4

ดูดวงหรรษา


ดูดวงหรรษา

ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงบ ผู้คนต่างหลับใหล แต่ไฟในห้องทำงานของคฤหาสน์หลังใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ ยังคงเปิดสว่าง สองร่างชายหญิงยังคงทำงานขะมักเขม้นอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหลับจะนอน

“เท่าที่สืบดู เธอชื่อจริงว่า ภาณี แซ่ลิ้ม อายุสิบแปดปี” เสียงทุ้มของฝ่ายชายดังขึ้น ในขณะที่สายตาของเขาก็ยังจดจ้องไปที่หน้าจอ

“ลองค้นทะเบียนราษฎร์ดูแล้ว ไม่เจอชื่อพ่อกับแม่เลย แถมช่วงเวลาและสถานที่แจ้งเกิดก็ดูมีพิรุธแปลกๆ” หญิงสาวในชุดหนังสีดำรัดรูปกล่าวต่อ “เธอน่าจะเป็นเด็กกำพร้า”

“โหดไปแล้วมั้ง เด็กอายุสิบแปดไม่น่าจะอยู่คนเดียวไหวนะ” ฝ่ายชายตั้งข้อสังเกตขึ้นมาบ้าง จากที่เขาไปเจอมา บ้านของเธอเป็นตึกแถวและเหมือนจะเปิดร้านอะไรสักอย่าง น่าจะมีใครสักคนที่อยู่กับเธอด้วย

“มาตร ดูนี่ ประวัติเกี่ยวกับการเป็นหมอดูของเธอ เหมือนว่าจะแม่นจริงๆ นะ” หญิงสาวชี้ให้ชายหนุ่มดูหน้าจอที่มีพื้นหลังสีน้ำเงินเข้มพร้อมกับรายชื่อกระทู้ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ ‘อาจารย์ปุ๊’

“เจนนี่เลิกอ่านกระทู้ไร้สาระได้แล้ว ดูซิ ทำไมแท็กข้างๆ มันถึงมีแต่รีวิวเครื่องสำอางทั้งนั้นเลยละ” มาตรส่ายหน้าอย่างจนใจ ก่อนจะใช้นิ้วชี้ไปที่กระทู้ดังกล่าวที่เรียงรายอยู่บนหน้าเบราเซอร์ ทำให้คนที่ถูกจับได้หลบตาแทบไม่ทัน

“นั่นมันอันเก่าที่เปิดค้างไว้” เจนนี่ตอบเสียงอุบอิบ ในใจก็ได้แต่ค่อนขอดเพื่อนร่วมงานอย่างมาตรว่าเขาเป็นผู้ชาย ไม่มีวันเข้าใจสิ่งที่เธอทำหรอก

“เครื่องช้า ปิดๆ ไปซะ” ผู้ชายอกสามศอกที่ไม่เคยแตะเครื่องสำอางอย่างเขาก็ไม่เข้าใจผู้หญิงเช่นกัน ว่าจะอะไรนักหนากับการซื้อเครื่องสำอาง

“นี่ แต่อย่างน้อยฉันก็ได้ข้อมูลนะ” เจนนี่ขึ้นเสียงสูงอย่างไม่พอใจเมื่อคู่หูบอกให้เธอปิดกระทู้รีวิวที่เป็นดั่งสมบัติล้ำค่า กว่าเธอจะเปิดมาเจอนี่ใช่ว่าจะหากันง่ายๆ เธอยังไม่ได้ดูรายละเอียดเลยด้วยซ้ำ

“ไหน ข้อมูลอะไร”

เจนนี่ที่ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชนะเพราะได้ข้อมูลที่สำคัญมาไว้ในมือทำหน้ามั่นใจเหนือคู่หูของเธอจนน่าหมั่นไส้ ก่อนจะยิ้มเยาะเขานิดๆ คนที่บอกว่าทำงานจริงจังกลับหาเจอเพียงแค่ชื่อกับนามสกุล

“ก็นี่ไงล่ะ รีวิววิธีขอเข้าดูดวงกับอาจารย์ปุ๊”

“ฮ่าๆๆๆ เจนนี่ เธอเชื่อกระทู้นั้นด้วยเหรอ รู้ได้ไงว่าเขาไม่หลอกน่ะ”

ผู้ฟังอย่างมาตรหัวเราะจนแทบจะลงไปกลิ้งที่พื้นเมื่อได้รู้ว่าเพื่อนสาวของเขาเชื่อกระทู้ที่ว่านั่น จะใช่อาจารย์ปุ๊เดียวกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ เธอยังมีหน้ามาทำหน้าเหนือเขาได้ยังไง แค่คิดก็ขำจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว

“แล้วมีข้อมูลมากกว่านี้รึไงกัน”

ฝั่งคนถูกหัวเราะอย่างเจนนี่ขึ้นเสียงสูงอย่างไม่พอใจอีกครั้ง ก็ในเมื่อนั่งหาข้อมูลกันมาเกือบสี่ชั่วโมง ทั้งค้นทั้งแฮ็กต่างๆ นานาก็ไม่มีอะไรคืบหน้ามากไปกว่านี้ การที่เธอเชื่อกระทู้เดียวที่มีมันผิดตรงไหน

“ก็ไม่มี แต่มันอดขำไม่ได้ที่เธอเชื่อกระทู้กะโหลกกะลาแบบนั้น ฮ่าๆ”

เจนนี่แทบจะปรี๊ดแตกเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว เขาไม่รู้หรือไงว่ากระทู้กะโหลกกะลาที่เขาว่ามันใช้ได้ผลมานักต่อนักแล้ว เอาเถอะ ถ้าดูถูกกันขนาดนี้ เธอจะทำให้ดูเองว่าคนจริงมันเป็นยังไง

“ไม่เกินสามวัน คอยดู ฉันจะไปดูดวงกับอาจารย์ปุ๊ให้ได้ เตรียมเครื่องดักฟังรอได้เลย”

เจนนี่สบตากับมาตรด้วยสายตาเป็นประกายแกร่งกล้า จนคนที่ดันไปจุดไฟของเธอเข้ารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมา แม่เจนนี่เอาจริงขนาดนี้ อาจารย์ปุ๊ก็อาจารย์ปุ๊เถอะ ตัวใครตัวมันแล้วกัน...

 

๒ วันต่อมา

Pu’s talk

“แปะ หนูกลับมาแล้ว”

วันนี้ฉันกลับมาถึงบ้านค่อนข้างเร็ว เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงสอบปลายภาค หลังสอบไม่มีอะไรต่อก็กลับบ้านได้เลย อีกแค่ไม่กี่สัปดาห์ฉันก็จะจบ ม. ๖ แล้ว จะได้มีเวลาเก็บหน่วยกิตของมหาวิทยาลัยได้เต็มที่ จะได้จบๆ เสียที วุฒิที่ได้น่าจะพอไปสมัครงานได้บ้าง

เมื่อกลับถึงบ้านก็ต้องแปลกใจเล็กน้อยเพราะไม่เห็นแปะนั่งอยู่ที่แคร่หน้าบ้านซึ่งเป็นที่ประจำของแก ปกติแกเฝ้าร้านไม่ยอมไปไหน และคงเพราะแกไม่ค่อยขยับตัวละมั้ง ถึงได้อ้วนขึ้นๆ ทุกวันแบบนี้

“แปะ อยู่ในบ้านเปล่า” ฉันตะโกนเรียกแปะซ้ำอีกครั้ง

“อยู่ในห้องน้ำ” เสียงทุ้มๆ ของแปะตะโกนกลับมา และไม่นานชายรูปร่างท้วมก็เดินตุ๊ต๊ะออกมาจากห้องน้ำ ฉันว่าช่วงนี้แปะดูอ้วนขึ้นกว่าเดิมอีก สงสัยเพราะกินๆ นอนๆ

“ท้องเสียเหรอแปะ เข้าห้องน้ำนานเลย”

“เปล่า ดูฉี่อยู่”

มีใครให้แปลกกว่านี้มั้ย แปะก็เป็นแบบนี้ นานทีแกก็นั่งดูนก ดูซาลาเปา ดูแมลงสาบ ล่าสุดนั่งดูฉี่ อยากรู้จริงๆ ว่าต่อไปแปะจะมีอะไรมาให้ฉันแปลกใจอีก

“จะไปดูมันทำไมเนี่ย หน้าร้านไม่มีคนอยู่ ซาลาเปาหายหมดแล้วแปะ”

ฉันแซวแปะอย่างขำๆ อย่างที่บอก ซาลาเปาแปะไม่มีวันหมดหรอกถ้าฉันไม่กินมัน ใครๆ ก็ส่ายหน้ากับรสชาติของซาลาเปาแปะทั้งนั้น จะมีก็แต่ฉันนี่แหละที่กินมาตั้งแต่เด็กจนชิน หลงผิดคิดว่านั่นคือความอร่อย

