5

มาเป็นคนของบอสเถอะ


มาเป็นคนของบอสเถอะ

Jennie’s talk

“ไม่ใช่ของฉันจริงๆ นะคะ” ฉันปฏิเสธอย่างหนักแน่นซ้ำอีกครั้ง เมื่ออาจารย์ปุ๊มองมาที่ฉันอย่างไม่ไว้ใจ มันก็จริงที่ฉันใช้เครื่องดักฟัง แต่ไม่ใช่เครื่องนั้น

ตอนที่เธอบอกว่าฉันมีเครื่องดักฟัง ฉันถึงกับต้องล้วงกระเป๋าเช็กดูว่ามันหล่นลงไปที่พื้นหรือเปล่า แต่เครื่องก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่หายไปไหน พอเธอหยิบเจ้ากล่องสีดำขนาดจิ๋วนั่นขึ้นมาวางบนโต๊ะเท่านั้นแหละ ถึงได้รู้ว่ามีคนอื่นที่กำลังแอบติดตามเธออยู่เหมือนกัน

แต่ที่ปฏิเสธไปแบบอัตโนมัตินั้นน่ะ บอกเลยว่ายอมไม่ได้ ที่ถูกหาว่าใช้เครื่องดักฟังรุ่นโบราณดีไซน์ไร้รสนิยมแบบนั้น นี่เจนนี่นะคะ เจนนี่ผู้มีเบื้องหน้าเป็นถึงเจ้าของห้องเสื้อชื่อดังแห่งกรุงไทเปนามว่า ‘JenX’ และแน่นอนว่าฉันไม่ใช้ของเชยๆ พรรค์นั้นแน่

ว่าแต่เจ้าเครื่องนี้มันของใครกันนะ

“คุณเป็นใครกันแน่ ทำแบบนี้ทำไม” อาจารย์ปุ๊ยังไม่เลิกพยายามที่จะเค้นความจริงจากฉัน แววตาสู้คนของเธอช่างถูกใจฉันเสียจริง

ฉันแปลกใจไม่น้อยที่เธอรู้เรื่องที่ฉันเป็นลูกสาวคนเล็ก แถมยังพูดเรื่องเนื้อคู่ราวกับว่าเธอรู้อะไรงั้นแหละ เธอรู้ได้ยังไงกันนะ

“ถ้าฉันบอกว่าฉันเป็นสายลับปลอมตัวมา คุณจะเชื่อมั้ยคะ” ฉันตอบเธอกลับด้วยน้ำเสียงใจเย็น จะว่าโกหกก็ไม่ใช่ เพราะฉันเป็นได้ทุกอย่างที่บอสสั่ง

“นี่ฉันดังถึงขั้นต้องมีสายลับมาติดตามเลยเหรอเนี่ย” เธอทำหน้าเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเองก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

“ก็ดังพอสมควรนะคะ” ฉันยิ้มตอบกลับอย่างยียวน เท่าที่หาข้อมูลดู เธอคงเป็นบุคคลลึกลับที่ดังพอสมควรเลยละ

“ถ้าไม่บอกละก็...เรื่องเนื้อคู่ ไว้ฉันเจอ ฉันจะบอกเจ้าตัวเขาให้แล้วกันนะคะ” คนตรงหน้าชักสีหน้าเข้มอย่างกะทันหันเสียจนฉันตั้งตัวไม่ติด

ประโยคถัดมาของอาจารย์ปุ๊ทำให้ฉันกดปิดเครื่องดักฟังในกระเป๋าแทบไม่ทัน ไม่ว่าเธอจะรู้จริงหรือไม่รู้ฉันก็ไม่อยากให้ใครมาได้ยินด้วยหรอกนะ โดยเฉพาะไอ้บ้ามาตร

“เอ่อ ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้มั้งคะ”

“แอบรักก็งี้อะค่ะ เหนื่อยหน่อยนะคะ”

“เธอ...” ยายอาจารย์ตัวแสบยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ในขณะที่ใบหน้าของฉันก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ตอนนี้ฉันเชื่อแล้วละว่าเธอรู้จริง แต่ชักจะรู้มากเกินไปแล้วนะ

“งั้นก็เลือกมาค่ะ จะสารภาพกับฉันหรือสารภาพกับ...เพื่อน”

“...!”

