7

ละครสุดๆ

บทที่ 7 ละครสุดๆ

 

กังสดาลไม่เคยเจอฉากกระถางต้นไม้ล้มระหว่างนางเอกกำลังปฏิบัติภารกิจสืบความลับจากในละครเรื่องไหนมาก่อน เพราะส่วนใหญ่นางเอกละครมักจะมีไหวพริบหรือไม่ก็วิ่งหนีไว แล้วเท่าที่เธอจำได้ ก็ไม่เคยพบฉากเด็กวิ่งเกาะขาเรียกนางเอกว่าแม่มาก่อน บางทีเธออาจจะดูละครน้อยไป หรือไม่เธอก็ควรเลิกดูแล้วเอาเวลาไปนั่งสมาธิ จะได้มีสติรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้า

“แม่มาหาผมแล้วเหรอครับ” เด็กชายตัวน้อยรัดแขนแน่นขึ้น พร้อมกับช้อนดวงตากลมโตมองเธอด้วยความคาดหวัง 

สมองกำลังอึ้ง ปากควรพูดว่าไม่ แต่หน้ากลับพยักหงึกๆ เป็นอีกครั้งที่กังสดาลทำอะไรโดยสัญชาตญาณแต่ขาดสติ เธออ้าปากอยากอธิบาย ทว่าสายตาสะดุดการจับจ้องจากรอบทิศทาง มีบางคนคิดจะยกโทรศัพท์มือถือมาบันทึกภาพด้วยซ้ำ และเธอไม่อาจห้ามปรามพวกเขาได้ นั่นเพราะเธอขาดออร่าประธานเผด็จการ

“ไม่คิดจะไปทำงานกันแล้วเหรอครับ หรือจะรอไปจากบริษัทนี้เลยทีเดียว” สหกรณ์พูดรวมๆ ไม่ได้เจาะจงใคร แต่สายตาที่กวาดมองโดยรอบส่งผลให้พนักงานของเขาทุกคนสลายตัวราวกับควัน เว้นพนักงานประชาสัมพันธ์เคราะห์ร้ายที่ต้องจัดของตรงเคาน์เตอร์ใหม่ซ้ำๆ พร้อมกับทำหูหนวกตาบอดไปด้วย

สำหรับผู้หญิงหน้าตาใกล้เคียงคำว่าดี กังสดาลห่างไกลคำว่ารักเด็ก ความเกี่ยวข้องมีเฉพาะการร่วมงานในกองถ่ายละคร ซึ่งแน่นอนว่านางร้ายย่อมไม่ต้องร่วมเฟรมกับเด็กเยอะเท่านางเอก และตัดฉากกอดรัดไปได้เลย เธอจึงทำตัวไม่ถูก รู้แค่ว่าควรหนี

“ฉันก็ต้องไปเหมือนกัน” กังสดาลบอกพลางจะขยับขา แต่โดนเจ้าก้อนขาวๆ นุ่มๆ ยึดไว้แน่น

“แม่จะไปไหน” ใบหน้าขาวนุ่มเริ่มบิดเบ้ ข่มขู่โดยไร้เสียงว่าถ้าเธอกล้าไป เขาก็กล้าร้องไห้เหมือนกัน

เธอไม่กล้าทำเขาร้องไห้ กังสดาลไม่รู้เหตุผล แต่รู้ว่าตัวเองกลัวเด็กคนนี้ร้องไห้ อันที่จริงสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาตอนเจอหน้าเขาคืออยากเห็นเขายิ้ม เมื่อถูกเขาจ้องมองเธออยากพูดว่า ‘แม่ขอโทษ’

มันคือการฉายภาพซ้ำเมื่อวาน เธอเจอคนแปลกหน้าแต่กลับรู้สึกคุ้นเคย มันช่างน่ากลัวจนกังสดาลอยากวิ่งหนี ทว่าไม่รู้จะหนีไปไหน ไม่รู้จะทำอย่างไรดีด้วยซ้ำ

“ขึ้นไปคุยกันข้างบน” สหกรณ์สรุปปัญหาวุ่นวายใจของกังสดาลในประโยคเดียวแล้วก้มลงจะอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา แต่โดนปัดมือทิ้งอย่างไม่ไยดี ทว่าชั่วกะพริบตา กิริยาที่เกือบจะเรียกได้ว่าก้าวร้าวของเขาก็กลายเป็นบ้องแบ๊ว สองมือชูเข้าหา สองตาออดอ้อน

