บทที่ ๑๓

๑๓

 

 ดรุณีแรกรุ่นผู้เป็นบุตรสาวคนเดียวของเจ้าของเรือนสวมชุดสวยที่เพิ่งตัดมาใหม่ เป็นเสื้อลูกไม้สีเม็ดมะปรางคอกว้างคว้านลึกทั้งข้างหน้าและข้างหลังนุ่งผ้าซิ่นสั้นเทียมเข่าสีเดียวกัน ตัวผ้าระยิบระยับยามต้องแสง ใบหน้าผัดแป้งค่อนข้างหนาจนขาวราวกับไข่ปอก ล้อมกรอบด้วยเส้นผมหยิกเป็นลอนที่ยาวเพียงต้นคอตามสมัยนิยม

 คุณหญิงแขอยากตำหนิการแต่งตัวของหลานสาวเหลือเกินที่ไม่ไว้หน้าพ่อแม่หรือบรรพบุรุษเลย อวดเนื้อหนังมังสาเหมือนหญิงงามเมือง แต่แล้วเรื่องการแต่งกายที่ล่อแหลมก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปทันที เมื่อแสงจันทร์อ้าปากพูดขึ้นมาคำแรก

 “พี่เกื้อล่ะคะอยู่ไหน ทำไมไม่เห็นมาร่วมโต๊ะ” แสงจันทร์เอ่ยถามถึงว่าที่คู่หมั้นทันทีที่ไม่เห็นเขาอยู่ในโต๊ะ โดยลืมที่จะไหว้ทำความเคารพแขกทั้งสองหรือแม้กระทั่งคุณหญิงแขเสียสนิท

 คำถามนั้นทำให้ทุกคนในโต๊ะอึ้ง ยกเว้นเพียงคุณสร้อยผู้เป็นมารดาเท่านั้นที่ยังยิ้มได้

 คุณหญิงโสภามองเด็กสาวรุ่นลูกด้วยความแปลกใจ แต่เพราะได้รับการอบรมกิริยามารยาทในการสมาคมอย่างเคร่งครัดจึงตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงถึงการตำหนิออกไป

 “พี่เกื้อยังอยู่ที่ต่างประเทศจ้ะ ยังไม่กลับ เห็นว่าอยากเที่ยวต่ออีกสักหน่อย”

 “อะไรกันคะ นี่แสงอุตส่าห์แต่งตัวสวยรอ แต่พี่เกื้อไม่มาอย่างนั้นหรือคะ” ประโยคหลังคล้ายเด็กสาวจะรำพันตามลำพังแต่ก็ไม่วายทำให้ผู้ใหญ่สะดุ้งไปตามๆ กัน ผู้ที่สะดุ้งมากที่สุดเห็นจะเป็นคุณหญิงแขผู้เป็นย่า

 “แม่แสง นี่คุณลุงพระยาพลากรและนี่คุณหญิงป้าโสภา กราบท่านเสียก่อน”

 เด็กสาวเกือบจะสะบัดเสียงตอบว่า ‘รู้แล้ว’ ทว่าเมื่อเห็นดวงตาวับวามของคุณหญิงแขก็รู้ตัวว่าเพิ่งทำอะไรพลาดไป

 “แสงกราบคุณลุงคุณป้า ต้องขอประทานโทษนะคะ แสงตื่นเต้นจนลืมตัวทำตัวเสียมารยาท คุณลุงคุณป้าคงไม่โกรธแสงนะคะ” แสงจันทร์แก้ตัวอย่างน่าเอ็นดู ก่อนคลานไปหาคุณหญิงโสภากับพระยาพลากรพยุหโยธินจากนั้นก็ก้มลงกราบอย่างชดช้อย

 แขกทั้งสองรับไหว้อย่างสง่างาม และเช่นเดิมคุณหญิงโสภาเอ่ยทักทายหลานสาว ส่วนเจ้าคุณก็ยังคงนั่งนิ่งมองทุกคนอย่างสงบ

 “ไหว้พระเถอะหนู ไม่เจอกันนานทีเดียว สวยขึ้นจนป้าจำไม่ได้”

 คำชมนั้นทำให้ใบหน้าสาวน้อยคลายความบูดบึ้งลงทันที ก่อนถามกลับไปอย่างมีจริตเกินวัย “ขอบพระคุณค่ะคุณป้า แล้วเมื่อไหร่พี่เกื้อจะกลับมาคะ”