“ก็สีมันเข้มแปลกๆ สงสัยกินน้ำน้อย ไปชงกาแฟเย็นกินดีกว่า” ว่าแล้วแปะก็เดินไปที่หน้าเตา ทำให้ฉันต้องรีบวิ่งไปหยิบขวดน้ำตาลและนมข้นออก แค่นี้เบาหวานก็ขึ้นแล้ว จะยอมให้แปะกินเพื่อไปเพิ่มน้ำตาลในเลือดไม่ได้หรอก

“กินชาไปแปะ ถ้าแปะกินของหวานอีก หนูจะโกรธแล้วนะ” ฉันขู่แปะเพราะรู้ว่าแกไม่ชอบให้ฉันงอนหรอก

“ก็ได้ๆ” สุดท้ายแปะก็ยอมรับคำแต่โดยดี

“แล้ววันนี้มีนัดมั้ยแปะ” เมื่อเห็นว่าแปะยอมเป็นเด็กดี ไม่กินของหวาน ฉันจึงเปลี่ยนเรื่องเป็นถามเรื่องงานแทน

“มี สองราย” แปะตอบพร้อมกับชงน้ำชาไปด้วย

“ใครอะ เขาส่งข้อมูลมาก่อนมั้ย” ฉันถามพลางหยิบซาลาเปาไส้หมูแดงภาคพิสดารของแปะมากัดกิน

“คุณเจกับคุณมะปราง เขาจะมาให้ตั้งชื่อลูกให้”

“แล้วอีกคนล่ะ”

“เป็นผู้หญิง เขาไม่ได้บอกชื่อ แต่เขาโอนเงินมัดจำมาแล้ว เห็นว่าอยากรู้เรื่องเนื้อคู่”

ฉันพยักหน้าตอบแปะโดยที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ รู้สึกว่าวันนี้ซาลาเปาของแปะเหมือนจะอร่อยขึ้นอย่างแปลกๆ หรือว่าวันนี้จะมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นกันนะ

“เดี๋ยวคุณมะปรางเขาจะมาตอนห้าโมงเย็นนะ ส่วนอีกคนเขาจะมาหกโมงครึ่ง” แปะบอกหลังจากที่ซดน้ำชาไปหนึ่งแก้ว มีเวลาว่างอีกครึ่งชั่วโมง ไปหาอะไรกินรองท้องก่อนน่าจะดี

“งั้นหนูไปหาของกินก่อนนะแปะ มีอะไรเรียกละกัน อยู่ร้านป้านางนะ” ฉันบอกแปะ ก่อนจะเดินออกจากบ้านเพื่อข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม ตรงนั้นจะมีร้านอาหารตามสั่งอยู่ ซึ่งปกติฉันก็จะได้ฝากท้องกับป้านางเจ้าของร้านอยู่เป็นประจำ

“ซื้อผัดซีอิ๊วมาให้ด้วยแล้วกัน” แปะตอบก่อนจะย้ายตัวเองไปนอนเอกเขนกอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน

“จ้า” ฉันตะโกนตอบแปะไปสั้นๆ

 

ร้านของป้านางเป็นร้านตามสั่งเล็กๆ ที่มีทุกอย่างตามสั่งจริงๆ ฉันเคยลองสั่งแบบกวนแกดูด้วยการสั่งอาหารแปลกๆ ป้าแกก็ยังอุตส่าห์ทำมาให้จนได้

“ป้า เอาเมนูที่กินแล้วสวยจาน” ฉันสั่งป้าก่อนจะเดินไปนั่งโต๊ะที่ใกล้ที่สุด การคิดเมนูอาหารทุกวันบางทีมันก็น่าเบื่อ ถ้ามีคนคิดให้ก็คงจะดี ซึ่งฉันยกหน้าที่นี้ให้ป้าเป็นที่เรียบร้อย

“เออ เอ็งจะสั่งปกติแบบคนอื่นเขาไม่ได้เลยใช่มั้ย” ป้าทำหน้าเหนื่อยหน่ายพร้อมกับบ่นตามสไตล์คนปากร้ายแต่ใจดี ก็สั่งแบบนี้ทุกครั้งแกก็ทำให้อยู่ดี ส่วนฉันก็ได้แต่ยิ้มแฉ่งให้ป้าอย่างประจบสอพลอ “เอาผัดไทยแล้วกัน เดี๋ยวมากินกับส้มตำปูด้วยกัน”

นอกจากจะคิดเมนูให้แล้ว ป้านางยังมีของแถมให้อยู่เรื่อยๆ ถ้าวันไหนป้าแกซื้อของมาอยู่แล้วก็เตรียมกินด้วยได้เลย แล้วของฟรีแบบนี้ ใครจะไปปฏิเสธได้ลงคอ

