“เฮีย เพื่อนกูโทร.มาว่ะ เดี๋ยวมา” อคราขมวดคิ้วเมื่อโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นไหวอย่างรุนแรง พอหยิบขึ้นมาดูว่าใครคอลไลน์มา ก็เหลือบมองทางอินทะ เอ่ยขออนุญาตเพราะภายในร้านอาหารเสียงดังเกินกว่าจะคุยโทรศัพท์
ข้างนอกดีกว่า
“อืม กินอะไรไม่ได้บ้าง” เพราะนั่งอยู่หน้าเมนูอาหาร อินทะจึงมีน้ำใจถามอคราก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกไปแม้ว่าจะเพิ่งหย่อนก้นลงนั่งได้ไม่กี่นาทีเท่านั้น เตายังไม่ได้เปิด หม้อชาบูยังแห้งสนิท
ไม่เป็นอะไรหรอกถ้าอคราจะออกไปคุยโทรศัพท์สักพัก
“กินได้ทุกอย่าง”
“ผักกินได้มั้ย”
“ได้ เอามาเยอะๆ ผมชอบ” แอบเห็นแววตาเขม่นจากดวงตาอ่อนโยน อินทะถอนหายใจ พยักพเยิดให้อครารีบออกไป ที่เหลือตรงนี้เขาจัดการเอง
“แค่แป๊บเดียว”
“ไม่เป็นไร กูหิวเดี๋ยวกูกินก่อนเองแหละ แต่ถ้ากูง่วงกูจะนอนรอมึงตรงนี้”
พอได้ยินคำว่าไม่เป็นไรแล้วตามมาด้วยประโยคแปลกๆ อคราก็ยกยิ้มมุมปาก
ชอบคนแบบนี้ว่ะ
หิวก็กินก่อน ง่วงก็นอน...ชิลล์ดี
เพราะร้านอาหารอยู่บนชั้นสอง ท่อนขายาวจึงต้องก้าวเดินลงจากบันไดคับแคบไปที่ชั้นล่าง อครากดรับสายเพื่อนสนิทอย่างนริษา พักขาที่มุมเงียบสงบไม่ไกลจากตัวร้าน ยืนตัวเอียงเพราะเท้าเอว
[อิเอิ้ง อยู่ไหนคะมึง]
“อเวจีค่ะ ร้อนมาก”
[เอาดีๆ ถึงไต้หวันแล้วใช่มั้ย]
“ถึงแล้ว”
[มึงไม่ได้เอาแต่นอนอยู่ห้องใช่ปะ] เสียงที่ดังลอดออกจากโทรศัพท์ฟังดูเป็นห่วงจนเกินเหตุ อคราที่ได้ยินถึงกับกลอกตามองบน
“ไม่ได้นอน กูตื่นตั้งแต่เช้าแล้ว ไปไหว้พระขอผัวมาแล้วด้วย”
[แล้วได้ยังผัว?]
“อีเหี้ย มันจะเร็วอะไรขนาดนั้น แล้วโทร.มามีอะไรด่วน”
[ก็โทร.มาเช็กดูว่าผ่านตม.มั้ย หน้าตายิ่งเหมือนจะไปขายตัวอยู่]
“ใช่ ขาย อัพค่าตัวเรียบร้อย”
[มึงพูดเล่นจนกูคิดว่ามึงขายจริงแล้วเนี่ย]
“ความจริงคือให้ฟรี...ถ้าไม่มีอะไรแล้ว กูขออนุญาตไปกินข้าวนะ...”
[ทำไมดูรีบ?]
“ก็...” ปากหยักอิ่มเม้มนิดหน่อย อคราลังเล ไม่แน่ใจว่าควรจะเล่าเรื่องอินทะให้เพื่อนฟังดีมั้ย แต่ในที่สุดก็ยอมพูดออกมา “คือ...เมื่อเช้ากูเจอพี่คนหนึ่ง เขาเป็นคนไทย กูได้ยินว่าเขาจะไปวัด เลยขอติดไปด้วย”
[หืม?...]