 “ยังไม่ทราบแน่ชัดหรอกจ้ะ พ่อเกื้อเดินทางมาทางเรือต้องดูสภาพอากาศด้วย ถ้าท้องฟ้าปลอดโปร่งตลอดทางก็อาจจะไม่นานนัก แต่ถ้ามีพายุอาจจะต้องหลบพายุตามเมืองท่าเป็นสัปดาห์เหมือนกัน”

 “น่าเสียดายจริงเชียวค่ะที่ไม่ได้เจอกันวันนี้ เพื่อนของแสงอยากเจอพี่เกื้อกันทั้งนั้น”

 “คงไม่นานนักหรอกจ้ะ พ่อเกื้อมีงานต้องทำ น่าจะเริ่มงานกลางเดือนหน้า” คุณหญิงโสภากล่าวปลอบ แม้แสงจันทร์จะแสดงออกประเจิดประเจ้อไปหน่อย แต่ท่าทางออดอ้อนนั้นก็สร้างความน่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อย

 “เอาเถอะ เรามากินอาหารกัน เดี๋ยวจะเย็นเสียหมด” คุณหญิงแขเปลี่ยนเรื่อง เพราะหากปล่อยให้หลานสาวกล่าวอะไรออกไปอีกท่านคงต้องกลั้นใจตายเพราะความอับอายเป็นแน่

 “อะไรคะนี่ สตูหรือคะ” แขกฝ่ายหญิงตื่นเต้นเมื่อเห็นอาหาร ซึ่งมีทั้งอาหารไทยและอาหารฝรั่งที่จัดมาอย่างกลมกลืนกัน โดยเฉพาะสตูเนื้อที่จัดมาในโถลายคราม ผักทุกชิ้นในน้ำแกงแกะสลักเป็นรูปดอกไม้พอดีคำ แม้จะเป็นอาหารฝรั่งแต่ก็ยังมีกลิ่นอายของความเป็นไทยผสม และที่สำคัญเป็นอาหารโปรดของเธอ

 คุณสร้อยได้แต่อ้ำอึ้งเพราะไม่รู้เรื่องอาหารที่จัดขึ้นมาเลย เนื่องจากคนที่เตรียมคือบุษบง สุดท้ายก็ต้องเรียกบุษบงที่คอยรับใช้อยู่ข้างโต๊ะมาสอบถาม ทั้งที่ไม่อยากทำเลยแม้แต่นิดเดียว

 “แม่บุษมานี่ซิ มาบอกว่ากับข้าววันนี้มีอะไรบ้าง”

 บุษบงเดินเข้ามาที่โต๊ะ แล้วอธิบายอาหารแต่ละจานให้แขกฟัง ซึ่งเป็นอาหารที่หล่อนประยุกต์อาหารไทยกับอาหารตะวันตกเข้าด้วยกันตามคำแนะนำของเกื้อกูล

 “เก่งมาก ฉันคงต้องขอคำแนะนำบ้างเวลาเลี้ยงแขกฝรั่ง ถ้าประยุกต์ได้อย่างแม่หนูคงดีไม่น้อย”

 เมื่อทั้งแขกและเจ้าของบ้านได้ลิ้มชิมรส ต่างก็บอกว่าอาหารมื้อนี้อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา สร้างความภาคภูมิใจให้บุษบงอย่างมากทีเดียว แต่หล่อนไม่รับความดีความชอบไว้คนเดียว เพราะหากไม่ได้รับคำแนะนำจากเกื้อกูลหล่อนก็อาจจะอับจนปัญญาอยู่นั่นเอง นี่เป็นอีกครั้งที่เขาช่วยเหลือให้หล่อนรอดพ้นจากวิกฤติ

 การกินอาหารดำเนินต่อไปหลังจากนั้น บุษบงก็คอยรับใช้อยู่ไม่ห่าง กิริยาท่าทางอันคล่องแคล่วและเรียบร้อยของหล่อนถูกใจผู้ใหญ่ทุกคน ยกเว้นคุณสร้อยที่หงุดหงิดเมื่อเห็นบุษบงได้รับความเอ็นดูจากแขก แต่ไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่าส่งสายตาไม่พอใจให้เป็นระยะ

