2

เด็กเสิร์ฟประหลาด


เด็กเสิร์ฟประหลาด

ไม่น่าเห็นแก่เงินเลย...

ดูซิว่าเงินหนึ่งพันทำให้ฉันต้องเจออะไรบ้างตอนนี้ ไม่ว่าจะสายตาเกรี้ยวกราดของยายคุณหนู สายตาจ้องจับผิดของบอดีการ์ดจากโต๊ะสิบเอ็ด แล้วไหนจะมนุษย์ประหลาดที่พูดจาก่อกวนอย่างตาลุงคนนั้นอีก รู้งี้ไปดูดวงให้แม่ค้าในตลาดแถวบ้านยังดีกว่า

ระหว่างที่รอเป็ดอบไวน์แดง หน้าที่ของฉันก็คือต้องวนเวียนอยู่รอบโต๊ะวีไอพีนี้ไปเรื่อยๆ ดูว่าพวกเขาต้องการอะไรเพิ่มหรือไม่ แล้วก็เป็นคุณมาเฟียนั่นที่ยกแก้วขึ้นมากระดิกเรียกฉันให้ไปเติมไวน์ให้

“นี่ร้านนี้มีพนักงานคนเดียวรึไงคะ ทำไมต้องเป็นเธอมาคอยวนเวียนอยู่ตลอด” ยายคุณหนูถามขึ้นขณะที่ฉันกำลังรินไวน์ สายตาของเธอที่มองฉันเปลี่ยนไปหลังจากกลับมาจากห้องน้ำ...ไปโดนตัวไหนมาอีกล่ะ

“ตอนนี้โต๊ะในร้านเต็มหมดเลยค่ะ แต่ละคนเลยมีหน้าที่กันล้นมือ ดิฉันจึงต้องดูแลพวกคุณเพื่อให้ได้รับการบริการที่ดีที่สุดค่ะ” ฉันตอบพร้อมกับฉีกยิ้ม ทั้งยังบังคับสายตาตัวเองให้ต้องยิ้มไปด้วย

“แล้วทำไมต้องเป็นเธอ เปลี่ยนคนได้มั้ย”

“ดะ..”

“ดา ทำไมพูดแบบนั้น” ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูด เสียงคุณมาเฟียก็แทรกขึ้นมาก่อน

รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่ที่มุมปากของเขาทำให้ฉันรู้สึกว่าที่เขาพูด...ไม่ได้เพื่อช่วยฉันสักนิด แต่จะเถียงกันทำไมให้มากความ ถามฉันสิว่าอยากมาอยู่ใกล้พวกคุณหรือเปล่า

“ก็ดาไม่ชอบสายตาที่เธอมองพี่จิ้นนี่คะ” สายตาบ้าบออะไรกันล่ะ ฉันไปมองเขาตอนไหนกัน

“ขอโทษครับ เชิญคุณทำงานของคุณต่อได้เลย” ในที่สุดเขาก็ตัดบทยายคุณหนูจอมมโนนั่นเสียที

และฉันก็ตอบออกไปได้แค่ “ค่ะ”

ไม่นานก็มีสัญญาณจากทางห้องครัวส่งมาว่าเป็ดอบไวน์แดงเสร็จแล้ว ฉันจึงรีบเข้าไปในครัวเพื่อเอามาส่ง ตอนนี้ฉันตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องรีบให้พวกเขากินเสร็จไวๆ จะได้กลับไปเสียที

“เป็ดอบไวน์แดงมาแล้วค่ะ” ฉันวางจานเป็ดลงบนโต๊ะอาหารท่ามกลางสายตาประหลาดใจของคนทั้งคู่

“เอ๊ะ ใครสั่งเป็ดอบไวน์แดงคะ” ยายคุณหนูหันมาถามฉันด้วยสีหน้าสงสัย แล้วจะให้ฉันตอบยังไงดีล่ะ เขาไม่ได้สั่ง ฉันสั่งให้เองแบบนี้หรือ

“คือว่าเป็นเมนูพิเศษจากทางร้านค่ะ”

“เมนูพิเศษอะไรกัน พี่จิ้นเขาแพ้...”