ฉันเบิกตากว้างขึ้น มองคนตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึง ไอ้ที่ว่ารู้เรื่องส่วนตัวของฉันก็ตกใจมากแล้ว แต่ที่ตกใจมากกว่าเห็นจะเป็นเรื่องนิสัยของเธอที่เหมือนกับบอสอย่างกับก๊อปวาง

นี่มันบอสในร่างผู้หญิงชัดๆ

“ให้เวลาคิดนะคะ ติ๊กตอกๆ” นอกจากประโยคจะลอกกันมา สีหน้าและสายตาในการก่อกวนฝั่งตรงข้ามก็ยังเหมือนกันอย่างกับแกะ

หลังจากที่ตั้งสติได้สักพัก เห็นทีฉันต้องเปลี่ยนแผน ก่อนที่ร่างอวตารของบอสจะไล่ต้อนฉันไปมากกว่านี้

“โอเคค่ะ ฉันทำงานให้องค์กรธุรกิจ และที่มาที่นี่เพราะอยากรู้เรื่องความสามารถของคุณค่ะ ฉันกับเพื่อนอยากรู้ว่าคุณรู้อนาคตจริงๆ หรือเปล่า” ฉันสารภาพความจริงออกไปครึ่งหนึ่งเพื่อแสดงความจริงใจ

เธอมองฉันอย่างพิจารณาอีกครั้ง แต่อย่างที่บอก ครั้งนี้ฉันไม่ได้โกหกจึงไม่มีอะไรให้เธอจับผิดได้ทั้งนั้น

“ส่วนเครื่องดักฟังอันนั้น ของฉันเองค่ะ” หลังจากที่สายตาของเธอดูเหมือนจะวางใจฉันมากขึ้น คราวนี้ฉันจึงเลือกที่จะโกหกเธอบ้าง “ฉันขอคืนนะคะ”

เพราะสิ่งที่อยากรู้มากกว่าความสามารถของเธอคือใครกันที่แอบดักฟังเธอ อย่างที่บอสบอก ถ้าเธอมองเห็นอนาคตจริงละก็ ใครบ้างล่ะจะไม่อยากครอบครองตัวเธอเอาไว้

“แล้วอย่าคิดจะทำแบบนี้อีกนะคะ” เธอเลื่อนกล่องสีดำที่แสนเชยนั่นมาตรงหน้าฉัน สู้เครื่องดักฟังรูปผีเสื้อปีกดำประดับด้วยคริสตัลขนาดจิ๋วที่ฉันสั่งออกแบบเป็นพิเศษไม่ได้สักนิด บอกตามตรงว่าฉันรู้สึกอายนิดๆ ที่ต้องเอ่ยปากบอกว่าฉันเป็นเจ้าของมัน

“ขอโทษแล้วกันนะคะ” ฉันรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องตลกที่จะมาขอโทษกันง่ายๆ แต่ในสถานการณ์แบบนี้จะให้พูดยังไงกันล่ะ

“ช่วยเก็บเรื่องและหน้าตาของฉันเป็นความลับด้วยแล้วกันนะคะ ถ้ายังอยากให้เรื่องของคุณ...เป็นความลับ”

เข้าใจแล้วว่าทำไมไม่เคยมีใครเปิดเผยหน้าตาของอาจารย์ปุ๊ แต่ใครก็ได้บอกฉันทีว่านี่ไม่ใช่บอสปลอมตัวมา...

 

หลังจากที่ถูกอาจารย์ข่มขู่ด้วยวาจาแบบนั้น สุดท้ายฉันก็ต้องถอนทัพอย่างจำใจ แต่แน่นอนว่าฉันได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้เรียบร้อยแล้ว ฉันจึงเดินทางกลับมาที่บ้านของบอสโดยมีคู่หูอย่างมาตรรอรับอยู่ที่หน้าปากซอย

“เป็นไง สัญญาณมันหายไปช่วงท้ายๆ คุยอะไรกันบ้าง” มาตรถามขึ้นขณะที่เรากำลังเดินขึ้นไปหาบอสที่ห้องทำงาน

“ไว้ค่อยคุยพร้อมบอสแล้วกัน” ฉันตอบมาตรเสียงเข้ม ไม่อยากเสียเวลาคุยมาก บอสกำลังรออยู่

“แล้วตกลงเป็นไง เนื้อคู่” มาตรทำตัวเป็นคนอยากรู้อยากเห็นถามไม่เลิก จนฉันต้องหันไปมองด้วยความรำคาญ

“ไม่รู้สักเรื่องได้มะ” ฉันตอบอย่างหงุดหงิดก่อนจะรีบสาวเท้าไปเปิดประตู แต่ก็ไม่วายได้ยินเสียงบ่นของมาตรตามหลังมา

“แค่นี้ทำหวง ที่หงุดหงิดเพราะอาจารย์บอกไม่มีใช่มั้ย”

ไร้สาระ!

เมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในห้องก็พบกับบอสที่นั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงาน พร้อมกับพีทที่เหมือนกำลังจะส่งเอกสารอะไรสักอย่างให้บอสเซ็น

“บอสคะ ได้เรื่องแล้วค่ะ”

บอสเงยหน้าขึ้นมามองฉันด้วยสีหน้านิ่งๆ ทันใดนั้นภาพของหมอดูตัวแสบก็ซ้อนทับขึ้นมาจนฉันต้องขยี้ตาซ้ำไปมาเพื่อลบภาพของเด็กสาวคนนั้น...สงสัยจะหลอนมากไปหน่อย

“ว่ามาเลย” บอสตอบสั้นๆ ก่อนจะเซ็นเอกสารที่อยู่ในมือต่อ ส่วนพีทก็ยังคงนิ่งอยู่ในท่าเดิม

“คือเท่าที่เจอมากับตัว ฉันคิดว่าเธออาจจะรู้อนาคตจริงๆ ค่ะ” ฉันตอบไปตามที่คิด เรื่องนี้ไม่ว่าจะทฤษฎีควอนตัมหรือกฎของนิวตันก็คงอธิบายอะไรไม่ได้ แต่ฉันรับรู้ได้ว่ามันจริง

“ค่าตัวเธอเท่าไหร่” น้ำเสียงของบอสยังคงราบเรียบ ฉันว่าบอสน่าจะมองออกตั้งแต่ก่อนหน้าที่จะให้ฉันไปสืบแล้วละว่าเธอมีค่ามากแค่ไหน “ไปเจรจากับเธอมา”

“แต่บอสต้องรีบหน่อยนะคะ”

“หืม?”

“นอกจากเราแล้ว ยังมีคนอื่นที่แอบติดตามเธออยู่เหมือนกัน” ว่าแล้วก็หยิบเครื่องดักฟังสีดำที่ได้มาจากอาจารย์ปุ๊ขึ้นมาโชว์ คนที่จะมีเครื่องดักฟังได้ ฉันคิดว่าคงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปมั้ง เขาอาจจะอยากได้ตัวเธอเหมือนพวกเราก็ได้

“พีท ร่างสัญญาจ้างงานให้ผม เท่าไหร่ก็ได้ที่คิดว่าเธอจะตกลง”

ฉันไม่แปลกใจกับคำพูดของบอสเท่าไหร่นัก เพราะตั้งแต่ทำงานให้เขามา ฉันไม่เคยเห็นบอสอยากได้อะไรแล้วไม่ได้ ถ้าบอสลงทุนไปเท่าไหร่ แน่นอนว่าต้องได้กลับมาหลายเท่าตัว

“ครับ” เสียงระบบอัตโนมัติอย่างพีทตอบกลับมา

“เจนนี่ พรุ่งนี้ไปเจรจากับเธอ”

“คะ?” ฉันอีกแล้วเหรอ! มันไม่สนุกหรอกนะที่ต้องไปตอแยกับร่างทรงของบอสน่ะ แต่แน่นอนว่าบอสสั่ง ฉันก็ขัดไม่ได้

“หรือคุณมีปัญหา” บอสถามเสียงต่ำพร้อมกับจ้องมองฉันด้วยสายตาว่างเปล่าเมื่อเห็นว่าฉันทำท่าอึกอัก แล้วฉันจะเลือกใครดีล่ะ จะมีปัญหากับบอสหรืออาจารย์ปุ๊ดี เลือกไม่ถูกเลย

“ไม่มีค่ะ”

“ทำทุกทางจนกว่าเธอจะตกลง”

“ค่ะ”

End Jennie’s talk

 

Pu’s Talk

หลังจากที่ดูดวงให้ลูกค้าทั้งสองรายในวันนั้น จากที่คิดว่าชีวิตจะสงบสุขก็ดูเหมือนว่าจะวุ่นวายมากกว่าเดิม เพราะแม่สาวเซ็กซี่คนนั้นยังคงมาวุ่นวายกับฉันไม่หยุดหย่อน ไม่กลัวที่ขู่ไว้บ้างเลยหรือไง

