บทที่ ๑๒

๑๒

 

 เมื่อตะวันทอแสง ความวุ่นวายก็ปรากฏขึ้นมากกว่าทุกวัน เนื่องจากวันนี้พระยาพลากรพยุหโยธินกับคุณหญิงโสภาจะมากินอาหารที่บ้าน คนที่ตื่นเต้นที่สุดก็คือคุณสร้อยกับแสงจันทร์ คุณสร้อยนั้นถึงกับลงมาดูในครัวด้วยตนเองทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยย่างกรายมา กระนั้นการลงครัวของคุณสร้อยก็เพียงเพื่อมาสั่งงานเฉยๆ เท่านั้น เพราะคนที่ดูแลเรื่องอาหารส่วนใหญ่เป็นบุษบง

 วันนี้บุษบงได้รับอภิสิทธิ์พิเศษจากคุณสร้อยให้ใช้คนงานได้ เพราะต้องการให้ทุกอย่างพร้อมสรรพสำหรับการดูตัวครั้งแรกของลูกสาว

 บ่าวทุกคนต่างกล่าวขานถึงเรื่องนี้ ทุกคนตื่นเต้นที่จะได้เห็นหนุ่มนักเรียนนอกคู่หมั้นของแสงจันทร์ แต่ขณะเดียวกันก็สงสารชายหนุ่มผู้นั้นด้วยรู้กันดีว่าเจ้านายของตนเป็นเช่นไร

 บุษบงไม่ใคร่สนใจอะไรนัก หน้าที่ของหล่อนคือการทำงานให้บรรลุตามจุดประสงค์ ซึ่งก็คือการทำอาหารอย่างพิถีพิถันอย่างที่สุดขึ้นโต๊ะ สำหรับเรื่องของแขกก็รู้เพียงคร่าวๆ ว่าพระยาพลากรพยุหโยธินนั้นเป็นทหารประจำอยู่กรมช่าง ก่อนหน้านี้ไปดำรงตำแหน่งทูตทหารที่เมืองนอกหลายปี คุณหญิงโสภาผู้เป็นภรรยาติดตามไปด้วย ท่านทั้งสองมีบุตรชายเพียงคนเดียว ชื่อคุณเกื้อกูล พลากร เรียนจบมาจากต่างประเทศ และคงเข้ารับราชการในอีกไม่นานนี้

 ชื่อพยางค์แรกของคู่หมั้นแสงจันทร์เหมือนกับชื่อของเกื้อ จิตรกรผู้มีความฝันจะส่งรูปไปประกวดที่อิตาลี แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้บุษบงสนใจในตัวชายหนุ่มผู้มาเป็นแขกนัก และแอบยินดีหากแสงจันทร์จะออกเรือนไปกับคนดีที่คู่ควร เพราะนั่นก็คงเป็นความสุขของคุณหญิงแขเช่นกัน บุษบงจึงพยายามทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด หล่อนเข้าครัวตั้งแต่เช้าจนกระทั่งเกือบบ่ายสามโมงทุกอย่างจึงเสร็จ แม้แขกจะมาตอนเย็นแต่หล่อนก็คิดว่าควรเตรียมให้พร้อม เมื่อแขกมาก็อุ่นอาหารจากนั้นก็ขึ้นโต๊ะเลย น่าจะมีความผิดพลาดน้อยกว่าที่จะทำกันตอนจวนเวลา

 เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีหล่อนก็กลับเรือนเล็ก ในยามบ่ายเช่นนี้คุณหญิงแขมักจะทำงานฝีมือหรือทำของใช้ต่างๆ เอาไว้ใช้สอย เช่นทำน้ำอบ เย็บหมอน เย็บผ้าห่ม หรือแม้กระทั่งเอาเสื้อผ้าเก่าที่ชำรุดมาซ่อมแซม หากตัดใหม่ท่านก็จะเอาของเก่ามาแยกชิ้นส่วน ถ้าส่วนไหนยังพอใช้ได้ท่านก็จะเก็บเอาไว้ใช้ แล้วนำมาประกอบเป็นเสื้อตัวใหม่ซึ่งก็สวยเก๋ไปอีกแบบ

 วันนี้คุณหญิงแขทำบุหงารำไปเอาไว้ใส่ในตู้เสื้อผ้า เพื่อไล่กลิ่นอับและทำให้เสื้อผ้ามีกลิ่นหอม บุษบงเองก็ค่อนข้างจะคุ้นเคยกับงานชนิดนี้เพราะทำมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเห็นก็นั่งลงหยิบกลีบดอกไม้ที่ตากแห้งเอามาใส่ในถุงลูกไม้ที่เย็บเตรียมไว้ก่อนหน้า

 “งานข้างล่างนั่นเสร็จแล้วหรือแม่บุษ” คุณหญิงแขถามอย่างมีเมตตา ท่านรู้ว่าวันนี้หล่อนเหนื่อยกับการเตรียมงานนี้มาก เรียกว่าทำแทบทุกอย่างก็ว่าได้

 “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ เหลือแค่อุ่นอาหารก็เอาตั้งโต๊ะได้”

 “เหนื่อยโดยไม่ใช่เรื่องของเราสักนิด เห่อกันนักก็ไปกินกันข้างนอก ไม่เห็นต้องลำบาก” จำปาบ่นยืดยาวตามประสา

 “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง”