“ดา พี่สั่งเอง อยากให้ดาลองชิมน่ะ” คุณมาเฟียมองฉันอย่างประหลาดใจแล้วพูดแทรกขึ้นมา ก่อนที่ยายคุณหนูจะโวยวายมากกว่านี้ และเหมือนว่าคุณบอดีการ์ดทั้งสองจะขยับตัวเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเอะอะของคุณหนูดา แต่คุณมาเฟียก็ยกมือปรามเอาไว้ก่อน

อย่าบอกนะว่าเขากินเป็ดไม่ได้ แพ้เป็ด?

“ให้ดาเหรอคะ” ยายคุณหนูเปลี่ยนเป็นเสียงที่สองอีกครั้งหลังจากรู้ว่ามีคนสั่งเมนูพิเศษให้ “ขอบคุณนะคะ ดีใจจังเลย”

ถึงหมั่นไส้ยายคุณหนูอยู่นิดหนึ่ง แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกผิดอยู่มาก หากเขาแพ้เป็ดแล้วเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ละก็ แย่แน่ๆ จึงได้แต่ยืนสงบนิ่งอยู่ไม่ห่างจากโต๊ะเขาเงียบๆ รอดูว่าพวกเขาต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ และระหว่างนั้นก็ต้องฟังบทสนทนาของพวกเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“พี่จิ้นจะมาอยู่ไทยอีกนานมั้ยคะ”

“อาจจะนานครับ ขึ้นอยู่กับว่างานจะเสร็จเมื่อไหร่”

“แสดงว่าเราจะได้เจอกันบ่อยๆ ใช่มั้ยคะ”

“คงต้องนัดผ่านพีทนะครับ ตารางเวลาพี่อยู่ที่พีท” คนอะไรเย็นชากับแฟนเสียจริง แบบนี้สินะ เนื้อคู่เธอถึงไม่ใช่เขาน่ะ

ยายคุณหนูทำปากยู่ หันไปมองที่โต๊ะบอดีการ์ดอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหันมาคุยกับคุณมาเฟียต่ออย่างออดอ้อน

“คุณพีทอีกแล้วเหรอคะ เราติดต่อกันเองได้มั้ยคะพี่จิ้น”

“คงไม่ได้ครับ”

ระหว่างที่ฟังเรื่องไร้สาระของคนทั้งคู่ ในหัวของฉันก็รับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ ทันใดนั้นเองประตูของร้านก็เปิดออก เผยให้เห็นผู้ชายร่างสูงดูสะอาดสะอ้านที่กำลังเดินเข้ามาในร้าน เขาดูดีนะ แต่เขาไม่ปกติ ทำยังไงดีนะ ฉันรับรู้ได้ว่าเขากำลังจะทำเรื่องร้ายๆ สักอย่างในร้านแห่งนี้ แต่ระหว่างที่กำลังคิดหาวิธี เสียงของใครบางคนก็แทรกเข้ามา

“ว้าย! เลอะหมดเลยค่ะ” เสียงยายคุณหนูดังขึ้น มือของเธอเต็มไปด้วยน้ำสีแดงของมะเขือเทศ “เดี๋ยวดามานะคะ ขอตัวไปล้างก่อน”

ฉันเบิกตากว้างขึ้น ไม่ได้นะ ยายคุณหนู อย่าลุกออกไป เธอกำลังจะซวย

“ครับ”

“ไม่ได้นะคะ” ฉันโพล่งออกไปพร้อมกับก้าวเข้าไปขวางทางยายคุณหนูไว้ เธอจะเดินผ่านผู้ชายคนนั้นตอนนี้ไม่ได้

“อะไรของเธอเนี่ย มือฉันเลอะ จะไปล้าง” พูดพลางยกมือขึ้นมาให้ดูเป็นหลักฐาน ก่อนจะเดินผ่านฉันไปอย่างรวดเร็ว

และไม่ทันขาดคำ...

