1

บทที่ 1


เมืองฮัวกากิน่า ประเทศเปรู

สาวนิรนามเดินนวยนาดตรงไปยังห้องน้ำพลางเปลื้องผ้าออกด้วยกิริยาราวกับจะยั่ว ริโก้จ้องตาไม่กะพริบ ไม่ใช่แค่กิริยาที่แสนเร้าใจ แต่รูปร่างเซ็กซี่นั้นตรึงสายตาเสียอยู่หมัด เดรสไหมค่อยๆ เลื่อนไหลไปตามส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกายในทุกจังหวะก้าวที่เยื้องย่าง เผยให้เห็นแผ่นหลังขาวผ่องที่ผมยาวสลวยสีนิลคลุมไม่มิด ริโก้ไล่สายตาไปยังเอวคอดกิ่วรับกับสะโพกผายกลมกลึง ก่อนจะหยุดที่ขาเรียวยาว แล้ววกกลับมาอ้อยอิ่งที่สะโพกนิ่งนานเป็นพิเศษ

“ที่รัก”

เสียงเรียกดังพร้อมกับที่มือชื้นๆ เอื้อมมาเขย่าไหล่ริโก้ให้สะดุ้งตื่นจากความฝัน เขาปรือตามองอย่างงัวเงีย ก่อนกะพริบตาถี่ๆ พยายามปรับสายตาให้ชินกับแสงแดดที่สาดส่องผ่านผ้าม่านโปร่งแสง

“คุณนอนกระสับกระส่าย ฝันหรือคะ” ซอนย่าในชุดคลุมอาบน้ำ โพกศีรษะด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กทรุดนั่งริมเตียง

“เปล่าครับ” ริโก้ตัดบท เขาสลัดผ้านวม เผยให้เห็นร่างเปลือยเต็มไปด้วยมัดกล้ามกำลังงาม ก่อนเปิดตู้บิลต์-อิน คว้าชุดคลุมอาบน้ำมาสวม พันเชือกรอบเอวลวกๆ หันกลับมาจะคุย แต่เห็นแววตาเร่าร้อนกับอาการกลืนน้ำลายของเธอ ริโก้ก็ชะงัก ก่อนพูดด้วยเสียงราบเรียบ “ผมจะอาบน้ำ คุณโทร. สั่งอาหารได้เลย”

“ดะ...”

คนตัวสูงหมุนตัวเดินเข้าห้องน้ำไปแล้วก่อนที่เธอจะพูดจบ

ซอนย่าไหวไหล่ พึมพำตามหลัง “ได้ค่ะที่รัก”

เธอคบกับเขามานานเกินกว่าจะแสดงอาการแง่งอนเพียงเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องที่เขาทำเป็นไม่สนใจ หรือต้องมาคอยถามไถ่ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร เธอไม่ใช่แฟนเขา แต่ก็เป็นสาวคนเดียวที่เขาควงออกงานถี่ที่สุดในตอนนี้ ฉะนั้นเธอควรพอใจกับสถานะอะไรก็แล้วแต่ที่เขาหยิบยื่นให้

ซอนย่าคว้าโทรศัพท์ข้างหัวเตียงมาโทร. สั่งอาหารเช้าอย่างไม่อิดออด “โลโม่ ซัลตาโด้ อฮิ เด กาดิน่า เกาซาส์ แล้วก็สลัดปาปาอาลาฮวนไกน่าค่ะ” เธอสั่งผัดเนื้อวัวแบบเปรู ไก่ราดครีมวอลนัต มันฝรั่งบด และสลัดผักไข่ต้มราดด้วยซอสฮวนกาโย่

“แล้วเครื่องดื่มล่ะครับ รับอะไรดี” พนักงานโรงแรมถามกลับมา

“ปิสโกสองที่ค่ะ” เธอหมายถึงเครื่องดื่มประจำชาติของเปรู

“ได้ครับ ไม่เกินสี่สิบห้านาทีพร้อมเสิร์ฟครับ”

“อ้อ...ขอไวน์ด้วยค่ะ” เธอระบุไวน์ยี่ห้อแพงที่สุดของโรงแรมนี้

ซอนย่าวางสาย ไม่จำเป็นต้องบอกเลขห้อง เพราะหมายเลขไปปรากฏอยู่บนเครื่องปลายทางอยู่แล้ว เธอหันกลับไปมองทางของห้องน้ำราวกับต้องการจ้องให้ทะลุไปถึงคนด้านใน ริโก้เหมือนม้าพยศ ไม่มีผู้หญิงคนไหนปราบเขาได้ เขาเป็นลูกเสี้ยวสเปนเปรูวัยสามสิบเก้า และเป็นผู้ชายที่ฮอตที่สุดใน ค.ศ. นี้ ด้วยคุณสมบัติเพียบพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ และชาติตระกูล เป็นทายาทลำดับหนึ่งของตระกูลโดมิงโกต่อจากบิดา ในบรรดาทายาทรุ่นหลานด้วยกัน เขามีภาษีมากสุดด้วยเป็นทายาทคนโต จบมหาวิทยาลัยชั้นนำในมาดริด ไปต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา

เขาเจ้าชู้ หวงชีวิตโสดยิ่งกว่าอะไร และเรื่องบนเตียงไม่เป็นสองรองใคร สื่อยกเขาให้เป็นแคซาโนวาตัวพ่อ คุณสมบัติข้อนี้ สาวๆ ที่เคยขึ้นเตียงกับเขาเป็นคนให้ข่าวแก่สื่อ ซอนย่ารู้ว่าไม่ไกลเกินจริง เขาทำให้เธอเร่าร้อนเมื่ออยู่ใกล้ รู้สึกไม่ต่างจากดรุณีสาวแรกรุ่นทุกคราวที่ขึ้นเตียงด้วย เธอหลงเสน่ห์ทางเพศของเขา และนับวันมีแต่จะคลั่งไคล้อยากเป็นเจ้าของเขา

 