 ตลอดเวลาคุณหญิงโสภาพึงพอใจและถูกชะตากับบุษบงเป็นอย่างมาก และอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะยิ่งมองบุษบงก็ยิ่งหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับพระยาธรรมานุรักษ์และคุณหญิงแขมากกว่าคู่ฝาแฝดสันติและแสงจันทร์เสียอีก จะว่าไปฝาแฝดคู่นั้นหน้าตาไปทางแม่เสียหมด ไม่ได้มีส่วนใดที่เหมือนทางพ่อเลย นอกจากความสวยแล้ว กิริยามารยาทของบุษบงก็งดงาม พูดจาก็เหมือนคนมีความรู้ จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณหญิงแขจึงมองเด็กสาวอย่างรักใคร่ยิ่งกว่ามองหลานตนเอง

 เมื่อเสร็จสิ้นการร่วมโต๊ะแขกก็ขอลากลับ แต่ก่อนกลับคุณหญิงโสภาได้เรียกบุษบงมาหา พร้อมกับปลดเข็มกลัดรูปนกยูงที่ทำจากพลอยหลากสีให้หญิงสาวเป็นรางวัล

 “อาหารมื้อนี้อร่อยมาก แม่หนูทำให้เจ้าคุณของฉันรับข้าวได้มากกว่าทุกวัน ฉันให้เป็นการตอบแทน”

 บุษบงหันไปมองคุณหญิงแขอย่างลังเล เมื่อท่านพยักหน้า หล่อนจึงไหว้คุณหญิงโสภาแล้วรับเข็มกลัดนั้นมา

 “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”

 “คุณป้าคะ อีกไม่กี่วันที่บ้านจะต้องเลี้ยงแขกของคุณพี่ เป็นพวกทหารมาจากหลายที่ ส่วนใหญ่มาจากทางแถบยุโรป ดิฉันอยากจะขอตัวแม่หนูคนนี้ไปช่วย คุณป้าจะกรุณาดิฉันได้ไหมคะ”

 “เอาซิ ป้ายินดี แม่บุษจะได้ไปเปิดหูเปิดตา แล้วถ้ามีอะไรที่จะอบรมสั่งสอนได้ก็ทำได้เต็มที่ไม่ต้องเกรงใจกัน ถือว่ามอบความรู้ให้เด็ก”

 คุณหญิงแขอนุญาตตามคำขอทันที เนื่องจากเป็นการดีที่ให้บุษบงจะได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้จะไปในฐานะนางก้นครัว แต่การได้ไปงานครั้งนี้คงทำให้บุษบงได้อะไรอย่างมากมายทีเดียว และท่านยินดีที่จะสนับสนุนเพราะคาดว่าจะมีประโยชน์กับบุษบงในอนาคต

 “ขอบคุณค่ะคุณป้า” คุณหญิงโสภากราบที่ตักผู้สูงวัยอย่างนอบน้อม ก่อนจะกล่าวอย่างชื่นชม “ภาว่าคนที่น่าจะถูกอบรมสั่งสอนคือภามากกว่า แม่หนูคนนี้เก่ง คุณป้าอบรมได้ดีเหลือเกินค่ะ ดูจากฝีมือวันนี้แล้วน่าภูมิใจนัก”

 ทุกประโยคที่ได้ยินไม่ต่างจากไฟเผาหัวใจคุณสร้อยให้ร้อนรน แต่ในสถานการณ์เช่นนี้สิ่งเดียวที่คุณสร้อยทำได้คือยิ้มทั้งที่ในใจกำลังเดือด เพราะบุษบงแย่งความดีความชอบจากลูกสาวของตนไปเสียหมด

 “เอ่อ...คุณพี่ไม่เอาแม่แสงไปช่วยด้วยอีกคนล่ะคะ แม่แสงเขาเก่งเรื่องการต้อนรับแขก น่าจะทำให้คุณพี่เบาแรงได้บ้าง” คุณสร้อยเสนอเพราะไม่อยากให้บุษบงได้หน้าไปคนเดียว

 “ถ้าอย่างนั้นก็ดีทีเดียว หนูแสงไปช่วยป้าอีกคนนะจ๊ะ”

 “ไปก็ได้ค่ะ แต่แสงไม่ชอบคุยกับพวกฝรั่งนะคะ รู้สึกไม่สะดวกใจ”

 คำว่าไม่สะดวกใจของแสงจันทร์นั้น คุณหญิงโสภาพอรู้ว่ามีความหมายอย่างไร เด็กสาวไม่สนใจการเล่าเรียนจึงไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ดังนั้นเรื่องรับแขกจึงไม่น่าจะทำได้เพราะแขกส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ จึงกล่าวออกไปตามตรงและเสนองานอื่นให้ทำแทนถ้าแสงจันทร์อยากทำ

