ่งหล่อนออกแรงดึงมันมากเท่าไร มันก็ดูคล้ายว่าจะรัดข้อมือหล่อนแน่นเข้าไปทุกที อย่างที่โทนี่เตือนหล่อนจริงๆ ด้วย
“นี่มันอะไรของคุณ” พอถอดไม่ออก เจ้าหล่อนก็เงยหน้าขึ้นมาหาเรื่องเขาทันที รู้สึกหงุดหงิดและโกรธเขาขึ้นมาอีกครั้งแล้วในตอนนี้
“มันจะทำให้ผมหาคุณเจอได้ทุกที่ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน”
“อะไรนะ!” มินตราเสียงสูง ก่อนจะมองนาฬิกาข้อมือด้วยความตกใจ แม้มันจะถูกออกแบบมาให้สวยงามและดูแปลกตา ทว่ามันกลับร้ายกาจกว่าที่หล่อนคิดเอาไว้นัก
“จะถอดมันออกต้องมีรหัส และแน่นอนว่าจะต้องมีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น ที่จะถอดมันออกจากตัวคุณได้”
คุณพระ! นี่มันของเล่นบ้าอะไรกัน
“นี่คุณคิดจะล่ามโซ่ฉันไว้ตลอดไปอย่างนั้นหรือ” คนตัวเล็กเริ่มมีน้ำโห ขณะที่คนตัวโตกลับถอนหายใจดังเฮือก
มันเป็นวิธีเดียว ที่เขาจะเห็นหล่อนอยู่ในสายตาได้ตลอด อาจจะดูก้าวก่ายและจำกัดสิทธิเสรีภาพไปสักนิด แต่ก็เพื่อความปลอดภัยของหล่อน และความสบายใจของเขาเอง
“เขาเรียกว่าล่ามรักต่างหากล่ะคนสวย ไปดีกว่า ไปหาชุดใหม่สวยๆ ให้คุณกัน” โทนี่บอกขำๆ ก่อนจะจูงมือหล่อนให้เดินตามไปบนถนนเล็กๆ ที่มีผู้คนเดินไปเดินมามากมาย
“คุณทำกับฉันแบบนี้ไม่ได้” มินตราแย้งเขา ก่อนจะมองแผ่นหลังของมนุษย์จอมบงการที่จุ้นจ้านกับชีวิตของหล่อนไปหมดทุกอย่าง ด้วยความแค้นเคือง
“สารวัตรเอกพลเพื่อนของผมบอกว่านายมังกรหลบหนีออกไปได้ ขณะที่ตำรวจกำลังนำตัวไปฝากขังที่โรงพัก”
“ฮะ! คุณว่ายังไงนะ” มินตราตกใจ กว่าจะจับตัวนายมังกรได้ไม่ใช่ง่ายๆ แล้วนี่พวกตำรวจปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไรกัน บ้าบอชะมัด นี่หล่อนเจ็บตัวฟรีอย่างนั้นเหรอ
“ตามนั้น สารวัตรบอกให้พวกเราระวังตัวไว้หน่อย เพราะนายมังกรมันกลับมาเอาคืนแน่ โดยเฉพาะคุณมินนี่ มันกลับมาแก้แค้นคุณแน่นอน ข้อหาที่คุณไปทำลายและขัดขวางธุรกิจของมัน”
เพราะอย่างนี้หรือเปล่านะ เขาถึงใช้เจ้าอุปกรณ์บ้าๆ นี้กับหล่อน มินตราก้มมองนาฬิกาข้อมือของเขาด้วยความคิดสับสน แต่มันจะเป็นแบบนั้นได้อย่างไรกัน โทนี่จะห่วงหล่อนถึงขั้นใช้วิธีนี้ได้เลยหรือ ในเมื่อเขากับหล่อนเพิ่งพบเจอกันเท่านั้นเอง ทำไมเขาจะต้องลงทุนทำในสิ่งที่หล่อนไม่คาดคิดแบบนี้ด้วยล่ะ
“คุณทำแบบนี้เพราะห่วงฉันหรือคะ” มินตราหลุดปากถามเท่าทันกับความคิด ก่อนจะรีบหุบปากและหลุบตาลงต่ำในทันที เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป
โทนี่เองก็เหมือนจะเดาใจหล่อนได้ ชายหนุ่มรั้งคนตัวเล็กเข้ามาโอบหลวมๆ แล้วพาเดินไปด้วยกันอย่างช้าๆ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนใบหน้า พร้อมกับกระซิบเบาๆ ข้างหูให้หล่อนได้ยินชัดเจน
“หวงมากกว่า ผมจะได้รู้ไง ว่าลับหลังผมน่ะ คุณแอบไปให้ท่าใครแบบที่เราเจอกันวันแรกหรือเปล่า”
มินตราหน้าร้อนผ่าว ก่อนจะมองค้อนให้เขาด้วยความหมั่นไส้เหลือทน ต่อให้หล่อนทำแบบนั้นจริง เขาหรือจะมีสิทธิ์มาก้าวก่ายได้ ชีวิตหล่อนก็คือของหล่อน ไม่ใช่ของเขาเสียหน่อย
โทนี่พาหล่อนมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านชุดชั้นในร้านหนึ่ง แม้มันจะไม่ได้เป็นยี่ห้อดีมีราคาแพงเท่าให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ แต่เขาก็คิดว่ามันน่าจะพอแก้ขัดก่อนไปได้ ขืนปล่อยให้หล่อนเดินไปเดินมาในสภาพแบบนี้ เขาเองนั่นแหละที่จะตบะแตกได้แทบทุกนาที เพราะเขารู้ว่าเนื้อในของมินตรานั้นมันงดงามมากมายแค่ไหน