เกรย์งับประตูห้องประชุมอย่างพยายามให้เงียบที่สุด เธอเดินตรงไปหาเพื่อนที่กำลังโบกมือเรียกหย็อยๆ

“ทำไมช้าจัง ฉันจองที่ให้เธอจนใครผ่านไปผ่านมาค้อนจะตาถลนอยู่แล้ว” รีเบคก้าบ่นกระปอดกระแปดทันทีที่เธอทรุดนั่ง

“นี่ก็รีบที่สุดแล้ว ถ้าคุณยายรู้ว่าฉันโดดงานจากไอคา มีหวังโดนแพ่นกบาลแหงๆ”

“หลานรักอย่างเธอน่ะเหรอจะโดน อย่างดีก็แค่...โอ้เกรย์หลานรัก หลานทำดีแล้วลูก หนูใช้เวลาว่างได้คุ้มค่าเสียจริง การฟังบรรยายที่เต็มไปด้วยสาระเหมาะกับเด็กจีเนียสอย่างหนู” รีเบคก้าเลียนเสียงของอิสซาเบล ยายของเกรย์

เกรย์ตวัดตาค้อน “หยุดล้อเลียนฉันกับคุณยายแล้วฟังศาสตราจารย์ได้แล้ว” เกรย์กระซิบดุๆ หันไปมองเวทีเบื้องล่างเพื่อตัดบท

ศาสตราจารย์ดีแลนแห่งมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติซานมาร์กอสที่เธอเรียนอยู่ให้มาบรรยายในหัวข้อ ‘ยาลบความทรงจำอันแสนเจ็บปวด’ เกรย์บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ชื่นชมเขานั่นแหงอยู่แล้ว เพราะอาของเพื่อนเก่ง ได้รับรางวัลโนเบลเมื่อสามปีก่อนด้วยอายุแค่สามสิบแปดปี แต่ขณะเดียวกันเธอก็ทั้งกลัวและคุ้นเคยกับเขาในเวลาเดียวกัน อะไรบางอย่างบอกว่าไว้ใจเขาได้ แต่ทุกครั้งที่เข้าใกล้เขากลับให้ความรู้สึกแหยงๆ กลัวๆ อาจเพราะเขามักยิงคำถามแปลกๆ ที่ทำให้เธอตกที่นั่งลำบาก แล้วเสียงของดีแลนก็ดังผ่านลำโพงหยุดความคิดของเกรย์ไว้แค่นั้น

“ถ้าใครอยากลบความทรงจำ ผมหมายถึงความทรงจำอันเลวร้ายที่ตามหลอกหลอนหรือบั่นทอนชีวิตปกติสุขของคุณ ผมก็อยากบอกว่าตอนนี้เรามีข่าวดี ข่าวดีที่ว่านี้เกิดขึ้นเมื่อห้าปีก่อน แต่ทีมวิจัยผมไม่ได้เปิดเผยเพราะอยู่ในช่วงทดลอง” ดีแลนกวาดตามองรอบห้องประชุม กล่าวต่ออย่างช้าๆ ว่า “ย้อนกลับไปครั้งนั้น ทีมวิจัยผมค้นพบว่าความทรงจำของคนเราไม่ใช่สิ่งที่คงทนถาวร ตรงกันข้ามสามารถลบ เปลี่ยน หรือสร้างความทรงจำใหม่เข้าไปแทนได้ โดยมียาที่ช่วยให้สมองตัดการเชื่อมต่อกับความทรงจำแย่ๆ เหล่านั้น

“อาจฟังดูเหมือนหนังไซไฟที่พระเอกนางเอกลบความทรงจำเกี่ยวกับอีกฝ่ายได้ แต่เชื่อเถอะว่าเทคโนโลยีปัจจุบันทำให้เราขยับเข้าใกล้สิ่งนั้น คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าความทรงจำเป็นสิ่งที่ไม่เสถียรสักทีเดียว ทุกครั้งที่เราดึงความทรงจำขึ้นมา มันจะถูกปรับแต่ง และรีเซตให้แข็งแรงและชัดเจนขึ้นกว่าเดิม แล้วเก็บเข้าไปแทนที่ความทรงจำเดิม กระบวนการนี้เรียกว่ารีคอนโซลิเดชัน หรือการรวมกันอีกครั้ง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะนักวิทยาศาสตร์จะอาศัยขั้นตอนนี้ในการเข้าไปแฮ็กความทรงจำของเรา จากการวิจัยเราค้นพบว่าความทรงจำเป็นเหมือนแก้ว เวลาสร้างความทรงจำมันจะเปลี่ยนสถานะจากหลอมเหลวเป็นความทรงจำที่แข็งและเก็บไว้ เมื่อมันถูกเรียกขึ้นมา มันจะอ่อนตัวอีกครั้ง และนั่นเป็นจังหวะที่ทำให้เราเปลี่ยนมันได้ก่อนที่มันจะแข็งตัวและเก็บไว้อีกรอบ”

“กุญแจคือการยับยั้งสารเคมีนอร์เอพิเนฟรินที่ร่างกายเราหลั่ง ซึ่งจะช่วยลดการเชื่อมต่อระหว่างความทรงจำกับความรู้สึกเจ็บปวดเหล่านั้น ถามว่าสารนอร์เอพิเนฟรินคืออะไร สารเคมีตัวนี้ร่างกายจะหลั่งออกมาเมื่อเรารู้สึกเจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ ความเครียด หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เราไม่ปรารถนา ซึ่งจะส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกตามฝ่ามือหรือตามร่างกาย