ก็ตอนนี้เธอเล่นมายืนโปรยยิ้มหวานอยู่ที่หน้าบ้านฉันอีกครั้ง แถมแปะยังเหมือนจะชอบอกชอบใจที่เธอโผล่มาอีกด้วย

ฉันอุตส่าห์เอาจุดอ่อนของเธอมาใช้ เธอมีความลับที่ต้องเก็บให้มิดมาหลายปี ภายใต้ความเป็นสาวมั่นสุดเซ็กซี่อย่างเธอ ความลับที่ว่าก็คือเธอกำลังแอบรักเพื่อนตัวเอง ใครจะไปคิดว่าผู้หญิงแกร่งอย่างเธอมีความลับเป็นพลอตนิยายรักตาหวานแบบนั้น คนทั่วไปไม่ควรจะกลับมาที่นี่อีก...ว่ามั้ย

ก็ได้แต่ขู่ไปแบบนั้นแหละ เอาเข้าจริงฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเพื่อนเธอที่ว่าน่ะคือคนไหน

“ทำไมยังมาที่นี่อีกล่ะคะ” ฉันถามด้วยความสงสัยในความใจกล้าของเธอ ไม่ได้ไม่ชอบหรือโกรธอะไรเธอนะ แค่สงสัยเท่านั้นเอง

“คุณบอกไม่ให้ฉันทำแบบเมื่อวาน แน่นอนค่ะ ฉันจะไม่ทำอีก” เธอตอบ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น “วันนี้ฉันจะมาทำอย่างอื่นค่ะ”

เออ ที่พูดมาก็มีเหตุผล

ถึงจะไม่ชอบการกระทำของเธอเมื่อวาน แต่ก็ไม่รู้ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนจะถูกโฉลกกับเธอเป็นพิเศษ คงเพราะฉันเห็นเธอเซ็กซี่ดีละมั้ง

“ทำ...” ไม่ทันได้ถามจบเธอก็ลากฉันลงไปนั่งที่แคร่ข้างแปะ ก่อนที่เธอจะนั่งขนาบข้างลงมา

“คืออย่างงี้ค่ะ บริษัทเราอยากจะร่วมงานกับคุณ เลยอยากจะถามว่าสนใจมั้ย” คุณเจนนี่พูดอย่างเร็วและรัวราวกับท่องบทมา

บริษัทอะไรของเธอ หรือว่าเป็นพวกดูดวงออนไลน์

“เอ่อ...”

“ในเบื้องต้นตอนนี้ทางเราขอเสนอเงินเดือนเริ่มต้นให้คุณห้าหมื่น พร้อมกับสวัสดิการที่พักและค่ารักษาพยาบาลนะคะ” เธอนำเสนอราวกับว่าข้อเสนอนั้นใหญ่มาก ห้าหมื่น ฉันดูดวงให้ภรรยานายตำรวจก็ได้แล้วมั้ง

“ไม่สนใจค่ะ” ฉันตอบสั้นๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากแคร่และเดินห่างออกมา ผลประโยชน์ไม่น่าสนใจ เสียเวลาทำมาหากิน

“เอ๋ น้อยไปหรือคะ”

ให้ตอบตรงๆ ไหมล่ะ

“ค่ะ”

“อาปุ๊อ่า เสียมารยาทจริงๆ” แปะที่นิ่งเงียบฟังอยู่สักพักแล้วทักขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นฉันปฏิเสธคุณเจนนี่อย่างไม่ไยดี จะให้ฉันตอบอย่างไรได้ล่ะ ก็เงินมันน้อยจริงๆ นี่ ถ้าจะให้เดือนละห้าหมื่น ฉันไปรับจ้างตามหาเมียน้อยกับพวกภรรยานายตำรวจง่ายกว่ามั้ย

“ถ้าอย่างนั้นหนึ่งแสนล่ะคะ” เธอรีบโพล่งข้อเสนอใหม่ออกมาทันทีเมื่อเห็นว่าฉันกำลังจะเดินออกจากร้าน

แสนนึง ค่อยน่าคุยด้วยหน่อย ว่ากันตามตรง เธอเสนอรายได้แบบนั้นมาให้มันก็ถือว่าเยอะมากสำหรับวุฒิการศึกษาของฉัน แต่จะให้ไปทำอะไรก็ไม่บอก ใครจะไปกล้ารับปาก