“เชิญเลือกดูได้เลยนะคะ สวยๆ ทั้งนั้นเลยค่ะคุณ” แม่ค้าสาวไทยเชื้อเชิญ พร้อมกับแอบอิจฉาหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าร้านของเธออยู่ไม่น้อยที่มีหนุ่มตาน้ำข้าวหน้าตาหล่อเหลาราวกับพระเอกหนังจูงแขนพามาซื้อชุดชั้นใน แบบนี้หาได้จากที่ไหนกันหนอ
“คุณชอบแบบไหน” โทนี่หันมากระซิบ ในขณะที่มินตราทำหน้ากระอักกระอ่วน ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาซื้อชุดชั้นในกับผู้ชายแบบนี้ ช่างเหนือความคาดหมายยิ่งนัก
“แบบไหนก็ได้ค่ะ เอามาแก้ขัดสักชุดก่อนเถอะ” หญิงสาวตอบห้วนๆ ไม่กล้าสบตาแม่ค้าที่มองมาด้วยความเอ็นดู กับคู่รักเฉพาะกิจอย่างหล่อนและเขา
“เดี๋ยวผมดูให้ดีกว่า หน้าอกสัก...สามสิบหกใช่ไหม” โทนี่ปล่อยมือหล่อน แล้วเดินไปเลือกชุดชั้นในหลากสีสัน ที่แขวนไว้เรียงรายจนละลานตาไปหมด ซึ่งมันมีหลายขนาดหลายไซซ์ให้เลือกมากมายเลยทีเดียว
“สีดำนี่ก็สวยนะคะ เหมาะกับผิวของน้องผู้หญิงเขาดี” แม่ค้าแนะนำ ก่อนจะหยิบชุดชั้นในสีดำยื่นมาให้ชายหนุ่มเลือก
“ดูหนาไปครับ ภรรยาผมเขาชอบบางๆ เซ็กซี่ๆ หน่อย”
อีตาบ้า! มินตราอยากจะถอดรองเท้าแตะที่สวมอยู่ปาหัวเขานัก แต่ก็ทำได้แค่ยืนกัดฟันกรอด มองสามีสุดหล่อจอมโมเมกับแม้ค้าหน้าใสคุยกันถึงสัดส่วนของหล่อนด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
แปลกดี จะมีผู้ชายสักกี่คนที่จะมาเลือกซื้อชุดชั้นในให้ผู้หญิงแบบนี้ ระดับ โทนี่ วิลล์ เจ้าพ่อแห่งวงการเทคโนโลยีสมัยใหม่ จู่ๆ มาได้เขามาเลือกชุดชั้นในให้นี่นะ มินตราอยากจะบ้า
หญิงสาวผ่อนลมหายใจ ก่อนจะมองไปรอบๆ ตลาดด้วยความคิดสับสนวุ่นวาย ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินขวักไขว่ไปมา ต่างคนต่างเลือกซื้อเสื้อผ้าและของกินกันอย่างมีความสุข แต่หล่อนล่ะ หล่อนมัวมาทำอะไรอยู่ตรงนี้
แผ่นหลังบึกบึนของคนที่กำลังง่วนกับการเลือกชุดชั้นผู้หญิง ทำให้มินตราเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว แม้จะอยู่ด้วยกันในระยะสั้นๆ แต่มินตราก็มองออกว่าโทนี่เป็นคนอย่างไร แม้จะปากร้าย แต่จิตใจของเขาก็ดีกว่าผู้ชายหลายคนที่หล่อนเคยพบเจอมาทีเดียว
“ตัวนี้แล้วกัน” โทนี่หยิบชั้นในสีแดงสดออกมา พร้อมกับยิ้มอย่างพึงพอใจ หากมันอยู่บนเรือนร่างของมินตรา รับรองว่าหล่อนจะต้องเซ็กซี่กว่าผู้หญิงทุกคนบนโลกนี้แน่
“ตาถึงจริงๆ ค่ะ สีแดงเร้าใจ ใส่แล้วต้องเซ็กซี่มากๆ” แม้ค้าสาวเห็นด้วย พร้อมยิ้มให้กับความน่ารักของฝ่ายชายที่ต้องการจะเอาใจฝ่ายหญิงเต็มที่
“เบบี๋ คุณว่าสีนี้เป็นไงครับ” โทนี่หันกลับมาถามหล่อนด้วยแววตาซุกซน ทว่าทุกอย่าง ณ ตรงนั้นกลับมีเพียงความว่างเปล่า ไร้เงาของหญิงสาวที่เขาเก็บหล่อนไว้ข้างตัวมาตลอดหลายวัน
“มินนี่” โทนี่พึมพำ นี่หล่อนกล้าทิ้งเขาอีกครั้งแล้วอย่างนั้นหรือ
“หายไปไหนแล้วคะ ตะกี้ยังยืนอยู่ตรงนี้ด้วยกันอยู่เลย” แม่ค้าสาวยกมือขึ้นเกาหัวด้วยความงุนงง เมื่อหันกลับมาแล้วพบว่าสาวสวยได้หายไปแล้ว
“เดี๋ยวเอาชุดนี้นะครับ” โทนี่ยื่นชุดที่เลือกให้แม่ค้า ในขณะที่ใบหน้าหล่อเงียบขรึมลงในทันที
“ได้ค่ะ” แม่ค้ารีบนำไปใส่ถุงให้ทันที แต่ก็อดรู้สึกแปลกๆ กับคู่รักคู่นี้ไม่น้อย
โทนี่เดินล้วงกระเป๋ากางเกงออกจากร้านด้วยความเงียบงัน ก่อนจะหันไปมองรอบๆ ตัวแล้วถอนหายใจ อีกครั้งแล้วที่สินะที่มินตราทิ้งเขาไปโดยไม่ร่ำลากัน ทั้งที่หล่อนเองก็รู้ ว่าต่อให้หล่อนหนีเขาไปสุดหล้าฟ้าเขียว เขาก็จะหาหล่อนเจอทุกที่
