1

เรื่องราวของแขกวีไอพี


เรื่องราวของแขกวีไอพี

Pu’s talk

“นะปุ๊จ๋า วันนี้ช่วยไปเสิร์ฟที่ร้านให้อีกหน่อยน้า พี่แจนลากะทันหันเลย” เสียงของน้ำหวาน เพื่อนสาวคนสนิทที่ยังคงเดินตามอ้อนวอนขอให้ฉันไปช่วยที่ร้านพี่สาวของเธอ

“...”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่น้ำหวานมาขอให้ฉันไปช่วยที่ร้าน ทุกครั้งที่มีพนักงานในร้านลา ฉันมักจะถูกขอร้องเสมอ แม้แต่พี่สาวของเธอเองก็ยังชวนฉันให้ไปทำงานที่ร้านเป็นพาร์ตไทม์ทุกวันตอนเย็น

แต่อย่างที่รู้ ฉันไม่ได้ว่างมาก บางวันก็มีนัดกับลูกค้า แถมวันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ฉันก็ต้องไปขายเกาลัดอีก ที่ต้องทำงานเยอะแบบนี้เพราะฉันต้องหาเงินไปจ่ายค่าเทอม แถมยังต้องมีเงินสำรองไว้เยอะๆ เพื่อที่ในอนาคตจะเริ่มธุรกิจอะไรสักอย่างเป็นหลักเป็นฐานให้ตัวเอง

ร้านของพี่น้ำหอมเป็นร้านอาหารสไตล์ฟิวชันที่ราคาก็แรงอยู่พอสมควร ลูกค้าส่วนมากค่อนข้างจะมีตังค์ การบริการที่ประทับใจถือเป็นจุดเด่นของร้าน ถึงแม้ปกติฉันจะไม่ใช่คนอ่อนหวานนอบน้อม แต่เวลาไปทำงานที่ร้านฉันก็ต้องปรับตัว ถือเป็นการฝึก ในอนาคตถ้าคิดจะทำธุรกิจของตัวเองก็ยิ่งต้องดูแลมากกว่านี้อีก

ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากช่วยน้ำหวานนะ แต่ว่าวันนี้มันเป็นวันเดียวในสัปดาห์นี้ที่ฉันจะว่าง เลยไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่นัก

“นะปุ๊น้า วันนี้ฉันติดต่อใครก็ไม่มีใครว่างเลย” น้ำหวานเริ่มทำหน้าตาให้ดูน่าสงสาร พร้อมกับทำเสียงออดอ้อน แต่บอกไว้เลยว่าแบบนั้นเปลี่ยนใจฉันไม่ได้หรอก

“ขอพักเหอะวันนี้” ฉันตอบอย่างไม่ไยดีก่อนจะเก็บกระเป๋านักเรียน เตรียมตัวกลับบ้าน

“ค่าจ้างวันนี้พันนึงเลยนะ พี่น้ำหอมให้เพิ่มเป็นพิเศษเลย” ยายน้ำหวานยังคงตอแยไม่เลิก แถมยังเอาเงินมาล่อ มองฉันเป็นคนยังไงกัน ถ้าคิดว่าฉันจะเห็นแก่เงินละก็...

คิดถูก!

“รักปุ๊ที่สุดเลย” เสียงเจื้อยแจ้วของน้ำหวานยังคงวนเวียนอยู่รอบกายฉัน

ในที่สุดเราก็มาถึงหน้าร้าน ‘Beef me’ จนได้ ใช่แล้วละ ฉันถูกจูงจมูกอย่างง่ายดายด้วยเงินแค่หนึ่งพันนั่นแหละ เงินนั้นทำให้ฉันมีค่าอาหารได้สัปดาห์กว่าเลยนะ แถมที่ร้านยังเลี้ยงอาหารเย็นอีกด้วย จะยอมช่วยพี่น้ำหอมก็แล้วกัน

