บทที่ ๑๔

๑๔

 

 บุษบงสวมเสื้อแขนกระบอกเพื่อปกปิดรอยแผลที่ถูกเฆี่ยน และพยายามระมัดระวังไม่ให้คุณหญิงแขกับป้าจำปาเห็นแผล ซึ่งหล่อนก็ทำได้สำเร็จ แต่ปิดบังสายตาอันแหลมคมของจิตรกรหนุ่มไม่ได้ เมื่อหล่อนมาหาเขาเพื่อเป็นแบบวาดรูปให้ เกื้อกูลก็ถามขึ้นทันที 

 “มือไปโดนอะไรมา” 

สีหน้าของเกื้อกูลแสดงว่าตกใจเมื่อเห็นรอยแผลที่แขนทั้งสองข้างของบุษบง ซึ่งบัดนี้แม้เลือดจะหยุดไหลไปแล้วแต่ก็ยังดูน่ากลัว

 หญิงสาวรีบซ่อนมือไว้ด้านหลัง ก่อนจะแก้ตัวอย่างไม่เต็มเสียงนัก “บุษแค่หกล้ม ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ”

 “หกล้มอะไรอย่างนี้” เกื้อกูลค้าน ไม่เชื่อคำพูดของหญิงสาวเลยแม้แต่นิดเดียว “รอยเหมือนถูกเฆี่ยน ใครทำร้ายเธอหรือเปล่า”

 “ไม่ ไม่ใช่นะคะ” บุษบงยังคงปากแข็ง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามหล่อนก็ยังยึดหลักกตัญญู เรื่องภายในบ้านไม่ควรนำมาเล่าให้คนนอกฟัง แม้หล่อนจะไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ตาม

 เมื่อได้รับการปฏิเสธอย่างแข็งขันเช่นนั้นเกื้อกูลก็อ่อนใจที่จะซักต่อ ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ ยึดมือทั้งสองข้างของบุษบงมาพิจารณา และเมื่อได้สัมผัส เขาก็รู้ว่ามือหล่อนหยาบกระด้างเพราะการทำงานหนักจึงเวทนาอย่างเหลือเกิน

 “ปล่อยค่ะคุณเกื้อ” บุษบงพยายามบิดมือออก สัมผัสของเขาก่อให้เกิดความรู้สึกแปลก หากจะถามว่ามันเป็นความโกรธหรือความไม่พอใจ หล่อนก็ไม่อาจตอบได้ว่าใช่

 “เดี๋ยวสิ ดูแผลก่อน” เขากล่าวเสียงดุ เหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็ก จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปยังแผลที่แขนทั้งสองข้าง มันหนักหนาแตกยับและคงเจ็บปวดน่าดู “เธอทนได้อย่างไรกัน”

 บุษบงอยากบอกเหลือเกินว่าหล่อนชินแล้ว หล่อนถูกคุณสร้อยเฆี่ยนตีทุกครั้งที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ แต่เกรงว่าหากพูดไปจะยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ 

 “ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ ปล่อยมือเถอะ ใครมาเห็นเข้าจะไม่ดี”

 เมื่อหล่อนอ้างเช่นนั้น เกื้อกูลก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดี ทว่าสายตายังคงจับจ้องที่รอยแผลและแสดงความเป็นห่วงอย่างเปิดเผย

 “รอตรงนี้ ฉันมียาฝรั่ง ทาสักหน่อยจะได้ทุเลาลง”

 เกื้อกูลผลุบเข้าไปในบ้านทันทีที่กล่าวจบโดยที่หล่อนไม่ทันได้ห้ามปราม แล้วเขาก็กลับออกมาในเวลาอันรวดเร็วพร้อมด้วยตลับทรงกลมเล็กๆ ที่ทำจากอะลูมิเนียมแล้วเอามายื่นให้หล่อน

 “อะไรคะ” บุษบงถามเพราะมันเหมือนตลับสีผึ้งสีปาก 

 “ยาฝรั่ง สมานแผลดีทีเดียว”