คล้ายหัวใจหลุดลอยไป โทนี่รู้สึกอย่างนั้น สองขาก้าวเดินไปตามถนนอย่างช้าๆ และนึกถึงใบหน้าซีดๆ ของหล่อนด้วยความห่วงหาอาทร หล่อนยังเจ็บแผลอยู่แท้ๆ แต่ทำไมไม่คิดถึงความปลอดภัยของตัวเองเลย หล่อนจะรู้บ้างไหม ว่าหากแผลนั่นอักเสบและเรื้อรังไป หล่อนอาจจะถูกตัดแขนทิ้งไปเลยก็ได้
ให้ตายเถอะ! เกิดมาโทนี่ไม่เคยต้องมาคอยห่วงใยใครแบบนี้เลย ชีวิตของเขาสุขและสงบมานานจนผ่านมาสามสิบห้าปี ไม่เคยเลยสักครั้ง ที่เขาจะเป็นทุกข์และทรมานกับแคร์ใครสักคนแบบนี้ โทนี่ชักไม่แน่ใจแล้วสิ ว่าอาการแบบนี้ มันหมายถึงอะไรกันแน่ อะไรกันที่เขารู้สึกกับมินตราในตอนนี้
“แบบนี้เขาเรียกว่าอาการรัก”
คำตอบจากเพื่อนรักที่ลอยหน้าลอยตาอยู่ในจอคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กบนโต๊ะ ทำให้โทนี่ที่นั่งหมดอาลัยตายอยากถึงกับหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาทันที ก่อนจะตอบกลับคาร์ลที่ติดต่อมาถามไถ่ความเป็นไปของเขา หลังจากที่ได้รับข่าวบางอย่างของโทนี่จากสารวัตรเอกพล ที่แอบรายงานให้ทุกคนทราบเรื่องตอนไหนก็ไม่รู้
“อาการรักบ้าอะไรของแกวะคาร์ล มีเมียแล้วก็พูดมั่วเชียวแก” โทนี่บ่นอุบ หลบสายตาจับผิดของเพื่อนที่ส่งมาจากแดนไกลถึงอเมริกา ความจริงโทนี่เองก็ถึงเวลาที่จะต้องกลับไปดูแลงานของตัวเองแล้วเหมือนกัน เพราะเขาบินมาพักผ่อนที่เมืองไทยก็นานหลายสัปดาห์แล้ว แต่เพราะยังมีเรื่องคาใจนิดหน่อย เขาจึงไม่ได้กลับไปพร้อมกับทุกคน
“มั่วอะไรล่ะ แกรู้แก่ใจดีโทนี่ ว่าแกกำลังคิดอะไรกับผู้หญิงคนนั้น คนอย่างโทนี่กล้าทำกล้ารับไม่ใช่หรือวะ กะอีแค่ความรู้สึกของตัวเอง ทำไมคนอย่างแกถึงจะยอมรับไม่ได้” คนไกลพูดแทงใจดำ เพราะอดหมั่นไส้ที่โทนี่เอาแต่ปากแข็งไม่ยอมรับความจริงอยู่นั่นแหละ
“ฉัน...” คนมีความทุกข์ไม่รู้จะพูดอย่างไร สองชั่วโมงกว่าแล้ว ที่เขานั่งมองชุดชั้นในสีแดงที่อยู่ในถุงอย่างไร้จุดหมาย บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรกับเจ้าของชั้นในชุดนี้กันแน่
มันทั้งโกรธ ทั้งขุ่นใจ ที่เจ้าหล่อนไม่เคยสนใจในความหวังดีของเขาเลย เอาแต่ดื้อ เอาแต่ใจ ทำให้เขาหัวหมุนไปหมด มาตอนนี้ก็แอบหนีเขาไปอีก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าหล่อนจะปลอดภัยดีหรือไม่
“ฉันว่าแกควรซื้อบ้านสักหลัง” คาร์ลเสนอแนะ
“ซื้อทำไมวะ บ้านฉันอยู่อเมริกาโน่น จะมาทีก็นอนบ้านแกบ้านคุณเคลวินก็ได้” โทนี่บอกตามที่คิด เพราะซื้อไว้ก็ใช่ว่าจะได้อยู่เสียเมื่อไร ซื้อไว้ให้ฝุ่นให้หยากไย่อยู่แทนก็จะไร้ประโยชน์
“นั่นมันก็ใช่ แต่ถ้าแกคิดจะมีเมียเป็นคนไทยเหมือนฉันหรือคุณเคลวิน แกก็น่าจะซื้อไว้เป็นของตัวเองสักหลังไม่ใช่หรือ”
“แกนี่ก็คิดไปโน่นนะคาร์ล” โทนี่บ่นอุบ ดูเหมือนว่าเพื่อนรักจะปักใจแล้วว่าเขาชอบมินตราจึงได้แนะนำให้เขาซื้อบ้านสักหลัง ทั้งที่บ้านของเคลวินที่เขาพักอาศัยอยู่ในขณะนี้ ก็ออกจะสะดวกสบายทุกอย่างดี แถมระบบความปลอดภัยก็ยอดเยี่ยมมากเลยทีเดียว ยากที่คนภายนอกจะเข้าถึงได้
“แกคิดไปไกลกว่าฉันอีกโทนี่ ไม่อย่างนั้นจะตามหาหล่อนเป็นบ้าเป็นหลัง แถมยังยอมเสี่ยงตายกระโดดลงไปช่วยหล่อนในแม่น้ำเจ้าพระยานั่นหรอก”
โทนี่กลอกตา นี่หมายความว่าเอกพลรายงานทุกคนหมดแล้วสินะ ว่าเขาทำอะไรที่ไหนอย่างไร แต่ก็นั่นแหละ การจะมีความลับกับเพื่อนฝูงอย่างคาร์ลนี่มันไม่ง่ายเลยจริงๆ
“ถึงเวลาของแกแล้วล่ะโทนี่ เวลาที่แกจะได้พบกับพรหมลิขิตของแก เคยแช่งฉันไว้เยอะนี่ คราวนี้แกเจอกับตัวเองแล้วเป็นไง” คาร์ล เบอร์ตัน หัวเราะร่วน ส่วนโทนี่นั้นทำท่าเหมือนจะตายขึ้นมาทันที
“เอาน่า จะมีเมียมีความรัก ก็ไม่เห็นต้องคิดอะไรมากเลย คนเขาก็มีกันโครมๆ ไม่เห็นเขาจะเป็นจะตายเหมือนแกสักคน”