ทันทีที่น้ำหวานยื่นข้อเสนอมา ฉันก็รีบโทร. บอกแปะทันทีว่าวันนี้จะกลับช้า ซึ่งแปะก็โอเค ไม่ได้ว่าอะไร แปะคงชินแล้วที่ฉันมาร้านนี้ประมาณเดือนละสองสามครั้ง โชคดีที่ร้านอยู่ไม่ห่างจากบ้านฉันมากนัก ใช้บริการพี่วินแถวนี้ไปส่งไม่เกินสิบนาทีก็ถึงบ้าน

“พอเลยน้ำหวาน เราจะเปลี่ยนชุด จะไปทำอะไรก็ไปเลย” ฉันโบกมือไล่น้ำหวาน

เจ้าตัวทำหน้างอนเล็กน้อยก่อนจะสะบัดก้นหนีไป ส่วนฉันก็เข้าไปหยิบยูนิฟอร์มของร้านแล้วเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำพนักงาน

ร้านนี้เปิดตอนสิบเอ็ดโมงถึงสามทุ่ม แต่คนจะเยอะเป็นพิเศษช่วงหกโมงเย็นจนถึงร้านปิด ร้านจึงต้องการพนักงานในช่วงเวลานี้เยอะเป็นพิเศษ ถ้ามีคนลาละก็ ต้องหาคนมาแทนเลยละ ไม่งั้นทำงานไม่ทันกันจริงๆ

ฉันกับน้ำหวานมาถึงที่ร้านประมาณห้าโมงเกือบจะหกโมงแล้ว แขกในร้านเริ่มทยอยมาจนโต๊ะใกล้เต็มแล้ว อย่างที่บอกว่าร้านนี้เน้นเรื่องบริการ พนักงานเสิร์ฟหนึ่งคนจะดูแลไม่เกินสามโต๊ะเท่านั้น พนักงานในร้านเลยเยอะพอสมควร นี่ยังไม่รวมในครัวนะ

“น้องปุ๊ ขอบคุณมากๆ เลยนะจ๊ะที่มา” พี่น้ำหอมเข้ามาทักทายฉันเมื่อฉันเดินเข้าไปที่หลังเคาน์เตอร์เพื่อดูว่าต้องไปดูแลโต๊ะไหนบ้าง

“สวัสดีค่ะพี่น้ำหอม” ฉันยกมือไหว้ทันทีอย่างรู้งาน พี่น้ำหอมเป็นพี่สาวของน้ำหวาน และอายุก็มากกว่าอายุจริงของฉันด้วย เธอเป็นเจ้าของร้านนี้ รวมทั้งเป็นผู้จัดการเองไปในตัว ร้านนี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ แต่ระบบต่างๆ ก็ยังดูเป็นกันเองอยู่เนื่องจากพี่น้ำหอมเป็นคนดูแลทั้งหมด ไม่ได้แบ่งสัดส่วนชัดเจนแบบภัตตาคารใหญ่ๆ ที่เขาทำกัน

“ยังเหลือโต๊ะสอง เจ็ด แล้วก็สิบ ที่ว่างนะจ๊ะ ถ้ามีลูกค้าเข้ามาปุ๊จัดการเลยนะ” พี่น้ำหอมแจงงานให้ฉันทันที ก่อนจะหันไปจัดการอย่างอื่นต่อ ส่วนฉันก็รับคำแล้วไปยืนรอรับลูกค้าหน้าร้านทันที

 

เวลาผ่านไปไม่นานก็มีลูกค้าเข้ามาเรื่อยๆ จนโต๊ะเกือบจะเต็มแล้ว จะเหลือก็แต่โต๊ะสิบโต๊ะเดียว ฉันสาละวนอยู่กับการรับออร์เดอร์และเสิร์ฟอาหารอยู่สักพัก จนกระทั่งมีเสียงกริ่งที่หน้าร้านดังขึ้น ฉันจึงรีบไปที่ประตู เพราะโต๊ะสุดท้ายที่ว่างคือโต๊ะที่ฉันต้องดูแล