“พอไหว้พระเสร็จ พี่เขาก็ชวนมากินข้าว ตอนนี้รอกินข้าวอยู่”
[หืม?...ชวนกินข้าว? เขาจีบมึงอ่อ หล่อปะ]
“เปล่า เขาไม่ได้จีบกู” นิ่งอีกแล้วเมื่อนึกถึงหน้าของอินทะ อคราหลุดขำ ก่อนจะพยายามอธิบายเรื่องหน้าตา “หน้าตาก็ดีนะมึง หล่อเลยแหละ แต่หล่อแบบผักออร์แกนิกอะมึง ดูปลอดสารพิษ...แต่งตัวเฟี้ยวดี”
[ออร์แกนิกก็ดีนะมึง ดีต่อสุขภาพ กลัวแต่จะออร์แกนิกเสิ่นเจิ้นอะดิ]
“จะให้กูแดก?”
[ชมหล่อขนาดนี้ หรือมึงไม่เอา?]
“เออ ไม่เอา แต่เป็นพี่เขาอะไม่เอากู”
[แล้วถ้าเขาจะเอามึงอะ]
“เยไม่เด็ด เยไม่ดุ กูบายจ้า” พูดเล่นกับเพื่อนจนเป็นนิสัย อคราหัวเราะร่า จนอีกฝ่ายก่นด่ามาจากทางไกล
[เออ ขอให้ได้เจอเด็ดๆ ขอให้เจอดุๆ กูขอให้ได้ กูขอให้โดน]
“โดน’ไร โดนโคยอ่อ”
[มึงไม่ต้องตรงขนาดนั้นก็ได้ปะวะ คุยด้วยละประสาทจะแดก ไม่แน่ใจแล้วว่าคุยกับเจ้าของบาร์หรือกะหรี่ แค่นี้แหละ เจ้านายมองแล้ว...เช็กเฟซด้วย]
จบประโยคของนริษาการเชื่อมต่อก็ถูกตัดขาด อครากำลังจะกดเข้าหน้าเฟซบุ๊กส่วนตัว แต่ไลน์จากอินทะดันเด้งขึ้นมาก่อน
เฮียอินอารามบอยสร้างอัลบั้มรูปภาพที่ชื่อว่า ‘น้องเอิ้งกับสีเสื้อกาลกิณี’
ยังไม่ทันกดเข้าไปดูรูปภาพข้างใน งงๆ ปนสงสัย ตารางสีเสื้อมงคลก็ถูกส่งตามมาติดๆ
วันนี้วันพฤหัสบดี สีมงคลคือสีฟ้า...กาลกิณีคือสีดำ
กูใส่เสื้อดำ เฮียแม่งว่ากูเป็นกาลกิณี เพื่อนด่าเป็นกะหรี่ ชีวิตดี๊ดีที่ไทเป
แล้วนี่...อารามบอยเขาเทิร์นร่างตัวเองเป็นสายมูแล้วใช่ปะวะ...สีเสื้อมงคลก็มา
จากเดินช้าๆ ขาอคราก็เปลี่ยนเป็นวิ่งขึ้นบันได ไม่นานก็กลับมานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับอินทะ อารามบอยในเสื้อสีฟ้าเป็นสิริมงคลยิ้มให้หนึ่งครั้ง หักคู่ตะเกียบออกจากกันแล้วส่งมาให้
“กูยอมใจในการตั้งชื่ออัลบั้มรูปภาพ ถึงเสื้อมันจะสีดำแต่ตัวนี้ของแท้ หมื่นสาม”
“หมื่นสามแต่ถ้าสีไม่ถูกโฉลกมึงก็ไม่เฮงนะ”
“เชื่อเฮียเลยว่ะ เอาจริงดิ เรื่องสีเสื้อ” สีหน้ายังไม่คลายจากความอึ้งทึ่ง แต่เอื้อมมือข้างที่มีรอยสักไปรับตะเกียบที่ถูกหักให้อย่างไม่มีอิดออด อครากวาดตามองอาหารลานตาบนโต๊ะ อินทะจัดมันเอาไว้อย่างสวยงาม น้ำลายไหล ได้เวลาฟีด (feed) แล้ว “น่ากิน หิวววววว”
“จะถ่ายรูปก่อนมั้ย”
“ถ่าย อย่าบอกนะว่าจัดเอาไว้ให้ถ่ายรูป”
“เออ หรือจะเอารูปที่กูถ่ายไว้แล้ว” ยืนยันว่าถ่ายแล้วจริงๆ ด้วยการปัดหน้าจอโทรศัพท์ให้อคราดูเหนือหม้อน้ำที่เริ่มเดือดปุดๆ
มันถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งเป็นน้ำซุปหม่าล่าสีแดงจัด อีกฝั่งเป็นน้ำใสใส่ผักจนล้น
“เอาของเฮียก็ได้ ส่งให้ด้วย น้องกินได้แล้วใช่ปะ ใส่ผักในหม่าล่าด้วยดิ”
“ไม่”
“...”