“กรี๊ดดด”

“อย่าเข้ามา ถ้าไม่อยากให้ผู้หญิงคนนี้เป็นอะไร” เสียงผู้ชายคนนั้นดังขึ้นลั่นร้าน พร้อมกับคว้าเอาตัวคุณดาไปอยู่ในอ้อมแขน มืออีกข้างของเขากำมีดปอกผลไม้เอาไว้แน่น

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนฉันไม่สามารถจะเตือนคนในร้านได้ทัน ตอนนี้คุณดามีสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด เธอคงตกใจมาก ใบหน้าของเธอซีดเผือด ตามหน้าผากและไรผมเริ่มมีเม็ดเหงื่อซึมออกมา ทุกคนในร้านตกอยู่ในสภาพตื่นตระหนก

“บอสครับ เอาไงดีครับ” บอดีการ์ดสองคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะสิบเอ็ดรีบวิ่งมาสมทบกับเจ้านายของพวกเขา

“พีทไปข้างหลัง มาตรมากับผม” เขาสั่งการลูกน้องทั้งสองคน ก่อนจะค่อยๆ ลุกอย่างใจเย็นและเดินเข้าไปใกล้กับตำแหน่งที่คุณดายืนอยู่

ถึงแม้จะยอมรับว่ารำคาญยายคุณหนูนั่นอยู่ไม่น้อย แต่ฉันก็ไม่ได้ใจร้ายใจดำถึงกับจะปล่อยให้ใครเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตาได้ลงคอ ฉันพยายามจะใช้ความสามารถของตัวเองในการช่วยเธอ แต่ขอโทษจริงๆ ฉันช่วยไม่ได้ อย่างที่บอก ฉันไม่สามารถควบคุมมันได้

“ผมว่าเรามาคุยกันดีๆ ดีมั้ย” คุณมาเฟียเอ่ยขึ้นด้วยน้ำราบเรียบ ให้ความรู้สึกสงบนิ่งเวลาฟังมาก น่าทึ่งมากที่เขาสามารถรักษาโทนเสียงให้นุ่มในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ได้

“ไม่ฟัง! ออกไปให้หมด! ไม่ว่าหน้าไหนก็หลอกลวงทั้งนั้น” ชายคนนั้นตวาดกลับมาพร้อมกับเอามีดจี้ไปที่คอของยายคุณหนูให้ใกล้กว่าเดิม

“ใครไปหลอกลวงคุณ เล่าให้ผมฟังสิ แล้วผมจะช่วย”

ฉันมองคุณมาเฟียด้วยความรู้สึกหวาดๆ ตอนนี้เขาน่ากลัวเสียยิ่งกว่าคนร้ายนั่นอีก คนที่ไม่แสดงอารมณ์อะไรเลยในเวลาแบบนี้ เขาดูมั่นใจมาก เหมือนทุกเหตุการณ์มันอยู่ในกำมือของเขา

ระหว่างที่กำลังทึ่งกับความนิ่งของคุณมาเฟีย สายตาฉันก็เหลือบไปเห็นหญิงชายคู่หนึ่งที่กำลังลุกหนีออกจากร้านด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน และเมื่อฉันสบตาเข้ากับฝ่ายหญิง...บางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัวฉันอีกครั้ง

เธอกำลังหนีผู้ชายคนนี้...เธอเป็นแฟนเขา

ไม่ได้การ ผู้ชายคนนี้ต้องมาหาแฟนแน่ๆ ถ้าปล่อยแฟนเขาหนีไปแบบนี้ ยายคุณหนูนั่นจะไม่โดนแทงจนพรุนรึไง ฉันจะปล่อยให้เธอมาเป็นอะไรในร้านนี้ไม่ได้

“คุณคะ” ฉันรีบแทรกตัวฝ่าฝูงชนที่เริ่มเข้ามามุงเพื่อดูเหตุการณ์ดังกล่าว “ยังไปไม่ได้นะคะ”