 ขณะที่บุษบงกำลังช่วยคุณหญิงแขนำบุหงารำไปใส่ถุงลูกไม้แล้วเย็บปิดปากถุง พร้อมกับนำเศษผ้าแพรสีสวยที่เหลือจากการตัดเสื้อมาทำเป็นโบ เสียงฝีเท้าหนักๆ ซอยกระชั้นก็เรียกความสนใจจากทุกคนให้มองไปยังประตู แล้วหญิงสาววัยแรกรุ่นโฉมสะอางซึ่งเป็นคนสำคัญที่สุดของวันนี้ก็ปรากฏตัว

 “กราบคุณย่าค่ะ” แสงจันทร์ยกมือขึ้นพนมทั้งที่ยืนค้ำหัวจำปากับบุษบง ไม่ได้กราบอย่างที่ปากพูดเลย

 คุณหญิงแขปรายตามองด้วยสายตาเฉยเมยแต่สีหน้าคล้ายมีคำถาม เนื่องจากแสงจันทร์ไม่ค่อยโผล่หน้ามาให้เห็นบ่อยนักทั้งที่เรือนอยู่ห่างกันไม่กี่สิบก้าว

 “แสงจะขอตัวแม่บุษหน่อย” แสงจันทร์รวบรัดตัดความ

 “จะเอาไปทำอะไรหรือแม่แสง”

 แสงจันทร์ไม่ค่อยพอใจนัก หล่อนไม่ชอบให้ใครเซ้าซี้ แต่เมื่อผู้เป็นย่าถามหล่อนก็ต้องตอบ “แสงมีน้ำยาทำผมรุ่นใหม่เพิ่งซื้อมาจากห้างฝรั่ง ก็เลยจะให้แม่บุษเขาช่วยทำให้หน่อย”

 “แม่บุษช่วยย่าทำงานอยู่ ทำไมไม่ใช้คนอื่น”

 “ก็วิธีใช้มันเป็นภาษาฝรั่ง ไม่มีใครอ่านออก ใช้สุ่มสี่สุ่มห้าหัวแสงพังกันพอดี”

 “แล้วทำไมไม่ลองอ่านเอง ทำเองล่ะ”

 คำถามนั้นเหมือนกับการย้อนถามธรรมดา แต่แสงจันทร์รู้สึกว่าตนเองถูกเยาะเย้ย เพราะคุณหญิงแขน่าจะรู้ดีว่าทำไมหล่อนไม่อ่านเอง แต่จะบอกว่าอ่านไม่ออกหล่อนก็จะเสียหน้า จึงเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ แล้วปรายตามองบุษบงอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

 “ก็แสงมีบ่าว ทำไมต้องทำเอง”

 “แม่แสง เราเป็นนายจะรู้น้อยกว่าบ่าวได้อย่างไร อยากเรียนกับเขาบ้างไหม ย่าจะจ้างให้คนมาสอน” น้ำเสียงผู้สูงวัยอ่อนลงคล้ายเว้าวอน

 “ไม่เอาหรอกค่ะ ไม่อยากเรียน ก็บอกแล้วว่ามีบ่าว อยากจะใช้เมื่อไหร่ก็ใช้ได้ ทำไมต้องไปเรียนให้เหนื่อย ตกลงคุณย่าจะให้แม่บุษไปกับแสงหรือเปล่าคะ ถ้าไม่ให้ไปแสงจะนั่งเรือไปทำข้างนอก”

 คุณหญิงแขได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา แต่สุดท้ายก็อนุญาต “แม่บุษ ไปช่วยหน่อยก็แล้วกัน”

 “เจ้าค่ะ” บุษบงรับคำ วางมือจากงานที่ทำแล้วคลานเข่าออกไปด้านนอก

ส่วนแสงจันทร์ไม่รอใครทั้งสิ้น หล่อนเดินลิ่วลงเรือนไปตั้งแต่คุณหญิงแขอนุญาตให้บุษบงมาช่วยหล่อนแล้ว

 “กิริยามารยาทใช้ไม่ได้สักนิดเดียว ไม่น่าปล่อยให้คุณสร้อยเลี้ยงเองเลยนะเจ้าคะ ดูซิ ไปทางแม่เสียหมด” จำปาอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา หนักใจแทนคุณหญิงแขที่เป็นย่าแท้ๆ

 “มันคงเป็นเวรเป็นกรรมน่ะ สักวันหนึ่งทั้งแม่สร้อยและแม่แสงจันทร์คงได้รู้ว่าสิ่งที่ประพฤติปฏิบัติอยู่เป็นสิ่งที่ผิด”

 “คงรู้หรอกเจ้าค่ะ ปิดหูปิดตากันเสียขนาดนั้น คุณสันติเองก็หนีโรงเรียนทุกวัน”

 คำกล่าวนั้นยิ่งทำให้ใบหน้าที่หมองเศร้าอยู่แล้วของคุณหญิงแขยิ่งหมองเศร้ามากขึ้นไปอีก

 “พ่อแม่เขาไม่จัดการอะไรกันเลยหรือ”

 “ไม่นี่เจ้าคะ คุณหญิงก็ทราบว่าคุณสร้อยตามใจลูกแค่ไหน ส่วนคุณธรรมก็ไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องอะไรอยู่แล้ว คุณหญิงควรจะจัดการนะเจ้าคะ ก่อนที่คุณสันติจะถลำลึกไปมากกว่านี้”

 คุณหญิงแขถอนหายใจออกมา ในใจเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม 

 “ฉันจะไปทำอะไรได้ พ่อแม่ยังไม่ตักเตือน หากเรียกมาว่ากล่าวคงถูกถอนหงอกเอาแน่” 