 เมื่อเปิดออกภายในเป็นครีมสีขาวไม่มีกลิ่น บุษบงมองอย่างแปลกใจ เพราะปกตินั้นแผลที่ถูกหวายมักจะใช้กล้วยสุกทาเพื่อให้หายระบม จากนั้นก็ฝนไพลแล้วเอามาทาซึ่งเมื่อโดนเข้าก็ปวดแสบจนน้ำตาไหล แต่ถึงจะแสบก็ได้ผลดีเหมือนกัน 

 “ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ เอาคืนไปเถอะ” หล่อนยื่นตลับยาคืนให้เขาเพราะคิดว่ายานี้คงราคาแพงไม่น้อย

 “ยังจะบอกว่าไม่เป็นไรอีก มานี่ ฉันทาให้” ชายหนุ่มรับตลับยามาถือเอาไว้เอง จากนั้นก็รั้งแขนหล่อนจนตัวอยู่ในระยะชิดกัน ก่อนป้ายยาสีขาวลงบนบาดแผล

 “พอ...พอแล้วค่ะ” บุษบงร้องห้ามและพยายามชักมือกลับ เพราะมันทั้งเจ็บทั้งแสบจนต้องนิ่วหน้า

 “เจ็บมากหรือ” เขาถามเมื่อทายาเสร็จ

 “ค่ะ เจ็บ” หล่อนสารภาพตามความจริง หากรู้ว่าเจ็บอย่างนี้หล่อนคงไม่ยอมให้เขาทายาให้ ปล่อยให้มันหายเองน่าจะดีกว่า

 “เดี๋ยวก็หายเจ็บ ถ้าไม่ดูแลหรือมีอะไรที่ไม่สะอาดเข้าแผลอาจจะเป็นหนอง แล้วบางทีเธออาจจะเสียแขนทั้งสองข้างไปเลยก็ได้” เขาขู่

 คำขู่นั้นไม่ได้ทำให้บุษบงโกรธเคืองแต่อย่างใด ตรงกันข้าม การกระทำของเขาทำให้หล่อนตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก ไม่เคยมีใครเอาใจใส่หรือมีท่าทางอ่อนโยนกับหล่อนเช่นนี้มาก่อน แม้คุณหญิงแขจะเอ็นดูและชุบเลี้ยงหล่อนมาแต่ก็ยังมีกำแพงของชนชั้นกั้นขวางอยู่ ความห่วงใยที่ท่านมีต่อหล่อนก็เหมือนผู้ใหญ่กับเด็กในปกครอง ไม่ใช่มิตรภาพและความอบอุ่นใจอันยากที่จะพรรณนาได้เช่นนี้ 

ความรู้สึกที่ได้รับทำให้ความเจ็บปวดคลายลงอย่างน่าอัศจรรย์ และทำให้หัวใจหล่อนเต้นแรงอีกครั้ง รวมทั้งประหม่าและขัดเขินอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จึงรีบหลบตาเมื่อรู้ตัว จากนั้นก็เสมองไปทางอื่นเมื่อพบว่าเขายังจ้องหน้าหล่อนอยู่

 “เราควรจะเริ่มงานกันได้แล้ว ฉันมีเวลาไม่มากนัก”

 เกื้อกูลยอมละสายตาจากหล่อนเมื่อหล่อนกล่าวเช่นนั้น และก็ทำให้หล่อนหายใจทั่วท้องขึ้นมาทันที

 “ฉันอยากให้เธอนั่งตรงเก้าอี้ตัวนั้น นั่งสบายๆ ไม่ต้องเกร็ง วันนี้ขอแค่ร่างโครง และขอได้ไหม ต่อไปนี้ให้แทนตัวว่าบุษแทนคำว่าฉัน จะได้ดูคุ้นเคยกันหน่อย”

บุษบงก้มหน้า สุดท้ายก็ตอบรับเบา ๆ “ค่ะ”

 บุษบงเดินไปยังเก้าอี้ที่เขาบอก ซึ่งก็เป็นเก้าอี้หวายในห้องรับแขกของโรเบิร์ตกับแคทลีนนั่นเอง ทว่าวันนี้เก้าอี้ถูกแยกออกมาต่างหาก ด้านหลังคือชั้นหนังสือและด้านขวาของหล่อนมีโต๊ะตัวเล็กๆ มีแจกันดอกไม้ที่จัดเป็นพุ่มแบบฝรั่งวางอยู่

 บุษบงนั่งนิ่งๆ ให้เขาวาดรูป ตอนแรกหล่อนแทบไม่กล้าหายใจเพราะกลัวจะทำให้งานของเขาเสียหาย จนชายหนุ่มอมยิ้มแล้วตะโกนบอก

 “ไม่ต้องนั่งตัวแข็งขนาดนั้นหรอก เมื่อยแย่”

 “แล้วรูปของคุณ...”