“ถ้าเรายับยั้งสารเคมีตัวนี้ได้ในขณะที่นึกถึงความทรงจำที่เลวร้ายเหล่านั้น เราก็จะทำลายการเชื่อมต่อความทรงจำเหล่านั้นกับความรู้สึกเจ็บปวดได้ และเป็นที่น่ายินดียิ่งกว่านั้นคือ เมื่อห้าปีก่อนเราไม่เพียงแต่คิดค้นยาที่ยับยั้งสารเคมีนอร์เอพิเนฟรินได้สำเร็จเท่านั้น แต่ยังค้นพบเทคโนโลยีบางอย่าง หรือจะเรียกว่านวัตกรรมก็ได้ ที่หากทำงานควบคู่กับยาตัวนี้จะช่วยลบความทรงจำที่เลวร้ายเหล่านั้นออกไปได้ ถามว่าสามารถลบได้ถาวรไหม ผมตอบได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เราอยู่ระหว่างการติดตามผลการทดลอง ซึ่งบางทีอาจจะต้องติดตามกันไปตลอดชีวิต แต่นั่นจะเป็นมรดกทางด้านองค์ความรู้ หรือโนฮาวที่นักวิทยาศาสตร์รุ่นผมจะทิ้งไว้ให้อนุชนรุ่นหลัง”

 

“ชุดนี้เป็นไงบ้างคะ”

ริโก้วางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะ เงยหน้ามองซอนย่าในชุดเดรสแฟนตาซียาวกรอมเท้า มีดอกกุหลาบสีชมพูปักทั่วชุด

งานเดินแบบเทศกาลเปรูเวียนคาร์นิวัลที่เขาตั้งใจบินมาร่วมจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ยังมีเวลาเดินเล่น เขาอยากเดินสำรวจรอบๆ ที่พักเพื่อย่อยอาหาร แต่ซอนย่าสวมชุดที่เหมือนจะเดินแบบเสียเอง เขาไม่มั่นใจว่าเธอจะเดินรอบโอเอซิสได้โดยไม่สะดุดชายกระโปรงล้มไปเสียก่อน

“ผมบอกคุณหรือยังว่าเราจะไปเดินเล่น”

“บอกแล้ว ทำไมหรือคะ”

“ผมว่าชุดนี้ไม่เหมาะกับการเดินเล่น แต่เหมาะกับการเดินแบบหรือไม่ก็ถ่ายแบบเองมากกว่า” ริโก้ติงตรงๆ

ซอนย่าตวัดตาค้อน “ไม่เห็นเป็นไรถ้านักข่าวจะโฟกัสมาที่ฉันแทนที่จะเป็นนางแบบพวกนั้น ในเมื่อฉันสวยและหุ่นดีออกอย่างนี้ แล้วดูก่อน ฉันมากับหนุ่มฮอตที่สุดในยุคนี้เชียวนะคะ ฉะนั้นฉันควรสวมชุดสวยๆ ไว้ เวลาสื่อเอาภาพขึ้นปกนิตยสาร คุณจะได้ไม่ขายหน้า ฉันพูดถูกไหม”

“ไม่” ริโก้ส่ายหน้าโดยไม่เสียเวลาคิด

ซอนย่าไม่ยอมแพ้ “แต่เรามาดูการเดินแบบ ไม่ใช่มาเล่นสกีหรือแซนด์บอร์ดดิง เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุผลที่ฉันจะไม่สวมฟลอราเดรสชุดนี้ ที่สำคัญเข้ากับธีมงาน” เมืองฮัวกากิน่าอยู่ในแคว้นไอคา ทางชายฝั่งทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเปรู ลักษณะเด่นคือทะเลทรายขาวละเอียด มีโอเอซิสอยู่กลางเมือง แวดล้อมด้วยหมู่บ้าน รีสอร์ต และร้านอาหาร กิจกรรมการเล่นสกีและแซนด์บอร์ดดิงหรือกระดานเลื่อนทรายเป็นกิจกรรมยอดฮิตของที่นี่

“ยิ่งด้วยเหตุผลนั้น คุณยิ่งไม่ควรสวมชุดนี้” ริโก้โต้

“นี่งานของซานโต้นะคะ ไม่ใช่โดมิงโกสักหน่อย ฉันจะดึงความสนใจจากสื่อนิดๆ หน่อยๆ จะเป็นไรไป”

ริโก้ส่ายหน้า บิดขี้เกียจพลางขยับลุก ตั้งใจเดินกลับเข้าไปในห้อง “เอาเถอะ แล้วแต่คุณ ผมอยากเดินย่อยอาหารแล้ว ขอตัวเข้าห้องน้ำสักครู่ คุณก็ควรเตรียมตัวได้แล้ว”

“เดี๋ยวสิ” ซอนย่าตามไปกระตุกชายเสื้อเขา “เรายังคุยกันไม่จบ”

ริโก้หมุนตัวมาเผชิญหน้า “ว่าไปทูนหัว”

ซอนย่าชะงัก สบตาสีฮาเซลที่กำลังจ้องมองมา รู้สึกสะเทิ้นอาย นัยน์ตาคู่นั้นวาบหวาม หวานละมุนแปลกๆ เครื่องหน้าของริโก้ทุกส่วนสัดลงตัวราวกับเทพรังสรรค์ โดยเฉพาะนัยน์ตาสีฮาเซล ดูลึกลับยากจะหยั่งถึง “เช้านี้คุณหล่อจัง ปกติใส่สูทผูกไท นุ่งกางเกงสแล็ก เช้านี้เชิ้ตยีน ใจละลายไปเลย”

ริโก้เลิกคิ้ว “ชมซะขนาดนี้ อยากได้อะไรบอกมาเลย บ้าน เงิน รถ หรืออะไร บอกมา เดี๋ยวจะให้เลขาฯ จัดให้”

ซอนย่าตวัดตาค้อน “นั่นน่ะได้จากคุณหมดแล้ว แล้วฉันก็ไม่ได้หิวเงินขนาดนั้นด้วย แค่อยากบอกความจริง” ซอนย่ายื่นมือไปไล้ปลายคางเขา “ไม่แปลกใจว่าทำไมสาวๆ ถึงหลงเสน่ห์คุณ แค่แรกสบตาก็พร้อมจะขึ้นเตียงราวกับถูกมนตร์สะกด”