“กูคนรักษ์โลก กูไม่แดกผัก แยกหม้อกันไปเลย” เอาตะเกียบดันมืออคราที่กำลังจะหย่อนผักลงในหม้อออกให้พ้น อินทะยื่นหน้ามาจ้องตา อคราก็ยื่นหน้าเอาตามาสบกัน
เหมือนมีกระแสไฟแล่นเปรี๊ยะๆ ออกจากดวงตาสองคู่ อินทะเกร็งตาไม่กะพริบ อคราก็ด้วย
“กูจะกินหม่าล่าเท่านั้น ใส่ผักด้วย”
“โน”
“แล้วทำไมไม่สั่งซุปหม่าล่ามาทั้งคู่ตั้งแต่แรก”
“มึงเหมือนคนไม่กินเผ็ด เลยสั่งมาสองอย่าง”
“อย่าตัดสินคนที่หน้าตา เพราะหน้าเฮียก็เหมือนคนชอบกินผักออร์แกนิก...”
“ไม่กินแปลว่าไม่กิน...นี่ มึงเคยได้ยินทฤษฎีที่ว่าจ้องตากันแปดวินาทีแล้วจะตกหลุมรักมั้ย” จู่ๆ อินทะก็เปลี่ยนเรื่อง เขายังไม่เลิกจ้องตาอครา นิ่งค้างไม่กะพริบ
“เคย...”
“คิดว่าจริงมั้ย”
“เฮียว่าไงอะ นี่เกินแปดวิฯมานานแล้ว”
“กู...” ตายังขมวดแข็ง แต่มือเรียวยาวกลับกำเข้าหากันแน่น อินทะตกอยู่ในช่วงเวลายากลำบาก...
และแล้วในที่สุด... “คิดก่อน ใครหลบตาก่อนแพ้นะ”
“ได้ แล้วคำตอบว่าไง จริงไม่จริง”
“จริงมั้ง...กูยอมแพ้ละ กูแสบตา มึงทำได้ไง ไม่กะพริบตาเลย” อินทะดันแผ่นหลังพิงกับเบาะนุ่ม เขากะพริบตาถี่ๆ ติดกัน ใช้มือยกนวดคลึงดวงตาเพราะแสบเคือง อคราเลยเลิกเล่นแล้วกะพริบตา เป็นผลให้น้ำตาหยดใสๆ ไหลลงมาตามผิวแก้ม ดวงตาเขาแดงก่ำ ภาพตรงหน้าพร่าเลือน “ไม่เล่นแบบนี้อีกแล้ว...”
กระดาษทิชชู่ตรงเข้าซับน้ำตาที่ไหลลงมาให้ อคราตัวแข็งทื่อ สัมผัสของอารามบอยอ่อนโยน ทั้งมือที่ยกเช็ดน้ำตาจากการเล่นบ้าๆ ให้ ทั้งสายตาที่ใช้มองมา
เผลอจ้องตากันอีกครั้ง 1 2 3 4 5 6 7...8
“เอิ้ง...เอิ้ง”
“อะไร” สะดุ้งตัวเมื่อถูกเรียกเสียงเข้ม อครายกมือลูบต้นคอ เลี่ยงมองไปทางอื่น
“เหม่ออะไร”
“เปล่า”
“กินได้แล้ว จะใส่ผักก็ใส่ไป แต่ห้ามเกินสิบชิ้นนะ”
“ไม่ใส่ก็ได้ เดี๋ยวน้องกินจากหม้อนี้เอง”
“เมื่อกี้กูจ้องตาแพ้ กูก็ควรยอมให้มึง” คิ้วพาดเฉียงเลิกขึ้นอย่างสงสัย มือที่กำลังจะใส่ผักชิ้นเล็กๆ ลงไปถูกจับยึดไว้แน่น
“ผมรู้ว่าผมไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล กินข้าวกับคนอื่นไม่ควรเอาแต่ใจ เรื่องจ้องตาแพ้ พาเที่ยวชดเชยแล้วกัน”
“แบบนั้นก็ได้” อินทะดึงมือที่ถูกจับออกเบาๆ แล้วจับตะเกียบกระชับไว้ในมือ “ดูนี่ก่อน กูจะสอนให้ วิธีการกินชาบูที่ถูกต้อง”
ยิ้มกว้างแล้วเหลือบมองไปทางอครา ฟันขาวกัดขบที่ริมฝีปากล่าง อินทะโชว์วิธีการกินอย่างมีศิลปะ ด้วยการคีบชิ้นเนื้อบางๆ ขึ้นมา
“อุณหภูมิน้ำต้องได้ที่ ไม่เดือดเกินไป เอาแค่พอร้อน จากนั้นก็เอาเนื้อไปแกว่งจนกว่าจะสุก” อินทะทำตามที่ตัวเองพูดทุกอย่าง โดยมีสายตาแปลกใจของอครามองตาม ไม่นานชิ้นเนื้อสีแดงจัดก็เปลี่ยนสี สดเป็นสุก อินทะจึงคีบไปใส่ในจานของอครา “ลองกิน”
“กินแบบนี้กว่ากูจะอิ่ม...” บ่นแต่ลงมือจัดการคีบชิ้นเนื้อเข้าปาก แล้วต้องร้องออกมาว่า “อร่อยสัส”
“ใช่มะ...”