“แม่อุ้มผมหน่อย” ในที่สุดสองแขนของเจ้าตัวเล็กก็เลิกรัดรอบขาเธอแล้ว แต่การชูมือหาก็กดดันยิ่งกว่า 

เป็นอีกครั้งที่กังสดาลใช้สัญชาตญาณตัดสิน เธออุ้มเจ้าก้อนนุ่มนิ่มขึ้นมาแนบอก มันเป็นสัมผัสใกล้ชิดที่สุดเท่าที่เธอเคยกระทำกับคนแปลกหน้า แต่เธอไม่เห็นว่ามันผิดตรงไหน หนำซ้ำยังให้ความรู้สึกถูกต้อง

เด็กชายตัวหนักไม่เบา กังสดาลไม่ใช่ตัวละครสายพละกำลังเยอะ แต่พอจะวางก็โดนแขนเล็กสองข้างโอบกอดคอแน่น เธอใช้มือหนึ่งตบหลังเขาเบาๆ เป็นเชิงว่าจะไม่ปล่อยให้เขาร่วงลงไปแล้วตามสหกรณ์ขึ้นไปข้างบน ซึ่งปลายทางก็คือห้องทำงานของเขา และเป็นสถานที่ที่สัญชาตญาณสั่งให้เธอวิ่งหนีเมื่อวาน ก่อนจะพาตัวมาจนมุมวันนี้

 

ห้องทำงานห้องเดิมเพิ่มเติมคือเจ้าตัวเล็ก กังสดาลยังคงอึ้งได้แต่ทำตามคำสั่งของสหกรณ์โดยไร้ข้อโต้แย้ง เขาให้ตามมาเธอก็ตามมา เขาให้นั่งเธอก็นั่ง นี่คงเป็นความแตกต่างระหว่างแมวน้อยกับหมาป่าตัวโตเป็นแน่ ที่สำคัญในสถานการณ์ชวนงุนงง เธอไม่รู้จะเปิดปากพูดอะไร ได้แต่กอดคนที่กระแซะเข้ามานั่งพิงตัวเธอ กลิ่นหอมน้ำนมและสัมผัสอ่อนนุ่มทำให้ผู้หญิงที่ไม่เคยชื่นชอบเด็กรู้สึกหัวใจเติมเต็มไปด้วยความรัก อยากจะกอด อยากจะหอม เสียก็แต่เธอยังไม่รู้ว่าจะลงมือในสถานะใด

“แม่ครับ” เด็กชายเสนอตำแหน่งให้ 

“คะ?” กังสดาลเปล่งเสียงเป็นเชิงถามว่าให้เธอรับตำแหน่งนี้แน่เหรอ แต่เด็กน้อยถือว่าเธอตอบรับ

“ผมคิดถึงแม่ตลอดเลย แม่คิดถึงผมไหมครับ”

“คิดถึง?” เป็นอีกครั้งที่คำถามของเธอ ถูกตีความว่าเป็นการตอบรับ แต่พอเห็นดวงตาสว่างไสวด้วยความยินดีของเขา กังสดาลก็หักใจพูดอย่างอื่นไม่ออก

“แม่จะกลับมาอยู่กับผมใช่ไหมครับ”

สำหรับเด็กที่สูงแค่ต้นขาของกังสดาล เจ้าหนูคนนี้พูดได้ลื่นไหลมาก แถมต้อนเธอเข้ามุมไปเรื่อยๆ จนเธอหาจังหวะปฏิเสธคำเรียกขานของเขาไม่ได้ แถมยังมีสายตาโหดๆ คู่หนึ่งจ้องจับผิดอยู่ฝั่งตรงข้าม หญิงสาวกวาดตามองไปรอบๆ ห้องทำงานของสหกรณ์กว้างมาก แต่ปราศจากมุมให้เธอหลบซ่อนหรือแอบไปนั่งยองๆ ร้องไห้ 