เมื่อไปถึงก็พบหญิงสาวร่างเล็ก หน้าตาสะสวยราวกับภาพวาด ผิวขาวราวกับหิมะช่างตัดกับปากสีแดงของเธอเสียจริง ท่าทางเธอดูเป็นพวกคุณหนูหน่อย บางอย่างในหัวฉันบอกทันทีว่าฉันไม่ควรทำให้เธอไม่พอใจถ้าไม่อยากมีชีวิตที่วุ่นวาย และแน่นอนว่าวันนี้เธอต้องอยู่ภายใต้การดูแลของฉันเอง

“สวัสดีค่ะ คุณผู้หญิง มากี่ท่านคะ” ฉันปั้นหน้ายิ้มต้อนรับลูกค้าแบบที่ชีวิตปกติไม่เคยทำ

“สองโต๊ะค่ะ โต๊ะละสองคน” หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบ ท่าทางที่เธอวาดมือไม้รวมไปถึงการแต่งกายด้วยชุดเดรสเข้ารูปเปิดไหล่สีแดงสดนั่นทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าเธอเป็นสโนวไวต์กลับชาติมาเกิด

“ต้องขออภัยจริงๆ ค่ะ วันนี้ร้านของเราเหลือแค่โต๊ะเดียว หรือถ้าคุณรอได้ อีกไม่เกินสิบห้านาทีน่าจะมีโต๊ะว่างเพิ่มอีกค่ะ” ฉันบอกไปตามจริง มีโต๊ะห้ามั้งถ้าจำไม่ผิด ที่กินอาหารใกล้เสร็จแล้ว อีกไม่นานพวกเขาน่าจะเรียกให้ไปคิดเงิน

“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” เธอตอบ

“งั้นตามดิฉันมาทางนี้เลยค่ะ” ฉันยังคงยิ้มให้เธอเหมือนเดิม...ตามหน้าที่ ก่อนจะนำเธอไปที่โต๊ะสิบ และจัดแจงเสิร์ฟน้ำเปล่าให้เธอ ก่อนที่จะมารอรับออร์เดอร์

“วันนี้เรามีเมนูพิเศษเป็นสลัดหอยเชลล์ซอสมะนาวนะคะ” ฉันแนะนำเมนูพิเศษของทางร้านขณะที่เธอกำลังเปิดอ่านเมนู

“เอามาหนึ่งที่แล้วกัน แล้วก็ทีโบนสเต๊ก เอาเป็นแรร์นะคะ เครื่องดื่มเป็นไวน์แดงค่ะ” เธอสั่งโดยที่ไม่ได้มองหน้าฉัน ฉันจึงรีบจดโดยตอบรับเธอด้วยการพยักหน้า

“ได้ยินที่พูดใช่มั้ยคะ”

“ค่ะ”

“เห็นไม่ขานตอบ เอาเท่านี้ก่อนนะคะ อีกโต๊ะเดี๋ยวจะสั่งอีกทีค่ะ” เธอเชิดหน้าขึ้นอีกครั้ง ท่าทางหยิ่งยโสนั้นทำให้หางคิ้วด้านซ้ายของฉันเริ่มกระตุก

ค่ะ! แม่คุณหนู เอาที่สบายใจ อยากทำอะไรก็ทำ ฉันเห็นอนาคตเธอจะลำบากอยู่รำไร ขอให้โชคดีแล้วกัน

“ขออภัยค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะนำเครื่องดื่มมาให้นะคะ” ถึงจะบ่นให้เธอบ้างในใจ แต่ใบหน้าของฉันก็ยังคงมีรอยยิ้มประทับไว้อยู่ ก่อนจะรีบโค้งให้เธอแล้วเดินออกมา