ด้วยรู้ฤทธิ์เดชหลานชายคนเดียวดี สันติเป็นคนเอาแต่ใจมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งนิสัยก้าวร้าวไม่ฟังใคร เมื่อได้รับการให้ท้ายจากผู้เป็นแม่จึงยิ่งแล้วใหญ่ ไม่ฟังใครว่ากล่าวตักเตือนทั้งสิ้น

 คราวนี้เป็นตาของจำปาบ้างที่ถอนหายใจออกมา แม้จะเป็นแค่บ่าวแต่ก็รักนายอย่างถวายหัว ชื่อเสียงตระกูลที่สร้างสมกันมานานมีหวังจะต้องพังเพราะรุ่นของสันติและแสงจันทร์เป็นแน่ จึงภาวนาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครอง ขอให้เรื่องร้ายถูกปัดเป่าไปจากตระกูล และพบกับความรุ่งเรืองดั่งที่เคยเป็นมา

 

 รถยนต์เมอร์เซเดสเปิดประทุนสีดำมันปลาบแล่นเข้ามาตามถนน จากนั้นก็จอดสนิทหน้าเรือนหลังใหญ่ของพระยาธรรมานุรักษ์ นับว่าเป็นยานพาหนะอันแปลกตา เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ยังนิยมใช้เรือ ยกเว้นบรรดาเศรษฐีและผู้มีอันจะกินเท่านั้นที่เริ่มซื้อรถยนต์แบบฝรั่งมาใช้สอย 

 แขกที่มาเยือนเป็นผู้ชายกับผู้หญิงคู่หนึ่ง ทั้งคู่อยู่ในวัยกลางคน ฝ่ายชายสวมชุดข้าราชการทหารสีเขียวขี้ม้า มีเหรียญตราประดับที่หน้าอกหลายเหรียญส่งให้ดูสง่าผ่าเผยมากยิ่งขึ้น ส่วนฝ่ายหญิงสวมเสื้อลูกไม้สีม่วงแขนยาวถึงข้อศอก นุ่งผ้าซิ่นสีเขียวไม่มีลวดลาย ส่วนเครื่องประดับนั้นมีเพียงสามชิ้นคือกำไลข้อมือสีทองสุกปลั่งฝังอัญมณีที่แขนข้างขวา เข้าชุดกับสร้อยคอและแหวนเพชรเม็ดใหญ่ที่นิ้วนางข้างซ้าย เท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ดูงดงาม

 บุษบงซึ่งกำลังจะกลับเรือนเล็กเห็นแขกก้าวลงจากรถพอดี หากให้เดาคงเป็นแขกของเจ้าคุณกับคุณสร้อยจึงไม่อยากไปวุ่นวาย ทว่าเมื่อมองไปไม่เห็นผู้ใดหล่อนจึงวิ่งไปต้อนรับ เพราะการปล่อยให้แขกเคว้งคว้างอยู่ตามลำพังเป็นสิ่งที่ไม่สมควร

 บุษบงยกมือไหว้แขกอย่างอ่อนน้อม ทั้งสองก็รับไหว้พร้อมรอยยิ้ม

 “ไหว้พระเถอะหนู” แขกผู้หญิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงนั้นอ่อนหวานเช่นเดียวกับใบหน้า ก่อนจะบอกจุดประสงค์การมาเยือน “ฉันมาหาพระยาธรรมานุรักษ์กับคุณสร้อย นัดกินอาหารกับท่านเย็นนี้”

 “เจ้าคุณพลากรกับคุณหญิงโสภาใช่ไหมเจ้าคะ” หล่อนเรียนถาม ทราบมาก่อนแล้วว่าเย็นนี้เจ้านายของหล่อนมีแขกมากินอาหารด้วย และแขกทั้งสองไม่ใช่ใครที่ไหน พ่อแม่ของคู่หมั้นแสงจันทร์นั่นเอง แต่เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดจึงต้องถามให้แน่ใจ

 “ใช่จ้ะ ฉันคุณหญิงโสภา ส่วนทางนั้นคือเจ้าคุณพลากร” คุณหญิงแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานดุจเดิม 

 “เจ้าคุณรออยู่แล้วเจ้าค่ะ เชิญคุณท่านทั้งสองทางนี้” บุษบงผายมือเชื้อเชิญ

 “เดี๋ยวก่อนจ้ะ ฉันอยากไปเยี่ยมคุณป้าแขสักหน่อย ได้ข่าวว่าท่านไม่ค่อยสบาย ท่านเป็นอะไรไปหรือ” คุณหญิงโสภาซักถาม

 “ก่อนหน้านี้ท่านเป็นปอดบวม ตอนนี้อาการดีขึ้นมาก แต่ยังมีไออยู่บ้างเจ้าค่ะ” หญิงสาวเล่าอาการของคุณหญิงให้แขกฟังตามจริง

 “แล้วไปหาหมอหรือยัง”

 “ไปแล้วเจ้าค่ะ หมอที่ศิริราชจัดยาแก้ไอไว้พร้อม อีกทั้งเพิ่มยาบำรุงให้ด้วย เพราะเห็นว่าท่านอายุมากแล้วควรบำรุงร่างกายเจ้าค่ะ”

 “อย่างนั้นหรือ” คุณหญิงโสภาพยักหน้าเข้าใจ “เอาละ พาฉันไปหาคุณป้าทีเถอะ คิดถึงเหลือเกิน ไม่ได้เจอกันนานแล้ว”

 “เช่นนั้นเชิญทางนี้เจ้าค่ะ” 

