0

บทนำ


บทนำ

เสียงเปียโนและไวโอลินที่กำลังบรรเลงเคล้าคลอกันนั้นช่างเข้ากันดีกับบรรยากาศงานแต่งงานสุดโรแมนติกริมชายหาด แสงอาทิตย์ยามตะวันคล้อยสะท้อนกับน้ำทะเลเห็นเป็นแสงสีเรืองรองช่วยขับส่งให้คู่บ่าวสาวที่กำลังเดินอยู่ริมชายหาดดูมีราศีมากยิ่งขึ้น ผู้คนในงานล้วนปลื้มปีติยินดีกับงานมงคลสมรสครั้งนี้ แต่ที่โต๊ะวีไอพีของงานวันนี้กลับมีบรรยากาศตรงข้าม

หญิงสูงวัยในชุดกระโปรงยาวพลิ้วสีฟ้ากับเด็กสาววัยรุ่นผมสีน้ำตาลในชุดกระโปรงสั้นสีน้ำเงินเข้มกำลังนั่งคุยกันด้วยสีหน้าจริงจัง ราวกับว่าไม่อยากให้คนภายนอกได้รับรู้

“เป็นแบบนั้นแน่นะ” หญิงสูงวัยทวนกับเด็กสาวอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าก่อนหน้านี้เธอได้ยินไม่ผิดจริงๆ

“แน่นอนค่ะคุณภา” เด็กสาวพยักหน้ารับ สายตาของเธอดูมีความมั่นใจมากเสียจนอีกฝ่ายคล้อยตาม

คนที่ถูกเรียกว่า ‘คุณภา’ นั้นนิ่งค้างไปสักพักก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา จนในที่สุดริมฝีปากที่ถูกเคลือบด้วยลิปสติกสีแดงนั่นก็ฉีกยิ้มกว้างกว่าครั้งไหนที่เคยเป็นมา

“นี่ฉันจะได้หลานสาวสามคนพร้อมกัน แถมยังเป็นแฝดอีกหนึ่งคู่ ไม่อยากจะเชื่อ ใครจะไปคิดว่าจะมีวันนี้”

หญิงสูงวัยกล่าวด้วยความดีใจ ก็ใช่น่ะสิ ก่อนหน้านี้เธอไม่คิดด้วยซ้ำว่าลูกสาวและลูกชายของเธอจะคิดมีครอบครัวเป็นหลักเป็นฐาน คนหนึ่งก็โลกส่วนตัวสูง อีกคนก็บ้างาน การที่มีงานแต่งงานวันนี้เกิดขึ้นได้ก็แทบจะเกินฝันของเธอแล้ว แถมแม่หมอดูคนเก่งของเธอยังมาฟันธงให้อีกว่าหลานของเธอจะมาไม่เกินปลายปีหน้า แล้วแบบนี้ใครจะไปหุบยิ้มได้ลง

“ยินดีด้วยค่ะ” เด็กสาวคนเดิมตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมเลยแม้แต่น้อย

“เอ...ว่าแต่ จะมีแต่หลานสาวเหรอ” ว่าที่คุณย่ายังไม่พอใจอีก สามคนก็ไม่ใช่น้อย “หลานชายล่ะ จะมีบ้างมั้ย”

“เท่าที่รู้ ลูกสาวคุณจะมีลูกคนเดียวค่ะ ส่วนลูกชายคุณ...ก็ลุ้นเอาแล้วกันนะคะ” เด็กสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นหมอดูยังคงตอบอย่างหนักแน่น ไม่ลังเลสักนิด เธอตอบในสิ่งที่รู้เท่านั้น ถ้าไม่รู้เธอก็บอกว่าไม่รู้ ถ้าเธอบอกว่าลุ้น แสดงว่าก็มีลุ้นจริงๆ และคำตอบนั้นก็ทำให้คุณภาแทบจะตัวลอย

“แหม ยังไงก็ขอบใจมากนะจ๊ะ ที่มางานในวันนี้” หลังจากได้ทราบสิ่งที่พอใจ คุณภาก็เปลี่ยนเรื่องอย่างง่ายดาย จนผู้ฟังแอบกลอกตามองบน

“ถ้าเป็นงานของคุณภา ไม่ว่ายังไงปุ๊ก็ต้องมาให้ได้ค่ะ” เธอตอบกลับพร้อมกับส่งสายตาที่บ่งบอกว่าจริงใจไปให้

คุณภามีพระคุณต่อเธอค่อนข้างมาก ให้ช่วยอะไรคุณภาได้เธอก็ยินดี

“เดี๋ยวจะโอนค่าดูดวงของหลานให้นะจ๊ะ” คุณภาตอบ เธอไม่ได้ต้องการดูถูกดูแคลนเด็กสาวด้วยการเอาเงินฟาดหัว แต่อยากช่วยเหลือ เพราะรู้ว่าทั้งที่เด็กคนนี้มีความสามารถมากพอที่จะรวยได้จากการดูดวง ก็เท่าที่ผ่านมา เด็กสาวพูดอะไรมันก็เป็นตามนั้นเสมอ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ทำ แถมยังไม่ชอบรับเงินจากใครฟรีๆ ด้วย

“ไม่เป็นไรค่ะ ถือว่าเป็นของขวัญวันแต่งงานนะคะ” เด็กสาวรีบส่ายหน้าปฏิเสธ ครั้งนี้เธอไม่ได้ถือว่ามาทำงาน เธอแค่อยากแสดงความยินดีในแบบของตนเท่านั้นเอง

หญิงสูงวัยยิ้มให้คนตรงหน้าอีกครั้งด้วยความเอ็นดู เด็กสาวที่เต็มไปด้วยความลึกลับคนนี้ ใครจะไปนึกว่าโตมาจะเก่งและน่ารักขนาดนี้ เธอยังจำครั้งแรกที่เจอกันได้ นั่นคือตอนที่เด็กคนนี้อายุห้าขวบ วันที่ลุงแก่ๆ คนหนึ่งพาแม่เด็กตากลมคนนี้มาขอความช่วยเหลือจากเธอ ซึ่งไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากเธอและสามี

“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอบใจหนูมากๆ เลยนะ”

แต่ก่อนที่ทั้งสองจะได้พูดคุยอะไรกันต่อมากกว่านี้ก็ถูกขัดจังหวะเมื่อมีผู้มาใหม่เป็นชายร่างสูงสองคน คนหนึ่งคือเจ้าบ่าวของงานในวันนี้ ส่วนอีกคนเป็นคนแปลกหน้าที่เด็กสาวไม่เคยรู้จักมาก่อน

“คุยอะไรกันครับแม่ หน้าตาจริงจัง” เสียงผู้มาใหม่ที่ดูก็รู้ว่าเป็นเจ้าบ่าวในงานนี้ทักขึ้น ดึงความสนใจของสองคนก่อนหน้าให้หันไปมอง

“มาไม่ให้สุ้มให้เสียง แม่ก็ตกใจหมดน่ะสิ” คุณภาหันไปค้อนให้ลูกชายตัวดี

“ก็แล้วคุยอะไรกันล่ะครับ ดูมีความลับ” คนเป็นเจ้าบ่าวทำหน้าทะเล้นแสดงความอยากรู้อยากเห็น

“ความลับ” คนมีอายุส่งยิ้มตอบกลับไปอย่างมีชั้นเชิง ก่อนจะหันไปทักทายชายหนุ่มอีกคนที่เดินตามกันมา “ว่าไงจ๊ะบ๊อบบี้ ไม่เจอนานเลย สบายดีมั้ยจ๊ะ”

“สวัสดีครับคุณแม่” บ๊อบบี้ยกมือไหว้อย่างมีมารยาทก่อนจะนั่งลงข้างๆ ด้วยท่าทีสนิทสนม “นี่มองไกลๆ ก็นึกว่าเพื่อนเจ้าสาวนะครับ”

“ตายแล้ว ปากหวานจริงลูก พูดแบบนี้บอกแม่มาเลยนะว่าเมื่อไหร่จะถึงงานเราน่ะ” คุณภายิ้มรับอย่างอารมณ์ดี

ในขณะที่ทั้งสามคนสนทนากันอย่างชื่นมื่น เด็กสาวตัวเล็กกลับจ้องมองไปที่ชายหนุ่มที่มีชื่อเสียงเรียงนามว่า ‘บ๊อบบี้’ นั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย แปลก...แปลกมากๆ เธอไม่เคยเจอใครแบบนี้มาก่อน

ไม่ว่าจะเป็นใคร เพศไหน อายุเท่าไหร่ เมื่อเธอได้เห็นหน้าแล้วละก็ จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างของคนคนนั้นเด้งเข้ามาในหัวของเธอ ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต มันต้องมีสักเรื่องที่เธอพอจะรู้เกี่ยวกับคนคนนั้น ใช่แล้ว...เธอมีญาณหยั่งรู้ แต่ผู้ชายคนนี้...เธอกลับไม่รู้เรื่องของเขาเลยสักอย่าง

เด็กสาวสงสัยถึงขั้นว่า ความสามารถของเธอจบลงเพียงเท่านี้แล้วงั้นหรือ แต่ก็ไม่นี่ ก็ในเมื่อเรื่องที่ว่าลูกชายสุดที่รักของคุณภากำลังจะแพ้ท้องแทนเมียในไม่ช้านี้เพิ่งลอยเข้าหัวเธอมาเมื่อครู่นี่เอง แล้วตาลุงบ๊อบบี้คนนี้มันยังไงกันล่ะ

เพราะความสงสัยอย่างไม่เคยมีมาก่อนทำให้เธอเผลอจ้องเขานาน จนในที่สุดเขาก็รู้ตัวเข้าให้ ชายหนุ่มส่งสายตามาหาเธอราวกับจะถามว่ามีปัญหาอะไรกับเขาหรือเปล่า เล่นเอาเธอหลบตาแทบไม่ทัน

หลังจากที่โดนจับได้ว่าแอบมอง เธอก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย แถมยังมานึกขึ้นได้ว่าเธอจะอยากรู้เรื่องของเขาไปทำไมกัน ปกติเธอก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องชาวบ้านอยู่แล้ว สุดท้ายเด็กสาวจึงเลือกที่จะหลีกหนีความอับอายขายหน้านี้โดยการขอตัวจากวงสนทนาดังกล่าว และหลบออกมาอย่างเงียบๆ

ทางด้านชายหนุ่มผู้ถูกจ้องมองเมื่อสักครู่ เขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับการที่มีผู้หญิงสักคนมาจ้องมองมากนัก มันเป็นเรื่องปกติที่ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็ต้องมีคนมองเป็นธรรมดา ไม่ได้หลงตัวเองนะ แต่ก็พอจะรู้ตัวว่ามีสาวๆ มาตามติดบ่อยแค่ไหน ทว่าครั้งนี้ออกจะเด็กไปสักหน่อย ควรจะบอกให้เธอไปตั้งใจเรียนเสียมากกว่า...

 

หลังจากจบงานเลี้ยง แขกเหรื่อต่างก็พากันแยกย้ายกลับไป จะมีก็แต่แขกคนพิเศษของเจ้าของงานที่ได้รับเชิญให้อยู่พักผ่อนในรีสอร์ตก่อน และปุ๊ก็เป็นหนึ่งในนั้น ก็ตอนนี้เธอเป็นคนโปรดของทั้งคุณภาและเจ้าสาวเสียแล้วสิ และเธอก็ไม่คิดจะขัดอะไรในเมื่อพรุ่งนี้เป็นวันหยุด นานๆ ทีจะได้มาเที่ยวที่หรูๆ แบบนี้ ใครจะไปปฏิเสธได้ลงคอ

ภาพท้องทะเลยามเย็นและแสงอาทิตย์สีส้มที่กำลังจะลับขอบฟ้านั้นทำให้เธอจ้องมองอย่างเพลินตา และจะเพลินใจเป็นที่สุดถ้าไม่มีใครบางคนมาเดินตัดฉากนั้นเสีย