“รวมถึงคุณด้วยหรือเปล่า” ริโก้กระเซ้า

ซอนย่าหุบยิ้ม “คุณนี่ชอบกวนน้ำให้ขุ่นซะเรื่อย ไปๆ หมดอารมณ์สวีตแล้ว”

ริโก้หัวเราะแล้วเดินเข้าห้องน้ำ

ซอนย่ามองตามด้วยแววตาฉายรอยรัก เธอรู้จักเขาในงานเดินแบบการกุศล เจอกันครั้งแรกก็หลงละเมอตามขึ้นเตียง ได้ยินชื่อเสียงเขามานาน พอได้ลองถึงรู้ว่าที่ลือๆ กันไม่เกินความจริง ถึงแม้ริโก้จะมีแต่ตัว เธอก็เชื่อว่าจะมีสาวๆ อยากคบเป็นแฟน เหมือนเธอที่ติดใจจนความสัมพันธ์ยืนยาวมาถึงสองปี ทั้งที่ตอนแรกกะแค่บรรลุวัตถุประสงค์แล้วชิ่งห่าง ไม่ใช่เพราะเขาเปย์ไม่อั้น แต่เพราะเสน่ห์ทางเพศล้วนๆ ที่มัดเธออยู่หมัด ซอนย่านึกพลางเติมเครื่องสำอาง คว้าแว่นตากันแดด หมวกปีกกว้าง ตามด้วยรองเท้าส้นเข็ม

ริโก้ออกจากห้องน้ำในอีกสิบนาทีต่อมาก็เบิกตาโต “อย่าบอกนะว่าจะสวมรองเท้าคู่นั้น”

“ร้อยเปอร์เซ็นต์”

“เชื่อคุณเลย ยกให้เป็นสาวมั่นแห่งปีไปเลย”

“คุณเคยเห็นแล้ว ฉันสวมส้นเข็มถ่ายแบบริมหาดบ่อยไป อย่างชิลชิลด้วย”

“แถมทุกครั้งที่เที่ยวทะเลด้วย”

“ถูกต้อง” เธอไหวไหล่ “ช่วยไม่ได้ ก็คุณอยากสูงทำไมล่ะ ขนาดว่าฉันสูงที่สุดในบรรดานางแบบด้วยกันแล้วยังสูงแค่คางคุณ คุณน่ะทั้งสูงทั้งหล่อปานเทพบุตร น่าแปลกใจว่าทำไมโดมิงโกไม่ปล่อยทายาทตัวเอ้ออกมาถ่ายแบบเสียเอง รับรองสาวๆ ติดตรึม ขี้คร้านไม่ต้องจ่ายเงินทำแผนโพรโมตทางการตลาดก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า”

“ก็เพราะโดมิงโกมีวิสัยทัศน์ อยากเก็บคนเก่งไว้บริหารงานมากกว่าไง”

“ขี้โอ่ ฉันว่าเพราะโดมิงโกกลัวคุณจะฟาดนางแบบหมดสังกัดมากกว่า”

ริโก้หัวเราะ “คุณนี่ร้ายจริง”

“ยอมรับซะเถอะคุณน่ะเจ้าชู้ตัวพ่อ”

“เจ้าชู้คืออะไร ไหนนิยามมาซิ”

“ฟาดเรียบทุกรายที่สวย”

“ผิดไปละ เพราะต่อให้สวยหยาดเยิ้ม งามหยาดฟ้ามาจากไหน ถ้าลงว่าเป็นเด็กในสังกัด ผมไม่ยุ่งเด็ดขาด”

“จะบอกว่าที่มีข่าวคั่วๆ อยู่กับนางแบบเด็กๆ พวกนั้น เพราะแม่เจ้าประคุณเลิกเป็นนางแบบในสังกัดของคุณ ก่อนที่คุณจะพาขึ้นเตียงอย่างงั้นสิ”

“ถูกเผง เลิกสัญญาก่อนพาขึ้นเตียงทุกราย”

“คุณยื่นข้อเสนอเรื่องขึ้นเตียง ตามด้วยสาวๆ พวกนั้นวิ่งโร่เซ็นยกเลิกสัญญาแทบไม่ทัน และคุณก็จ่ายค่าปรับให้ใช่มั้ย”

“เกลียดคนรู้ทัน” ริโก้อุบอิบ ไม่จริงจังนัก

“เห็นมั้ยล่ะ คุณน่ะร้ายกาจ เจ้าชู้ แคซาโนวาเรียกพ่อ”

“ก็ถ้าฝ่ายหญิงไม่โอเค ถามหน่อยผมจะทำอะไร จะไปเคี่ยวเข็ญหรือใช้กำลังบังคับก็หาไม่ เรียกว่าวิน-วินด้วยกันทั้งสองฝ่าย”

“แหงละ แค่เอาหน้าหล่อๆ ไปเสนอ สาวๆ ก็อ่อนระทวยโอนอ่อนผ่อนตามแล้ว”

“คุณน่ารักก็ตรงนี้ พูดตรงถูกใจผม เพราะงั้นจะว่าผมเจ้าชู้ได้ไง ในเมื่อฝ่ายหญิงมีใจให้”

“ฟาดเรียบทุกรายที่สาวมีใจให้ แบบนี้เขาเรียกว่าแคซาโนวาตัวพ่อย่ะ”

“ก็ถ้าผมเลวร้ายขนาดนั้น ถามหน่อยจะทนคบผมทำไม”

“ก็คุณมันแบดบอยตัวพ่อ แต่เป็นแบดบอยที่บทรักถึงใจไง ถ้าคุณไก่อ่อนปวกเปียกเป็นมะเขือเผา ฉันก็คงโบกมือลาตั้งแต่คืนแรกที่กินตับคุณแล้ว”

ริโก้ทำหน้ากึ่งๆ สยอง “ผมไม่มั่นใจว่าระหว่างเราใครจะร้ายและน่ากลัวกว่ากัน”