บุษบงเดินนำแขกทั้งสองอ้อมหลังเรือนใหญ่ไปยังเรือนที่คุณหญิงแขพักอยู่ แต่ยังไม่ทันที่จะพ้นเงาเรือน เสียงของคุณสร้อยก็ดังขึ้นเสียก่อน และเจ้าตัวก็แทบจะถลาลงจากบันไดเรือน และไหว้สองสามีภรรยาผู้เป็นแขกอย่างอ่อนน้อมเกินความจำเป็นจนดูตลกมากกว่าพินอบพิเทา

 “ต๊าย คุณพี่ มาถึงกันนานแล้วหรือคะ”

 วันนี้เจ้าของเสียงทักทายแหลมปรี๊ดสวมชุดหรูหราเต็มยศ เสื้อลูกไม้แต่งระบายเป็นชั้นๆ จนพองฟูกับผ้าซิ่นสีกลืนกับเสื้อ เป็นภาพที่ไม่ชินตานัก เพราะโดยปกตินั้นคุณสร้อยมักนุ่งโจงกระเบน นี่คงเป็นโอกาสพิเศษอย่างแท้จริง

 เจ้าคุณพลากรกับคุณหญิงโสภารับไหว้คุณสร้อยด้วยรอยยิ้ม

 “เพิ่งมาถึงกันเดี๋ยวนี้เอง คนรถไปรับเจ้าคุณที่ทำงานแล้วตรงมาที่นี่เลย” คุณหญิงโสภาเป็นคนตอบ

 “มาถึงแล้วก็ขึ้นเรือนกันเถอะค่ะ เดี๋ยวลูกแสงคงตามออกมา ตอนนี้กำลังแต่งตัวอยู่ ลูกแสงตื่นเต้นมากที่คุณพี่ทั้งสองกับพ่อเกื้อจะมากินอาหารด้วย ก็เลยพิถีพิถันเป็นพิเศษ อย่างว่าละค่ะ สาวๆ สมัยนี้รักสวยรักงามกันเหลือเกิน” คุณสร้อยเอ่ยถึงบุตรสาวด้วยท่าทางปลาบปลื้ม แล้วก็ชะงัก “ว่าแต่พ่อเกื้อไปไหนเสียล่ะคะ หรือออกไปเดินเล่น” 

คุณสร้อยเอ่ยถามถึงชายหนุ่มที่กำลังจะมาเป็นลูกเขย เมื่อไม่เห็นเขาในบริเวณนี้

 “พอดีพ่อเกื้อบอกว่าขอเที่ยวที่ฟิลิปปินส์ก่อน น่าจะกลับในไม่ช้านี้ ก็เลยมากันแค่นี้” คุณหญิงโสภาเป็นคนกล่าวเช่นเคย ส่วนพระยาพลากรพยุหโยธินนิ่งเงียบ เพราะรู้ว่าเรื่องเช่นนี้ภรรยารับมือได้ดีกว่าตน

 “อุ๊ย ตายจริง น่าเสียดายนะคะ นี่ลูกแสงตัดชุดใหม่เพื่อเจอพ่อเกื้อโดยเฉพาะ” 

ไม่เพียงแต่น้ำเสียง ท่าทางและคำพูดของคุณสร้อยแสดงถึงความผิดหวังและเสียดายอย่างชัดเจนจนคุณหญิงโสภาหน้าเจื่อนไปทีเดียว

 “ดิฉันต้องขอโทษแทนลูกด้วย เอาไว้โอกาสเหมาะๆ เราค่อยนัดกันอีกที”

 “ค่ะ ไม่เป็นไร ต่อไปเราก็ต้องได้พบกันบ่อยๆ อยู่แล้ว เชิญคุณพี่ทั้งสองขึ้นเรือนเถอะนะคะ อยู่ตรงนี้เดี๋ยวยุงจะกัดเอา ใกล้ค่ำอย่างนี้ยุงชุมนัก” คุณสร้อยเชื้อเชิญอีกครั้ง แม้วันนี้จะพลาดหวังไม่ได้เห็นหน้าว่าที่ลูกเขย แต่ก็อยากให้ลูกสาวได้ทำคะแนน 

 “ดิฉันกับคุณพี่ว่าจะขอไปเยี่ยมคุณป้าก่อน ตั้งแต่กลับมายังไม่มีโอกาสได้มากราบท่านสักครั้ง” คุณหญิงโสภาเอ่ยคล้ายขออนุญาตกลายๆ เธอกับสามีเพิ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศ เนื่องจากสามีถูกส่งไปเป็นทูตทหารประจำการอยู่ที่ประเทศต่างๆ ในยุโรปนานหลายปี เพิ่งได้กลับมาบ้านเกิดเมืองนอนเมื่อสองเดือนที่ผ่านมานี่เอง

 สีหน้าคุณสร้อยเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มหวานกลบเกลื่อนได้อย่างสนิท “ดิฉันก็คิดอยู่เหมือนกันค่ะว่าจะพาไปกราบคุณแม่ แต่เห็นว่าท่านป่วยก็เลยไม่อยากให้ไป เกรงว่าจะติดคุณพี่ทั้งสองค่ะ อาการเหมือนโรคฝีในท้องด้วย ดิฉันว่าน่ากลัว”

 “อ้าว ไหนแม่หนูบอกว่าเป็นปอดบวม” คุณหญิงโสภาอ้างอิงคำกล่าวของบุษบง

 “ก็หมอฝรั่งพูดว่าอย่างนั้น แต่จะเชื่อถือได้แค่ไหนกัน ดิฉันไม่เคยเชื่อเลย ต้องระวังเอาไว้ค่ะ เกิดเป็นขึ้นมานี่แย่เลยนะคะ”