“คุณจะให้ฉันทำตำแหน่งอะไรเหรอคะ” ฉันถามคุณเจนนี่ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก ก็ต้องมีท่ากันหน่อย

“หมอดูประจำบริษัทค่ะ”

หมอดูประจำบริษัท ฟังดูดีนะ แต่ปกติมันมีตำแหน่งนี้ด้วยเหรอ หรือว่าบริษัทของเธอจะเป็นพวกรับดูฮวงจุ้ย แต่ดูท่าแล้วเธอเหมาะกับพวกงานเว็บไซต์ดูดวงมากกว่า

แต่ฉันจะทำได้เหรอ ขนาดทุกวันนี้งานบางงานก็ยังต้องคืนเงินให้ลูกค้าเพราะตอบคำถามที่พวกเขาอยากรู้ไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นนานๆ ครั้งก็เถอะ แต่ถ้าต้องให้ฉันไปดูดวงให้คนทุกวัน โอกาสที่จะทำไม่ได้ก็เพิ่มขึ้นไปด้วย แถมถ้าให้ทำออนไลน์หรือทางโทรศัพท์ ฉันก็ทำไม่ได้อีกนั่นแหละ

แต่ในเมื่อข้อเสนอมันน่าสนใจ...ก่อนจะปฏิเสธอะไรก็ขอดูสัญญาหน่อยแล้วกัน

“มีสัญญามาให้ดูมั้ยคะ หรือแบบรายละเอียดว่าต้องทำอะไรบ้าง แล้วบริษัทคุณทำเกี่ยวกับอะไรคะ” บางทีถ้าสัญญาโอเค อย่างเช่น ฉันทำงานเฉพาะในเวลา และนอกเวลาฉันสามารถรับจ๊อบพิเศษได้ แบบนี้ก็โอเคหน่อย

บอกตามตรงว่าตอนนี้หัวฉันคำนวณไปเรียบร้อยแล้วว่าทำงานประจำได้เงินเดือนละหนึ่งแสน รับดูดวงแบบประปรายก็อาจจะได้เกือบๆ แสน รวมแล้วเกือบสองแสนต่อเดือน หักค่าใช้จ่ายโน่นนั่นนี่ ขั้นต่ำสุดๆ ฉันต้องเหลือเดือนละแสนห้า แบบนี้สองปีฉันจะมีเงินสามล้านที่พอจะเป็นทุนสร้างธุรกิจตัวเองได้

ก็น่าสนแฮะ...

“มีค่ะ ทั้งสัญญาและรายละเอียดของบริษัท เดี๋ยวฉันจะให้ผู้ช่วยเอามาให้นะคะ” ว่าแล้วเธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาใครสักคน

“ช่วยเอาสัญญาในรถมาให้ที” เธอสั่งงานผู้ช่วยของเธอด้วยประโยคสั้นง่ายได้ใจความ ก่อนจะวางสายอย่างรวดเร็วและหันมาส่งยิ้มให้ฉันกับแปะ

 

ระหว่างที่รอผู้ช่วยของคุณเจนนี่ แปะก็คุยกับคุณเจนนี่ไปเรื่อย ไม่ว่าจะถามว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เป็นคนจังหวัดอะไร แต่เหมือนเธอจะไม่ใช่คนไทย แปะจึงไม่ได้ถามอะไรต่อในเรื่องนี้อีก เปลี่ยนไปถามนู่นเลย เรื่องอาหารการกิน ก่อนจะวกเข้ามายังเรื่องงานของฉัน

“ทำงานกับคุณเขาก็ดีนะอาปุ๊ จะได้สวยๆ แบบเขาไง” แปะพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะชอบใจ เพิ่งรู้เหมือนกันนะแปะ ว่าความสวยมันติดต่อกันได้ทางที่ทำงาน

“ทุกวันนี้ปุ๊ก็สวยของปุ๊อยู่นะแปะ” ฉันตอบพร้อมกับยื่นหน้าไปให้แปะดูชัดๆ ก่อนที่พัดใบลานจะฟาดลงมาที่กลางกบาลของฉันด้วยความหมั่นไส้

“โอ๊ย! แปะ!” ก็แค่หยอกเล่น ทำไมแปะต้องใจร้ายด้วย “คอยดูนะ จะงอน ไม่กินซาลาเปา”