ซอนย่าหัวเราะ คว้าแขนเขาหมับแล้วพาออกเดินออกจากห้องพัก “น่ากลัวพอๆ กันว่าไหม ฉันพูดเล่น ไม่ต้องทำหน้าสยองขนาดนั้นหรอก ได้ข่าวว่าโดมิงโกจะเปิดรับนางแบบลอตใหม่หรือคะ” ซอนย่าเปลี่ยนเรื่องคุย

“ครับ” ริโก้เดินเคียงคู่ซอนย่าไปตามทางเดินที่ปูด้วยอิฐตัวหนอน “ผมอยากได้นางแบบรุ่นใหม่ มีโพรเจกต์ใหญ่รออยู่”

“จบมหา’ลัยหมาดๆ เลยเป็นไง”

“ได้แบบนั้นก็ดี” ริโก้รับสมอ้างทั้งที่แผนการตลาดของเขาตรงกันข้ามกับที่เธอเสนอ

“จะได้เอ๊าะๆ สดๆ ซิงๆ ด้วยใช่ไหมล่ะ”

ริโก้หันมาขมวดคิ้ว “วกกลับมาจนได้ ถ้ายังพูดเรื่องใต้สะดืออีก สัญญาเลยว่าผมจะเปลี่ยนใจกลับไปที่เตียงแทนที่จะไปดูงานเดินแบบ” ริโก้ขู่แกมหยอก

“เอ...น่าสนข้อเสนอนี้”

ริโก้จ้องสาวเซ็กซี่ข้างกาย “คุณนี่ จริงๆ เลย”

ซอนย่าหัวเราะ “พูดเล่นหรอกค่ะ ว่าแต่เมื่อไหร่จะยอมรับฉันเข้าสังกัดสักที”

“ก็เมื่อคุณพร้อมจะเลิกความสัมพันธ์กับผม ทันทีที่คุณพร้อม ย้ายเข้าสังกัดผมได้เลย”

ซอนย่าค้อนปะหลับปะเหลือก “ฝันไปเถอะ เรื่องอะไรจะเลิก ตราบใดที่คุณไม่บอกเลิกก่อน เราก็จะคบกันไปอย่างนี้จนกว่าใครจะเจอคนอื่นที่ถูกใจกว่า” ริโก้ไม่เคยบอกเลิกใครก่อนถ้าฝ่ายหญิงไม่ทำผิดกติกา เงื่อนไขเขามีข้อเดียว ไม่จำกัดเสรีภาพระหว่างกัน จะคบซ้อนหรือหลับนอนกับใครก็ได้ แต่เมื่อไรที่เขารู้เขาก็เลิกเปย์ แต่ถ้ายังพอใจก็กลับมาหลับนอนกันได้ ทว่าไม่มีการเปย์อีก

ทั้งคู่เดินมาถึงโอเอซิสหรือทะเลสาบน้ำจืด ซึ่งบัดนี้ว่างเปล่าจากกิจกรรมกลางแจ้ง ต่างจากทุกวันที่มีนักท่องเที่ยวนอนอาบแดด นั่งเรือหรือพายเรือ ด้วยว่าเจ้าของโรงแรมเตรียมพื้นที่สำหรับการเดินแบบไว้

จอห์น เจ้าของโรงแรมและเจ้าของงานเดินแบบผงกศีรษะทักทายทันทีที่เหลือบมาเห็นเขา พลอยทำให้นักข่าวที่ห้อมล้อมสัมภาษณ์อยู่เหลียวมองตามแล้ววิ่งกรูมาที่ริโก้

“ขอสัมภาษณ์คุณริโก้หน่อยค่ะ เรื่องการเปลี่ยนซีอีโอของบริษัท” สำเนียงคนพูดบอกว่าเป็นเจ้าของภาษา หรืออีกนัยหนึ่งเป็นนักข่าวที่ถูกส่งตัวมาจากสำนักข่าวสเปน

“อะไรนะครับ”

“มีข่าวว่าโดมิงโกกำลังจะผลัดใบ”

“คุณพูดเรื่องอะไร ผมไม่เข้าใจ”

ซอนย่าหันไปทางนักข่าวอย่างเข้าใจความรู้สึกของริโก้ที่ถูกคุกคามความเป็นส่วนตัว น้อยครั้งมากที่เขาจะยอมให้สื่อสัมภาษณ์ถ้าไม่ได้อยู่ในงานแถลง “เอางี้ดีไหมคะพี่ๆ น้องๆ สื่อมวลชน มาสัมภาษณ์ดิฉันแทน ทุกท่านโดยเฉพาะนักข่าวสเปนคงทราบกันดีว่าดิฉันเป็นใคร และเป็นอะไรกับริโก้” หยอดตบท้ายเพื่อเรียกความสนใจ

เจอลูกล่อลูกชนของซอนย่าเข้า นักข่าวก็ละล้าละลังว่าระหว่างข่าวบันเทิงซึ่งเป็นชีวิตส่วนตัวของริโก้ กับข่าวธุรกิจที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ ข่าวไหนจะเรียกกระแสได้มากกว่ากัน

จอห์นเห็นว่าเป็นจังหวะเหมาะเลยฉวยแขนเพื่อนพาไปยังห้องวีไอพีภายในภัตตาคารเพื่อเลี่ยงสายตาของนักข่าว

“ลูกล่อลูกชนไม่เปลี่ยนจริงๆ ซอนย่าเก่ง เบนความสนใจสื่อให้นายได้” จอห์นเอ่ยชมเมื่อประตูห้องวีไอพีปิดลง พนักงานเสิร์ฟเดินมารินแชมเปญให้พวกเขา

“ต้องขอบคุณซอนย่า เธอฉลาดเสมอ”

จอห์นหัวเราะ “ไม่มั่นใจว่านายขอบคุณเธอเร็วไปไหม รู้ใช่ไหม การที่นายไฟเขียวให้เธอแสดงความเป็นเจ้าของต่อหน้าสื่อ ความหมายโดยนัยคือยอมรับกลายๆ ว่าเป็นอะไรกับเธอ”