“แกก็พูดเกินไป แล้วนี่ยายตัวเล็กไปไหน ทำไมแกมีเวลาว่างมาคุยกับฉันได้” โทนี่ถามหาตติญาภา ภรรยาตัวน้อยของคาร์ลเพื่อนรักที่รู้จักและสนิทสนมกันเป็นอย่างดี
“กระต่ายออกไปข้างนอกกับคุณจันทร์แล้วก็คุณม่านไหมน่ะ อีกนานกว่าจะกลับเข้ามา ฉันเป็นห่วงแกก็เลยแวะมาทักทาย กลัวจะโดนความรักเข้าตาจนทำให้สมองไม่สั่งงานอะไร”
“ไอ้เพื่อนบ้า” โทนี่อดหัวเราะไม่ได้ คาร์ลพูดถูก เพราะตอนนี้เขาเองกำลังสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปเหมือนกัน
ใจหนึ่งอยากจะปล่อยทุกอย่างให้ผ่านไป เพราะมินตราไม่เคยต้องการความห่วงหาจากเขาแม้แต่น้อย หากแต่ใจหนึ่งก็กลัวว่าหล่อนจะเป็นอะไรไป หล่อนตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน แถมยังทำงานที่เสี่ยงกับชีวิตและความปลอดภัยตลอดเวลาอีก
“แกอาจจะเหนื่อยนะโทนี่ เพราะว่าที่เมียของแกคนนี้ไม่ธรรมดา แกต้องคิดดีๆ ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรกับหัวใจของแกกันแน่ แค่หลง แค่อยากได้เหมือนผู้หญิงทั่วๆ ไป หรือว่าอยากได้เธอมาอยู่ข้างๆ ตลอดไป”
คำแนะนำของเพื่อนรักทำให้โทนี่เงียบไปอย่างใช้ความคิด หากแค่หลง เขาเองก็คงหลงหัวปักหัวปำ หากเป็นความอยากได้ เขาก็คงอยากได้จนแทบบ้าคลั่ง แต่ถ้าหากอยากให้หล่อนอยู่เคียงข้างกัน เขาก็คงอยากให้อยู่ด้วยตลอดไป
“เมียแกไม่ใช่เจ้าของร้านขนมเหมือนเมียฉัน ไม่ใช่นักร้องสาวสวยเหมือนคุณจันทร์ภรรยาของอดีตเจ้านายเรา เธอเป็นถึงสายลับของหน่วยพิเศษแห่งกองปราบปรามยาเสพติด เพราะฉะนั้นการที่แกจะจีบหล่อน มันต้องใช้กลยุทธ์ขั้นสูงสุด”
จริงของคาร์ล มินตราเป็นสายลับสาวที่มีฤทธิ์เดชมากพอตัว เพราะฉะนั้นถ้าจะจับหล่อนให้อยู่หมัด เขาก็ต้องใช้วิธีที่เฉียบคมมากกว่านี้
“ฉันว่าคุณจันทร์กับเมียแกนี่ร้ายกาจมากแล้วนะคาร์ล แต่มาเจอมินตรานี่ฉันไปไม่เป็นจริงๆ เธอร้ายกว่ากระต่ายกับคุณจันทร์ผสมกันเสียอีก ยกขาทีนี่แทบจะก้านคอฉันได้” โทนี่บอกไปหัวเราะไป รู้สึกขำที่ตัวเองต้องมาพ่ายแพ้ให้กับผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างมินตราได้
“ฮ่า...ได้ข่าวว่าตีกันแทบตายไม่ใช่เหรอ ระวังนะโว้ย ตีกันบ่อยแบบนี้เขาว่าจะมีลูกดก” คาร์ลแกล้งเย้า เพราะนานๆ ครั้งจะได้เห็นเพื่อนรักจนมุมเพราะผู้หญิงแบบนี้
“เป็นอย่างนั้นก็ดีสิ มินนี่จะได้เลิกทำงานแบบนั้นเสียที ฉันไม่ชอบเลยว่ะคาร์ล ไม่ชอบเลยที่เธอทำงานแบบนั้น เกิดพลาดท่าเสียทีไอ้พวกผู้ร้ายขึ้นมาสักวัน นั่นก็หมายถึงชีวิตของเธอเลย”
“ห่วงก็บอกเขาตรงๆ สิวะ จะมามัวกั๊กเอาไว้ทำไม แกเห็นฉันกับกระต่ายไหม กว่าจะได้ลงเอยกัน มันต้องผ่านอะไรมากมายเหลือเกิน แกมีโอกาสแล้วนะโทนี่ เพราะฉะนั้นรีบตักตวงเอาไว้ให้ดี อย่าปล่อยเวลาในแต่ละวันให้มันเลยเถิดไปถึงห้าปีเหมือนฉันกับกระต่าย แกก็เห็นไม่ใช่หรือ ว่ามันไม่มีใครมีความสุขเลย เพราะฉะนั้นแกรู้สึกอย่างไร ต้องการอะไร แกพูดแกทำไปเลย ก่อนที่แกจะไม่มีโอกาส”
“ขอบใจมากนะคาร์ล ยังเป็นแกเสมอที่เข้าใจฉัน” โทนี่ยิ้มให้เพื่อนอย่างขอบคุณ
“เพื่อนกันนี่หว่า ฉันก็อยากให้แกมีใครสักคนดูแลเสียที ฉันจะรอนะโทนี่ รอดูวันที่แกมีความสุขเหมือนกันกับฉัน เหมือนคุณเคลวินหรือว่าคุณพลากร เพราะฉะนั้นสู้เขานะโว้ยเพื่อน อย่าไปยอมแพ้เธอเด็ดขาด” คาร์ลกำชับเพื่อนอย่างจริงจัง ก่อนจะคุยอีกสองสามคำแล้วตัดสัญญาณไป ทิ้งให้โทนี่ได้แต่นั่งหัวเราะเบาๆ ด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นบ้าง