“แล้วนั่นเฮียทำอะไรอ้ะ”
“ศิลปะก็ให้มันเป็นศิลปะไป ตอนนี้กูหิวมาก แดกแบบมนุษย์ปกติกันเถอะ” ถาดเนื้อหลายถาดถูกเทลงไปในหม้อทั้งสองฝั่งอย่างเท่าเทียม “แค่โชว์ให้ดู แค่นั้นแหละ”
อคราหัวเราะ แกว่งเนื้อชิ้นหนึ่งคืนให้อินทะบ้าง
“เฮียรู้ตัวปะว่าเป็นคนแปลก”
“รู้”
“แต่มีเสน่ห์”
“แล้วมึงรู้ตัวปะ ว่ามึงก็แปลก”
“ยังไง”
“ไม่บอก”
อคราส่ายหัวไม่คิดถามต่อ เขามองอินทะกินอย่างสุภาพ แต่กินไปได้ไม่กี่คำก็ลุกขึ้นยืน “เอาน้ำอะไร”
“เดี๋ยวไปเอาเองได้”
“หึ” สั่นศีรษะจนหน้าม้าขยับ อินทะยิ้มโชว์ฟันขาวอีกครั้ง เอ่ยออกมาเบาๆ “กูบอกแล้วว่าชอบดูแล”
“แบบนี้น่าดูแล?” ชี้เข้าที่ตัวเอง ยิ้มคืนกลับอย่างจริงใจ
“ใช่เพราะเฉิ่ม”
“ถ้ากูเฉิ่มพี่มึงก็เชยปะวะ”
“เชยตรงไหน มันเป็นสไตล์เถอะ เร็ว จะแดกน้ำอะไร เบียร์มั้ย แต่จืดนะ”
“เอามาลองก็ได้ ขอบคุณครับ” คิ้วเข้มยักจึกๆ ใส่อินทะที่เดินจากไป พอนั่งอยู่ที่โต๊ะเพียงคนเดียวก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านริษาบอกให้ดูเฟซบุ๊ก
อคราจึงปลดล็อกหน้าจอโทรศัพท์ กดเข้าไปดูอย่างรวดเร็ว เฟซส่วนตัวเขาไม่ได้มีเพื่อนมากนัก การแจ้งเตือนจากอดีตคนรักจึงปรากฏชัดเจน
มือข้างที่มีรอยสักจิกกำเข้าหากันจนรู้สึกเจ็บ หน้าอคราเครียดเข้มจนคนที่เพิ่งเดินกลับมาที่โต๊ะนึกแปลกใจ
อินทะเห็นดวงตาคู่คมเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา ไม่หยดไหล หายไป เหลือเพียงขอบตาแดงๆ
“ผมเล่าอะไรสักอย่างให้เฮียฟังได้ปะ”
“อืม เล่ามา” นั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามตามเดิม อินทะถือวิสาสะเอาโทรศัพท์ออกจากมืออครา เขาวางคว่ำมันลงด้านข้าง นั่งกินต่อเงียบๆ ไม่เร่งเร้าให้อีกฝ่ายเล่า
พอปรับอารมณ์อ่อนไหวจนคงที่ อคราจึงเริ่มต้น