หลังจากที่ส่งออร์เดอร์ให้ทางห้องครัวเรียบร้อยแล้ว หน้าที่ฉันยังต้องคอยไปวนเวียนอยู่รอบๆ โต๊ะนั้นเพื่อดูว่าเธอจะต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ ขอให้เจ้าแม่ชุดแดงนั่นอย่าได้องค์ลงวันนี้เลยก็แล้วกัน

 

“สวัสดีค่ะ คุณพีท นี่ดาเองนะคะ” ระหว่างที่เดินวนไปมา เสียงแหลมปรี๊ดของเจ้าหญิงปากแดงก็ดังขึ้น เธอกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับใครสักคน

“พี่จิ้นออกเดินทางมารึยังคะ”

“แล้วเมื่อไหร่จะถึงคะ อีกไม่กี่นาทีก็จะถึงเวลานัดแล้วนะคะ”

“ว่าไงนะคะ ไหนคุณบอกว่าให้ฉันตรงเวลา แล้วทำไมคุณกลับเลตเองล่ะคะ”

“คุณเป็นเลขาฯ ประสาอะไรคะ ไม่ดูแลเวลาของเจ้านายเลย แล้วตอนนี้ฉันมารอแล้วนะคะ ไวน์ก็สะ...” เสียงบ่นของเธอเหมือนจะขาดช่วงไป เหมือนตอนนี้เธอกำลังอึ้งกับอะไรสักอย่าง

“...”

“คะ คุณ!”

ดูเหมือนเธอจะไม่พอใจคู่สายเป็นอย่างมากหลังจากที่วางสาย เธอดูหงุดหงิด ต่างกับตอนที่เดินเข้าร้านมาลิบลับ และเหมือนว่าพายุกำลังจะพัดมาที่ฉันในไม่ช้า

“เธอ!” นั่นไง ไม่ทันขาดคำ ใบหน้าเกรี้ยวกราดของเธอก็หันมาทักทายฉันเข้าให้แล้วไง

“คะ?” หน้าที่ของฉันคือยิ้ม ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรมา ฉันก็แค่ยิ้ม

“อาหารไม่ต้องรีบทำมานะ อีกสักสิบนาทีแฟนฉันถึงจะมา” ยังเป็นโชคดีของฉันที่เหมือนเธอจะกำลังพยายามควบคุมอารมณ์อยู่ แฟนมาช้าสินะ เลยอารมณ์เสีย

“ได้ค่ะ”

“ขออะไรมากินเล่นก่อนแล้วกัน” เธอสั่งด้วยน้ำเสียงที่ยังมีความหงุดหงิดปนอยู่

“คุณจะรับเมนูมั้ยคะ หรือจะให้ดิฉันแนะนำ” ด้วยความหวังดี กลัวเธอจะคิดไม่ออก เพราะลูกค้าหลายๆ คนในร้านนี้บางทีก็ไม่รู้ว่าจะกินอะไร ชอบให้แนะนำเมนูมากกว่า

“ข้าวไข่เจียวแล้วกัน” เธอตัดบททันทีที่ฉันพูดจบ

แต่เดี๋ยวนะ...ข้าวไข่เจียวบ้านเธอเหรอเอามากินเล่นน่ะ ยายคุณหนู!

 

เวลาผ่านไปเกือบสิบนาที ตลอดเวลาฉันต้องวิ่งวุ่นอยู่กับการรับออร์เดอร์ เสิร์ฟอาหาร เติมเครื่องดื่ม แถมยังต้องรับมือกับความเยอะของแต่ละโต๊ะ และที่สำคัญที่สุด...ต้องยิ้ม

“น้องคะ พี่สั่งหัวหอมหั่นละเอียด ทำไมถึงได้ชิ้นใหญ่แบบนี้คะ” เสียงของคุณผู้หญิงตัวแทนจากโต๊ะสองดังขึ้นหลังจากที่ฉันวางจานสลัดลงไปไม่นาน