“เจ้านายครับ” โรเจอร์เปิดประตูเข้ามาหลังจากนั้น ทำให้โทนี่จำต้องรีบปรับสีหน้าให้กลับมาเงียบขรึมดังเดิม เพื่อไม่ให้ลูกน้องหนุ่มของเขาสงสัย
“ว่าไง ได้เรื่องไหม” โทนี่ตั้งคำถามทันที เขาสั่งให้โรเจอร์หาสัญญาณบนนาฬิกาข้อมือของมินตรา เพราะอยากรู้ว่าหล่อนหนีเขาไปที่ใดกันแน่
“อยู่ในกรุงเทพฯ นี่ล่ะครับ ไม่ไกลจากเราเท่าไร เจ้านายจะให้คนของเราที่เรียกตัวมาลงมือเลยไหม”
“ไม่ต้อง” โทนี่โบกมือห้าม เพราะเขาไม่อยากทำอะไรให้มันเอิกเกริก อีกอย่างก็ไม่ใช่เจ้าถิ่นด้วย กลัวจะไปสร้างความเดือดร้อนให้เอกพลได้
“บอกให้ทุกคนอยู่เฉยๆ และรอฟังคำสั่งฉันอย่างเดียว”
“ครับ” โรเจอร์รับคำสั่ง ก่อนจะเดินออกไปจากห้องของเจ้านายหนุ่มหลังจากนั้น เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอยู่คนเดียวมากกว่า
โทนี่เรียกคนของตัวเองมาจากอเมริกา เพราะกลัวว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น หลังจากที่เอกพลบอกกับเขาว่านายมังกรพ่อค้ายาคนนั้นหนีออกไปได้ เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ แถมยังห่วงใยไปถึงความปลอดภัยของมินตราด้วย
หล่อนเป็นคนทำลายแผนการของพวกมัน ไม่แน่ว่าหลังจากนี้พวกมันอาจจะกลับมาแก้แค้นหล่อนเข้าก็ได้ แม้แต่เขากับเอกพลเองก็ต้องระวัง เพราะพวกเขาล้วนอยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นด้วยทั้งคู่ ด้วยเหตุนี้เอง โทนี่จึงเรียกคนของตัวเองมาเพื่อช่วยงานอย่างลับๆ หากเกิดอะไรขึ้นมา โทนี่เองก็พร้อมจะปะทะได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องเกรงกลัวใคร
“แผลเป็นไงบ้าง”
“ดีขึ้นแล้วค่ะคุณอา ไม่ต้องเป็นห่วงมินหรอกนะคะ” มินตรายิ้มให้ผู้อุปการคุณ หรืออีกฐานะหนึ่งก็คือผู้บังคับบัญชาของหล่อนนั่นเอง เทวาเป็นอดีตนายตำรวจมือดีของกรมสืบสวน ที่ผันตัวเองมาควบคุมหน่วยราชการลับของป.ป.ส. และแน่นอนว่าเขาเลือกมินตราเข้าทีมด้วย เพราะเห็นว่าหล่อนฉลาดและฝีมือดี แถมมีจิตใจห้าวหาญมากกว่าชายชาตรีทั่วไป
“ก็ดี ไม่งั้นอาต้องรู้สึกผิดแน่ๆ ที่ทำให้มินต้องไปเสี่ยงตายแบบนั้น” เทวา ชายวัยห้าสิบปลาย นั่งลงข้างหญิงสาวที่ตัวเองส่งเสียเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก เรียกได้ว่าเหมือนลูกสาวคนเดียวเลยก็ว่าได้ เพราะเทวาตัวคนเดียว ไม่มีภรรยาและครอบครัวที่ไหน
“คิดมากไปแล้วค่ะ มินเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว คุณอาไม่ต้องกังวลหรอก” หล่อนยิ้มให้ผู้มีพระคุณ เทวาเป็นทั้งพ่อทั้งผู้บังคับบัญชาที่ดี เป็นคนที่มินตรารักและเคารพมากที่สุด
มินตราไม่มีบ้าน ปกติหล่อนเร่ร่อนไปทั่วไม่มีหลักแหล่งที่แน่นอน เนื่องด้วยอาชีพที่หล่อนทำ จึงมักไม่ปักหลักที่ใดที่หนึ่งให้เป็นเป้าต่อฝั่งตรงข้าม หล่อนไม่สามารถเปิดเผยตัวว่าเป็นใครและมีอาชีพอะไรในสังคม เพราะมันจะส่งผลต่อความปลอดภัยในการใช้ชีวิตได้ ในสังคมทั่วไปหล่อนคือหลานสาวของเทวา เจ้าของบาร์แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่มีชื่อเสียงในวงสังคมไฮโซเพียงเท่านั้น
“ว่าแต่...ผู้ชายคนที่ช่วยมินนี่เป็นใครหรือ”
คำถามต่อมาของเทวาทำให้มินตราชะงักกึก ก่อนจะคิดทบทวนในใจว่าควรบอกเทวาดีหรือไม่ แต่โทนี่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกคนร้ายที่หล่อนกำลังตามตัวอยู่นี่นา หล่อนเองก็ไม่รู้ว่าเทวารู้เรื่องนี้มากน้อยแค่ไหนด้วย
“เอ่อ...เขาเป็นนักท่องเที่ยวค่ะ” มินตราตอบเลี่ยงๆ ไม่อยากเปิดเผยเรื่องราวของโทนี่มากนัก เพราะหล่อนเองก็ยังไม่รู้เรื่องของเขามากพอ