“ไม่กินก็ไม่กิน เดี๋ยวแปะเอาให้คุณเจนนี่เขากิน” ว่าแล้วแปะก็ลุกและเดินตรงไปที่เตานึ่งซาลาเปา เตรียมจะหยิบมาให้คุณเจนนี่ได้ลิ้มลอง

จะผิดมั้ยถ้าฉันไม่คิดจะเตือนคุณเจนนี่เรื่องรสชาติของซาลาเปานั่น ถ้าเป็นคนแถวนี้ละก็รู้ดีเลยละ อาหารอย่างอื่นที่แปะทำยังพอขายได้นะ มีแต่ซาลาเปานี่แหละที่แม้แต่แมลงวันยังไม่กล้าตอม ฉันเคยเอาไปแจกเพื่อนๆ ที่โรงเรียนด้วยความที่เข้าใจว่ามันอร่อย และผลคือ เพื่อนเลิกคบฉันไปหลายคนทีเดียว

ถือซะว่านี่เป็นการลงโทษคุณเจนนี่เรื่องเมื่อวานก็แล้วกัน

“ซาลาเปาของแปะน่าอร่อยจริงๆ ค่ะ” คุณเจนนี่ที่ตอนนี้ยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองยังคงยิ้มหวานให้แปะ

ไม่นานแปะก็เดินกลับมาพร้อมกับซาลาเปาไส้หมูสับสี่ห้าลูกในถุง พร้อมห่อกลับบ้านด้วยเลย ใจหนึ่งตอนนั้นก็คิดนะว่าควรจะห้ามดีมั้ย เกิดเขาเอาไปให้คนที่บริษัทกิน เขาอาจจะไม่รับฉันเข้าทำงานก็ได้

และแล้วคุณเจนนี่ผู้โชคร้ายก็คว้าหมับเอาเจ้าแป้งนึ่งก้อนสีขาวนวลราวกับแก้มเด็กนั้นไว้ในมือ ก่อนที่จะค่อยๆ เคลื่อนมันเข้าไปใกล้ปากมากขึ้นๆ จนคนที่ลุ้นอยู่แบบฉันเริ่มเหงื่อตก แต่ก่อนที่จะเจ้าก้อนสีขาวนั่นจะได้เข้าไปอยู่ในปากคุณเจนนี่ ร่างของใครบางคนก็มายืนอยู่ที่หน้าร้าน

“เจนนี่ มาแล้ว”

ฉันมองตามเสียงที่ฟังดูคุ้นหูนั่น ก่อนจะพบกับชายร่างสูงที่ฉันจดจำได้ไม่มีวันลืมตั้งแต่เขามาส่องหาเครื่องดักฟังใต้โต๊ะกินข้าววันนั้น นั่นมันบอดีการ์ดของตาลุงมาเฟียนี่

“ขอบใจมากมาตร ไปรอที่รถเลยก็ได้”

หลังจากที่ส่งของเสร็จ คุณบอดีการ์ดคนนั้นก็เดินจากไปอย่างเงียบๆ นี่อย่าบอกนะว่าบริษัทที่ว่านั่น...เป็นของคุณมาเฟีย

“อาจารย์ปุ๊คะ นี่เป็นเอกสารของบริ...”

“ฉันขอปฏิเสธค่ะ ฉันจะไม่ทำงานกับคุณ” อาจจะดูเหมือนฉันเป็นคนโลเลและเอาแต่ใจ แต่ถ้าจะให้ฉันไปเป็นลูกน้องของเขา ฉันไม่เอาเด็ดขาด

“อ้าวอาปุ๊ ไหงเป็นงั้นล่ะ” แปะถามขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจที่ฉันทำตัวไม่ดีใส่คุณเจนนี่

“แปะ หนูเปลี่ยนใจแล้ว”

ฉันตอบแปะเสียงแข็ง ถ้าเกิดเขานึกครึ้มให้ฉันดูดวงให้เขาแล้วฉันทำไม่ได้ เขาไม่สั่งลูกน้องลากฉันไปซ้อมเหรอ เจอแวบแรกฉันก็รู้สึกว่าเขาน่ากลัวแล้ว พอมาเจอความเป็นมาเฟียและบอดีการ์ดจอมโหดสองคนนั้นอีก งานนี้น้องปุ๊ขอบายค่ะ