ทำไมสวรรค์ส่งเธอมาอยู่ในสภาวะกระอักกระอ่วนเช่นนี้

หญิงสาวอยากชี้แจงกับเด็กน้อยว่าเขาเข้าใจผิด เธอกับเขาไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ อย่าได้ใช้คำว่าแม่มาเรียกขานเธอ แต่แค่ก้มลงไปมองดวงตากลมโตเหมือนเม็ดลำไยที่มองมาพร้อมประกายวิบวับรักใคร่เต็มเปี่ยม กังสดาลก็เก็บคำพูดพวกนั้นกลืนลงท้อง เพราะหากทำเขาร้องไห้ เธอคงไม่ให้อภัยตัวเองเป็นแน่ แค่เขานั่งข้างเธอบนโซฟา เอียงศีรษะที่สูงไม่ถึงบ่ามองมาเธอก็ทำตัวไม่ถูก ไม่นับเรื่องที่ว่าหน้าโซฟามีเพียงโต๊ะกาแฟตัวเตี้ย ซึ่งไม่อาจกั้นรังสีอำมหิตของสหกรณ์ที่นั่งตรงข้าม และพร้อมจะเปลี่ยนจากท่านั่งจ้องเป็นกระโจนตะปบ 

“ใช่ไหมครับ” เมื่อไม่ได้รับคำตอบเจ้าตัวน้อยก็ถามอีกรอบ

“เราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันทีหลังครับดอลลาร์”

สหกรณ์เอ่ยเคลียร์ความกดดันให้แก่กังสดาล เธอรีบพยักหน้ารัวๆ ตอบรับ 

“แล้วเมื่อไรครับ” ขณะถามมือนุ่มนิ่มสองข้างก็คว้าต้นแขนเธอเอาไว้ สัมผัสอ่อนโยนชวนหัวใจละลาย ทำกังสดาลลืมฟังคำถามไปโดยฉับพลัน สหกรณ์จึงรับหน้าที่เป็นผู้ตอบ

“บอกแล้วไงครับว่าเอาไว้ทีหลัง”

พอเห็นเด็กชายหน้าม่อยคอตก กังสดาลก็อยากจะรับปากทุกอย่างทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาต้องการอะไรบ้าง ยังดีที่ในห้องนี้มีคนสติครบถ้วนอยู่หนึ่งคน

“บ่ายโมงแล้ว ดอลลาร์ไปนอนกลางวันกับอาภูมินะครับ” ระหว่างพูดเขาก็ยกหูโทรศัพท์ตามตัวเลขาฯ เข้ามา

ดูเหมือนว่าโลกนี้ไม่เคยมีใครขัดคำพูดของสหกรณ์มาก่อน แม้จะทำท่าไม่เต็มใจ เด็กชายก็ยังเดินตามเลขาฯ ของสหกรณ์ไปต้อยๆ กังสดาลมองตามแผ่นหลังน้อยๆ นั้นแล้วอยากไปอุ้มปลอบใจ ก่อนจะเสียวสันหลังวาบเพราะสายตาจับจ้องจากอีกด้าน

“คุณเจอลูกแล้ว ยังไม่คิดจะยอมรับเขาอีกเหรอครับ”

“ลูก...ลูกใคร” กังสดาลยอมรับว่าเด็กน้อยคนเมื่อครู่ดูคล้ายกับเธอ ไม่ว่าจะเป็นโครงหน้ากลม แก้มป่อง ดวงตาสีดำกลม แต่เขาเป็นลูกใครก็ไม่รู้ สมองเปี่ยมเหตุผลบอกเสียงอ่อยว่าไม่ แต่สัญชาตญาณตะโกนก้อง ว่า ใช่ ใช่ ใช่

“จะเป็นลูกใครได้ ถ้าไม่ใช่ลูกของคุณกับผม”

“หา! ลูกของคุณกับฉัน?”