“ฉันไม่สนหรอกว่าใครจะคิดยังไง ถ้าฉันจะถูกผู้หญิงจับง่ายๆ แค่เพราะคำให้สัมภาษณ์ไม่กี่คำของพวกผู้หญิง ฉันก็คงถูกจับแต่งงานไม่รู้กี่ครั้งแล้ว”

“อย่าชะล่าใจไป สักวันพลาดให้ผู้หญิงจับได้ นายจะยิ้มไม่ออก”

“เอาน่า เอาเป็นว่าฉันไว้ใจซอนย่า รู้ว่าเธอมีลิมิตแค่ไหนในการพูด”

“ดูนายจะเปิดใจรับเธอมากขึ้น” จอห์นตั้งข้อสังเกต พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยกันที่มาดริด ริโก้ไปต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ส่วนเขาเบนเข็มมาเปิดโรงแรมที่ไอคา

“คบกันมาสองปี ถ้าไม่เข้าใจกันเลยจะแปลกไปไหม”

“แล้วก็จะกลายเป็นความเคยชิน ตามมาด้วยความผูกพัน”

ริโก้ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก มองตรงไปยังซอนย่าที่กำลังถูกกองทัพนักข่าวห้อมล้อม เขาไม่เข้าใจคำถามนักข่าว ผลัดใบอะไร เปลี่ยนซีอีโออะไรกัน เขาพยายามขบคิดอย่างหนัก

เขารู้จักกับซอนย่าเมื่อสองปีก่อนในงานเดินแบบ ตอนนั้นเธออายุยี่สิบสี่ปี เพิ่งจบมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศหมาดๆ เข้าสู่โลกมายาด้วยการเป็นนางแบบโฆษณา เขาถูกใจความสวยและรูปร่างของเธอจึงชวนเธอไปดื่มต่อ จากนั้นลงเอยที่เตียง แรกๆ คิดว่าความสัมพันธ์ไม่ยืนยาว แต่แปลก กลับยืนยาวกว่าทุกราย ไม่รู้ว่าใช้คำว่าเลี้ยงดูได้ไหม เพราะซอนย่ามีรายรับจากงานตัวเองเป็นล่ำเป็นสัน แต่เขาก็ให้เลขาฯ โอนค่าใช้จ่ายให้ทุกเดือน เขาซื้อบ้านซื้อรถให้เธอ และถ้าขาดเหลืออะไรแจ้งเลขาฯ ได้ตลอดเวลา

แล้วความคิดเขาก็สะดุดลงแค่นั้นเมื่อสาวสวยในชุดยูนิฟอร์มของโรงแรมเดินเข้ามา เธอกระซิบอะไรบางอย่างกับจอห์นแล้วเดินจากไป

“มีอะไรหรือ” ริโก้ถามขึ้น

“เมื่อวานมีสาวสวยเข้ามาพักที่โรงแรม เสียดายเธอเช็กเอาต์ไปแล้ว ไม่งั้นจะเชิญมาให้นายรู้จัก เผื่อจะเป็นนางแบบของนายได้”จอห์นตอบ แววตาซ่อนนัยมิดชิด

“ใคร”

“ไม่รู้ ให้โรงแรมช่วยเช็ก ปรากฏว่าเช็กอินในนามบริษัทซานโต้”

“หรือจะเป็นพนักงานซานโต้”

“ไม่รู้ว่ะ” จอห์นตอบ

“ถ้าเป็นคนของซานโต้ ไม่มีทางจะมาเป็นนางแบบของฉัน”

“เออ...ลืมไป บริษัทคู่แข่งนายนี่หว่า อุตส่าห์สละทั้งเวลาและเงินทองเพื่องานนี้โดยเฉพาะ”

“เป็นทางเดียวที่จะได้รู้ความก้าวหน้าของงานดีไซน์เขา ช่วงหลังซานโต้เงียบๆ ฉันอยากรู้ว่าทางนั้นซุ่มทำอะไรอยู่”

“เลยกะจะใช้งานนี้เพื่อสืบหาข่าวว่างั้นเถอะ แต่โทษทีเพื่อน นายล้วงความลับจากใครไม่ได้เลย เพราะคนที่มางานมีแต่ระดับล่าง ฉันทำหนังสือเชิญไปแล้ว ระดับวีไอพีไม่มีใครมาเลย คงเพราะโรงแรมฉันกระจอกเกินไปสำหรับคนระดับนั้น”

“คิดมากน่า งานนี้ไม่เปล่าประโยชน์สักทีเดียวหรอก อย่างน้อยนักข่าวเปรูและสเปนก็ยกโขยงกันมา โรงแรมนายได้รับการโพรโมต ส่วนฉันก็ได้เห็นไอเดียของซานโต้”

จอห์นทำท่าจะพูด แต่เสียงโทรศัพท์ของเพื่อนดังขึ้น

ริโก้กดรับสาย “ว่าไงอเล็กซ์”

“เมื่อวานพยายามติดต่อบอส แต่ติดต่อไม่ได้เลย”

“คงอยู่ในที่อับสัญญาณ มีอะไรเหรอ”

“มีข่าวลือแพร่สะพัดว่าคุณท่านจะเปลี่ยนซีอีโอ”

“คุณท่าน? คุณย่าน่ะหรือ”

“ใช่ค่ะ”

“เกิดอะไรขึ้น”

“ไม่ทราบค่ะ มีข่าวลือมาสองสามวันแล้ว แต่คิดว่าไม่จริงเลยไม่ได้แจ้ง แต่ล่าสุดมีข่าวว่าคุณท่านให้เลขาฯ ลงนัดพบท่านซีอีโอวันพรุ่งนี้ เลยคิดว่าน่าจะมีมูล ถ้ามีอะไรคืบหน้าจะโทร. มาบอกเป็นระยะๆ นะคะ ถ้าจะให้ดี บอสเสร็จธุระทางนั้นแล้วรีบกลับดีกว่าค่ะ ช่วงนี้ฝุ่นตลบ ไม่ควรอยู่ห่างบริษัท”

“เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากอเล็กซ์”

จอห์นถามขึ้นเมื่อเพื่อนวางสาย “มีอะไรหรือ”

“มีข่าวว่าคุณย่าจะเปลี่ยนตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร”

“หมายถึงคุณย่านายจะปลดพ่อนายหรือ?”