 “แต่แขกของป้าเป็นฝรั่งทั้งนั้น ถ้าหนูไม่ชอบ ไปช่วยเรื่องอาหารได้ไหมจ๊ะ”

 “อาหารเหรอคะ แสงก็ไม่ค่อยถนัดนักค่ะ ไม่เก่งเหมือนแม่บุษ ไปทำตรงนั้นเกรงจะเป็นภาระเสียเปล่าๆ” แสงจันทร์บอกปัดอย่างละมุนละม่อม ทั้งที่ความจริงแล้วงานครัวนั้นเป็นงานที่ตนเกลียดอย่างเหลือเกิน เพราะนอกจากจะร้อนแล้ว กลิ่นยังติดตัวเนิ่นนาน และในงานอย่างนี้หล่อนไม่ควรจะถูกเก็บเอาไว้ในสถานที่อย่างนั้น หล่อนควรได้ออกมาเฉิดฉายประกาศความสำคัญของตนเอง

 “แล้วเราจะช่วยอะไรป้าเขาได้” คุณหญิงแขที่นั่งเงียบมานานชักอดรนทนไม่ไหวจึงเอ่ยถามหลานสาว

 “แสงไปดูเรื่องความเรียบร้อยในงานให้ก็ได้ค่ะ”  เด็กสาวตอบทันควัน ซึ่งก็หมายถึงว่าหล่อนจะได้แต่งตัวสวยอยู่ในงานตามต้องการ ได้ดื่มได้กินโดยที่ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบ

 “เอาอย่างนั้นดีกว่านะคะคุณพี่ แม่แสงเป็นคนละเอียด อะไรที่ผิดหูผิดตาเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่มีทางรอดพ้น” คุณสร้อยสนับสนุนลูกสาวเต็มที 

คุณหญิงโสภาลำบากใจอย่างเหลือเกิน เมื่อหันไปมองตาสามีก็พบว่าท่านไม่มีความเห็นใด ราวกับว่าเรื่องของแสงจันทร์นั้นให้เธอเป็นคนตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว

 ในที่สุดคุณหญิงโสภาก็ตัดสินใจ “ก็ได้ค่ะ ให้หนูแสงไปช่วยป้าดูแลเรื่องความเรียบร้อย”

 “ค่ะ แล้วแสงจะทำอย่างเต็มที่เลยทีเดียว รับรองว่าคุณป้าจะไม่ผิดหวังที่มอบหมายงานนี้ให้แสง” เด็กสาวยิ้มกว้างเมื่อสมใจ

 ทั้งหมดคุยเรื่องสัพเพเหระกันอีกพักใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่คุณหญิงโสภาจะคุยกับคุณหญิงแข และพระยาพลากรคุยกับพระยาธรรมานุรักษ์เรื่องการบ้านการเมืองตามประสาผู้ชาย สามแม่ลูกจึงได้แต่นั่งฟังด้วยความเบื่อหน่ายจนกระทั่งแขกลากลับ

 พระยาพลากรกับคุณหญิงโสภาไหว้ลาคุณหญิงแขแล้วเดินลงบันไดเรือนเล็กไปอย่างสง่างาม ผิดกับเจ้าของบ้าน เจ้าคุณธรรมานุรักษ์เดินเลี่ยงไปอีกทางด้วยสีหน้าท่าทางเฉยเมย ปล่อยให้คุณสร้อยและแสงจันทร์เป็นคนไปส่งแขก ส่วนสันตินั้นเดินลับไปกับความมืดทางท้ายเรือน จุดหมายคือกระท่อมที่ปลูกไว้สำหรับซ่องสุมสุราและนารี        

พระยาพลากรกับคุณหญิงโสภานั่งเคียงคู่กันอยู่ในรถเมอร์เซเดสเปิดประทุนท่ามกลางเมฆฝนที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่บ่ายอากาศจึงค่อนข้างอบอ้าว แต่ก็ไม่เท่ากับใจของคุณหญิงโสภาที่รู้สึกถึงความมืดมน การได้พบว่าที่คู่หมั้นของลูกชายในวันนี้กลับตาลปัตรกว่าที่คิดเอาไว้อย่างเหลือเกิน