 “แต่ดิฉันเชื่อหมอฝรั่งค่ะ ถ้าอย่างนั้นให้แม่หนูคนนี้เป็นคนนำทางก็ได้” คุณหญิงโสภาตัดบท ชักเห็นถึงความไม่ชอบมาพากล แต่ก็ยังยืนยันว่าต้องการไปเยี่ยมคุณหญิงแขซึ่งประดุจญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง

 คำว่าแม่หนูของคุณหญิงโสภาทำให้คุณสร้อยสังเกตว่านอกจากจะมีตนและแขก ยังมีบ่าวที่ตนเองเกลียดขี้หน้ายืนอยู่ตรงนี้ด้วย จึงส่งสายตาที่แสดงถึงความไม่พอใจไปยังบุษบงทันที นัยว่าหญิงสาวอยู่ผิดที่ผิดทางและกำลังทำความผิดอย่างร้ายแรง

 “แม่หนงแม่หนูอะไรกันคะ เด็กคนนี้เป็นแค่บ่าวในบ้าน คุณแม่ท่านเอ็นดูเห็นว่ากำพร้าพ่อแม่เลยรับมาเลี้ยงดูตั้งแต่เล็กแต่น้อย คุณพี่อย่าได้ให้เกียรติมันถึงเพียงนั้นเลยเจ้าค่ะ” น้ำเสียงและคำพูดของคุณสร้อยแสดงถึงความเดียดฉันท์อย่างไม่ปกปิด

 คุณหญิงโสภายิ้ม มองบุษบงอย่างปรานี จากการแต่งตัวของหญิงสาวก็พอรู้ว่าอยู่ในฐานะอะไร แต่หน้าตาผิวพรรณงดงามหมดจดเหมือนกับลูกผู้ดีมีสกุล

 “อ๋อ แม่หนูนี่เองที่คุณป้าเอามาเลี้ยงไว้ ใช่ชื่อบุษบงหรือเปล่า”

 “เจ้าค่ะ ดิฉันชื่อบุษบง” หญิงสาวตอบอย่างแปลกใจที่แขกของเจ้าคุณธรรมานุรักษ์กับคุณสร้อยรู้ชื่อตน 

 “คุณป้าเคยเล่าให้ฟังว่ารับเด็กมาอุปการะ เคยเจอครั้งหนึ่งตอนเด็ก พอโตเป็นสาวสวยเชียว และแปลกทีเดียวที่หน้าไปละม้ายคล้ายเจ้าคุณ”

 เมื่อกล่าวไปแล้วคุณหญิงโสภาก็นึกขึ้นได้ว่ากล่าวในสิ่งที่ไม่ควรกล่าวออกไป จึงหยุดพูด แต่ดูเหมือนไม่ทันเสียแล้ว เพราะหน้าคุณสร้อยซีดเผือดราวกับประสบกับเรื่องอันน่าตกใจ 

 “คุณพี่ว่าอะไรนะคะ หน้าเด็กนี่คล้ายใคร” เสียงที่ถามออกไปนั้นเบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน 

ทุกคนงุนงงกับอาการของคุณสร้อย ไม่เว้นแม้แต่บุษบง

 คุณหญิงโสภาหน้าเสียทันทีเมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป เพราะกิตติศัพท์ความขี้หึงของคุณสร้อยนั้นเลื่องลือ แม้จะอยู่ที่ต่างประเทศก็ยังมีข่าวการราวีภรรยาน้อยของคุณสร้อยให้ได้ยิน และดูเหมือนคำพูดของตนเองนั้นอาจจะทำให้สาวน้อยหน้าหวานอมโศกคนนี้เดือดร้อน หากคุณสร้อยเก็บไปคิดและต่อเติมให้มากความ จึงรีบแก้ทันที

 “อ๋อ ดิฉันหมายถึงเจ้าคุณพลาธิการ หน้าขาวเรียวเหมือนแม่หนูคนนี้”

 แม้จะได้ยินเช่นนั้นแต่คุณสร้อยก็ยังมีสีหน้าบึ้งตึง สายตาคมกริบพิจารณาบุษบงอีกครั้ง แล้วหัวใจของหล่อนก็หล่นวูบเมื่อพบว่าใบหน้าของเด็กคนนี้นอกจากจะเหมือนคนที่หล่อนเกลียดนักเกลียดหนาแล้ว ยังมีเค้าของสามีด้วย หรือว่า...

 ‘ไม่จริง...เป็นไปไม่ได้’ คุณสร้อยปฏิเสธในใจ แต่ความจริงที่พบเห็นก็ทำให้หล่อนถึงกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและว้าวุ่นเป็นที่สุด

 

 แขกที่มาเยี่ยมเยียนในวันนี้สร้างความประหลาดใจและยินดีอย่างเหลือล้นให้คุณหญิงแข ท่านลุกขึ้นจากตั่งมาต้อนรับทั้งสองด้วยตนเองถึงกลางห้อง ส่วนคุณหญิงโสภาก็ก้มลงกราบแทบเท้าอย่างนอบน้อม อันหมายถึงความเคารพอย่างสูงที่มีต่อผู้สูงวัย

 “ลุกขึ้นเถอะแม่คุณ” คุณหญิงแขก้มลงประคองคุณหญิงโสภาขึ้นมา ก่อนจะรับไหว้เจ้าคุณพลากรซึ่งบัดนี้อายุล่วงเข้าสู่วัยกลางคนแล้วแต่ก็ดูยังหนุ่มยังแน่น เรือนกายผึ่งผายสง่างาม ยิ่งสวมชุดข้าราชการทหารสีเขียวเข้มยิ่งทำให้ดูมีอำนาจบารมี แม้กระทั่งบุตรชายคนเดียวของท่านยังเทียบรัศมีความสง่าไม่ได้ 