ผู้ชายคนนั้นดันมายืนตรงขอบระเบียง บังดวงอาทิตย์ที่กำลังจะหล่นลงไปในน้ำพอดีเป๊ะ เด็กสาวกระตุกคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจ ก่อนจะเพ่งพิศไปที่ร่างสูงนั้น เขาเป็นผู้ชายที่เรียกได้ว่าหล่อเลยทีเดียว หน้าตาออกจะมีเค้าลูกครึ่งอยู่สักหน่อย ตาคม จมูกโด่งเป็นสัน กับริมฝีปากที่ดูเซ็กซี่ เธอไม่ได้บ้าผู้ชายและไม่ได้หลงใหลความหล่อนั้น ใครมองก็ต้องพูดแบบนี้ เธอแค่บรรยายตามที่เห็น สำหรับเธอเขาถือว่าเป็นผู้ชายลึกลับที่น่ากลัวอยู่ไม่น้อย

เพราะมัวแต่เผลอวิจารณ์เขาอยู่ในใจ เมื่อเขาหันกลับมาโดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัวก็ทำให้เด็กสาวหลบตาไม่ทัน นี่เธอกำลังจะโดนข้อหาแอบมองเขาอีกแล้วสิ

ชายหนุ่มเอียงคออย่างสงสัย ก่อนจะเดินมาที่โต๊ะตรงเธอหน้า ผู้หญิงคนนี้สะดุดตาเขาตั้งแต่ที่เจอเมื่อวานตอนอยู่กับคุณภาแล้ว ใบหน้าเรียวเล็ก ดวงตากลมโตคู่นั้นสะกดเขาไว้ตั้งแต่แรกเห็น...แต่ดูจากหน้าตาแล้ว เขาไม่แน่ใจนักว่าเธอบรรลุนิติภาวะหรือยัง

คิ้วเข้มของเขาขมวดแน่นเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง ก่อนที่จะเอ่ยออกมาว่า

“ผมว่าคุณยังเด็กไปนะครับ และผมคงไม่สามารถสนองความต้องการของคุณได้”

“...”

เดี๋ยวนะ นี่เขาคิดว่าเธอจะทำอะไรกับเขางั้นเหรอ แล้วอะไรคือการที่มาพูดแบบนี้แล้วเดินจากไป คำพูดของเขาทำให้เธออ้าปากค้างด้วยความคาดไม่ถึง อย่าให้ได้เจอกันอีกนะ คราวหน้าเธอจะเรียกลุงอย่างไม่ไว้หน้าเลยจริงๆ

 

หกเดือนผ่านไป

ห่างออกไปอีกเกือบสองพันห้าร้อยกิโลเมตร ณ คฤหาสน์หรูใจกลางกรุงไทเป หญิงชราที่ใบหน้าหยุดอยู่ที่วัยกลางคนกับหนุ่มหล่อร่างสูงกำลังพูดคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“โพรเจกต์ล่าสุดของลูกเรียบร้อยดีแล้วใช่มั้ย”

“ครับ”

“งั้นที่สัญญาไว้กับแม่...” สีหน้าของหญิงชราเต็มไปด้วยความคาดหวัง จนผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบุตรชายอดหวั่นใจไม่ได้ สัญญาที่เขายังไม่มีเวลาได้ทำให้แม่เสียที

“เรียบร้อยแล้วครับ” ชายหนุ่มรับคำไปตามตรง นี่คงถึงเวลาแล้วสินะ ที่เขาต้องชะลอการขยายธุรกิจและหันกลับมารักษาสัญญากับแม่อย่างจริงจัง

“ถ้างั้นลูกก็มีเวลาตามหาของนั่นให้แม่ได้แล้วใช่มั้ย” ได้ยินคำตอบของลูกชายสุดที่รักว่ามาแบบนั้น เธอก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ในที่สุดลูกชายจอมบ้างานของเธอก็จะมีเวลาเหลือให้เธอบ้าง

‘ของ’ ที่ว่านั้นเป็นของสำคัญที่เธอตามหามาเกือบยี่สิบปี ตั้งหน้าตั้งตาหาตั้งแต่สมัยยังสาวจนตอนนี้ผมหงอกขึ้นเต็มหัวกระทั่งต้องพึ่งพายาย้อมผมทุกๆ สามเดือนก็ยังหาไม่พบ ลำพังหญิงแก่อย่างเธอก็ออกจะยากสักหน่อย จะมีก็แต่ลูกชายของเธอซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเอเชียตอนนี้ที่เห็นจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายซึ่งน่าจะช่วยเธอตามหาได้

สำหรับเขา แม้แต่ถมทะเลเพื่อสร้างตึกก็ทำมาแล้ว แค่จะให้พลิกแผ่นดินหาอะไรบางอย่างก็คงไม่ยากเกินมือ ติดก็แต่ก่อนหน้านี้เขาไม่มีเวลาว่างเลยน่ะสิ ได้แต่สัญญากับแม่ไว้ด้วยลมปากว่าจะหาให้เท่านั้น

“ครับ”

คำตอบรับสั้นๆ ของเขาทำให้หญิงสูงวัยยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ ในทางตรงข้าม จิตใจของชายหนุ่มตอนนี้กลับหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด แม่ของเขาให้ตามหาสร้อยเพชรประจำตระกูลที่หายไป

แต่มันไม่ได้หายไปแบบธรรมดานี่สิ สร้อยเพชรที่หายไปอย่างลึกลับพร้อมกับการเกิดคดีชื่อดังเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ครอบครัวสมาชิกวุฒิสภาที่ถูกฆาตกรรม เขาไม่รู้ว่าทำไมสร้อยเพชรของแม่ถึงได้ไปอยู่กับภรรยาของนักการเมืองคนนั้นได้ แต่หลังจากเกิดคดีนั้นขึ้น สร้อยเพชรก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เรื่องราวเหล่านั้นเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาต้องออกเดินทางตามหาสมบัติ และเบาะแสเดียวที่แม่ของเขามีให้คือ ‘ประเทศไทย’