“คะ? ฉันจ่ายเงินแล้วนะคะ” เธอหันกลับมาตอบด้วยสีหน้าหวาดหวั่น ก็จะไม่ให้หวั่นได้ยังไง ในเมื่อเธอหนีแฟนมากินข้าวกับกิ๊ก แล้วแฟนที่แอบตามมาดันเป็นบ้าไปจับคนอื่นเป็นตัวประกัน

“คุณจะปล่อยให้แฟนคุณทำร้ายคนอื่นไม่ได้นะคะ”

“เธอ...” ผู้หญิงคนนั้นเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจ ก่อนจะรีบหลบตาฉัน แล้วคว้าเอาแขนผู้ชายคนข้างๆ เพื่อหนีต่อ แต่ไม่ทันแล้วละ ในเมื่อฉันก้าวไปถึงประตูได้ก่อนเธอ

“กลับไปคุยกับเขาเถอะค่ะ อย่าให้ใครต้องเป็นอะไรเพราะคุณเลย คุณจะรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตนะคะ” ฉันก็ทำพูดดีไปงั้นแหละ เพราะคนบางคนต่อให้ทำลายชีวิตใครไปมากแค่ไหน เขาก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร มีให้เห็นเยอะแยะไปในบ้านเรา

สองคนนั้นมองหน้ากันเหมือนกำลังชั่งใจ ทำให้ฉันต้องพูดซ้ำเพื่อกระตุ้นพวกเขา

“กลับไปเดี๋ยวนี้นะคะ อย่าให้ฉันต้องพูดเยอะ” ฉันใช้ความสามารถทางใบหน้าทั้งหมดที่มีทำหน้าให้ดูโหดที่สุด ทั้งๆ ที่ถ้าสองคนนั้นร่วมใจกันผลักฉันออกไปซะ ฉันก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้

“ทำตามที่เธอบอกครับ ถ้าพวกคุณไม่อยากมีปัญหาภายหลัง” เสียงเข้มที่ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังทำให้ฉันต้องหันกลับไปมอง บอดีการ์ดคนแรกที่เข้ามาในร้านนี่นา

แรงกดดันจากผู้ชายร่างสูงแบบเขามันมากกว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างฉันไม่รู้กี่เท่า ในที่สุดชายหญิงทั้งคู่ก็ต้องยอมจำนน เดินกลับเข้าไปที่กลางร้าน โดยมีฉันและคุณบอดีการ์ดเดินตามไปติดๆ

“ดา ทำไมถึงหลอกพี่” เสียงคร่ำครวญจากผู้ชายที่ขาดสติดังขึ้นเมื่อพบหน้าแฟนสาวตัวเอง อะไรมันจะช่างบังเอิญขนาดนี้ ที่แฟนเขาก็ดันมาชื่อดาเหมือนยายคุณหนูไข่เจียว ฉันไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาคุยอะไรกันไปบ้างเพราะมัวแต่ไปตามแฟนของเขามา

“พี่เก้าอย่าไปทำเขา ปล่อยเขาไปเถอะ” เธอบอกพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้น

ฉันไม่รู้เรื่องราวของพวกเขาไปมากกว่านี้แล้ว ได้แต่ภาวนาให้ผู้ชายคนนั้นกลับมามีสติ ส่วนยายคุณหนูผู้น่าสงสารตอนนี้ก็ได้แต่ร้องไห้แบบไม่กล้าส่งเสียง

“ดา กลับมาหาพี่นะ” เหมือนว่าเขาจะเริ่มใจอ่อนลง ถ้าไม่ดันเหลือบไปเห็นผู้ชายที่มากับแฟนของเขา สายตาเขาเปลี่ยนจากที่กำลังโศกเศร้ากลายเป็นโกรธแค้น อารมณ์เขาดูสลับไปมาเหมือนกับคนบ้า

“เพราะพี่เป็นแบบนี้ไง ดาจะไปกล้าอยู่ด้วยได้ยังไง” เธอตะโกนตอบพร้อมกับน้ำตาที่ไหลเต็มสองแก้ม