“งั้นเอาไข่เจียวด้วยได้มั้ย”

“ได้คืบจะเอาศอกนะนังปุ๊ ไป เอาไปแกะใส่จาน” ปากก็บ่น ส่วนมือก็ยื่นถุงส้มตำมาให้ ก่อนที่เจ้าตัวจะไปควงตะหลิวที่หน้าเตาแทน

ฉันชอบมาร้านป้าเวลาประมาณนี้คือไม่เกินห้าโมงเย็น จะเป็นช่วงเวลาที่ร้านป้าไม่ค่อยมีคน และป้าก็มักจะมีของกินมาแบ่งให้อยู่เสมอ ไม่ใช่ว่าฉันชอบของฟรีนะ แต่ที่ร้านป้าเวลานี้เป็นเวลาที่ฉันไม่ต้องมารับรู้เรื่องราวของใครมากนัก ยิ่งเจอคนมากเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งมีเรื่องให้รกสมองมากขึ้นเท่านั้น แต่ก็นะ มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ที่ไหน

ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที ในที่สุดป้านางก็มาพร้อมกับจานผัดไทยและไข่เจียว กลิ่นหอมของไข่มันทำให้ฉันน้ำลายสอ วันนี้ไม่ได้กินข้าวตั้งแต่ตอนเที่ยง เพราะว่ามัวแต่อ่านหนังสือสอบ บอกเลยว่าตอนนี้หิวมาก คิดดูว่าก่อนหน้านี้ฉันนั่งเฝ้าส้มตำปูรอป้าด้วยความรู้สึกแบบไหนกัน

“หื้มมม ป้าขา นี่ส้มตำเจ้าไหน คือดีมากกก” ทันทีที่เส้นมะละกอแตะถึงลิ้น ความกลมกล่อมของรสชาติมันก็ทำให้ฉันแทบไม่อยากจะกลืน ความเผ็ด ความเปรี้ยว และความเค็มมันเข้ากันดีไปหมด

“นี่สั่งเขามาส่ง เจ้านี้ดีสุดแล้วที่ป้าเคยกินมา” ป้าตอบอย่างภูมิใจ ก่อนจะตักเข้าปากตัวเองบ้าง “ดีนะที่เอ็งมากินด้วย กินคนเดียวไม่อร่อยขนาดนี้”

น้ำเสียงของป้าสลดลงเล็กน้อยเมื่อพูดถึงคำว่ากินคนเดียว ก่อนหน้านี้ป้าเคยมีครอบครัวที่พร้อมหน้าพร้อมตา แต่สามีและลูกชายของป้าต้องมาเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุเมื่อสี่ปีก่อน และแน่นอนว่าเรื่องนี้ฉันไม่ได้ตั้งใจรู้หรอกนะ

“โอ๊ยยย ผัดไทยก็อร่อย ป้าบอกมานะ เป็นเชฟกระทะเหล็กปลอมตัวมาใช่มั้ย” เมื่อเห็นว่าหน้าของป้าเริ่มเปลี่ยนสี ฉันจึงรีบเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับตักผัดไทยแบ่งให้ป้าด้วย

“เอ็งก็เว่อร์ตลอด กินๆ ไปเลย” เหมือนว่าความหงุดหงิดจะช่วยให้ป้าหายเศร้าได้ และน้องปุ๊คนนี้ก็ยินดีช่วยป้าเสมอ

หลังจากดื่มด่ำกับความอร่อยไปไม่ถึงสามคำ เสียงสวรรค์ก็ดังขึ้น

“อาปุ๊ คุณมะปรางมาแล้ว” เสียงแปะตะโกนเรียกข้ามฟากถนนมา นี่มันยังไม่ห้าโมงเลย มาก่อนเวลาตั้งเกือบยี่สิบนาที ขัดจังหวะมาก

“ป้า เดี๋ยวหนูมากินต่อนะ” ไหนๆ ก็มากันแล้ว งั้นก็รีบๆ แล้วกัน แค่ตั้งชื่อมันจะไปนานอะไร

“รีบมาล่ะ มาช้าไม่เหลือนะจะบอกให้”

ฉันไม่ตอบอะไรป้า รู้ว่าถ้ามาช้าไม่เหลือจริงๆ แน่ ก็มันอร่อยขนาดนั้น ได้แต่รีบกลับไปที่บ้านเพื่อทำงานให้เสร็จ ก็ไม่รู้ว่าเจ๊ดาราเขาติดใจอะไรฉันนักหนา ถึงกับต้องมาให้ตั้งชื่อลูกให้เนี่ย รู้งี้ไม่ไปทักหรอก เรื่องลูกแฝดน่ะ