 

‘WELCOME TO THAILAND’

บ๊อบบี้เหลือบมองตัวหนังสือขนาดใหญ่ที่โชว์หราอยู่บนป้ายเหนือศีรษะของเขาตอนนี้ ก่อนจะละสายตามองสำรวจไปรอบๆ สนามบินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ผู้คนมากมายที่เพิ่งลงจากเครื่องบินเมื่อครู่ต่างเดินด้วยความเร่งรีบเพื่อไปเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง ดีที่เขาสามารถเข้าออกช่องทางพิเศษได้ ไม่อย่างนั้นคงอยู่ในนี้อีกยาว

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเดินทางมาที่นี่ เขาเคยอยู่ที่นี่หลายปีเสียด้วยซ้ำ จนพูดภาษาไทยได้คล่องราวกับเป็นคนท้องที่ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับทุกครั้งที่มา เพราะว่ารอบนี้ชายหนุ่มได้แบกรับเอาความหวังของคนเป็นแม่ไว้บนบ่ามาด้วย

สร้อยเพชรประจำตระกูลที่หายไป ว่ากันตามตรงชายหนุ่มไม่เคยเห็นมันมาก่อนด้วยซ้ำ ใครๆ ต่างก็บอกว่าเขาเก่งนักหนาในเรื่องธุรกิจ จนได้ฉายาว่าเป็น ‘เสือใหญ่แห่งเอเชีย’ แต่เขาไม่ใช่นักล่าสมบัตินะ แม้แต่นักล่าสมบัติก็ยังต้องมีลายแทง ส่วนสิ่งที่บ๊อบบี้มีตอนนี้คือลายแทงขนาดห้าแสนตารางกิโลเมตรที่ชื่อว่า ‘ประเทศไทย’ ต้องขอขอบคุณคุณนายเอ็มม่า คลากส์ มากจริงๆ ที่ไว้วางใจใช้บริการเขา

ถึงแม้งานนี้จะยากจนเขาบรรยายแทบไม่ถูก แต่สำหรับ บ๊อบบี้ คลากส์ รับปากแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จ อยากได้อะไรก็ต้องเอามาให้ได้ เขาจะถือซะว่านี่เป็นงานท้าทายชีวิตก็แล้วกัน

“บอสมีนัดกับคุณเจบ่ายสองครับ จะกลับบ้านก่อน หรือจะไปที่ร้านเลยครับ” เสียงราบเรียบไร้อารมณ์ของชายหนุ่มร่างสูงอีกคนที่กำลังเดินนำหน้าบ๊อบบี้ดังขึ้นหลังจากที่เพิ่งผ่านด่านตรวจกันมา

‘พีท’ หรือ ‘ปีเตอร์ คิม’ เจ้าของใบหน้านิ่งสุดแสนจะเย็นชา บอดีการ์ดมือหนึ่งแถมพ่วงด้วยตำแหน่งเลขาฯ สายลับ และยังเป็นลูกพี่ลูกน้องของบ๊อบบี้อีกด้วย ความสามารถของเขามีมากพอๆ กับตำแหน่งที่ได้รับ ถ้าบ๊อบบี้เป็นเสือ...พีทก็คงเป็นกรงเล็บของเสือนั่นเอง

วันนี้บ๊อบบี้มีนัดกับน้องชายคนสนิทหรือเจ เจ้าน้องชายที่ออกจากแก๊งชายโสดของเขาไปเมื่อหกเดือนที่แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องอะไร เรื่องตามหาของนี่แหละ ถ้าเป็นเรื่องในเมืองไทยบ๊อบบี้ต้องยกให้น้องชายเป็นคนจัดการ เขาสนิทกับน้องชายต่างสายเลือดคนนี้มานานนับสิบปีแล้ว บ๊อบบี้ชอบคนเก่งและฉลาด และเจก็เป็นคนแบบนั้น เวลาที่เขามองเจแล้วก็เหมือนเห็นตัวเอง

ถ้าไม่ติดว่าช่วงนี้น้องชายของเขาติดเมียเห่อลูก เขาคงต้องลากเจออกมาพูดคุยกันทั้งคืน

“ใกล้ได้เวลาแล้วนี่ ไปร้านเลยแล้วกัน” ชายหนุ่มหันไปบอกกับเลขาฯ คนสนิทซึ่งยังคงยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่ง บางทีบ๊อบบี้ก็สงสัยเหมือนกันว่าพีทอาจจะเป็นหุ่นยนต์

“ครับ รถมารอแล้ว” คำตอบรับสั้นๆ อย่างไร้อารมณ์ดังกลับมา

บ๊อบบี้เดินตามพีทไปที่รถ โดยมี ‘มาตร’ บอดีการ์ดของเขาอีกคนเดินตามมาด้านหลัง การเดินทางของเขาครั้งนี้ไม่ต้องมีกระเป๋ามากนัก เนื่องจากเขามีบ้านที่นี่ และพีทได้จัดการเรื่องเล็กน้อยให้ทุกอย่างแล้ว

“มีจดหมายเชิญประชุมผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของเอกเวชกรุ๊ป ต้นเดือนหน้าครับ ตารางของบอสว่างพอดี บอสจะเข้าร่วมมั้ยครับ หรือจะให้ผมไปแทน” พีทถามขึ้นอีกครั้งหลังจากที่คนทั้งหมดขึ้นรถมาเรียบร้อยแล้ว

“นานๆ ทีก็ดี” บ๊อบบี้ตอบสั้นๆ พร้อมกับเหม่อมองออกไปนอกรถ ส่วนพีทก็ทำหน้าที่จดบันทึกลงไปในสมาร์ตโฟนของเขา

เอกเวชกรุ๊ป หรือบริษัทเอกเวชจำกัด เป็นผู้ประกอบการธุรกิจโรงพยาบาลรายใหญ่ของประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เขาถือหุ้นอยู่ โรงพยาบาลเป็นธุรกิจที่บ๊อบบี้เลือกลงทุนในประเทศไทย เขามองว่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยถือว่าบุคลากร