“เหรอ แต่สายรายงานข่าวของอาบอกว่าเขาคนนี้ไม่ธรรมดา รวมถึงนายตำรวจมือดีเพื่อนของเขาคนนั้นด้วย”
มินตราเลิกคิ้วมองผู้มีพระคุณด้วยความแปลกใจ เทวารู้เรื่องของโทนี่กับเพื่อนของเขาด้วยอย่างนั้นเหรอ ทั้งที่หล่อนเองก็ยังไม่ทันได้ปริปากบอกรายละเอียดอะไรเลยนี่นา
มินตราบอกเทวาว่าได้รับการช่วยเหลือจากชายผู้หนึ่งเท่านั้น และไม่ได้บอกว่าเป็นใครมาจากไหน เพราะกลัวเทวาจะไม่สบายใจ เนื่องจากโทนี่นั้นรู้ประวัติของหล่อนจนหมด ซึ่งมันมีผลกระทบต่อสายลับและองค์กรของหล่อนมากทีเดียว
“นี่คุณอา...รู้ว่าพวกเขาเป็นใครหรือคะ” มินตราหยั่งเชิง รู้สึกงงเล็กน้อยที่เทวาดูท่าจะรู้อะไรมากกว่าหล่อนด้วยซ้ำ
“ก็รู้ตอนที่คนของเราเห็นเขากับเพื่อนช่วยมินขึ้นมาจากน้ำนั่นแหละ แต่เห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร คนของเราก็เลยล่าถอยออกมาก่อน เพราะอย่างไรเสียมินก็ปลอดภัยแล้ว” เทวาอธิบาย เพราะเมื่อเห็นว่ามินตราได้รับการช่วยเหลือจากคนพวกนั้นแล้ว จึงไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง กลัวว่าเรื่องมันจะบานปลายไปกันใหญ่ เพราะหนึ่งในนั้นมีสารวัตรเอกพล นายตำรวจเส้นใหญ่คอยบัญชาการอยู่ ต่อให้มีจุดประสงค์เดียวกัน แต่เทวาก็ไม่อยากก้าวก่ายสายงานที่อยู่กันคนละเส้นได้
“อาแค่งงนิดหน่อย ว่าทำไมอาถึงหาตัวมินหลังจากนั้นไม่เจอ พวกเราพยายามหาสัญญาณสุดท้ายของมิน แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า ซึ่งต่อให้มันหลุดหายไปในระหว่างที่มินตกน้ำอย่างที่มินบอกจริง อาก็ว่ามันน่าจะจับสัญญาณได้”
มินตราหลบสายตาผู้มีพระคุณ เมื่อเทวากล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก หล่อนบอกไม่ได้ว่าเครื่องส่งสัญญาณนั้นหายไปได้อย่างไร เพราะแม้แต่หล่อนเองก็ไม่รู้ ว่าโทนี่จัดการกับมันแบบไหน มันถึงได้ไร้สมรรถภาพลงไปง่ายๆ ทั้งที่เจ้าอุปกรณ์ตัวนี้ของหน่วยงานพิเศษ มันทั้งทนทานและอยู่ในน้ำลึกได้โดยไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย หรือต่อให้ถูกทุบหรือทำลาย มันก็จะยังมีสัญญาณจากไมโครชิพที่มีขนาดเล็กมากซ่อนอยู่ให้ค้นหาเจอได้
“มินว่ามันน่าจะมีปัญหาอยู่แล้วค่ะ เลยติดตามหาสัญญาณไม่ได้ ว่าจะให้ทีมงานตรวจสอบอยู่เหมือนกัน แต่ก็ดันมาเกิดเรื่องเสียก่อน มินเองต้องขอโทษคุณอาด้วยนะคะ” มินตราพยายามบ่ายเบี่ยง พร้อมกับยิ้มเก้อๆ แกล้งเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาทันที เทวาไม่ใช่คนโง่มินตรารู้ดี แต่อย่างน้อยก็เบี่ยงเบนเขาให้ลืมเรื่องนี้ไปได้บ้าง
“ไม่เป็นไรหรอก แค่มินปลอดภัยกลับมา อาก็สบายใจแล้วล่ะ” เทวายิ้มให้ พร้อมกับยกมือขึ้นลูบศีรษะของเด็กสาวที่เขาเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต หล่อนเป็นคนเดียวของครอบครัวที่เขามีอยู่ในตอนนี้ ซึ่งเทวาบอกได้เต็มปากเต็มคำ ว่าทั้งรักทั้งหวงหล่อนมาก
“มีอย่างหนึ่งที่อาต้องเตือนมิน” เทวาพูดขึ้นหลังจากนั้น
“คะ” มินตราเอียงคอถาม
“ผู้ชายคนนั้นอันตรายเกินกว่าที่มินจะข้องแวะด้วย อาไม่รู้ว่ามินกับเขาคนนั้นรู้จักกันได้อย่างไร แต่อาขอนะมิน ไม่จำเป็นก็อย่าไปยุ่งกับเขาอีก คนอย่างโทนี่ วิลล์ เป็นบุคคลที่คาดเดาได้ยากว่าเขาอยู่ฝ่ายไหน ถึงเขาจะเคยช่วยมินก็จริง แต่ก็การันตีไม่ได้ ว่าจริงๆ
แล้วในใจเขาต้องการอะไร ความรัก...เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับสมาชิกในหน่วยของเรามานานแล้ว มินเองก็รู้เรื่องนี้ดี อาเองไม่อยากให้มีปัญหาภายหลัง จึงอยากจะเตือนมินตรงๆ”
“แต่มินกับเขาไม่ได้...”