“ปากดี!” เขาตะโกนเสียงดังจนเส้นเลือดที่หน้าผากและลำคอปูดขึ้น ฉันพายายคุณดามาช่วยหรือมาทำให้เรื่องแย่ลงกันแน่เนี่ย เธอควรจะพูดให้เขาใจเย็นสิ

“ผู้หญิงเลวๆ ควรจะตายไปให้หมด” ว่าแล้วเขาก็ง้างมีดขึ้นเตรียมจะแทงยายคุณหนู ทุกคนในร้านต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“อ๊ากกก” เสียงร้องโหยหวนของชายคนดังกล่าวดังขึ้น เมื่อเขาถูกคุณบอดีการ์ดหน้าตี๋ล็อกแขนและปลดอาวุธในจังหวะที่กำลังง้างมีด หลังจากนั้นก็โดนคุณมาเฟียจับทุ่มลงไปกองที่พื้น ก่อนที่จะโดนจับกดไว้แน่น วินาทีนั้นฉันแทบจะลืมหายใจไปเลย

“ปล่อยกูๆๆ” เสียงโวยวายของเขายังคงดังอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เป็นบอดีการ์ดทั้งสองของคุณมาเฟียที่ไปช่วยล็อกตัวเขาไว้

ไม่นานตำรวจก็เดินทางมาถึงตามแบบฉบับละครไทย คือเหตุการณ์คลี่คลายแล้วตำรวจก็จะมาถึงพอดี พวกเขาพาตัวคนร้ายไปที่โรงพัก แขกคนอื่นๆ ต่างพากันมุงดู บ้างก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิป บ้างก็ตกใจจนต้องยกมือขึ้นมาปิดปาก ส่วนคุณดาแฟนสาวของคนร้ายตอนนี้ก็นั่งร้องไห้โฮอยู่ที่พื้น ก็ไม่รู้จะสงสารดีมั้ย ไม่ขอยุ่งเรื่องของใครก็แล้วกัน

“รบกวนทุกท่านอยู่ในความสงบก่อนนะคะ ตอนนี้ตำรวจได้พาตัวคนร้ายไปแล้ว” เสียงพี่น้ำหอมประกาศดังขึ้นหลังจากที่ตำรวจกลับไป “ต้องขออภัยในความไม่สะดวกของวันนี้จริงๆ ค่ะ ทางร้านจะลดค่าอาหารให้ทุกโต๊ะห้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นการขอโทษนะคะ”

น่าสงสารพี่น้ำหอมที่ต้องมารับภาระที่เธอไม่ได้ก่อ แต่ฉันก็เข้าใจนะว่ามันคือการแสดงความรับผิดชอบและซื้อใจลูกค้า ส่วนฉันก็หน้าที่เดิมคือตามติดโต๊ะวีไอพี

“พี่จิ้นขา น้องดากลัว ฮือๆ” เสียงออเซาะของยายคุณหนูดังขึ้นเป็นระยะ ตามไหล่และแขนมีรอยแดงเต็มไปหมด ตัดกับผิวขาวๆ ของเธอ แถมที่คอยังมีรอยเหมือนโดนปลายมีดกรีดอีกด้วย

“มีแผลนี่ พี่ว่าน้องดาควรจะกลับบ้านไปทำแผลและพักผ่อนได้แล้วครับ” คุณมาเฟียพูดอย่างจริงจัง เขาเชยคางเธอขึ้นเล็กน้อยเพื่อดูแผลที่คอ แต่ก็ยังเว้นระยะห่างจากตัวเธอไว้อยู่ดี

“ก็ได้ค่ะ” เธอตอบเสียงอ่อย

“พีท ไปส่งคุณดาด้วย”

“ได้ครับ”

“ไม่เอานะคะ ดาอยากให้พี่จิ้นไปส่ง” ยายคุณหนูหน้างออย่างชัดเจน เมื่อกี้ยังทำหน้าอ่อนเพลียอยู่เลย ตอนนี้เปลี่ยนเป็นโหมดเอาแต่ใจเรียบร้อยแล้ว