 

“รอในห้องแล้ว เข้าไปได้เลย” แปะส่งเสียงบอกทันทีเมื่อฉันมาถึงบ้าน

“เดี๋ยวแปะ ขอกินน้ำชาก่อน” ฉันรีบรินน้ำชาจากกาที่แปะทำทิ้งไว้ ก็เมื่อกี้เพิ่งกินส้มตำมา ฉันก็ยังมีความเกรงใจคุณเขาอยู่บ้าง

แปะไม่ได้ตอบอะไร นอนชมนกชมไม้โบกพัดใบลานต่อไปอย่างสบายใจ บางทีฉันก็แอบคิดนะ เป็นแปะนี่ก็สบายดีเหมือนกัน

หลังจากที่ดื่มน้ำชาล้างปากและทดสอบกลิ่นเรียบร้อยแล้ว ฉันจึงเดินไปที่ห้องทำงาน หรือห้องดูดวงนั่นแหละ แล้วก็พบบุคคลที่แสนจะคุ้นเคย เหมือนว่าคุณเจ๊ดาราเขาจะอวบขึ้นหน่อยๆ แต่ท้องยังไม่โตเท่าไหร่นักทั้งๆ ที่เป็นท้องแฝด ส่วนคุณเจก็ยังหล่อเหมือนเดิม

“สวัสดีค่ะ ฉันให้เวลาคุณไม่เกินห้านาทีนะคะ” ฉันทักทายสองคนนั้นสั้นๆ คุณมะปรางดูมีความสุขเป็นพิเศษ ส่วนคุณเจทำหน้านิ่งๆ ขอเดาว่าโดนบังคับมา

“เอ่อ ฉันต้องไปยืนที่มุมห้องอีกมั้ยคะ” คุณมะปรางถาม ฉันเกือบลืมไปแล้วว่าเคยแกล้งเธอเมื่อครั้งก่อน ที่ให้เธอไปยืนตรงมุมห้องตลอดการสนทนา เธอยังคงเข้าใจว่านั่นคือการทำพิธีอย่างหนึ่ง

“ไม่ต้องค่ะ นั่งตรงนั้นแหละ” ฉันก็ไม่ใช่คนใจร้ายที่จะรังแกคนท้องเสียด้วยสิ

“งั้น ช่วยตั้งชื่อเล่นให้ลูกสาวทั้งสองคนของเราทีค่ะ” คุณมะปรางพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข นี่สินะคนเป็นแม่ “วันนี้เพิ่งไปอัลตราซาวนด์มา เพิ่งเห็นเพศค่ะ”

ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของคุณมะปรางทำให้ฉันอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้จริงๆ แม้แต่คุณเจที่ตอนแรกหน้านิ่งๆ ก็ยังอมยิ้มไปด้วย

ว่าแต่ให้ตั้งชื่อเล่นนี่มันต้องมีหลักการยังไงล่ะ ลูกฉันก็ไม่เคยมี สมัยที่แปะตั้งชื่อให้ฉัน แปะก็ตั้งแบบมั่วๆ ฉันพยายามมองไปรอบๆ ห้องเพื่อหาสิ่งที่จะมาใช้เป็นชื่อ แต่ของที่อยู่ในห้องนี้มีแค่โซฟา โต๊ะ แจกัน ส่วนดอกไม้วันนี้ที่แปะเอามาปักไว้...ดอกดาวเรือง

แต่ละชื่อนี่มัน...

ทำไงดี คิดไม่ออก ส้มตำปูก็จะหมดก่อน

“ชื่ออะไรดีคะ” คนคิดไม่ออกยังมาเร่งอีก และการที่อยู่ในสภาวะกดดันทำให้ฉันเผลอพูดสิ่งที่กำลังคิดอยู่ในหัวออกไป

“ปู...นา”

“ปูนาเหรอคะ น่ารักมากเลย” คุณมะปรางยิ้มรับทันที

เดี๋ยว...ฉันแค่หลุดปาก แต่เธอเชื่อจริงจังไปแล้ว ส่วนคุณเจ เหมือนตอนนี้คิ้วเขาจะกระตุกนิดๆ เอาน่า ปูนาก็น่ารักดี

“ค่ะ ปูนา” ฉันย้ำอีกครั้งให้เธอมั่นใจ ปูนา เพราะจะตาย ใครจะมีชื่อดีไปกว่านี้

“แล้วอีกคนล่ะคะ” ก็เอาที่มันคล้องจองแล้วกันเนอะ

“ปลาวาฬ”