 “ไหว้พระเถอะพ่อคุณ”

 “คิดถึงคุณป้าเหลือเกิน เพิ่งได้มีโอกาสมากราบคุณป้าวันนี้ คุณป้าอย่าเคืองภาเลยนะคะ”

 คุณหญิงแขมองหญิงรุ่นลูกด้วยความเอ็นดู ความจริงคุณหญิงโสภาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือลูกของเพื่อนสนิทของท่านนั่นเอง และท่านก็ยังเสียดายที่ลูกชายท่านประพฤติตัวไม่ดีนักจนไม่กล้าสู่ขอหลานคนนี้มาเป็นศรีสะใภ้ แต่ในวันนี้เมื่อเห็นหลานรักมีความสุขกับคู่ครองก็อดที่จะยินดีไม่ได้

 พระยาพลากรเองก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล คือลูกเพื่อนสนิทของพระยาเดชานุรักษ์ผู้เป็นสามี ผู้ที่กำหนดให้เกิดพันธสัญญาทองแผ่นเดียวกันระหว่างสองตระกูลนั่นเอง

 คุณหญิงแขยิ้มแย้ม ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่จางหายไปนานพอสมควร

 “ป้าจะโกรธได้อย่างไร แค่มีน้ำใจมาเยี่ยมเยียนไม่ลืมคนแก่ ป้าก็ดีใจเหลือเกินแล้ว”

 “แล้วได้ข่าวว่าคุณป้าไม่สบาย เป็นอะไรหรือคะ”

 “เป็นหวัดเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นอะไรมาก แม่จำปากับแม่บุษวิตกไปเองกันแท้ๆ ความจริงคนแก่ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น” ท้ายเสียงนั้นบ่นอย่างไม่จริงจังนัก เพื่อไม่ให้ใครต่อใครต้องวิตกจนกินไป

“ว่าแต่พ่อกั้งเถอะ ต้องไปเมืองนอกอีกหรือเปล่าลูก” คุณหญิงแขถามถึงหน้าที่การงานของฝ่ายชายด้วยความเป็นกันเอง เพราะท่านเห็นพระยาพลากรมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กแบเบาะ บ่อยครั้งที่ท่านเลี้ยงคู่กับบุตรชายของตัวเองเสมือนทั้งคู่เป็นพี่น้องกันก็ไม่ปาน

 “ไม่ต้องแล้วครับคุณป้า กระผมได้ประจำการที่สยามแล้วขอรับ” การพูดจาของพระยาพลากรก็องอาจอย่างทหาร

 “ดีเหลือเกิน คราวนี้จะได้ดูแลบ้านช่องให้เต็มที่”

 “แล้วทำไมคุณป้ามาอยู่ที่เรือนหลังเล็กนี่ล่ะคะ ตอนแรกภาจะขึ้นไปเรือนใหญ่ แต่แม่หนูพามาที่นี่”

 ยังไม่ทันที่คุณหญิงแขจะตอบ คุณสร้อยก็เอ่ยขัดขึ้นมากลางคันเสียก่อน “เอ่อ...คุณพี่ทั้งสองคะ ดิฉันคิดว่าเราควรจะไปกินอาหารกันได้แล้วนะคะ ปล่อยเอาไว้จะเย็นเสียหมด ไม่อร่อยกันพอดี”

 “คุณป้ารับอาหารเย็นหรือยังคะ”

 “ยังหรอกจ้ะ อีกสักประเดี๋ยวเด็กคงยกสำรับมาให้”

 เมื่อได้คำตอบเช่นนั้นคุณหญิงโสภาก็หันไปทางเจ้าบ้านแล้วกล่าวว่า “คุณสร้อยคะ ดิฉันไม่ได้เจอกับคุณป้ามานานแล้ว ขอย้ายมากินอาหารที่นี่ได้ไหมคะ จะได้พร้อมหน้าพร้อมตากัน”

 “เอ่อ...จะดีหรือคะ ที่นี่คับแคบเกินไปเกรงว่าจะไม่เหมาะ”

 “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่แคบสักนิด เดี๋ยวเราไปกินกันตรงระเบียงนั่นก็ได้ ลมจากแม่น้ำพัดมาเย็นสบายดี”

 เมื่อฝ่ายแขกเอ่ยเช่นนั้นคุณสร้อยก็ไม่สามารถคัดค้านได้อีก ทั้งที่ไม่ค่อยพอใจนัก หล่อนไม่อยากให้คุณหญิงแขร่วมโต๊ะด้วย แม้เวลานี้จะเป็นใหญ่ในบ้าน แต่ลักษณะบางอย่างของเจ้าของเรือนเดิมนั้นก็ทำให้หายใจหายคอไม่ทั่วอย่างบอกไม่ถูก

 “ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจค่ะ” คุณสร้อยตอบรับพร้อมกับแสร้งยิ้มหวาน “เดี๋ยวดิฉันจะเชิญเจ้าคุณ ลูกสันและลูกแสงมากินด้วยกันที่นี่ แหม...นานๆ ได้กินอาหารพร้อมกันเสียทีก็ดีเหมือนกัน... นังกลอย เอ็งไปบอกให้เด็กๆ ยกสำรับลงมาที่นี่เดี๋ยวนี้” ประโยคหลังคุณสร้อยหันไปสั่งบ่าวคนสนิท

 “ไม่ได้ทำให้คุณสร้อยเดือดร้อนนะคะ” คุณหญิงโสภากล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจ

 “โอ๊ย...พูดอะไรอย่างนั้นล่ะคะ ไม่เดือดร้อนสักนิดเลยค่ะ บ่าวไพร่ออกจะเต็มเรือน เดี๋ยวเดียวก็ย้ายเสร็จ”

 เมื่อเจ้าบ้านรับรองอย่างแข็งขันเช่นนั้น คุณหญิงโสภาก็หันมาคุยกับผู้ที่ตนนับถือประดุจญาติผู้ใหญ่ต่อ เนื้อความส่วนใหญ่นั้นกล่าวถึงญาติคนอื่นๆ หรือไม่ก็เสด็จในวังพระองค์นั้นพระองค์นี้ เป็นการกีดกันคุณสร้อยออกจากการสนทนาโดยปริยาย เพราะคุณสร้อยไม่เคยรู้จักทุกคนที่ทั้งคู่กำลังกล่าวถึงเลยแม้แต่น้อย

 จนกระทั่งได้ยินเสียงตึงตังทางบันไดเรือน ทั้งหมดจึงหันไปมองเป็นตาเดียว 

 คนที่ปรากฏคือชายแรกรุ่น ผิวขาว หน้าตาคมคาย แต่ในยามนี้หน้าบึ้งสนิทจึงกลบเกลื่อนความน่าเอ็นดูไปเสียหมด

 “นี่ลูกสันติของดิฉันค่ะ กำลังเป็นหนุ่ม อารมณ์ร้อนสักนิด... มานี่เร็วลูก มากราบคุณลุงคุณป้า” คุณสร้อยแก้ตัวแทนบุตรชายก่อนจะหันไปเรียกเขา

 สันติยกมือไหว้อย่างขอไปที จากนั้นก็เดินไปยืนพิงระเบียงกอดอกท่าทางสบายๆ โดยไม่สนใจเลยว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นไม่ใช่มารยาทอันเหมาะสมที่จะทำต่อหน้าผู้ใหญ่

 สองสามีภรรยามองหน้ากันแต่ไม่มีใครกล่าวอะไร เช่นเดียวกับคุณหญิงแขที่บัดนี้หน้าเจื่อนเต็มทีเพราะกิริยามารยาทที่เหมือนไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนของหลานชาย

 เมื่อบ่าวไพร่เริ่มเอาอาหารมาตั้งโต๊ะแล้ว วันนี้เรือนเล็กของคุณหญิงแขจึงครึกครื้นเป็นพิเศษ 

 “คุณพี่มาแล้วค่ะ” คุณสร้อยกล่าวขึ้น 

 เงาตะคุ่มในความมืดคือชายคนหนึ่งที่กำลังเดินมาอย่างล่องลอยและอ่อนล้า และเมื่อบุรุษผู้นั้นก้าวขึ้นบนเรือนที่มีเพียงดวงไฟแสงสลัว ก็ยิ่งทำให้เห็นความร่วงโรยของพระยาธรรมานุรักษ์อย่างชัดเจน คุณหญิงโสภาถึงกับตะลึงในตอนแรก สิบกว่าปีที่ไม่เจอหน้ากัน เธอแทบจะจำพี่ธรรมของตนไม่ได้ เพราะในวัยหนุ่มนั้นพระยาธรรมานุรักษ์ทั้งหล่อเหลาและสง่าเป็นที่กรี๊ดกร๊าดในหมู่สาวๆ ทั้งนอกวังในวัง แต่วันนี้ผิวหน้าท่านหมองคล้ำ ดวงตาแห้งผาก ไม่ต่างจากต้นไม้ตายซากที่รอวันล้ม

 เกิดอะไรขึ้น...นั่นคือคำถามที่ผุดขึ้นมา แต่เธอก็ไม่กล้าเสียมารยาทถาม จึงเพียงยกมือไหว้อีกฝ่ายที่สูงวัยกว่าเป็นการทักทาย

 “ดิฉันมารบกวนกินอาหารด้วยนะคะคุณพี่”

 พระยาธรรมานุรักษ์รับไหว้พร้อมกับยิ้มรับ แต่ในสายตาของแขกนั้นเป็นยิ้มที่ดูแปลกๆ อย่างไรพิกล

 “ไม่รบกวนอะไรหรอก เชิญตามสบาย ไม่ได้เจอกันนานทีเดียว ทั้งคู่สบายดีใช่ไหม ได้ข่าวว่าเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกเมืองนา ทางโน้นเป็นอย่างไรบ้าง เห็นเขาว่าเจริญกว่าบ้านเรามาก”

 “ก็ตามอัตภาพ ไปก็ใช่ว่าจะสะดวกสบาย ต้องทำเองอยู่เองทุกอย่าง ได้กลับมาเมืองไทยนับว่าเป็นบุญ” พระยาพลากรตอบตามความจริง ท่านเองไม่ได้นิยมชมชอบต่างประเทศสักเท่าไรแต่ด้วยหน้าที่จึงต้องไป

 “อะไรกัน ใครก็อยากไปกันทั้งนั้น ฉันเองก็อยากไปแต่ยังไม่ได้รับโอกาส ชาตินี้คงไม่ต้องไปไหน ยิ่งตอนนี้หลวงบอกให้ประหยัด งบหลายอย่างถูกตัด”