“ดา กลับครับ” เสียงสั่งสั้นๆ เรียบง่ายแต่ทรงพลังนั้น แม้แต่คนแอบฟังอย่างฉันก็ยังขนลุก ไม่แปลกที่ยายคุณหนูจะรีบเก็บความเอาแต่ใจใส่กระเป๋าแล้วพยักหน้ารับคำสั่งทันที แต่ก็ไม่วายถามต่ออีก

“แล้วพี่จิ้นล่ะคะ”

“พี่หิว” จะไม่ว่าอะไรเลย ถ้าสายตาเจ้าเล่ห์นั้นไม่ได้จับจ้องมาที่ฉัน “คงต้องอยู่กินอะไรที่นี่ก่อน”

ฉันก็ได้แต่กู่ร้องตะโกนก้องในใจว่า ‘กลับไปเถอะ ได้โปรด!’

End Pu’s Talk

 

Bobby’s talk

ผมจ้องมองเด็กสาวตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ผมจำเธอได้ตั้งแต่ตอนที่เดินเข้ามาในร้าน เธอคือเด็กคนที่เจพูดถึง คือเด็กคนที่ผมเจอในงานแต่งของเจ ตอนนั้นเธอจ้องผมตาไม่กะพริบ จนผมคิดว่าเธอก็เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่หวังอะไรๆ จากผม

แต่การเจอกันครั้งนี้ทำให้ผมมองเธอต่างออกไป มีจุดที่ทำให้ผมสงสัยเธอหลายจุดหลังจากเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการที่เธอเอาเป็ดอบไวน์แดงมาเสิร์ฟผม ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเธอรู้ว่าผมแพ้ หรือเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ไหนจะการที่เธอเตือนน้องดาเหมือนกับรู้ว่าจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น แถมเธอยังรู้ว่าใครเป็นคนที่ผู้ชายคนนั้นกำลังตามหา

เรื่องเป็ดยังมีโอกาสที่จะเป็นเรื่องบังเอิญได้ เธออาจไม่ได้ตั้งใจ แต่เรื่องน้องดา มีข้อสันนิษฐานของผมอยู่สองข้อ คือหนึ่ง...เธอรู้จักผู้ชายคนนั้น หรืออย่างที่สองที่ผมพยายามเถียงกับตัวเองว่าไม่น่าเป็นไปได้คือ...เธอรู้อนาคต

นี่มันยุค ๒๐๑๘ แล้ว เรื่องนี้เกินจินตนาการของผมไปมากจริงๆ

“คุณยังหิวอีกเหรอคะ แค่สเต๊กก็จานใหญ่มากแล้วนะคะ” เธอถามขึ้นหลังจากที่ผมพูดจบ เหมือนว่าเธอจะเริ่มเก็บสีหน้าไม่อยู่แล้ว ท่าทางของพนักงานดีเด่นคนก่อนหน้านี้หายไปไหนกันนะ

“นั่นน่ะสิคะ พี่จิ้นยังกินไหวอีกเหรอคะ” น้องดาที่ตอนนี้ยังคงไม่จากไปไหนทักขึ้นอีกคน

“พาคุณดาออกไปได้แล้ว ทำแผลให้เธอด้วย แล้วก็อยู่เป็นเพื่อนถ้าเธอต้องการ” ผมหันไปกระซิบเบาๆ กับพีท ก่อนจะหันไปบอกกับน้องดาเพื่อเป็นการตัดบท

“ได้ครับ”

“เจอกันใหม่นะครับน้องดา” เธอควรจะรีบกลับบ้านไปพักผ่อนและทำแผล เธอทำหน้าตัดพ้อเล็กน้อย แต่ผมคงไปส่งเธอด้วยตัวเองไม่ได้จริงๆ ผมไม่ชอบให้ความหวังใคร

“เชิญครับคุณดา” พีททำหน้าที่ดึงน้องดาออกจากผมได้ดี ด้วยความนิ่งของเขาทำให้การเอาแต่ใจของน้องดาไม่เคยได้ผลเลย

“เฮอะ” เธอสะบัดหน้าอย่างขัดใจก่อนที่จะเดินนำพีทออกไป แต่เมื่อเดินห่างโต๊ะไปได้ไม่มาก เธอก็หันหน้ากลับมา