“สามปีที่แล้วผมกับแฟนตัดสินใจเปิดบาร์ด้วยกัน เราเริ่มจากร้านเล็กๆ ผมทุ่มเท ทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลาพัก ทำ...ทำจนร้านเป็นที่รู้จัก มีลูกค้ามากขึ้น เดือนที่แล้วผมเลยตัดสินใจขยายร้าน ก่อนจะจับได้ว่าแฟนเอาคนอื่นมานอนบนเตียงของผม”
“มึงก็เอาคนอื่นไปนอนบนเตียงแฟนมึงมั่งดิ”
“โว้ยยย เลิกแล้วเถอะ” สีหน้าย่ำแย่ดีขึ้นเมื่อถูกดึงออกจากเรื่องร้ายๆ ด้วยการที่อินทะยัดเนื้อเข้ามาในปาก อคราเคี้ยวหยับๆ ระบายความแค้น พอกลืนเสร็จก็เล่าต่อ “ผมเลิกกับมัน รอบนี้น่าจะเด็ดขาด มันถอนหุ้นออกจากร้าน วันนี้...มันเข้าไปปลดป้ายชื่อร้านลง โพสประกาศว่า The Crowd Bar จะย้ายที่ไปที่ใหม่ ร้านมันกับเมียใหม่...โคตรเหี้ย”
“เหี้ยจริง”
“เขาถึงบอกไงว่าเลือกผัวผิดคิดจนตัวตาย...ขอให้รอดก็แล้วกัน เอาจริงนะ มันทำไม่เป็นหรอก เพราะที่ผ่านมาผมทำงานคนเดียว พูดแล้วแม่งเจ็บใจ”
“มึงอย่าร้องไห้ตรงนี้ เดี๋ยวคนเขาคิดว่ากูทำมึงท้องแล้วไม่รับผิดชอบ”
“พูดแล้วเสียวมดลูกเลยเฮีย”
“มึงไม่มีมดลูก”
“มี กูอ่อนไหวอยู่ช่วงนี้เป็นเมนส์”
“วันแดงเดือดสินะ กูอาจต้องตามใจมึงเป็นพิเศษ”
“ซีเรียสก่อน เดี๋ยวค่อยไปซื้อผ้าอนามัยกันเนอะ” อคราเอานิ้วแตะปาก ดึงอินทะและตัวเองกลับเข้าสู่บทสนทนาที่จริงจัง “เรื่องผัวเหี้ยช่างแม่งเหอะ แต่ที่เครียดอยู่เนี่ยคือร้านกำลังต่อเติม กูต้องใช้เงิน แต่กูโง่อะ กูพลาด กูเอาเงินสดให้มันหมด เพราะไว้ใจ ให้ด้วยความพิศวาสด้วย ไม่รู้จะทำยังไงต่อเลย กู้ก็ไม่รู้จะผ่านมั้ย”
“เฮ้อ เรื่องเงิน พูดยากอะ” อินทะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เลิกบิ๊วด์ให้อารมณ์ของอคราดีขึ้นด้วยการป้อนเนื้อ เขาวางตะเกียบคู่ช้อน ลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม มือยกขึ้นลูบเสยผมหน้าม้าให้ขึ้นไปด้านบน “แต่กูมีเงิน”
“...”