ทางการแพทย์มีศักยภาพค่อนข้างมาก มากพอที่จะเป็นเมดิคอลฮับได้ แถมยังพ่วงด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เหมาะมากที่จะจัดพวกทัวร์สุขภาพหรือผ่าตัดความงาม ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าทางตะวันออกกลางที่มีกำลังจ่ายมาก และผลตอบแทนก็เป็นตามคาดเสียด้วย

“อ้อ คุณธำรงค์และครอบครัวติดต่อขอตารางนัดทานอาหารเย็นมาครับ” พีทยังคงทำหน้าที่จัดตารางชีวิตของเจ้านายต่อไป และแน่นอน เขาทำมันไม่เคยขาดตกบกพร่อง ส่วนคุณธำรงค์ที่พูดถึงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อีกคนของเอกเวชกรุ๊ป ว่ากันตามตรงก็เป็นนอมินีของเจ้านายเขานั่นเอง

“เสาร์ถัดไปตารางว่างมั้ย”

“ว่างครับ”

“งั้นเอาวันนั้น”

“ได้ครับ”

การมีพีททำให้ชีวิตนักธุรกิจของเขาดีขึ้นไปอีกห้าเท่า พีทจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อยไม่มีที่ติ ถ้าจะถามว่าพีทเป็นคนแบบไหน คงต้องตอบว่า เป็นพวกเพอร์เฟกชันนิสต์ แม้แต่คนเป็นเจ้านายอย่างบ๊อบบี้ก็ไม่สามารถพลาดต่อหน้าเขาได้

“บอสครับ คืนนี้นัดทานข้าวกับคุณลลดาตอนทุ่มนึง รักษาเวลาด้วยนะครับ”

นั่นไง ไม่ทันขาดคำ

“เตือนแล้วกัน” นายใหญ่ถึงกับต้องรับคำอย่างจนใจ

ลลดาเป็นลูกสาวคนเดียวของคุณธำรงค์ บ๊อบบี้เองจำไม่ได้ว่าไปรับนัดเธอไว้ตอนไหน ถ้าพีทบอกว่านัดก็ตามนั้น แต่ถ้าให้เขาเลือก เขาก็ต้องเลือกการนั่งจิบไวน์คุยกับน้องรักอย่างเจอยู่แล้ว ติดตรงที่น้องรักของเขาต้องรีบกลับบ้านไปเอาอกเอาใจภรรยาแสนสวยนี่สิ

เนื่องจากธุรกิจของ บ๊อบบี้ คลากส์ นั้นมีหลายสาขาทั้งสีขาวและสีเทา ทำให้สำหรับเขาแล้วเลขาฯ คนเดียวไม่เพียงพอ ชายหนุ่มจึงต้องมีเลขาฯ ที่ต้องพาไปด้วยทุกแห่งหนถึงสามคน และแน่นอน ทุกคนต้องพ่วงตำแหน่งบอดีการ์ดของเขาเข้าไปด้วย พอทำธุรกิจมาถึงจุดหนึ่งจะรู้ว่าแค่เงินน่ะไม่พอ มันต้องมีอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย สิ่งที่ตามมาด้วยคือความขัดแย้งและศัตรู การเป็นนักธุรกิจอย่างเดียวบางทีก็อยู่ยาก...และนั่นทำให้เขาต้องประพฤติตัวเป็นมาเฟียด้วย

“ที่มาเก๊าเป็นยังไงบ้าง” หลังจากคุยกับพีทเสร็จ ก็ถึงตาของมาตรที่ต้องรายงานบ้าง

“ตอนนี้สถานการณ์ยังโอเคครับ แต่ก็ยังมีคนมาก่อกวนบ้าง” มาตรตอบพร้อมกับขับรถไปด้วย

ช่วงนี้กาสิโนที่นั่นชอบมีเรื่องอยู่บ่อยๆ และมาเฟียอย่างเขาก็คิดว่ามันไม่ได้เกิดจากนักท่องเที่ยวทั่วไปแน่ๆ

“ส่งคนลงไปสังเกตการณ์ไว้ เรื่องนี้ต้องมีคนอยู่เบื้องหลัง”

“เจนนี่จัดการแล้วครับ” มาตรตอบมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เจนนี่อยู่มาเก๊า?”

“กลับมาแล้วครับ รออยู่ที่บ้านครับ”

เจนนี่เป็นเลขาฯ คนสุดท้ายของบ๊อบบี้ เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในทีม ภายนอกเธออาจจะดูเป็นผู้หญิงเปรี้ยว แต่ถ้าไม่บอกก็คงไม่มีใครรู้ว่าในบรรดาบอดีการ์ดของเขา...เธอเลือดเย็นที่สุดแล้ว

 

ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมง บ๊อบบี้ก็มาถึงร้านอาหารที่นัดกับเจไว้ ร้านนี้เป็นร้านอาหารจีนที่ค่อนข้างสงบพอที่จะคุยเรื่องที่อยากให้เป็นความลับได้ มาเฟียหนุ่มส่งบอดีการ์ดมือฉมังอย่างมาตรเข้าไปตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยภายในร้านอาหาร รวมทั้งเรื่องของกล้องและเครื่องดักฟัง เขาไม่ได้วิตกจริต แต่นี่คือมาตรฐานของเขา เมื่อมาตรส่งสัญญาณมาว่าปลอดภัย พีทจึงเป็นผู้นำทางเจ้านายเข้าไปเพื่อสั่งอาหาร

และไม่ถึงยี่สิบนาที บุคคลที่บ๊อบบี้รอคอยก็เดินเข้ามาในร้าน

 

“ไง มาก่อนเวลาเลยนะ” บ๊อบบี้ยิ้มกว้างทักทายผู้มาใหม่ที่มาก่อนเวลานัดเกือบสิบนาที

“พี่มาก่อนผมอีก” เจตอบพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

ใบหน้ายิ้มแย้มของน้องรักทำให้มาเฟียหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่า นี่คือสีหน้าของคนที่เป็นว่าที่คุณพ่อ ช่วงนี้ดูสดใสเหลือเกิน ผิดกับช่วงก่อนแต่งงานลิบลับ

เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ชายหนุ่มรีบชวนให้น้องรักของเขานั่งลงทันทีที่อีกฝ่ายเดินมาถึงโต๊ะ เวลาของเขามีไม่มาก คิดว่าเรื่องที่จะปรึกษาเขาอาจจะต้องคุยกันอีกยาว ไหนจะต้องทำเวลาเนื่องจากมีนัดช่วงเย็นอีก บ๊อบบี้ไม่ต้องการได้ยินคำสอนเรื่องการตรงเวลาหรืออะไรก็แล้วแต่จากพีททั้งนั้น

“นั่งๆ มีเรื่องจะบอก”

“ครับ” เจตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามสไตล์เขานั่นแหละ

“ผมคงต้องกลับมาอยู่เมืองไทยสักพัก เราคงได้เจอกันบ่อยขึ้น”

“ลงทุนใหม่ที่นี่?” คนอายุน้อยกว่าถามด้วยน้ำเสียงกึ่งสงสัย ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะคิดแบบนั้น เพราะปกติถ้าบ๊อบบี้จะปักหลักอยู่ที่ไหนแปลว่าต้องมีการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป

“ก็ถือโอกาสดูแลงานที่นี่ไปด้วย แต่จริงๆ แล้วผมต้องการมากกว่านั้น อาจจะต้องให้คุณช่วย”

สาเหตุหลักในการมาของบ๊อบบี้ครั้งนี้ไม่ใช่ธุรกิจ แต่แน่นอน เสืออย่างเขาจะไม่ทิ้งเวลาให้เสียเปล่า ในเมื่อมีธุรกิจที่นี่อยู่ ถ้ามาแล้วก็คงต้องเข้าไปมีส่วนร่วมเสียหน่อย

“...”

“ผมกำลังตามหาของบางอย่าง ที่ตอนนี้มีเบาะแสแค่ว่าอยู่ที่เมืองไทย” แต่บางครั้งเสืออย่างเขาก็มีเรื่องที่จนปัญญา ข้อมูลเขามีแค่นั้นจริงๆ คนเป็นแม่ไม่มีเบาะแสอย่างอื่นให้เขาเลย และเขาก็พลาดท่าตรงที่รับปากไปแล้วด้วยสิ

“...” เจทำหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่สักอย่าง เขาเงียบไปสักพัก จนบ๊อบบี้ต้องเป็นฝ่ายเริ่มประโยคใหม่

“ไว้ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มจะบอกอีกที คงต้องให้ช่วยเยอะเลย” เรื่องคอนเนกชันในประเทศไทยยังไงก็คงต้องพึ่งเจก่อน ถึงเขาเองจะพอมีอยู่บ้าง แต่มีเพิ่มก็ดีกว่า

“ผมว่ามีคนนึงน่าจะช่วยได้” หลังจากเงียบไปนาน ในที่สุดคนเป็นน้องก็เอ่ยปากออกมา จนบ๊อบบี้ต้องละสายตาจากอาหารขึ้นมามองอย่างสงสัยว่าใครกันที่ช่วยเขาได้

“หืม...ใคร”

“อาจารย์ปุ๊”

“ใครคืออาจารย์ปุ๊” มือหนาหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบเพื่อปกปิดใบหน้าที่กำลังขมวดคิ้วในตอนนี้ เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน อาจารย์ปุ๊คนนี้เป็นใครกัน ผู้มีอิทธิพล นักการเมือง หรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่กันล่ะ

“หมอดู”

พรืดดด!

น้ำสีแดงที่ชายหนุ่มกำลังจิบไหลผิดที่ผิดทางลงหลอดลมเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว และชายหนุ่มก็ต้องห้ามตัวเองอย่างมากเพื่อไม่ให้พ่นไวน์ในปากใส่หน้าคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม นี่เจพูดอะไรนะ หมอดู!

“แค็ก”

มาเฟียหนุ่มไอเพื่อไล่น้ำสีแดงที่เข้าไปในหลอดลม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนพูดที่ยังคงทำหน้าจริงจังอยู่ในตอนนี้

“คุณว่ายังไงนะ” บ๊อบบี้ถามซ้ำอีกรอบเพื่อป้องกันความผิดพลาด เมื่อครู่เขาอาจจะฟังผิดก็ได้ ไม่มีทางที่น้องรักของเขาจะพูดอะไรที่ไม่ได้อยู่ในกรอบของวิทยาศาสตร์แบบนั้น

แต่ว่าที่คุณพ่อยังคงยืนยันคำเดิมด้วยสีหน้ามั่นคง

“หมอดูไงพี่”

ชายหนุ่มเคยได้ยินมานะ ว่าคนในประเทศนี้เชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับและไสยศาสตร์ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดกับคนใกล้ตัวเขาเสียนี่ เกิดอะไรขึ้นกับเจ หรือว่าน้องรักของเขาไม่สบาย

“คุณต้องล้อผมเล่นแน่ๆ คุณไม่น่าจะใช่คนที่เชื่อเรื่องอะไรแบบนี้” ใบหน้าคมคายส่ายไปมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“มันไม่เหมือนกัน ผมว่าเธอน่าจะรู้” เจตอบกลับมา คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังคิดอะไรสักอย่าง “เธอไม่เหมือนหมอดูทั่วไป ผมว่าเธอน่าจะมองเห็นอนาคต”

“ฮ่าๆๆๆ มันจะมีแบบนั้นได้ยังไง”

ชายหนุ่มหัวเราะจนแทบจะลงไปกลิ้งกับพื้น ในใจก็คิดว่าถ้าจะมีสักคนที่มองเห็นอนาคตได้ เขาจะซื้อตัวคนคนนั้นมาไว้ข้างๆ กายและให้คอยบอกว่าเขาควรจะซื้อหุ้นตัวไหน หรือขายตัวไหน และรับรองว่าเขาจะเก็บคนคนนั้นไว้กับตัวราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าเลยทีเดียว

แต่มันจะมีได้ยังไงกันเล่า!