ทันทีที่ฉันพูดจบก็เหมือนบรรยากาศในห้องจะนิ่งเงียบไปชั่วขณะ มีเพียงเสียงหายใจและเสียงแอร์ที่ยังคงมีให้พอได้ยินบ้าง ฉันไม่ลุ้นหรอกนะว่าพวกเขาจะตั้งตามนี้มั้ย ชอบก็เอา ไม่ชอบก็ตั้งเอง

“น่ารักมากเลย พี่เจ มะปรางชอบชื่อนี้มากเลยค่ะ” คุณมะปรางระเบิดเสียงหัวเราะชอบใจออกมาดังลั่น ก่อนจะหันไปยิ้มให้สามีสุดที่รัก ส่วนคุณเจก็เงียบกริบอีกตามเคย

“...”

คุยกันเองแล้วกัน เรื่องนี้ปุ๊จะไม่ยุ่ง...

“จะยังไงก็ตกลงกันเองแล้วกันนะคะ ฉันขอตัว” ฉันรับรู้ได้ถึงรังสีบางอย่างที่แผ่ออกมาจากว่าที่คุณพ่อ จึงได้รีบขอตัวออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว

“ขอบคุณนะคะอาจารย์ปุ๊” เสียงของคุณมะปรางไล่ตามหลังมา หลังปิดประตูฉันก็อดแอบฟังคนสองคนในห้องพูดคุยกันไม่ได้ ก็อยากรู้นี่นาว่

“มะปรางจะเอาชื่อที่อาจารย์ปุ๊ตั้งจริงๆ เหรอ” เสียงคุณเจถามอย่างไม่มั่นใจนัก ทำไมล่ะ ชื่อที่ฉันตั้งไม่ดีตรงไหน

“โอ๋ๆ อย่าทำหน้างอสิคะ ถ้าพี่เจไม่ชอบ งั้นมะปรางขอตั้งชื่อเล่นเองนะคะ” เสียงหวานของคุณเจ๊ดาราดังขึ้นอย่างออดอ้อน ไม่ต้องเดาเลยว่าคุณเจจะเป็นยังไง ป่านนี้คงไหลไปกองที่พื้นแล้วแน่ๆ

“โอเค งั้นเอาที่มะปรางตั้ง” น้ำเสียงคุณเจฟังดูลิงโลด คงเพราะไม่ต้องใช้ชื่อที่ฉันตั้งให้สินะ “แล้วตกลงตั้งชื่อว่าอะไรครับ”

...

เสียงในห้องเงียบไปครู่ใหญ่ โดยที่ยังไม่มีชื่อของเด็กทั้งสองหลุดออกมา อย่าว่าแต่คุณเจที่ลุ้น ฉันก็รอฟังอยู่

“ชื่อปูนากับปลาวาฬ”

“วอทเดอะฟ...”

 

หลังจากที่ได้แอบฟังสิ่งที่อยากรู้เรียบร้อยแล้ว ฉันก็เดินกลับลงมาที่ชั้นหนึ่ง เพิ่งรู้ว่าตัวเองก็มีความอยากรู้อยากเห็นกับเขาบ้างอยู่เหมือนกัน

เมื่อเดินมาถึงหน้าร้าน แปะยังคงนั่งอยู่ที่แคร่ตัวเดิม แต่คราวนี้มีใครบางคนกำลังนั่งคุยกับแปะอยู่อย่างถูกคอ ใครกันที่ทำให้แปะหัวเราะได้นอกจากฉัน...

หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งในชุดแมกซี่เดรสสีแดง สัดส่วนของเธอจัดว่าร้ายกาจ เว้าเป็นเว้า โค้งเป็นโค้ง ผิวสีน้ำผึ้งกับดวงตาโฉบเฉี่ยวของเธอมันช่างเข้ากันได้ดี ไหนจะผมบ๊อบสั้นดัดเป็นลอนตรงปลายสีดำสนิทนั่นอีก ถ้าจะให้นิยามของคำว่าผู้หญิงเซ็กซี่คงต้องยกให้เธอ ตอนนี้เธอกำลังยิ้มและหัวเราะกับแปะราวกับสนิทสนมกันมานาน

อย่าบอกนะว่าเธอเป็นอีกคนที่จะมาดูดวง...แล้วส้มตำของฉันล่ะ

“แปะ ใครอะ” ฉันเดินไปนั่งข้างๆ แปะ ก่อนจะแอบมองผู้หญิงคนดังกล่าวและกระซิบถามแปะเบาๆ

เท่าที่รู้เธอไม่ใช่คนแถวนี้ เธอเป็นคนเก่ง เก่งมาก มีความสามารถหลายด้านเลย ความเซ็กซี่ของเธอเป็นแค่ตัวลวงเท่านั้นแหละ และเธอมาที่นี่เพื่อทำงาน

งานอะไรกันล่ะ!