“เรื่องนั้นอาไม่สนใจ แค่มินรู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานะไหน และทำอะไรอยู่ก็พอ เอาล่ะ อาไม่กวนมินแล้ว อาขอตัวไปคุยเรื่องงานกับวาทินก่อนดีกว่า มินรักษาตัวให้ดีๆ หายแล้วจะได้ออกไปท่องเที่ยวอย่างที่มินต้องการไงล่ะ”
“แต่ว่านายมังกร...” มินตรายังไม่วางใจ เพราะตอนนี้นายมังกรหนีออกไปได้ แปลว่าภารกิจของหล่อนยังไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นหล่อนจะพักร้อนแล้วออกท่องเที่ยวอย่างที่เทวาบอกได้อย่างไร
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอากับทีมงานเถอะ มินไม่ต้องยุ่งเรื่องนี้แล้ว แค่มินรักษาตัวให้หายก็พอ อาขอแค่นี้” เทวากำชับด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะเดินออกจากห้องของมินตราไปอย่างรวดเร็ว เพราะไม่ต้องการรับฟังอะไรจากหล่อนอีก
มินตราถอนหายใจ ก่อนจะนั่งเงียบๆ บนเตียงด้วยความคิดที่ล่องลอยไปไกลแสนไกล สุดท้ายก็ยกข้อมือที่มีนาฬิกาสีเงินของโทนี่ขึ้นมาแตะเบาๆ ท่ามกลางความรู้สึกที่สับสนวุ่นวาย
เขารู้ว่าหล่อนอยู่ที่นี่ใช่ไหม...
มินตราได้แต่ถามตัวเองอยู่ในใจ โทนี่จะเฝ้ามองหล่อนจากตรงนี้และทุกๆ ที่ที่หล่อนไปใช่หรือเปล่า หรือว่าจริงๆ แล้วเขาแค่โกหกและพูดไปอย่างนั้นเอง เพื่อให้หล่อนตายใจและยอมไว้ใจเขา
แต่เขาจะทำแบบนั้นเพื่ออะไรกันล่ะ หรือจริงๆ แล้วโทนี่ต้องการประโยชน์อันใดถึงพยายามเข้าหาหล่อนแบบนี้ เขาอยู่ฝ่ายไหนกัน ความถูกต้องหรือเงินตรามากมายเหมือนพวกค้ายาพวกนั้นอย่างที่เทวาระแวง
หญิงสาวล้มตัวนอนแผ่หลาบนเตียง ความคิดตีกันจนวุ่นวายปวดหัวไปหมด หล่อนไม่ได้บอกเทวาเรื่องนาฬิกาสีเงินบนข้อมือนี้ เพราะลึกๆ ในใจส่วนหนึ่ง หล่อนยังเชื่อความรู้สึกของตัวเอง โทนี่ไม่ใช่คนร้าย ต่อให้เขามีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวมากเพียงใด แต่มินตราก็รู้สึกได้ ว่าโทนี่ก็คือผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่มองหล่อนด้วยสายตาที่ผู้ชายคนหนึ่งมองผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ
“เรื่องนายอานัสเป็นไงบ้าง”
เสียงคนคุยกันที่ดังเล็ดลอดออกมาจากห้องทำงานของเทวา ทำให้มินตราที่กำลังเดินผ่านไปถึงกับชะงักกึก ก่อนจะตัดสินใจแอบฟังอย่างเสียมารยาทไม่ได้
“ยังปกติครับท่าน ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ” เสียงวาทิน หนึ่งในมือขวาของเทวารายงาน
“จับตาดูให้ดี หากมันเคลื่อนไหวอะไร ให้รีบมารายงานฉันด่วน” เสียงทรงอำนาจของเทวาดังขึ้น ซึ่งเป็นปกติเวลาที่เขาคุยเรื่องงานสำคัญกับลูกน้อง
“แต่เราจับตาดูเขามานานหลายปีแล้วนะครับท่าน ผมก็ไม่เห็นว่านายอานัสคนนี้จะมีความผิดปกติอะไร หากเป็นหัวเรือใหญ่ในการค้ายาจริงๆ ผมว่าน่าจะเคลื่อนไหวมากกว่านี้”
อานัส...
ทำไมมินตราไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน หญิงสาวขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เป็นไปได้อย่างไร ที่หน่วยงานของหล่อนติดตามชายผู้นี้มาแล้วหลายปี โดยที่มินตราไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย นายอานัสคนนี้เป็นใครกัน เป็นหนึ่งในผู้ต้องหาคนสำคัญของหน่วยงานหล่อนอย่างนั้นเหรอ
“แกไม่รู้อะไรก็อย่าพูดเลยวาทิน ทำตามที่ฉันสั่งก็พอ อ้อ...แล้วก็อย่าให้ยายมินรู้เรื่องนี้เด็ดขาดเข้าใจไหม”
“ทำไมล่ะครับท่าน” วาทินสงสัย
นั่นสิ! มินตราเองก็สงสัย ว่าทำไมหล่อนจะรู้เรื่องนี้ไม่ได้
“ยายมินกำลังจะไปพักผ่อน ฉันไม่อยากให้ยายมินห่วงงาน” เทวาให้เหตุผล
“อ๋อ ผมเข้าใจแล้วครับ”
มินตราขมวดคิ้ว ก่อนจะรีบเลี่ยงเดินออกไปหลังจากนั้นทันที หล่อนต้องการหาอะไรอุ่นๆ ดื่มแก้อาการปวดหัวเพียงเท่านั้น จึงได้ออกจากห้องนอนเพื่อลงไปยังห้องครัว แต่ก็ไม่คิดหรอกว่าจะได้ยินได้ฟังเรื่องราวของคนที่ชื่ออานัสที่ทุกคนพยายามปิดหล่อนมาหลายปี