 แม้จะเคยได้ยินมาบ้างว่าแสงจันทร์ไม่ใช่กุลสตรีที่เพียบพร้อมนัก แต่ก็ยังหวังว่าคุณสร้อยคงไม่ปล่อยให้ลูกสาวห่างไกลจากคำว่าผู้ดีจนเกินไป แต่แล้วสิ่งที่เห็นก็ทำให้ประจักษ์ว่าแสงจันทร์มีความประพฤติไม่งามหลายอย่างเพราะการให้ท้ายของผู้เป็นมารดา คำโบราณที่ว่า ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ ทำให้คุณหญิงโสภานึกกลัว

 “เป็นอะไรไปคุณหญิง ลูกสะใภ้คนสวยไม่ถูกใจหรือ” ท่าทางของเจ้าคุณผ่อนคลายกว่าตอนอยู่ที่บ้านของพระยาธรรมานุรักษ์มาก เนื่องจากการกระทำอันประเจิดประเจ้อหลายอย่างของคุณสร้อยและลูกสาวทำให้ท่านอึดอัดใจอย่างเหลือเกิน

 “แล้วถูกใจคุณพี่หรือเปล่าล่ะคะ”

 “ถ้าความสวยละถูกใจ หน้าตาดี เพียงแต่ว่าจริตจะก้านเกินอายุไปหน่อยเลยดูไม่ค่อยน่ารัก” เจ้าคุณพลากรกล่าวตามที่เห็น ท่านเป็นคนประเภทกล่าวอะไรตรงๆ ไม่อ้อมค้อมแบบชายชาติทหาร

 “แล้วอย่างอื่นล่ะคะ” ผู้เป็นภรรยาซักต่อ

 “อะไรล่ะอย่างอื่น”

 “ก็ทั่วๆ ไป ความรู้ ความสามารถ กิริยามารยาท” คุณหญิงโสภาถามโดยรวม เพราะเธอมีลูกชายเพียงแค่คนเดียวนั่นก็คือเกื้อกูล การหาคู่ร่วมชีวิตให้ลูกจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องพิถีพิถันอย่างที่สุด

 “ไม่ผ่าน” เจ้าคุณพลากรตอบทันที “แต่ฉันว่าเรื่องพวกนี้น่าจะฝึกกันได้ หากแสงจันทร์รักลูกชายเราก็ต้องฝึกทั้งเรื่องการเรือน เรื่องภาษา เพราะต่อไปข้างหน้าอาจจะต้องไปอยู่เมืองนอกเมืองนากัน หากไม่มีความรู้พวกนี้ติดตัวเลยจะลำบาก”

 “ดิฉันก็เห็นด้วยกับคุณพี่ค่ะ เดี๋ยวจะคุยกับพ่อแม่เขาอีกที ส่วนเรื่องฝึก ดิฉันจะเป็นธุระให้เอง”

 “คิดว่าคงไม่มีใครขัดข้องหรอก” เจ้าคุณสรุปทันที เชื่อว่าหากเอ่ยปากทั้งพระยาธรรมานุรักษ์และคุณสร้อยก็น่าจะเห็นดีด้วย เพราะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แก่ลูกสาวตน แต่เมื่อหันไปมองหน้าภรรยาก็ยังพบว่าสีหน้าของคุณหญิงโสภายังเคร่งเครียดเหมือนเก่า “ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องแสงจันทร์คนเดียวใช่ไหมที่ทำให้แม่โสภากลุ้ม”

 “ค่ะ ไม่ใช่เรื่องแม่แสงเรื่องเดียวหรอกค่ะ”

 “ถ้าอย่างนั้นเรื่องอะไรอีก”

 “เรื่องบุษบง ดิฉันกลัวเหลือเกินว่าจะทำให้บุษบงเดือดร้อน” คุณหญิงโสภากล่าวเสียงเครียด เพราะความเป็นผู้หญิงจึงไวต่อความรู้สึกในเรื่องของความเกลียดชัง ความริษยา และความไม่ชอบมาพากลระหว่างคุณสร้อยกับบุษบง โดยเฉพาะยามเห็นแววตาคั่งแค้นของคุณสร้อยที่มองบุษบงทำให้อดเธอหวาดหวั่นแทนไม่ได้

 “ก็แค่ชม แล้วก็ให้รางวัลเด็ก คงไม่อะไรนักหนากระมัง”

 “ไม่รู้ซิคะ ดิฉันหวั่นใจเหลือเกิน”