“ทำนองนั้น”

“เพราะอะไร”

“ไม่รู้ว่ะ”

“แล้วจะให้ใครขึ้นแทน”

“ไม่รู้”

“หรือว่านักข่าวรู้เรื่องนี้ เลยแห่กันมาจะทำข่าวนี้”

 

“หนูเกรย์ฟังที่ผมบรรยายแล้วคิดยังไง” ดีแลนพูดขึ้นขณะเดินเคียงคู่รีเบคก้ากับเกรย์ออกจากมหาวิทยาลัย จุดหมายคือร้านกาแฟที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่บล็อก ตลอดทางดีแลนเฝ้าสังเกตเกรย์เงียบๆ

“น่าคิดนะคะ ถ้าโลกเราสามารถลบความเจ็บปวดได้ตามอำเภอใจ มนุษย์เราจะเป็นอย่างไร จะมีบทเรียนให้เราเรียนรู้ไหม หรือความสุขคือคำตอบสำหรับทุกสิ่ง”

“ก็ถ้าความทรงจำนั้นเจ็บปวดเสียจนคนคนหนึ่งไม่อาจใช้ชีวิตต่อไปได้ หนูเกรย์คิดยังไง” ดีแลนถามต่อ เขารู้สึกถูกชะตาและสนุกทุกครั้งที่ได้ลับฝีปากกับว่าที่บัณฑิตที่ฉลาดเป็นกรดคนนี้

“ชีวิตจะสมบูรณ์ได้ควรต้องมีบทเรียนทั้งสุขและทุกข์หรือเปล่าคะ แต่ถ้าบทเรียนนั้นเจ็บปวดเสียจนใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้ เวลาจะเป็นคำตอบสำหรับทุกอย่าง”

“ถ้าเวลาช่วยเยียวยาบาดแผลได้ งั้นมุมมองหนูก็มองว่ายาไม่จำเป็น”

“สำหรับคนอื่น ดิฉันคงไม่อาจตอบแทนได้ เพราะขีดจำกัดความอดทนของแต่ละคนไม่เท่ากัน”

“แล้วถ้าเป็นหนูล่ะ ถ้าหนูเจ็บปวดสุดๆ สักเรื่อง หนูคิดว่าจะจัดการกับมันยังไง”

เกรย์ขยับตัวอย่างอึดอัด ดีแลนมักมีคำถามชวนให้อึดอัดและไม่สบายใจอย่างนี้เสมอ ด้วยเหตุนี้เธอถึงพยายามเลี่ยงเขา แต่รีเบคก้ามักดึงเธอเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ร่ำไป

“สำหรับดิฉัน อยากเก็บความทรงจำนั้นไว้ ถึงจะเจ็บปวดอย่างไรก็อยากเก็บมันไว้เพื่อเป็นเครื่องสอนใจไม่ให้ทำผิดซ้ำซาก”

“จริงหรือ หนูอยากเก็บไว้จริงๆ หรือ”

เกรย์ชะงักเมื่อถูกถามย้ำ ดีแลนซักราวกับรู้อะไรบางอย่างอยู่ลึกๆ แต่เธอก็ยืนยันคำตอบเดิม “ค่ะ” เกรย์มักมีมุมมองที่ไม่เหมือนใครออกไปในทางขวางโลก กวนนิดๆ ด้วยซ้ำ

รีเบคก้าดีดนิ้วอย่างถูกใจ “ต้องอย่างนี้สิถึงจะสมกับเป็นเกรย์ สาวน้อยที่มีความคิดแปลกแหวกแนวกว่าคนอื่นๆ แล้วตอนนี้ยาตัวนี้พัฒนาไปถึงไหนแล้วคะ” หันไปถามประโยคหลังกับคนเป็นอา

“อากำลังติดตามผลอยู่ การทดลองทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ให้ผลง่ายๆ หรอกนะ ต้องใช้เวลา บางทีอาจจะใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำตอบจะน่าพอใจไหม” ตอบพลางเหลือบมองสาวน้อยที่เดินอยู่ข้างๆ

เกรย์อายุยี่สิบปี ฉลาดเฉลียว ไอคิวสูง ถ้าไม่ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันเมื่อสามปีก่อน เธอคงจบมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ด้วยความจำเป็นบางอย่างทำให้เธอต้องย้ายมาเริ่มต้นเรียนใหม่ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติซานมาร์กอส ทว่าก็เรียนจบภายในเวลาสามปีครึ่ง

เกรย์เป็นลูกเสี้ยวไทย-เปรู-สเปน ผิวพรรณขาวผ่องอย่างสาวยุโรป สวยคมและลึกลับอย่างสาวอเมริกาใต้ ทว่ากิริยานุ่มนวลชวนจับตามองอย่างสาวตะวันออก เธอมีความสามารถพิเศษด้านการออกแบบ แต่กลับเลือกเรียนด้านบริหารธุรกิจ วางตัวธรรมดาๆ เหมือนวัยรุ่นทั่วไป จึงไม่มีใครรู้ว่าเป็นหลานสาวของมหาเศรษฐีลำดับต้นๆ ของยุโรป

เป็นความฉลาดของอิสซาเบลที่ต้องการให้หลานสาวใช้ชีวิตสงบสุข ไม่ตกเป็นเป้าสายตาหรือโดนเพ่งเล็งจากสื่อตั้งแต่เยาว์วัย เลยให้เกรย์เปลี่ยนไปใช้นามสกุลของลูกเขยชาวไทย เลยไม่มีใครรู้เลยว่าเธอคือทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลซานโต้

รีเบคก้าถองเพื่อนขณะทั้งหมดเดินไปร้านกาแฟ “เกรย์ อาถามแน่ะ”

เกรย์สะดุ้ง “คะ?”