“เล่าอะไรให้ฟัง ตั้งใจฟังให้ดีล่ะ” อินทะตั้งท่าเล่า มือเขายกขึ้นประกอบท่าทาง “ที่จริงเรื่องนี้บรรยากาศตอนเล่ามันควรเป็นร้านเหล้า ไม่ใช่หน้าหม้อชาบู”
“เล่าเถอะ อยากรู้ อย่าทำให้อยากแล้วจากไป”
“คืองี้ กูคบผู้หญิงคนนึงมาสักพัก จริงจังมากถึงขั้นจะแต่งงานกัน ก็รู้แหละว่าที่บ้านเขาไม่ชอบกู กูก็พยายามเปลี่ยนตัวเองทุกอย่าง ทำงานหนักเก็บค่าสินสอดที่บ้านผู้หญิงเรียกรุนแรงเกินเบอร์ไปมาก...แต่สุดท้ายก็จบกันด้วยการถูกนอกใจ มึงรู้มั้ยเขาบอกกูว่าอะไร เพราะกูทำงานจนไม่มีเวลาให้เขา...เขาเลยเลือกอีกคน”
“เชี่ย ดราม่ากว่ากูอีก” อคราคีบเนื้อในหม้อส่งให้อินทะ ปากกระตุกกับเรื่องที่ได้ฟัง แต่สีหน้าคนเล่าดูชืดชา ดวงตามีประกายโกรธขึ้งมาชั่วแวบหนึ่ง
“ที่จริงไม่ใช่กูไม่มีเวลาหรอก ข้ออ้าง เพราะผัวใหม่เขาอะ หัวหน้ากูเอง...รวยกว่า ตำแหน่งใหญ่กว่า ครอบครัวชอบมากกว่าที่ชอบกู”
“แล้วจู๋อะ ใครเป็นขั้นกว่า”
“กูเช็กของแป๊บ” ไม่พูดเปล่าอินทะขยับตัวในท่าทางที่ถนัด เขาจ้องหน้าอคราไปด้วยตอนที่สอดมือลงในกางเกง
“อิเฮียยย มึงไม่ใช้คนธรรมะ ขย้ำจนเละหมดแล้วววววว”
“ก็กูไม่แน่ใจ ว่ากูเป็นขั้นกว่ามั้ย แต่ของกูก็สักแปดเกือบๆ เก้า น่าจะจุกอยู่นะ”
“บาป โดยสมบูรณ์” อคราหรี่ตาพร้อมสะบัดหน้าไล่ความร้อนที่สองแก้ม
รับไม่ได้...คนสำรวมที่วัด ได้โปรดเอาความประทับใจตอนเจอกันครั้งแรกคืนกูมา “ย่ามพระก็คือหมดขลัง กูรู้ กูเห็น กูเรียนมา คนบาป...น่ากลัว”
“กูก็แหย่มึงเล่นปะวะ ต่อ เมื่อกี้กูเล่าถึงไหนละ ลืมเลย”
“บ้านแฟนไง”
“อ่อ เขาเลิกกับกูแล้วเขาก็แต่งงานกันเลย ไม่รู้สินสอดเท่าไหร่...ส่วนกูก็ชกหน้าไอ้แก่นั่นแล้วโดนไล่ออกจากงาน แบล็กลิสต์แล้วกูอะ น่าจะกลับไปหางานทำยากอยู่”
“กูตั้งชื่อทริปนี้ได้แล้ว คนซวยๆ สองคนเดินงงมาเจอกันในดงเจ๊ก”
“คนซวย”
“กูเกลียดตัวเองที่ผวนเสร็จทันทีที่เฮียพูดจบ”
“ศีลเสมอกันไง ที่กูบอกว่ากูมีเงิน กูมีอยู่สิบล้าน อดีตเคยจะใช้เป็นสินสอด แต่ตอนนี้ไม่รู้จะใช้ทำอะไร”
“คนเพิ่งรู้จักกันเขาข่มกันเรื่องฐานะการเงินเหรอวะ” อคราชี้หน้าอินทะ ควักถุงซิปออกมาวางตรงหน้า โชว์เงินที่มีด้วยท่าทีติดตลก “ตอนนี้กูมีสามพันดอลล์ แต่พอกลับไทยกูจะเป็นหนี้ทันที การเงินกูติดลบ...กูจน”
แล้วนั่งสลดหน้าผากวางชิดกับโต๊ะ อคราแน่นิ่งเหมือนตาย
“กูไม่ได้จะข่ม แค่ถามว่าเทคโอเว่อร์ร้านมึงได้มั้ย กูอยากทำธุรกิจอะไรสักอย่าง”
“ไม่ขายร้าน”
“...ก็คิดไว้อยู่แล้ว”
“แต่ถ้าเฮียเห็นร้านแล้วโอเคกับการเป็นพาร์ทเนอร์ กูจะร่างสัญญาส่งไปให้เซ็น”
“โอเค ส่งมาได้เลย”
“ไม่ต้องรีบตัดสินใจ”
“กูเห็นทำเลกับรีวิวในเพจแล้ว กูว่าร้านไปได้เรื่อยๆ มันน่าลงทุน กับมึงก็น่าลงทุน”
“เรื่องร้านกลับไทยค่อยว่ากัน”
“ไม่มีปัญหา กูคิดชื่อร้านใหม่รอไว้แล้ว” อินทะยกยิ้มส่งให้อครา เขาสบตาที่ค่อยๆ เงยขึ้นมาช้าๆ
1 2 3 4 5 6 7...8
แปดวินาที คุ้มค่าและน่าลงทุน
ความคิดเห็น |
---|