ด้วยความที่มีจิตบริการ ฉันจึงรีบเข้าไปดูทันทีว่าจานสลัดเป็นแบบไหน แล้วก็พบว่าหอมใหญ่ในจานนั้นซอยเล็กและบางจนจะเป็นเส้นผมอยู่แล้ว ถ้าจะเอาเล็กกว่านี้ เจ๊ควรจะสั่งว่าหัวหอมปั่นนะคะ

แต่ก็ได้แค่คิด เพราะสิ่งที่ฉันต้องพูดและต้องทำคือ ยิ้มให้กว้างแล้วตอบว่า

“เดี๋ยวจะเปลี่ยนให้นะคะ”

“ไวๆ แล้วกัน รอนานแล้วเนี่ย” เธอพยักหน้าตอบแบบขอไปที สีหน้าไม่ได้ดีขึ้น แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้แย่ไปกว่าเดิม ก็ยังถือว่าดี

พูดอะไรก็พูดไปเถอะ หน้าที่ฉันคือทำตามที่พี่น้ำหอมบอก ฉันไม่เอามาคิดให้เป็นอารมณ์หรอก ว่าแล้วก็รีบหยิบจานสลัดที่น่าสงสารยกกลับเข้าครัว เพื่อให้ทางนั้นแก้ไขขนาดหัวหอมให้ เอาให้เป็นผงมาเลยนะ

หลังจากที่ไปส่งของในครัว ฉันก็กลับมาเดินวนแถวโต๊ะที่ฉันดูแลอีกครั้งเผื่อว่าจะมีใครต้องการอะไรเพิ่มเติมอีก และก็เป็นไปตามคาด ยายคุณหนูปากแดงโบกมือเรียกฉันทันทีที่เห็นหน้า

“เธอ อาหารเดี๋ยวอีกสิบนาทียกมาได้เลยนะ แฟนฉันจะมาแล้ว” ดูเหมือนเธอจะกลับมาอารมณ์ดีแล้วเมื่อแฟนของเธอกำลังจะเดินทางมาถึง ซึ่งก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องหวาดระแวงว่าภูเขาไฟลูกนี้จะระเบิดเมื่อไหร่

“ได้ค่ะ” ฉันยิ้มกว้างให้เธออย่างเคย วันนี้ใบหน้าฉันถูกล็อกโปรแกรมมาเรียบร้อยแล้วว่าให้ยิ้มเท่านั้น

ฉันเดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้งเพื่อส่งสัญญาณให้เริ่มทำสเต๊ก น่าจะได้เสิร์ฟทันเวลาพอดี ในครัวตอนนี้ก็วุ่นวายไม่ต่างจากข้างนอก บางทีฉันก็อยากเสนอความคิดเห็นกับพี่น้ำหอมนะว่าควรจะจัดระบบภายในร้านมากกว่านี้หน่อย ตอนนี้มันยังมั่วๆ อยู่ ร้านก็ขายดีไม่ใช่น้อย ถ้าระบบดีร้านน่าจะไปได้ไกลกว่านี้

 

เมื่อกลับมาที่หน้าร้านอีกครั้ง คราวนี้ที่โต๊ะของคุณหนูปากแดงมีผู้ชายมายืนอยู่ข้างๆ หนึ่งคน นั่นแฟนเธอเหรอ แต่เท่าที่ฉันรู้ เขาไม่ใช่เนื้อคู่เธอนี่ แต่อะไรก็แล้วแต่ ฉันจะไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน หน้าที่ของฉันคือการให้บริการเท่านั้น

“สวัสดีค่ะ รับอะไรเพิ่มมั้ยคะ”

ฉันถามอย่างเป็นมิตร แต่ชายคนนั้นกลับมองฉันอย่างไม่ไว้วางใจก่อนจะมองไปรอบๆ อย่างสำรวจ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะอื่นๆ เพดาน หรือแม้แต่มุดลงไปใต้โต๊ะ

เฮ้ย!