“แล้วคุณคิดว่าอยู่ๆ ดอลลาร์มาจากไหน”

จากไหนกังสดาลไม่เคยสงสัยเรื่องนี้ เพราะเธอยังไม่ยอมรับว่าตนมีลูก ย่อมไม่คิดจะตรวจสอบว่าเด็กที่สหกรณ์พูดถึงมีที่มาอย่างไร พอเธอไม่ตอบ เขาก็หัวเราะเสียงหยันใส่

“ผมลืมไปว่าคุณไม่เคยทำความรู้จักลูก ตอนคุณส่งเขาให้ผม เขาไม่มีใบสูติบัตรด้วยซ้ำ เขาชื่อดอลลาร์ ชื่อจริงสหรัฐ”

ข้อมูลเยอะเกินไปสมองเธอดูดซึมไม่ทัน กังสดาลไม่รู้ว่าสีหน้าของตนดูโง่เง่าแค่ไหน รู้แค่สหกรณ์เปลี่ยนสีหน้าจากหงุดหงิดเป็นขัดใจแล้วเอนตัวมาข่มขู่เธอ

“ผมไม่อยากรู้ว่าคุณมีเจตนาอะไรถึงทำเป็นไม่รู้จักผมกับลูก แต่อย่าทำร้ายจิตใจดอลลาร์ เขาไม่ควรกระทบกระเทือนใจเพราะคุณอีก”

“ใครทำร้ายเขา” แค่นึกภาพเจ้าตัวน้อยจิตใจช้ำ หัวใจของเธอก็รู้สึกหน่วงๆ

“เด็กที่ไม่มีแม่คอยดูแล เวลาไปเรียนอนุบาล ไม่ถูกเพื่อนล้อก็แปลกแล้ว และถ้าเขาไม่แอบร้องไห้ คง...คงไม่มีใครบอกเขาว่าคุณเป็นแม่ของเขา” การชะงักไปชั่วขณะของสหกรณ์บอกกังสดาลว่าใครคนที่ว่าต้องเป็นตัวแปรสำคัญในเรื่องนี้

“ภรรยาคุณบอกดอลลาร์ว่าฉันเป็นแม่เขาเหรอ” กังสดาลเห็นกับตาว่าสหกรณ์เปลี่ยนแววตาจากโกรธเป็นแค้นได้อย่างไร น้ำเสียงก็เป็นโหมดฆาตกรพร้อมฆ่า

“ผมไม่มีภรรยา ซึ่งเรื่องนี้ต้องขอบคุณคุณที่ให้บทเรียนผม ว่าอย่าไปเชื่อใจผู้หญิงคนไหนอีก”

“พอก่อนนะ คุณจะยัดข้อหาให้ฉันมั่วๆ ไม่ได้ ฉันไม่รู้จักคุณด้วยซ้ำ แล้วก็ไม่เคยมีลูกด้วย” เธอไม่กล้าสู้คนแต่คนเราจำเป็นต้องปกป้องสิทธิความโสดของตนเอาไว้ แม้ว่าการหาแฟนไม่ได้จะไม่น่าภูมิใจสักเท่าไรก็ตาม

“เหรอ...” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเนิบนาบเบาๆ ทำเอาเธอขนลุก แต่ไม่ทันได้ลุกหนีเขาก็ขยับมาประชิด มือหยาบใหญ่ตรึงไหล่เธอราวกับคีมเหล็ก ใบหน้าคมสันเอนมาจ้องตาในระยะห่างเพียงไม่กี่เซนติเมตร จนกังสดาลสัมผัสถึงลมหายใจร้อนผ่าวคุกคามจากสหกรณ์ เมื่อเขาเอ่ยถามเสียงลอดไรฟัน  

“คุณกล้ามองตาดอลลาร์แล้วบอกว่าคุณไม่ใช่แม่ของเขาไหมล่ะ”

มุมปากกังสดาลกระตุกอยากตะโกนใส่หน้าสหกรณ์ว่าเธอกล้า แต่พอคิดถึงดวงตาแป๋วแหววที่ถอดลักษณะมาจากดวงตาของเธอ หญิงสาวก็กลืนคำนั้นลงไป ไม่แค่ดวงตาของเด็กน้อยเท่านั้น ดวงตาของชายตรงหน้าก็เหมือนกัน เธอยังจำความรู้สึกแรกที่พบหน้าเขาได้ มันคือความคุ้นเคยอันน่ากลัว แต่ขณะเดียวกัน ความจริงก็คือความจริง เธอไม่รู้จักเขา ไม่รู้จักเด็กที่เขาอ้างว่าเป็นลูกของเธอ

“ฉันไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงเชื่อว่าฉันเป็นแม่ของดอลลาร์ แต่ฉัน...”