“เอ๊ะ ตอนแรกเหมือนคุณจะสนใจ” คุณเจนนี่ท้วงขึ้นด้วยสีหน้าข้องใจสุดๆ ฉันเข้าใจเธอนะ เป็นใครก็งง แต่ไม่ว่าใครจะรู้สึกยังไงตอนนี้ฉันไม่สน เอาเป็นว่าฉันไม่ทำ

“ตอนนี้ฉันไม่สนใจแล้วค่ะ” ฉันยืนยันคำตอบเดิมอย่างหนักแน่น เงินแสนเดียวไม่คุ้มแล้วตอนนี้

“คุณอ่านข้อเสนอและข้อมูลบริษัทเราก่อนดีมั้ยคะ”

“ไม่ค่ะ เชิญคุณกลับไปได้เลย” ฉันยกมือไขว้กันเป็นเครื่องหมายกากบาทเพื่อยืนยันคำปฏิเสธของตัวเอง

“แต่...”

“รีบกลับไปเลยค่ะ ก่อนที่ฉันจะหงุดหงิดไปมากกว่านี้” คราวนี้ฉันเริ่มขึ้นเสียงเพื่อให้เธอรับรู้ว่าตอนนี้เธอไม่เป็นที่ต้อนรับสำหรับฉัน ฉันไม่ต้องการข้องเกี่ยวอะไรใดๆ กับผู้ทรงอิทธิพลอย่างพวกเขา พวกเขาอาจจะทำธุรกิจมืดก็ได้ มิน่าล่ะ กล้าจ้างฉันในราคาแพงขนาดนั้น

“แต่ว่า...”

“ซาลาเปาถุงนั้น ฉันให้นะคะ ฝากให้บอสคุณกินด้วยแล้วกัน”

“ฉันอยากให้คุณลองคิดดูใหม่นะคะ”

“แปะ ปิดร้านเลยนะ หนูเหนื่อย จะไปนอนแล้ว” พูดจบฉันก็เดินหนีขึ้นห้องนอนไปทันที ปล่อยให้แปะและคุณเจนนี่ยืนงงกับความแปรปรวนที่เพิ่งเกิดขึ้น

 

หลังจากวันนั้น เหมือนว่าคุณเจนนี่จะยังไม่เลิกคิดที่จะชักชวนฉันไปทำงานด้วย เธอมาหาฉันทุกวันเช้าเย็น บางครั้งก็มาคุยเล่นกับแปะเฉยๆ แล้วก็จากไป บางครั้งก็มาตื๊อฉันไม่ยอมหยุด จริงๆ ก็นับถือในความไม่ย่อท้อของเธออยู่เหมือนกัน แต่ไม่ก็คือไม่ แม้ว่าตอนนี้ค่าจ้างของฉันจะขึ้นไปถึงสองแสนแล้วก็ตาม

ส่วนคนที่ใจอ่อนเห็นทีจะไม่ใช่ฉัน...แต่เป็น

“อาปุ๊ อั๊วว่าลื้อไปทำงานกับคุณเขาก็ดีนา ไหนๆ ก็จะปิดเทอมแล้วนี่ ระหว่างรอเข้ามหาวิทยาลัยไง” นี่เป็นรอบที่สี่ของวันแล้วที่แปะคะยั้นคะยอให้ฉันตอบตกลงคุณเจนนี่ไป และก็เป็นรอบที่สี่เช่นกันที่ฉันจะปฏิเสธ

“ไม่เอาแปะ หนูไม่ไป”

“อย่างน้อยลื้อก็จะมีรายได้ที่มั่นคง อั๊วเองก็ไม่รู้จะอยู่กับลื้อได้อีกนานมั้ย” เสียงแปะค่อยๆ แผ่วลง ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่

การดึงดรามาของแปะทำให้ฉันต้องหันกลับไปมอง ก่อนจะพบว่ามันก็จริงอย่างที่แปะว่า ตอนนี้แปะก็อายุเพิ่มขึ้นมาก ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยของอายุ ร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนสมัยที่ฉันเด็กๆ สังเกตจากอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ที่เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันคงใกล้ถึงเวลาที่ฉันจะต้องเป็นฝ่ายดูแลแปะบ้างแล้ว

หรือว่าการทำงานนั้นมันจะเป็นสิ่งที่สมควรจริงๆ...

End Pu’s talk

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น