“คุณคะ ทำอะไรคะ” ฉันรีบส่งเสียงทักการกระทำนั้นทันที เขาทำบ้าอะไรเนี่ย ทำไมยายคุณหนูถึงได้มีรสนิยมประหลาดนักนะ

“ปลอดภัยครับ พาบอสเข้ามาได้” ชายคนนั้นไม่ตอบอะไรฉัน แต่กลับจับปกเสื้อสูทสีดำของเขามาทำท่าเหมือนกำลังคุยกับใครสักคน จะว่าไปฉันเริ่มคุ้นๆ หน้าเขาขึ้นมาแล้วสิ

ความสงสัยของฉันอยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อประตูหน้าร้านเปิดออก และปรากฏให้เห็นชายหนุ่มหน้าใสสไตล์เกาหลีพร้อมกับร่างสูงกำยำที่เดินตามมาติดๆ ใบหน้าคมที่ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวของฉันมานานหลายเดือน

นั่นตาลุงคนนั้นนี่!

“พี่จิ้นขา ดารอตั้งนาน หิวมั้ยคะ ดาสั่งของชอบไว้ให้แล้วค่ะ” คุณหนูปากแดงส่งเสียงหวาน ต่างกับเสียงที่สั่งอาหารลิบลับ “ช่วยหลบหน่อยสิคะ ยืนขวางคนเขาจะสวีตกัน”

เฮอะ ยายผู้หญิงสองเสียง!

เพราะว่าฉันมัวแต่อึ้งในความโลกกลมจนเผลอยืนค้างอยู่ข้างๆ ทำให้ไปขวางทางรักของเธอเข้า นี่เขาเป็นแฟนกับคุณหนูคนนี้เหรอเนี่ย แต่ที่ฉันรู้ เนื้อคู่เธอก็ไม่ใช่เขา แต่เป็น...

“คุณลลดาช่วยหยุดตรงนั้นก่อนครับ ถ้าจะแตะตัวบอส รบกวนให้เช็กก่อนว่าคุณไม่มีอาวุธ”

ยังไม่ทันที่ฉันหรือยายคุณหนูจะได้ขยับตัว เสียงอันราบเรียบเย็นชาก็ดังขึ้น พร้อมกับใครบางคนที่มายืนขวางหน้าคุณจิ้นที่ว่านั่นเอาไว้

“ฮะ?” เธอดูเหมือนจะอึ้งไปอีกครั้งกับประโยคดังกล่าว ก่อนจะค่อยๆ ยกสองมือขึ้นเพื่อให้ทำการตรวจอาวุธ

“คุณด้วยครับ” ชายคนนั้นผายมือมาที่ฉัน สีหน้าเขายังคงนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง ใบหน้าที่อ่านอารมณ์ไม่ออกนั้นทำอย่างกับว่าพร้อมจะชักปืนมายิงตลอดเวลาถ้ามีใครคิดตุกติกกับเขา

“คะ?”

นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย แก๊งค้าอาวุธเถื่อนรึไง แล้วทำไมฉันต้องมาโดนตรวจอะไรแบบนี้ด้วย

แต่ด้วยความน่ากลัวของชายทั้งสาม และฐานะผู้ให้บริการดีเด่นอย่างฉัน ทำให้ตอนนี้ฉันและยายคุณหนูต้องอยู่ในท่ายกมือขึ้นสองข้างอย่างพร้อมเพรียงกันเป็นที่เรียบร้อย

ชายคนแรกที่ฉันเจอเดินวนรอบเราสองคน มองอย่างพินิจพิจารณา แต่ก็ไม่ได้แตะตัวหรือล่วงเกินอะไรมากกว่านั้น ก่อนจะหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้อาตี๋เล็กจอมโหด

“เชิญครับ”

ในที่สุดช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดก็จบลงเมื่อบอดีการ์ดหน้าหวานยอมถอยไปข้างหลังเจ้านายของเขา คุณลลดาที่ว่ารีบโผเข้าไปเกาะแขน