“ดูอย่างที่เธอทักมะปรางว่าเราจะได้ลูกสาวสองคนตั้งแต่วันแต่งงาน แล้วเราก็ได้ลูกแฝดจริงๆ” ทั้งที่เป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่คนตรงหน้าบ๊อบบี้กลับพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ดูท่าเจจะเชื่อหมอดูคนนี้มากๆ แต่มันก็อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ จริงมั้ย

“วันแต่งงานเหรอ ผมเคยเห็นเขามั้ย” บ๊อบบี้ถามพร้อมกับพยายามนึกถึงวันแต่งงานของเจที่ผ่านมาเกือบหกเดือนแล้ว ว่ามีคนไหนที่ดูท่าทางจะเหมือนหมอดูบ้าง แต่จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออก

“อืม” เจวนแก้วไวน์ไปมา เป็นท่าทางที่บ่งบอกว่าเขากำลังใช้ความคิด และไม่นานก็เหมือนเขาจะนึกอะไรออก “เคยๆ ตอนงานแต่ง จำได้มั้ย เด็กคนที่นั่งคุยอยู่กับแม่ผมน่ะ”

“หืม” บ๊อบบี้พยายามนึกตามบ้าง เหมือนจะนึกออกอยู่รางๆ แต่ไม่ชัดเท่าไหร่ คิดว่าถ้าเห็นหน้าคงจำได้แน่ๆ แต่เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เจบอกว่าเป็นเด็ก

“เด็กผู้หญิงผมยาวสีน้ำตาลน่ะ”

เมื่อเจอธิบายลักษณะของเด็กคนนั้น ชายหนุ่มก็เหมือนถูกสะกิดเบื้องลึกในใจให้นึกถึงภาพของใครบางคนที่ติดตาเขามานานหลายเดือน

แต่กระนั้น...เด็กก็คือเด็ก

“นี่เราจนปัญญากันจนต้องพึ่งหมอดูเด็กเลยเหรอ”

บ๊อบบี้ไม่อยากจะลบหลู่นะ แต่เขาต้องบากหน้าไปหาเด็กตัวเล็กๆ แล้วขอร้องให้เธอช่วยหาของให้เนี่ยนะ

“แล้วตอนนี้มีปัญญามากกว่านี้มั้ยล่ะ” คนเสนอความคิดถามกลับมาด้วยสีหน้าดูแคลนจนน่าหมั่นไส้

แต่ที่เจว่ามาก็ถูก ตอนนี้คนที่ได้ชื่อว่าเสืออย่างบ๊อบบี้ก็คิดจนหัวจะแตกแล้วว่าจะไปหาสร้อยเพชรนั่นมาจากไหน

ถ้าเปรียบกับสร้อยที่แม่ของเขาให้หาเป็นคน ก็เหมือนแม่บอกเขาว่า ‘ไปหาคนชื่อสมชายให้หน่อย บ้านเขาอยู่ที่ประเทศไทย’ โดยที่ไม่มีข้อมูลอะไรอย่างอื่นเลย บางทีให้หาคุณสมชายอาจจะง่ายกว่าด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็ยังมีทะเบียนราษฎร์เป็นฐานข้อมูลอยู่บ้าง

“ไม่มี” สุดท้ายชายหนุ่มก็ตอบไปอย่างจนใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ

“ถ้างั้นก็ลองดู ไม่เสียหาย เดี๋ยวผมเอาเบอร์ติดต่อจากแม่มาให้”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมหาเองก็ได้” ชายหนุ่มปฏิเสธไปอย่างมีทิฐิ เรื่องเบอร์ติดต่อคงไม่ยากเกินไปสำหรับเขา เพราะเดี๋ยวมาตรก็จัดการได้ แต่จะให้น้องชายคนนี้รู้ไม่ได้ว่าเขากำลังไร้หนทาง มันจะเป็นการหยามหน้ากันเกินไป และอีกอย่าง เขายังไม่แน่ใจว่าจะไปใช้บริการเธอดีมั้ย อย่างไรก็คงต้องหาข้อมูลของเธอดูก่อน

“งั้นก็ตามใจ” ผู้หวังดีอย่างเจก็ได้แต่ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะคีบเสี่ยวหลงเปาเข้าปากเป็นชิ้นที่สอง “ว่าแต่พี่หาอะไร ทำไมถึงดูสำคัญขนาดนั้น”

“สร้อยเพชรประจำตระกูลของแม่ผม”

สร้อยเพชรประจำตระกูลที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย มันไม่ได้ถูกขโมยไป คุณนายคลากส์บอกว่าครั้งสุดท้ายที่จับคือตอนที่เอาไปฝากไว้กับคุณนายหลิน หรือหลินจื่อหลี ภรรยาของนักการเมืองชื่อดัง ที่เหมือนจะมีความสัมพันธ์เป็นเพื่อนของแม่ แต่หลังจากที่ครอบครัวนั้นถูกฆาตกรรม เพชรก็หายไปอย่างไร้เบาะแส แถมคดีนั้นก็ไม่มีอะไรคืบหน้า จนบัดนี้ก็ยังหาตัวคนร้ายไม่ได้ เขาอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าคงมีอำนาจของใครสักคนอยู่เบื้องหลังคดีนี้

“ฮะ หายไปไหน ยังไงครับ”

เจทำหน้าตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยิน มันก็แปลกอยู่เหมือนกันที่ของประจำตระกูลไปอยู่กับคนอื่นแบบนั้น แต่แม่ของเขาอ้างว่าช่วงนั้นต้องเดินทางทางเรือไปยุโรป เลยต้องฝากไว้กับคนที่ไว้ใจได้ หรือว่านี่จะเป็นการฆาตกรรมเพื่อชิงทรัพย์ แต่ก็น่าแปลกตรงที่ไม่มีข่าวว่าใครเอาสร้อยเส้นนี้ไปขายเลย