 “คิดมาก ยังไงเด็กคนนั้นก็มีคุณป้าคุ้มครอง ท่านเอ็นดูของท่าน คงไม่ให้คุณสร้อยทำอะไรหรอก” 

เจ้าคุณกล่าวไปตามเนื้อผ้า แต่ก็ไม่ได้ทำให้คุณหญิงโสภาสบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่ในเวลานี้คงทำอะไรไม่ได้เนื่องจากเป็นเรื่องภายในของบ้านนั้น ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเห็นจะไม่ใช่เรื่องสมควร

 “ดิฉันก็ภาวนาให้คุณป้าอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้บุษบงไปนานๆ”

ดูเหมือนเจ้าคุณพลากรจะคิดผิด แม้บุษบงจะเป็นเด็กในปกครองของคุณหญิงแข แต่สุดท้ายคุณสร้อยก็หาเรื่องให้บุษบงผิดจนได้ ในกลางดึกคืนนั้นเองหลังจากที่แขกกลับไปหมดแล้ว คุณสร้อยก็ไม่รีรอที่จะชำระความที่บุษบงบังอาจเสนอหน้ามารับความดีความชอบจนได้รับของขวัญจากคุณหญิงโสภา ส่วนบุตรสาวของตนกลับไม่ได้อะไรเลย

ระหว่างที่บุษบงเก็บล้างจานชาม กลอยก็เดินไปบอกบุษบงว่าคุณสร้อยเรียกพบ ซึ่งเป็นสิ่งที่หล่อนคาดคิดเอาไว้แล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ บุษบงจึงฝากงานให้บ่าวคนอื่นทำแทน จากนั้นก็เดินขึ้นไปยังเรือนใหญ่ ซึ่งบัดนี้เงียบเชียบเพราะทั้งพระยาธรรมานุรักษ์และแสงจันทร์คงเข้านอนกันหมดแล้ว ส่วนสันติก็ออกไปตั้งแต่กินอาหารเสร็จ จนป่านนี้ก็ยังไม่กลับเข้ามา 

 บุษบงคลานเข่าเข้าไปในห้องแล้วนั่งลงกับพื้น ส่วนคุณสร้อยนั่งอยู่บนตั่ง วางท่าทางราวกับแม่เสือที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อทันที

 “นังบุษ วันนี้เอ็งเสนอหน้ามารับแขกทำไม!” คุณสร้อยตวาดลั่นด้วยสีหน้าไม่พอใจ

 บุษบงซึ่งเตรียมใจเอาไว้แล้ว และคิดว่าการกระทำของตนไม่ใช่สิ่งผิดจึงกล่าวตอบไปตามตรง “บ่าวเห็นยังไม่มีใครลงไป บ่าวก็เลยไปเชิญท่านขึ้นเรือน”

 “ขึ้นเรือนหรือชักจูงกันไปทางโน้น อีไพร่ ข้ารู้นะว่าเอ็งคิดจะให้เจ้าคุณกับคุณหญิงเห็นเอ็งดีกว่าลูกข้า”

 “บ่าวเปล่านะเจ้าค่ะ บ่าวไม่เคยคิดเช่นนั้น” บุษบงปฏิเสธทันควัน และตกใจอย่างเหลือเกินที่คุณสร้อยคิดไปไกลถึงเพียงนั้นทั้งที่หล่อนมีเจตนาดี

 “อีตอแหล เอ็งมันสันดานเสีย ประจบสอพลอ คิดซินะว่าคุณแม่จะปกป้องมึงได้”

 “บ่าวสาบานได้เจ้าค่ะว่าไม่เคยคิดเอาความดีความชอบเข้าตัว”

 “ถุย สาบงสาบาน ข้าไม่เชื่อน้ำหน้าเอ็งหรอก ระริกระรี้นัก ทางโน้นสอนมาซิท่า”

 แม้จะโกรธที่คุณสร้อยลามปามถึงคุณหญิงแขที่หล่อนเคารพเหนือชีวิต บุษบงก็เลือกที่จะนิ่ง เพราะหากต่อปากต่อคำ หล่อนรู้ดีว่าคนอย่างคุณสร้อยยิ่งต้องใช้ถ้อยคำหยาบคายมากขึ้น ซึ่งหล่อนไม่อยากได้ยินอีก

 “เอ็งไม่ตอบ แปลว่ายอมรับ อย่างนั้นก็อย่าอยู่ให้เป็นเสนียดบ้านข้าเลย ไอ้พวกกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา”