“พี่จิ้นขา เมื่อไหร่บอดีการ์ดของพี่จะชินกับดาคะ เจอทีไรต้องแบบนี้ทุกที” เสียงสองของคุณดาดังขึ้นทันทีที่เข้าถึงตัวคุณจิ้น

ก็ไม่ได้อยากอยู่เป็นก้างขวางคอนะ แต่เมื่อไหร่จะเข้าที่กันให้เรียบร้อย ฉันจะได้ทำงาน

“เขาก็ทำตามหน้าที่ครับ น้องดาไปนั่งเถอะ”

“ดาตกใจค่ะ ช่วยปลอบหน่อยนะคะ” นอกจากจะมีเสียงสองแล้วยังมีเสียงสามสี่ห้าหกด้วย แม่คุณก็ฉอเลาะเก่งจนฉันอดหมั่นไส้ไม่ได้

“นั่งเถอะครับ พี่ว่าพี่เริ่มหิวแล้ว” ในที่สุดคุณชายมาเฟียนั่นก็ตัดบทเสียที ดี...นั่งกันได้แล้ว ฉันจะได้ทำงาน

“ดาจองอีกโต๊ะไว้ให้คุณพีทและคุณมาตรแล้วค่ะ จะได้มีเวลาเป็นส่วนตัว”

“ผมห่างจากบอสไม่ได้ถ้าบอสไม่สั่งครับ” เสียงของบอดีการ์ดคู่กายทั้งสองดังขึ้นพร้อมกันราวกับเป็นระบบตอบรับอัตโนมัติ

“ไปพักเถอะ”

“ครับ”

โอย...น้องปุ๊ปวดหัวกับฉากลิเกนี่เหลือเกิน

“คุณผู้ชายรับอะไรเพิ่มเติมดีคะ ที่คุณผู้หญิงสั่งไว้ให้มีทีโบนสเต๊กแบบแรร์ และไวน์แดง” ฉันถามด้วยท่าทีนอบน้อมพร้อมกับรอยยิ้มพิมพ์ใจตามแบบฉบับของพนักงานร้านนี้

“...” เจ้าประคุณมาเฟียที่รักเงียบไปครู่หนึ่งพร้อมกับจ้องหน้าฉันด้วยสีหน้าที่ฉันก็อ่านไม่ออก ถ้าเดาไม่ผิดเขาคงจำได้ละมั้งว่าฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่จ้องจะกินเขาน่ะ ให้ตายสิ

“ถ้าไม่รับอะไรเพิ่ม ขออนุญาตยกอาหารมาเสิร์ฟเลยนะคะ”

“ครับ”

เพราะไม่ชอบสีหน้าและสายตาที่อ่านไม่ออกนั่น ฉันจึงขอเลี่ยงให้มากที่สุดด้วยการหนีเข้าครัวไป

สำหรับฉัน เขาเป็นมนุษย์ลึกลับ ตั้งแต่เกิดมาไม่ว่าฉันจะพบเจอหน้าใครก็ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งเรื่องให้ฉันได้รู้เกี่ยวกับคนคนนั้น ก็มีเขาคนแรกนี่แหละที่ไม่มีข้อมูลอะไรสักนิดโผล่มาในหัวฉันเลย จะไม่ให้กลัวได้ยังไง

 

ไม่นานฉันก็ต้องกลับมาที่โต๊ะนี้อีกครั้งอย่างจำใจ ก็ในเมื่อตอนนี้พนักงานคนอื่นๆ ไม่มีใครว่างเลย แต่คราวนี้โต๊ะกลับเหลือเพียงแค่เจ้าพ่อมาเฟียนั่นนั่งอยู่คนเดียว ส่วนยายคุณหนูนั่นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

“ผมว่าคุณเป็นคนที่ตั้งใจทำงานดีนะ” เสียงทุ้มที่ฟังดูนุ่มหูดังขึ้นเมื่อฉันวางถาดสเต๊กลงตรงหน้าเขา น้ำเสียงของเขาไม่ได้บ่งบอกอะไรเกี่ยวกับความคิดเขาทั้งนั้น