“ก็อยากรู้เหมือนกัน”

โชคร้ายซ้ำซ้อนที่สมัยนั้นไม่มีไฟล์ดิจิทัลแบบตอนนี้ มีแต่ฟิล์มและรูปถ่ายที่คุณนายคลากส์ยังพอใจดีเก็บไว้ให้ก็เป็นภาพเก่าๆ ที่เกือบจะเป็นสีขาวดำ แถมยังเปียกน้ำจนภาพแทบจะเลือนรางไปหมดแล้ว

“สงสัยงานนี้จะยากจริงๆ นะครับ” คู่สนทนาเอ่ยขึ้นพร้อมกับทำหน้าเห็นอกเห็นใจ แต่บ๊อบบี้มองปราดเดียวก็รู้ทันว่าเจกำลังคิดอะไรอยู่

“พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า”

“หึๆ ทำไมรู้”

ใช่แล้ว เขากำลังโดนน้องชายเอาคืน หลังจากที่เคยไปแกล้งอีกฝ่ายไว้ก่อนหน้านี้

“สายตาเก็บไม่มิดเลย”

“ก็ถ้าจะมีสักเรื่องที่ บ๊อบบี้ คลากส์ ทำไม่ได้ ผมก็ควรจะจดจำไว้”

รอยยิ้มมุมปากของเจตอนนี้ดูเหมือนจะสะใจเป็นที่สุด จนบ๊อบบี้อดสงสัยไม่ได้ว่าตกลงพวกเขายังเป็นพี่น้องกันอยู่รึเปล่าเนี่ย

มาเฟียหนุ่มส่งสายตาไปหาน้องรักเพื่อบอกว่า ‘ฝากไว้ก่อนเถอะ’ ก่อนจะแย่งเสี่ยวหลงเปาชิ้นสุดท้ายมาเป็นของตัวเอง

หลังจากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนเรื่องมาคุยเรื่องธุรกิจบ้าง บ๊อบบี้วางแผนเรื่องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเอาไว้ และรีสอร์ตของเจน่าจะเข้ากับโจทย์นี้ของเขาได้ดี พวกเขาค่อนข้างที่จะคิดเห็นไปในทางเดียวกัน และทั้งหมดนี้พีทจะบันทึกไว้ไปคุยในที่ประชุมอีกที

เมื่อไหร่ที่ได้คุยกับคนที่ถูกคอ บ๊อบบี้ก็มักจะเผลอคุยยาวเสมอ รู้ตัวอีกทีก็เกือบห้าโมงกว่า และเขาจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำถ้าเลขาฯ มาดเนี้ยบของเขาไม่สะกิด

“บอสครับ สถานที่ที่นัดกับคุณลลดาห่างจากที่นี่ประมาณชั่วโมงกว่า แต่ถ้าเราออกช้ากว่านี้รถจะติดมากครับ”

พีทกระซิบเบาๆ อย่างรักษามารยาท ประจวบเหมาะกับอาการลุกลี้ลุกลนของน้องชายที่เฝ้ามองนาฬิกาอยู่บ่อยๆ ทำให้มาเฟียหนุ่มต้องยอมบอกลาอย่างช่วยไม่ได้

เมื่อล่ำลากันเป็นที่เรียบร้อย ทั้งสองคนต่างก็แยกย้ายกันไป โดยที่บ๊อบบี้ยังต้องเดินทางต่ออีกครั้งเพื่อไปหาลลดาหรือน้องตามที่นัดไว้

การมาถึงเมืองไทย สิ่งเดียวที่เขาทำในวันนี้คือตระเวนไปตามร้านอาหารต่างๆ...นี่มันรายการบ๊อบบี้ชวนชิมชัดๆ

“มาตร ผมฝากสืบประวัติของอาจารย์ปุ๊ด้วยนะ” เรื่องที่ได้คุยวันนี้ยังคงติดค้างอยู่ในใจชายหนุ่ม เขาอยากรู้จริงๆ ว่าอาจารย์ปุ๊เป็นใคร...และมองเห็นอนาคตจริงหรือไม่

“ครับบอส”

 

การเดินทางรวมทั้งอาหารมื้อหนักเมื่อครู่ทำให้บ๊อบบี้เริ่มรู้สึกง่วง ถ้าไม่ติดว่ามีเสียงบางอย่างดังขึ้น

ครืด...ครืด...

เสียงสั่นของโทรศัพท์ดังขึ้น แต่ไม่ใช่ของบ๊อบบี้แน่ๆ เพราะโทรศัพท์ของเขามีไว้ติดต่อกับเลขาฯ คนสนิทเท่านั้น

“ครับ” เสียงของพีทดังขึ้น

“ครับ”

“อาจจะถึงเลตประมาณสิบนาทีครับ”

“บอสเพิ่งเดินทางมาถึงไม่นานครับ”

“...”

“ถ้าคุณลลดาไม่พอใจ สามารถยกเลิกนัดได้ครับ ผมจะได้กลับรถเลย”

บ๊อบบี้เงี่ยหูฟังน้ำเสียงอันเย็นชาของพีทสนทนาผ่านโทรศัพท์ พร้อมกับนับถือความอดทนของคู่สายที่สามารถคุยกันด้วยน้ำเสียงแบบนี้ได้

“ถ้าอย่างนั้นกรุณารออย่างใจเย็นด้วยนะครับ สวัสดีครับ”

บทสนทนาของพีททำให้เขาพอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร บ๊อบบี้จึงไม่ถามอะไรพีทต่อ ชายหนุ่มแอบรู้สึกโชคดีอยู่เล็กๆที่มีพีทเป็นหน้าด่าน ไม่ว่าใครจะติดต่อกับเขาก็ต้องผ่านชายคนนี้ก่อนเสมอ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเตรียมใจว่าในอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเขาต้องรับมือกับคนที่เขาเอ็นดูเหมือนน้องสาว...ที่แสนเอาแต่ใจ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น