 กล่าวจบคุณสร้อยก็คว้าหวายที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมา แล้วหวดลงไปเต็มแรงบนร่างกายบุษบงด้วยความคับแค้น ผนวกกับความหวาดระแวงที่ก่อเกิดในใจทำให้คุณสร้อยยิ่งคั่งแค้นหนัก หากเฆี่ยนให้ตายได้ก็จะทำ

 บุษบงสะดุ้งสุดตัวเมื่อหวายกระทบเนื้อ หล่อนเจ็บปวดจนน้ำตาริน จากนั้นก็สะดุ้งอีกครั้งเมื่อคุณสร้อยหวดติดกันลงมา หญิงสาวพยายามกระถดตัวหนีและปัดป้องเท่าที่ทำได้ แต่คุณสร้อยก็ไม่ปรานี หวดหวายลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา

 ไม่มีเสียงร้องออกจากปากบุษบง แม้หล่อนจะเห็นเลือดบนท่อนแขนที่ไหลออกมาจากการถูกตี เพราะเกรงว่าหากส่งเสียงร้องออกไป แล้วเรื่องถึงหูคุณหญิงแขท่านจะต้องออกมาปกป้อง และเรื่องราวจะบานปลายไปกันใหญ่ 

 “ข้าจะตีเอ็งให้ตาย อีเนรคุณ”

 บุษบงพยายามลุกหนี แต่อีกฝ่ายไม่รามือเลยสักวินาที แล้วยังต้อนหล่อนให้จนมุมหมายจะตีให้ตายคามือ 

 ความเจ็บปวดทำให้ตาพร่า...แต่หูยังได้ยินสรรพเสียง เสียงร่ำไห้กรีดร้องและถ้อยคำอาฆาตแค้นของใครบางคนดังมาจากที่ไกลแสนไกล

 “ถ้ามึงหวดลูกกูอีกทีเดียว กูเอามึงตายแน่อีสร้อย”

 เสียงของแม่...บุษบงจำได้ดี เสียงนั้นเหมือนกับเสียงในความฝันที่ปลอบโยนหัวใจอยู่เรื่อยมา และดูเหมือนว่าหล่อนจะไม่ได้ยินเสียงนี้เพียงคนเดียว 

 “คุณ...คุณสร้อยเจ้าขา...ได้...ได้ยินเสียงอะไรไหมเจ้าคะ” กลอยคลานเข้ามาเกาะเข่าผู้เป็นนาย ถามเสียงสั่นเพราะความหวาดกลัว

 หวายที่กำลังจะหวดลงมาบนตัวอีกครั้งค้างในอากาศ 

“เสียงอะไร” คุณสร้อยย้อนถาม ทั้งที่ได้ยินชัดเต็มสองหู

 “เสียงเหมือน...เหมือน...”

 ยังไม่ทันที่กลอยจะเอ่ยจบ คุณสร้อยก็ตวาดด้วยเสียงอันดังพร้อมทั้งถลึงตาปรามบ่าว “อย่านะนังกลอย! เอ็งห้ามพูดชื่อมันออกมาเด็ดขาด!”

 “แต่...คุณสร้อยปล่อยนังบุษไปเถอะเจ้าค่ะ บ่าว บ่าวกลัว”

 “เอ็งนี่มันปากจัญไร” แม้จะทำเป็นไม่สนใจในคำพูดของบ่าว ทว่าในใจก็หวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย เวลานี้ก็ค่อนข้างดึกจึงไม่ค่อยกล้าลองดี

 คุณสร้อยหันไปมองบุษบงที่ตัวสั่นอยู่ข้างฝาด้วยสายตาคมกริบปนอาฆาต แต่ไม่กล้าพอที่จะยกหวายขึ้นฟาดอีกรอบ

ในเงามืดสะท้อนสีหน้าอันเจ็บปวดของหญิงสาว ยิ่งพิศ ยิ่งมอง ยิ่งแน่ใจ...เห็นทีบุษบงคงไม่ใช่แค่เด็กกำพร้าที่คุณหญิงแขเก็บมาเลี้ยงทว่ามีความสำคัญมากกว่านั้น แต่หล่อนก็ยังไม่อยากยอมรับ และคิดว่าไม่ควรกระโตกกระตาก แต่ไม่ว่าสิ่งที่คิดเอาไว้จะเป็นจริงหรือไม่ บุษบงควรถูกกำจัดไปโดยเร็วที่สุด