“ขอบคุณค่ะ”

“...” ตาคมของเขาจดจ้องมาที่ฉันอีกครั้ง มันไม่ใช่สายตาพิศวาส อาฆาต หรือเป็นมิตร มันเป็นสายตาที่ดูว่างเปล่า แต่ก็มีประกายอยู่แปลกๆ

“อ้อ ฉันไม่มีความต้องการอะไรทั้งนั้นกับคุณค่ะ ได้โปรดอย่าเข้าใจผิด” ไหนๆ เขาก็มองมาขนาดนี้แล้ว ฉันก็ขอโอกาสแก้ตัวจากครั้งที่แล้วที่ไม่มีแม้แต่เวลาจะให้อ้าปากเถียง

“ขอโทษครับ ถ้าครั้งนั้นผมเข้าใจผิดไปเอง ก็เห็นคุณจ้องผมขนาดนั้น” เขายักไหล่ ก่อนจะละสายตาไปมองที่สเต๊กจานร้อนที่ฉันเพิ่งวางลงไป

“ถ้าไม่รับอะไรเพิ่ม ฉันขอตัวนะคะ” เมื่อเขาเข้าใจถูกต้อง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องอยู่ตรงนี้ต่อ รีบไปจากโต๊ะนี้น่าจะดีกว่า เขาดูไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลย ไหนจะสายตาของบอดีการ์ดสองคนนั่นอีก

“รับครับ”

“รับอะไรดีคะ” คราวนี้ฉันฉีกยิ้มกว้างให้เขาอย่างไม่จริงใจ

“เอาสิ่งที่คุณคิดว่าผมจะสั่งแล้วกันครับ”

“...”

“ตามนั้นนะครับ”

 

(&**(^&$%#$(*&*(##@#@!$%^9

นี่คือคำสบถไม่เป็นภาษาในใจของฉันหลังจากที่เดินออกมาจากโต๊ะอาถรรพ์หมายเลขสิบ ให้ตายสิ เขาคิดว่าฉันเป็นตัวอะไรเหรอถึงจะไปอ่านใจเขาได้ ขนาดแฟนเขายังสั่งข้าวไข่เจียวเป็นอาหารว่าง แล้วฉันจะไปรู้ได้ไงว่าเขาจะไม่กินอะไรประหลาดๆ อีก ข้าวผัดเนื้อยูนิคอร์นมั้ยล่ะ ทั้งๆ ที่วันนี้ตั้งใจว่า ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นยังไง ฉันจะต้องไม่เก็บมาเป็นอารมณ์ แต่ก็จนได้

สิ่งที่ดีที่สุดตอนนี้คือการยืนสงบสติอารมณ์อยู่หน้าห้องน้ำ หายใจเข้าออกช้าๆ นับหนึ่งถึงสามสิบเอ็ด โอเค สติกลับมาแล้ว

“พี่น้ำหอมคะ โต๊ะสิบเขาอยากได้เมนูพิเศษ ทำอะไรให้เขาดีคะ” สุดท้ายฉันก็หาทางออกโดยการปรึกษากับพี่น้ำหอม ว่าจะสั่งอะไรให้เขาดี

“เป็ดอบไวน์แดงแล้วกันเนอะ” พี่น้ำหอมยิ้มตอบง่ายๆ พร้อมกับวางถาดสลัดหอยเชลล์ลงบนมือฉัน ก่อนจะพูดจาด้วยภาษาที่สยดสยองที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมา...

“น้องปุ๊ โต๊ะสิบ พี่ฝากด้วยนะ คนนี้วีไอพีสุดๆ ดูแลโต๊ะเดียวเลยนะ โต๊ะอื่นพี่ให้คนอื่นดูให้แล้ว”

ขอบคุณสวรรค์!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น