“แน่ะ ใจลอยไปถึงไหน”

เกรย์อุบอิบปฏิเสธขณะหันไปทางดีแลน “ศาสตราจารย์ถามอะไรคะ”

“อาถามว่าไม่เจอกันหลายเดือน สบายดีไหม เจ็บป่วยอะไรบ้างหรือเปล่า”

“คะ?” คราวนี้ทำหน้าเหลอหลาจริงจัง

“อาหมายถึงผลตรวจสุขภาพ”

“อ้อค่ะ โอเคค่ะ ทุกอย่างปกติดี”

“เยี่ยม ถ้ามีอะไรผิดปกติรีบแจ้งอานะ”

รีเบคก้าหัวเราะคิก “อาตลกแล้ว ไม่สบายต้องหาหมอสิ จะให้หานักประสาทวิทยาทำไม”

เพื่อนมองเป็นเรื่องขำขัน แต่เธอกลับรู้สึกแปลกๆ แถมลางสังหรณ์บอกเธอว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ แต่จะเป็นอะไรเธอยังตอบแน่ชัดไม่ได้ แล้วพยายามทบทวนว่าวันนี้มีอะไรแปร่งๆ ที่แปลกกว่าทุกครั้งคือเขาจ้องมองเธอบ่อยครั้งโดยคิดว่าเธอไม่เห็น

เกรย์รู้จักดีแลนผ่านทางรีเบคก้า เพื่อนลากเธอไปฟังเขาพูดเรื่องยาลบความทรงจำครั้งแรกเมื่อสองปีก่อน จากนั้นทุกครั้งที่เขาเดินทางมาเปรู รีเบคก้าเป็นต้องลากเธอไปเจอเขา

“หนูเกรย์คิดหรือยัง จบมหา’ลัยแล้วจะต่อโทเลย หรือจะช่วยงานบริษัทคุณยาย” ดีแลนถามขึ้นหลังพนักงานมารับออร์เดอร์เรียบร้อยแล้ว

“ยังไม่ได้ข้อสรุปค่ะ คุณแม่คุณยายอยากให้ช่วยงานบริษัทสักระยะก่อนไปเรียนต่อ เพราะกว่าจะเปิดเรียนก็หลังซัมเมอร์ปีหน้า” พวกเธอจะรับปริญญาเดือนมิถุนายนนี้ ปลายปีจนถึงต้นปีเป็นช่วงสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัย

“แปลว่าช่วงนี้ซานโต้จะมีโพรเจกต์ใหม่?”

“ไม่เชิงค่ะ”

ดีแลนถามต่อ “ถ้าเรียนต่อ จะเรียนที่ไหน”

“ยังตัดสินใจไม่ได้ค่ะ เล็งๆ ไว้หลายที่เหมือนกัน”

“ไม่สนใจจอร์จทาวน์หรือ เบคก้าจะได้มีเพื่อน”

“นั่นสิ สนใจมั้ย” รีเบคก้าสนับสนุน

“เธอตัดสินใจแน่แล้วหรือว่าจะเรียนที่นั่น” เกรย์ถามเพื่อน

“ใช่ อาบอกว่าที่นั่นดีที่สุดแล้วสำหรับเรา โอเค สายบริหารธุรกิจอาจจะสู้เอ็มไอทีหรือฮาร์วาร์ดไม่ได้ แต่ที่จอร์จทาวน์เราจะได้สังคมที่ไม่เหมือนที่เอ็มไอทีหรือฮาร์วาร์ด”

เกรย์พยักหน้า ที่มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์มีแต่ลูกคนรวย ราชนิกุลจากราชวงศ์ต่างๆ ในยุโรป ตลอดจนทายาทตระกูลเก่าแก่มากมายจากทั่วโลกที่พ่อแม่นิยมส่งลูกหลานไปเรียน ฉะนั้นได้สังคมที่พิเศษแตกต่างออกไปแน่นอน และแน่นอนอีกเหมือนกันว่าค่าเล่าเรียนแพงหูฉี่ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับครอบครัวของรีเบคก้าหรือเธอ

“ไปจอร์จทาวน์กับฉันนะ นะๆ” รีเบคก้าเขย่าแขนเพื่อน

“ขอเวลาปรึกษาคุณแม่กับคุณยายก่อนนะ ถ้ามีอะไรคืบหน้าจะส่งข่าวมาบอก”

“เอ่อ ลืมไป พรุ่งนี้เธอจะกลับมาดริดแล้วใช่ไหม”

เกรย์พยักหน้า “เจอกันอีกครั้งวันรับปริญญา ช่วงนี้ฉันต้องกลับไปช่วยงานบริษัท แต่จะโทร. หาถ้ามีอะไรคืบหน้า”

“ถ้าเธอต้องบินกลับมาดริดพรุ่งนี้ งั้นคืนนี้เราไปท่องราตรีเพื่อสั่งลากันไหม ไปไหมคะอา”

“หนูเกรย์จะเดินทางอยู่แล้ว เที่ยวกลางคืนจะดีหรือ” ดีแลนกังวล

“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าสักทุ่มสองทุ่มยังโอเค อีกอย่างไฟลต์บินเกือบสามทุ่ม ค่อยไปหลับเอาแรงบนเครื่องก็ได้ค่ะ”

“ความจริงอามีธุระต้องไปทำที่มาดริดอยู่เหมือนกัน กำลังคิดว่าจะบินไปพร้อมหนูเกรย์คืนพรุ่งนี้เลยดีไหม”

“ดีเลยค่ะ เกรย์จะได้มีเพื่อน” รีเบคก้ารีบสนับสนุน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น