“ผมไม่ได้เชื่อ ผมรู้”

เรื่องนี้ถึงทางตันแล้ว กังสดาลหลับตา สูดลมหายใจเข้าลึก จะได้ไม่ต้องสบตาแข็งกร้าวของสหกรณ์ แต่กลิ่นอายของเขาที่อยู่ใกล้กลับเข้าไปในโพรงจมูก ทำให้เธอยิ่งรู้สึกถูกคุกคามมากกว่าเดิมจนตัวสั่นภายใต้อุ้งมือของเขา สุดท้ายทนแรงกดดันไม่ได้โพล่งความลับออกไป

“ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น เพราะฉันความจำเสื่อม”

เกิดสภาวะสุญญากาศระหว่างทั้งสอง กังสดาลใช้มือหนึ่งลูบศีรษะของตน ผ่านไปห้าปีรอยผ่าตัดเปิดกะโหลกรักษาอาการเลือดคั่งในสมองถูกเส้นผมปกคลุมหมดแล้ว หากไม่แหวกเส้นผมดกดำของเธอดูก็ไม่มีทางรู้ว่าตรงนั้นมีรอยเย็บขนาดใหญ่อยู่ และก็ไม่มีใครรู้ด้วยว่าเธอเคยประสบอุบัติเหตุขับรถหลับในตกช่องเขาจนเป็นเจ้าหญิงนิทราหลายเดือน หนำซ้ำตื่นมายังความจำหายไปหลายปี เหมือนวาร์ปจากเฟรชชีปีหนึ่งไปโดนรีไทร์ตอนปีสี่ในเดือนเดียว พร้อมด้วยเรือนผมยาวแปรสภาพเป็นสกินเฮด ถ้าไม่ได้ภาพถ่ายที่มารดาเรียบเรียงเอาไว้ให้ดู เธอก็คงไม่รู้ว่าตัวเองเรียนมหาวิทยาลัยเกือบจบแต่ไม่จบ 

บุษบา มารดาของกังสดาลย้ำเสมอว่าห้ามบอกใครว่าเธอมีช่องว่างใหญ่ในความทรงจำ ไม่อย่างนั้นอาจจะโดนคนหลอกลวงหาประโยชน์ แต่นาทีนี้หากเธอไม่พูดออกไปคงโดนใครบางคนฆ่าเป็นแน่

“เมื่อห้าปีก่อนฉันขับรถตกหน้าผา ความทรงจำช่วงก่อนหน้านั้นหายไปสามปี”

สหกรณ์มองตามมือของกังสดาลไปยังศีรษะ แต่มองยังไงก็ไม่เห็นแผลเป็นซึ่งซ่อนอยู่ ก่อนจะเค้นเสียงขึ้นจมูกซึ่งทำเอามืออีกข้างของเธอสั่นริกๆ อยากอัดเขาสักทีถ้ามีความกล้าพอ

“คุณไม่คิดว่ามันฟังดูเป็นละครไปหน่อยเหรอ”

 

 

ละครโรงเล็ก 

ตอน ละครไทย

กีกี้ : คุณกำลังดูหมิ่นละครไทยรู้ไหมคะ

สตางค์ : ผมไม่สนละครไทยอยู่แล้ว

ผ่านไปสักพัก

สตางค์ : คุณช่วยแนะนำผมหน่อย ว่าในละครพระเอกจะง้อนางเอกยังไง

 

 

ละครโรงเล็ก

ตอน พระเอกละคร

กีกี้ : คุณสตางค์ ทำไมคุณปากร้ายอย่างนี้

ดอลลาร์ : พระเอกปากร้ายในละคร ตอนจบก็ต้องมาง้อนางเอกทุกคนครับ

สตางค์ : หึ ถ้าฉันทำอะไรโง่ๆ แบบนั้นยังเป็นประธานบริษัทได้อีกเหรอ

ผ่านไปสักพัก ‘กลืนน้ำลายตัวเอง’ ก็ไม่ใช่แค่สำนวน 

สตางค์ : TwT ต่อให้เป็นประธานเผด็จการก็มีวันพ่ายแพ้


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น