 ความคิดนั้นทำให้คุณสร้อยยกหวายขึ้นอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องชะงักค้างเอาไว้ เพราะใจส่วนลึกหวั่นเกรงบางอย่างอย่างบอกไม่ถูก จึงเปลี่ยนมาชี้หน้าแทน

 “มึงรีบไสหัวไปนะนังบุษ ไม่อย่างนั้นกูจะเฆี่ยนมึงให้ตายตรงนี้”

 เมื่อได้ยินดังนั้นบุษบงก็ไม่รีรอที่จะจากไป หล่อนคลานออกจากห้องอย่างรวดเร็ว แม้จะแปลกใจที่คุณสร้อยเลิกเฆี่ยนกลางคันแต่ก็ไม่คิดที่จะถาม ด้วยเกรงว่าถามไปอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับออกไปอีก

 บาดแผลที่ถูกเฆี่ยนตีสร้างความเจ็บปวดให้บุษบงอยู่ไม่น้อย กระนั้นหล่อนก็ไม่ปริปากร้องโอดครวญและคิดจะปกปิดเรื่องนี้ไม่ให้คุณหญิงแขทราบ เพราะอาจทำให้ท่านไม่สบายใจ หล่อนไม่อยากให้ท่านต้องทุกข์ร้อนและบาดหมางกับคุณสร้อยมากขึ้นโดยที่ตนเองเป็นต้นเหตุ โชคดีเหลือเกินที่คืนนี้ป้าจำปาอาสานอนเป็นเพื่อนคุณหญิงแข หล่อนจึงได้มานอนที่ห้องส่วนตัว เพราะหล่อนไม่แน่ใจว่าจะส่งเสียงอะไรออกไปหรือไม่ยามเข้าสู่นิทรา

 เมื่ออาบน้ำเสร็จความเจ็บปวดก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น บุษบงล้มตัวลงนอน พยายามข่มตาให้หลับแต่ดูเหมือนทำได้ยากเย็นเหลือเกิน 

ขณะหนึ่งหล่อนรู้สึกเหมือนกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น สภาวะรอบตัวก็เปลี่ยนไป ห้องส่วนตัวกลายเป็นเป็นห้องโล่งกว้าง แต่บุษบงไม่ตกใจแม้แต่นิดเดียว กลับยินดีด้วยซ้ำที่ได้กลับมาที่นี่ เพราะรู้ว่ามีใครคอยอยู่ บุษบงยันกายขึ้นนั่งมองหาแม่ แล้วหล่อนก็ต้องแปลกใจ วันนี้แม่ไม่ได้งดงามอย่างเดิม ผิวของแม่คล้ำลง สีหน้าดูอ่อนแรงและหล่อนสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด

 “แม่จ๋า แม่เป็นอะไรไป”

 “แม่...แม่ไม่เป็นไร” เสียงที่แม่ตอบมากระท่อนกระแท่นเต็มที ทำให้หล่อนรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น

 “แม่ไม่สบาย แม่เป็นอะไร ไปหาหมอไหมจ๊ะ” บุษบงถามด้วยความตกใจ หล่อนกลัวความเจ็บป่วยเพราะสิ่งนั้นเกือบที่จะพรากคุณหญิงแขไปจากหล่อน 

 “ไม่...แม่เพียงแต่ใช้พลังเกินตัวไปเท่านั้น อีกหน่อยก็จะดีขึ้นเอง”

 บุษบงไม่เข้าใจคำว่า ‘พลัง’ ของแม่ แต่หล่อนก็คลานเข้าไปหนุนตักแม่ และหลับตาลงสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ เข้าปอด ในยามนี้ความเข้มแข็งที่เคยมีมลายไปสิ้น ยามอยู่กับแม่ หล่อนเป็นเหมือนเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ต้องการให้แม่ปลอบประโลมยามถูกทำร้ายมา

 “นอนเสียเถอะลูกรักของแม่ อย่าได้ห่วงอะไรอีก แม่สัญญาว่าจะเอาทุกอย่างที่พวกมันพรากไปมาคืนลูกให้จงได้”

 น้ำเสียงของแม่หนักแน่นเหมือนทุกครั้งที่เอ่ยเช่นนี้ แต่เปลือกตาของหล่อนหนักเกินกว่าจะเอ่ยปากห้าม หล่อนไม่ต้องการสิ่งใดอีกนอกจากแม่เพียงเท่านั้น


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น