“อ้อ นี่คุณเจนนี่ ที่เขาจะมาดูดวงไง” แปะพูดอย่างถูกอกถูกใจ หน็อย...เห็นสาวๆ ไม่ได้ ต้องทำระริกระรี้ “เขาผ่านมาพอดีเลยมานั่งรอ ดูให้คุณเขาเลยได้มั้ยล่ะ”

ดูดวง? เรดาร์ฉันพลาดอะไรไป ก็ในเมื่อในหัวฉันบอกว่าเธอมาทำงาน งานของเธอคือรีวิวหมอดูเหรอ...หรือว่าเธอจะเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ แต่ดูจากเสื้อผ้าหน้าผมของเธอก็น่าจะใช่นะ

ฉันลอบมองเธออีกครั้ง สัญชาตญาณบอกว่าเธอไม่ได้อันตราย และเธอดูฉลาด ทำให้ฉันเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น

“สวัสดีค่ะ อาจารย์ปุ๊ ฉันชื่อเจนนี่ค่ะ” คุณเจนนี่ทักทายฉันอย่างเป็นมิตร

“สวัสดีค่ะ”

ระหว่างนั้นเองคุณเจและคุณมะปรางก็เดินลงมาพอดี สงสัยจะตกลงกันเรื่องชื่อลูกได้แล้วมั้ง คุณมะปรางยกมือไหว้แปะก่อนจะโบกมือลาฉันอย่างอารมณ์ดี ส่วนคุณเจก็ได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆ มาให้ โธ่...คุณเจผู้น่าสงสาร เกิดเป็นผู้ชายตามเมียน่ะ...ถูกแล้ว

มีแวบหนึ่งที่คุณเจเหมือนจะจ้องมองไปที่คุณเจนนี่ แต่ก็ไม่นานนัก ก่อนจะวิ่งตามภรรยาตัวเองไป เขาคงไม่ได้สนใจผู้หญิงเช็กซี่หรอก แต่อย่างคุณเจนนี่ ใครผ่านมาก็ต้องสะดุดตาบ้างแหละ

“ห้องว่างแล้ว อาปุ๊ ต่อเลยแล้วกันเนอะ” แปะยังคงคะยั้นคะยอให้ฉันดูดวงต่อ อยากรู้จริงว่าก่อนหน้านี้คุยอะไรกันกับคุณเจนนี่นะ ถึงได้ถูกอกถูกใจขนาดนั้น

“เอ้า ไหนๆ ก็ไหนๆ ตามมาเลยค่ะ” จะให้มารออีกเป็นชั่วโมงก็ใช่เรื่อง ไหนๆ ก็มาแล้ว

“ขอบคุณนะคะอาจารย์ปุ๊” คุณเจนนี่ยิ้มหวานก่อนจะรีบเดินตามฉันมาที่ห้องดูดวง

เมื่อถึงห้องแล้ว คุณเจนนี่ก็นั่งบนโซฟาด้วยท่าทางที่พร้อมฟังเต็มที่ แต่กลับเป็นฉันที่ไม่พร้อม สงสัยตอนกินส้มตำมันเผ็ดเลยกินน้ำเยอะไปหน่อย ทำให้รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา

“คุณรอที่นี่แป๊บนึงนะคะ” ฉันขอตัวจากคุณเจนนี่โดยที่ไม่ได้บอกว่าไปไหน ก็ไม่ใช่หน้าที่ฉันเสียหน่อยที่ต้องคอยบอกใครต่อใครว่าจะไปไหน

ฉันปล่อยให้คุณเจนนี่รอไม่นานนัก เพราะตัวฉันเองก็รีบเหมือนกัน จึงรีบจัดการทำธุระก่อนจะกลับขึ้นห้องมาอีกครั้ง

“คุณอยากรู้อะไรคะ” ฉันเริ่มเปิดประเด็นคำถามทันที รีบคุย รีบจบ แล้วแยกย้าย แต่กระนั้นในใจก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าสรุปเธอทำงานอะไร