 “ก็ไม่ใช่แค่สยามเรา บัดนี้เศรษฐกิจทั่วโลกก็ตกต่ำกันทั้งนั้น ลำบากกันไปหมด” พระยาพลากรกล่าวถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เพราะรับหนังสือพิมพ์ต่างประเทศจากเรือส่งสินค้ามาอ่านเป็นประจำ แม้บางข่าวจะล้าสมัยผ่านไปเป็นสัปดาห์แล้ว แต่ก็ยังถือว่าได้ประโยชน์อยู่ไม่น้อย ทำให้รู้การเปลี่ยนแปลงของโลกและเตรียมตัวที่จะรับกับการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ทันเวลา

 “นั่นซิ ข้าวของก็แพงมากขึ้น เงินเท่าเดิมแต่ซื้อของได้น้อยลง”

 “คงเป็นอย่างนี้ไปอีกสักระยะ ว่าแต่เจ้าคุณเถอะ ดูเหมือนจะซูบลงกว่าแต่ก่อน ไม่สบายหรืออย่างไร”

 “ก็ไม่ใคร่สุขสบายนัก ได้ข่าวเรื่องข้าราชการถูกดุลยภาพไหม”

 พระยาพลากรพยักหน้ารับ ตอนนี้มีการพูดคุยเรื่องนี้ค่อนข้างหนาหู เนื่องจากเงินในท้องพระคลังร่อยหรอลงจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ มีการตัดงบข้าราชการด้วยการดุลยภาพหรือการให้เกษียณก่อนอายุราชการจะหมด และตอนนี้มีข้าราชการหลายกรมกองโดนดุลยภาพ

 “ฉันอาจจะโดน” พระยาธรรมานุรักษ์ทอดเสียงอย่างเหนื่อยอ่อน

 คำบอกนั้นทำให้ทุกคนตกใจ ยกเว้นคุณสร้อยที่ไม่รู้ว่าการถูกดุลยภาพคืออะไรจึงยังยิ้มระรื่นได้

 “อย่าไปคิดมากเลย ถ้าหลวงไม่จ้างก็ออกมาทำมาหากินอย่างอื่น ฉันเองก็มองอยู่ว่าอาจจะไปปลูกบ้านให้เช่าเอาไว้กินค่าเช่า อย่างเจ้าคุณเองก็มีเรือกสวนไร่นามากอยู่ ก็ไม่น่าจะลำบากอะไร” พระยาพลากรกล่าวขึ้นเพราะอะไรก็ไม่แน่นอน ไม่อยากให้เพื่อนวิตกไปก่อน แม้ท่านจะรู้ว่าเวลานี้ไม่ว่าใครก็กลัวเรื่องนี้ทั้งนั้น

 “ฉันคิดอย่างเจ้าคุณคิดไม่ได้ คนมันเคยมียศถาบรรดาศักดิ์ อยู่ๆ จะให้ออกมาเลยมันทำใจยากเหลือเกิน เจอกันก็ดีแล้ว ได้ข่าวว่ารู้จักเจ้านายหลายคน ช่วยหน่อยก็แล้วกัน ถือว่าเคยเป็นเพื่อนกันมา”

 คำขอของเพื่อนทำให้พระยาพลากรอ้ำอึ้ง แม้ท่านจะรู้จักเจ้านายหลายคนแต่ก็ไม่เคยใช้เส้นสายเพื่ออาชีพการงาน และกรมช่างกับกรมท่าเป็นหน่วยงานที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ดังนั้นการที่จะให้เจ้านายของตนไปก้าวก่ายหน่วยงานอื่นเห็นทีจะเป็นสิ่งไม่บังควร

 คุณหญิงแขที่ฟังอยู่นานแล้วเห็นท่าทางอึกอักของผู้เป็นแขก จึงรีบคลี่คลายสถานการณ์ทันที “ไปที่โต๊ะอาหารเถอะ แม่ชักหิวแล้ว”

คุณหญิงแขอับอายอย่างที่สุดเมื่อลูกชายกล่าวเช่นนั้น ทั้งที่ตลอดมาท่านกับสามีพยายามสั่งสอนให้ลูกรักศักดิ์ศรี แต่นี่กลับใช้ความเป็นเพื่อนไหว้วานเพื่อนให้ทำสิ่งที่อัปยศ 

 ดูเหมือนพระยาพลากรก็โล่งอกที่ไม่ต้องคุยเรื่องนี้ต่อ แล้วทั้งหมดก็เดินไปยังโต๊ะอาหารที่ตั้งอยู่นอกชาน

สันตินั่งลงเป็นคนแรกทั้งที่อายุน้อยที่สุด ทำให้คุณหญิงแขอับอายอีกครั้งที่หลานชายกระทำเช่นนั้นต่อหน้าแขกผู้ใหญ่ แต่ท่านไม่อยากพูดอะไร เพราะถ้าหลานย้อนเข้าก็จะทำให้ขายหน้ามากกว่าเดิม

 เมื่อนั่งโต๊ะกันหมดทุกคนแล้วก็ยังเหลือที่นั่งว่างอีกที่ ซึ่งคนที่หายไปก็คือคนสำคัญของวันนี้ คุณสร้อยจึงหันไปถามหาจากบ่าวคนสนิท

 “นังกลอย ลูกแสงล่ะ ทำไมยังไม่มา”

 “คงยังแต่งตัวไม่เสร็จเจ้าค่ะ”

 “ตายจริง นี่แต่งตั้งแต่บ่ายยังไม่เสร็จอีกรึ อย่างนั้นเอ็งไปตามอีกที”

 “เจ้าค่ะ”

 ยังไม่ทันขาดคำเสียงซอยฝีเท้าก็ดังขึ้น และเสียงนั้นดังพอที่จะดึงดูดสายตาคนทั้งหมดให้หันไปมอง

 

 


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น