มินตราชงโกโก้ร้อนๆ ให้ตัวเองหนึ่งแก้ว ก่อนจะเดินกลับห้องนอนของตัวเองอีกครั้งหลังจากเห็นว่ารถของวาทินขับออกไปแล้ว ตอนนี้หล่อนไม่อยากสงสัยหรือรับรู้เรื่องใดๆ หล่อนอยากพักสมองให้ปลอดโปร่ง จะได้ไม่ต้องเครียดจนปวดหัวแบบนี้อีก
แสงไฟในห้องมืดสนิท ทั้งที่ก่อนออกไปมินตราก็ไม่ได้ปิดไฟแต่อย่างใด หญิงสาวปิดประตูล็อกกลอน ก่อนจะวางแก้วโกโก้ลงบนโต๊ะแล้วมองไปรอบๆ ห้องที่มีเพียงแสงไฟจากด้านนอกสาดส่องให้พอมองเห็นลางๆ
มีบางอย่างผิดปกติไป มินตรารู้สึกได้โดยสัญชาตญาณ แต่จะเป็นใครกัน ที่กล้าหาญเข้ามาในถ้าเสือแบบนี้ได้ มองจากภายนอกแล้วบ้านของเทวาคือบ้านหลังใหญ่ธรรมดาๆ เหมือนคนทั่วไป ทว่าภายในกลับมีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด แถมก่อนจะเข้ามาในบ้านได้ จะต้องมีรหัสผ่านและการแสกนใบหน้าบริเวณทางเข้าบ้านอีกด้วย
“อุ๊บ! อื้อ” มินตราอึกอักในลำคอ เมื่อจู่ๆ ร่างในเงามืดก็เข้าประชิดตัวหล่อนจากด้านหลัง ในขณะที่ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นมาปิดปากหล่อนเอาไว้แน่นเลยทีเดียว
มินตราดิ้นสุดกำลัง ก่อนจะเอี้ยวตัวกลับมาคว้าหมับที่ร่างสูงใหญ่ในเงามืด แล้วหลังจากนั้นก็ทุ่มร่างปริศนาของผู้บุกรุกลงไปยังพื้นห้องทันที
“โอย...”
เสียงครางของผู้บุกรุกทำให้มินตรารู้ว่ามันเป็นผู้ชาย หญิงสาวอาศัยช่วงจังหวะนั้นกระโดดเข้าไปถีบโครมที่หน้าอกของมัน ในขณะที่ร่างใหญ่นั้นกระเด็นออกไปชนกับขอบโต๊ะจนแก้วโกโก้ร่วงลงสู่พื้นแตกกระจาย
“แกเป็นใคร” มินตราคว้าปืนในลิ้นชักโต๊ะออกมาชี้ไปที่มัน รู้สึกคุ้นๆ กับลักษณะท่าทางของคนในเงามืดอย่างไรชอบกล
“ผมเอง นี่ใจคอจะฆ่าผัวจริงๆ เลยใช่ไหม”
คุณพระช่วย! มินตราตาเบิกโพลง เมื่อน้ำเสียงคุ้นเคยของคนตรงหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าเขาเป็นใคร ในขณะที่ประตูห้องของหล่อนถูกเคาะเบาๆ สามครั้ง พร้อมกับเสียงตะโกนเอ่ยถามเข้ามาด้วยความสงสัยปนห่วงใย
“ยายมิน เป็นอะไรหรือเปล่า อาได้ยินเสียงโครมคราม” เสียงเทวาดังเข้ามา ทำให้มินตราจำต้องหันไปมองหน้าประตูด้วยสีหน้าตื่นตกใจเป็นอย่างมาก
เทวาจะทำอย่างไร หากรู้ว่าใครบางคนที่เขาต้องการให้มินตราอยู่ห่างมากที่สุด กำลังอยู่กับหล่อนในห้อง ณ ตอนนี้
“บอกอาคุณไปสิ ว่าผัวมาหา”
นั่นปากเขาเหรอที่พูด มินตราอยากจะบ้าตายให้มันรู้แล้วรู้รอด ก่อนจะรีบตอบคนข้างนอกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียดที่สุดในชีวิต
“ไม่มีอะไรค่ะคุณอา มินแค่สะดุดพรมแล้วทำแก้วโกโก้ตกเท่านั้นเอง”
โกหกผู้ปกครองเพราะผู้ชาย งามหน้าไหมล่ะมินตรา
“อย่างนั้นเหรอ อืม...ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว งั้นก็รีบนอนพักซะนะ จะได้หายไวๆ”
“ค่ะคุณอา มินจะนอนแล้วค่ะ” มินตราตะโกนออกไป ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเทวาเดินห่างออกไป
“อุ้ย! ปล่อยนะคุณโทนี่” มินตราอุทานเบาๆ เมื่อจู่ๆ ร่างสูงนั้นก็เดินเข้ามากอดหล่อนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับแย่งปืนในมือของหล่อนไปวางไว้ที่โต๊ะทันที
“นี่คุณมาได้...” คำถามของหญิงสาวถูกกลืนหายไปในลำคอ เมื่อริมฝีปากหยักหนาของโทนี่กดลงบนริมฝีปากของหล่อนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะฉกฉวยโอกาสที่หล่อนกำลังตกใจ ปล้นจูบและดูดดื่มความหวานจากพวงปากอวบอิ่มด้วยความคิดถึงและหิวกระหาย
โทนี่ วิลล์ อีตาบ้า!
มินตราได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจ ใบหน้าสวยถูกบังคับให้แหงนงายรับจูบดุดันที่หวานที่สุด ที่อีกฝ่ายตั้งใจมอบให้หล่อนอย่างจำยอม ใจจริงอยากจะกรีดร้องให้บ้านแตก แล้วปล่อยให้ผู้ปกครองจัดการเขาให้สาสมกับความบ้าบิ่นนี้ของเขา ทว่ามินตราก็ทำแบบนั้นไม่ได้ อย่าว่าแต่ปล่อยให้เขาตายเลย แค่ปฏิเสธจูบนี้มินตราก็ว่ายากเย็นที่สุดในชีวิตแล้ว
ความคิดเห็น |
---|