“อ้อ คุณเด็กเสิร์ฟ เมื่อกี้ขอบคุณมากนะคะ” น้องดาหันไปจ้องมองพนักงานเสิร์ฟคนนั้น “แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ห้ามมาทำเจ๊าะแจ๊ะกับพี่จิ้น เข้าใจมั้ย”

“ค่ะ” มาดพนักงานดีเด่นของเธอกลับมาแล้วเมื่อเธอฉีกยิ้มกว้างให้น้องดา เธอควบคุมอารมณ์ได้ค่อนข้างดีเลยละ

หลังจากน้องดาเดินออกไปแล้ว ผมก็หันมาเปิดประโยคสนทนากับเด็กสาวตรงหน้า เพราะความน่าสงสัยที่มีมากมายในตัวเธอทำให้ผมยังไม่อยากจะลุกไปไหน

“ผมสั่งเมนูพิเศษ แต่คุณกลับเอาสิ่งที่ผมกินไม่ได้มา ผมเลยต้องอยู่ต่อ”

“ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณสั่งใหม่ได้เลยค่ะ อีกยี่สิบนาทีครัวจะปิดแล้ว ต้องรีบนิดนึงนะคะ” เธอตอบพร้อมกับยื่นเมนูมาให้ผม

“คุณคิดว่าผมควรจะสั่งอะไรดีในเวลาแบบนี้” ผมไม่ได้ตั้งใจก่อกวนเธอ แต่ผมอยากดูปฏิกิริยาของเธอมากกว่า ถ้าเธอรู้อนาคตจริงๆ ละก็ เธอควรจะมาเป็นคนของผม...ผมหมายถึง ทำงานให้ผม

“ข้าวไข่เจียวมั้ยคะ เหมือนแฟนของคุณ” เธอตอบ นัยน์ตาของเธอฉายแววเบื่อหน่ายอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งเหมือนเดิม นี่เป็นปฏิกิริยาที่ผมไม่เคยเห็นจากผู้หญิงมาก่อน

“ถ้าคุณว่าอย่างนั้นก็โอเคครับ”

หลังจากที่ผมตอบรับเธอไปอย่างง่ายๆ เธอก็วิ่งหายเข้าไปในครัวอีกครั้ง ส่วนผมก็นั่งมองร้านไปเรื่อยๆ โดยมีมาตรคอยยืนอยู่ข้างๆ ร้านนี้ระบบจัดการยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถึงแม้อาหารจะรสชาติดี แต่ถ้าไม่เปลี่ยนระบบคงโตไปมากกว่านี้ไม่ได้ เพราะเมื่อธุรกิจขยายก็ต้องมีการจัดการที่ครอบคลุม ถ้ายังเป็นระบบเป็นกันเองแบบนี้ละก็ คุมงานไม่ได้แน่ๆ

ไม่นานพนักงานเสิร์ฟคนเดิมหรืออาจารย์ปุ๊ที่เจพูดถึงก็กลับมาวนเวียนรอบโต๊ะผมอีกครั้ง เธอทำงานของเธอโดยที่ไม่ยอมมองมาทางผมถ้าผมไม่เรียก การทำงานของเธอก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย จะว่าไปตอนนี้เธอก็เหมือนคนปกติทั่วไป

“คุณเลิกงานกี่โมงครับ” ผมถามขณะที่เธอกำลังวางจานข้าวไข่เจียวลงบนโต๊ะ

“...” เธอไม่ตอบ แต่กลับมองผมด้วยสายตาไม่ไว้วางใจอย่างประหลาด และนั่นทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเพิ่งพูดอะไรออกไป

“ถ้าทำให้คุณเข้าใจผิดก็ต้องขอโทษด้วย ผมแค่อยากรู้ครับ ไม่ได้คิดเป็นอื่น” ผมรีบแก้ตัว เมื่อสายตาของเธอที่มองมานั้นมันเหมือนกับผมเป็นอาเสี่ยที่คอยออฟเด็กไปควงหลังเลิกงาน