คุณเจนนี่จ้องมองฉันเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่างจนฉันรู้สึกได้ จึงจ้องตอบกลับไปจนเธอต้องหลบตา หลังจากนั้นฉันจึงเลื่อนสายตาลงมาเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกอึดอัดไปมากกว่านี้ ก่อนที่สายตาจะไปสะดุดที่โต๊ะรับแขกฝั่งที่ฉันนั่ง

อุปกรณ์สีดำที่ติดอยู่ตรงขาโต๊ะมันดึงดูดสายตาจนฉันต้องแอบยื่นมือไปคลำดู และพบว่าเป็นกล่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่มีปุ่มเปิดปิดได้...วิทยุแปะเหรอ ก็ไม่น่าใช่

“คือ ฉันกำลังตามหาน้องชายที่หายไปค่ะ อาจารย์พอจะรู้บ้างมั้ยคะ”

เสียงของคุณเจนนี่ทำให้สติของฉันกลับมาอยู่ที่ปัจจุบัน ฉันมองหน้าเธออีกครั้งก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปากให้เธออย่างจงใจก่อกวน ส่วนมือก็พยายามแกะเจ้ากล่องสีดำอันจิ๋วนั่นออกมาแล้วกดปุ่มปิดการทำงานของมันซะ

เธอกำลังทดสอบอะไรฉันงั้นสินะ...

“น้องชายของคุณงั้นเหรอคะ...” เธอเป็นลูกสาวคนเล็กของที่บ้าน อย่ามาหลอกฉันให้เสียเวลา

“ค่ะ เขาหายไปเมื่อสามปีก่อน” เธอทำหน้าสลดลงราวกับกำลังคิดถึงใครบางคน

อืม เธอเก่งจริงๆ ด้วย แสดงละครเก่ง...แต่ฉันก็เก่งเหมือนกัน

“คุณลองไปตามหาเขาที่อินเดียสิคะ คุณอาจจะเจอเขาที่นั่น”

คิ้วของคุณเจนนี่กระตุกอย่างห้ามไม่ได้ แววตาของเธอเปลี่ยนไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะกลับมาทำหน้าสลดเหมือนเดิม

“ได้ค่ะ ฉันจะลองไปตามหาดู” เธอตอบพร้อมกับแสร้งทำหน้ามีความหวัง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกรอบ “เอ่อ...แล้วเรื่องเนื้อคู่”

“คุณแน่ใจเหรอคะว่าอยากรู้”

“ค่ะ” คุณเจนนี่ตอบอย่างมั่นใจ คราวนี้เหมือนเธอจะอยากรู้มากกว่าเรื่องน้องชายจอมปลอมของเธอเสียอีก

“ถ้าฉันตอบไป...คนอื่นเขาจะรู้เอานะคะ คนที่แอบฟังอยู่ตอนนี้” หลังจากที่ฉันพูดจบ เธอก็เบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองเอาไว้

“คุณรู้...”

“คุณเป็นลูกสาวคนเล็ก ไม่มีน้องชาย...ส่วนเนื้อคู่ของคุณ คุณไม่อยากให้ฉันพูดตอนนี้หรอกค่ะ” ฉันตอบพร้อมกับเอนหลังพิงโซฟาอย่างมีมาด และจ้องมองเธอราวกับตำรวจกำลังสอบปากคำผู้ร้าย “ตกลงว่าคุณมาที่นี่ทำไมคะ”

“เฮ้อออ...โดนจับได้จนได้” เธอถอนหายใจพร้อมกับหัวเราะออกมา “ก็ฉันอ่านรีวิวมา เขาบอกว่าคุณแม่นมาก ฉันเลยอยากทดสอบดูเล่นๆ น่ะค่ะ”

ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด เธอทดสอบฉัน แต่คงไม่ใช่เล่นๆ แล้วละมั้ง ฉันมองคุณเจนนี่อย่างไม่เชื่อ จนเธอต้องหัวเราะแห้งๆ ออกมาอีกครั้ง

“ไม่เล่นๆ มั้งคะ ถ้าจะดักฟังกันขนาดนี้” พูดจบฉันก็วางเจ้ากล่องสีดำขนาดเล็กที่เชื่อว่ามันเป็นเครื่องดักฟังลง ในขณะเดียวกันคุณเจนนี่ก็ทำสีหน้าตกใจสุดขีด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาคุยกับฉันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“นั่นไม่ใช่ของฉันนะคะ”

ฉันหรี่ตาจ้องเธออย่างจับผิดทันทีที่ได้ยิน ยังจะแถอีก ไม่ใช่ของเธอแล้วมันจะของใครกันเล่า!

End Pu’s talk

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น