“ร้านปิดสามทุ่มค่ะ” เธอตอบมาสั้นๆ ก่อนจะรีบขยับตัวออกห่างไปยืนชิดผนังร้าน

นี่เธอมองผมเป็นตัวอะไรกัน

 

หลังจากจัดการกับข้าวไข่เจียวที่สั่งมาจนหมด มาตรก็ทำการจ่ายเงินให้เป็นที่เรียบร้อย และเราก็กลับขึ้นมาที่รถ โดยที่ยังไม่ออกรถไปไหน ผมตั้งใจว่าจะสะกดรอยตามเธอไปที่บ้าน

“มาตร” ผมทักขึ้นขณะที่ผมกับมาตรกำลังนั่งรอร้านปิดอยู่ในรถเงียบๆ

“ครับบอส”

“ผมดูไม่น่ากลัวหรือว่าไม่น่าไว้วางใจขนาดนั้นเลยเหรอ” ปฏิกิริยาของเธอทำให้ผมเกิดไม่มั่นใจในตัวเองขึ้นมานิดๆ โอเค ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนจะวิ่งเข้าหาผม แต่ก็ไม่เคยมีใครวิ่งหนีผมขนาดนี้ ผมว่าผมก็เป็นสุภาพบุรุษพอตัวนะ

“ไม่นี่ครับ บอสอ

“เดี๋ยวนะมาตร แกอย่าบอกนะว่า...”

“ไม่ใช่ครับบอส ผมหมายถึง ชอบแบบ...อยากหล่อเหมือนบอสครับ” มาตรรีบแก้ตัวทันทีเมื่อผมมองหน้าเขาอย่างไม่ไว้ใจ ก็เล่นตอบอะไร ขนลุกไปหมด

“ผมไม่ห้ามนะ เรื่องรสนิยม แต่อย่าคิดแบบนั้นกับผม” ไม่ว่ายังไงผมก็ยังชอบผู้หญิงอยู่ แต่ถ้าคนที่ผมไว้ใจจะมาคิดกับผมแบบนี้ผมคงนอนไม่หลับ

“เฮ้ย ไม่ใช่นะบอส ผมชอบผู้หญิง ไม่ใช่เถื่อนๆ แบบบอส”

“...”

เอาเถอะ จะว่าอะไรก็ว่าไป ไม่จ้องประตูหลังกันก็พอ

 

ประมาณสามทุ่มครึ่ง ในที่สุดร่างเล็กที่ผมรอคอยก็เดินออกมาจากร้าน คราวนี้เธออยู่ในชุดนักเรียนของโรงเรียนเอกชนสักแห่ง เธอกำลังเดินไปที่วินมอเตอร์ไซค์

“มาตร ตามเธอไป”

“ครับบอส”

มาตรขับรถตามเธอไปห่างๆ อย่างมืออาชีพ เพื่อไม่ให้เจ้าตัวรู้ตัว เราขับรถเข้าซอยมาเรื่อยๆ บรรยากาศแถวนี้ไม่ค่อยเปลี่ยวเท่าไหร่นักเนื่องจากมีร้านค้าริมทางเปิดอยู่ตลอด ชุมชนแถวนี้เป็นชุมชนขนาดกลาง ไม่แออัดมากนัก บรรยากาศทางไปบ้านเธอจึงนับว่าค่อนข้างปลอดภัยสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียว

และแล้วรถของเธอก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าตึกแถวแห่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นร้านอะไรสักอย่าง แต่ตอนนี้ปิดไปแล้ว เธอรีบเปิดประตูและเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว

“ให้เจนนี่มาสืบเรื่องของเธอ”

“ครับบอส”

“ผมอยากรู้ว่าเธอมองเห็นอนาคตจริงรึเปล่า”

“ถ้าจริง เราจะจ้างเธอมาช่วยหาสร้อยใช่มั้ยครับบอส”

“ถ้าจริง...ก็ทำให้เธอเป็นของเรา”

End Bobby’s talk

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น