 ชายหนุ่มอยากบอกเหลือเกินว่าแม้บุษบงไม่นั่งอยู่ตรงนี้เขาก็มโนภาพหล่อนออกมาได้ แต่หากพูดอย่างนั้นออกไปรับรองว่าบุษบงจะไม่มาเป็นแบบให้เขาอีกอย่างแน่นอน ดังนั้นเรื่องที่จะได้พบกันเป็นการส่วนตัวอย่างนี้คงไม่มีหวัง

 “เอาเถอะ ฉันวาดได้ บุษนั่งให้สบายเถอะ ฉันไม่อยากให้นางแบบของฉันเป็นเหน็บชาจนขยาดไม่มาทำงานให้ฉันอีก”

 เมื่อได้รับอนุญาตเช่นนั้นบุษบงก็ปล่อยตัวตามสบาย

เกื้อกูลใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียวก็ร่างโครงเสร็จ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นบุษบงจึงเดินไปที่รูปภาพด้วยความตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกที่หล่อนได้มีโอกาสเป็นแบบวาดรูปเหมือน 

 “คุณเกื้อเก่งจังนะคะ ใช้เวลาไม่นานก็ออกมาเป็นรูปแล้ว” บุษบงชมจากใจจริง

 ชายหนุ่มยิ้มรับคำชมนั้น “ฉันหวังอย่างยิ่งว่ารูปที่ฉันตั้งใจวาดรูปนี้จะสื่อความหมายบางอย่างให้ใครบางคนเข้าใจความรู้สึกของฉัน”

 เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของผู้พูดบุษบงก็เห็นว่ามันพร่างพราย จนหล่อนต้องเสไปมองทางอื่นเนื่องจากหัวใจที่เต้นแรงขึ้นอีกครั้ง 

 บุษบงเสมองไปนอกหน้าต่างเพราะไม่อาจต้านทานกระแสบางอย่างที่ออกมาจากดวงตาคู่นั้นได้ แล้วหล่อนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าภายนอกนั้นมีลมกระโชกแรงกว่าปกติจนต้นไม้ไหวเอน ประกอบกับมีเมฆสีดำสนิทครอบคลุมทุกพื้นที่เป็นสัญญาณว่าฝนกำลังจะโปรยปรายในไม่ช้านี้

 “ดูเหมือนฝนจะตก คุณเกื้อจะว่าอะไรไหมหากบุษจะขอกลับบ้านก่อน”

 เกื้อกูลเดินมาที่หน้าต่างจากนั้นก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า และเห็นจริงตามที่บุษบงกล่าว “จริงด้วย ดูท่าจะตกหนักไม่เบา เดี๋ยวฉันหาร่มก่อนแล้วจะไปส่ง”

 “ไม่ต้องหรอกค่ะ ระยะทางแค่นี้บุษไปเองได้ เดี๋ยวขอยืมร่มของครูแหม่มก็พอ”

 เมื่อบุษบงหันไปยังที่วางร่มก็พบว่าร่มไม่ได้อยู่ตรงนั้น สันนิษฐานว่าบางทีแคทลีนอาจจะนำร่มไปรับโรเบิร์ตที่ท่าน้ำ เพราะเป็นเวลาที่โรเบิร์ตจะกลับมาจากที่ทำงานเช่นกัน

 เมื่อเป็นดังนั้นบุษบงจึงไม่อยากจะรบกวน “เดี๋ยวบุษรีบกลับดีกว่า ครูแหม่มคงใช้ร่มอยู่”

 ทันทีที่กล่าวจบบุษบงก็วิ่งออกไปจากบ้าน หล่อนต้องการกลับให้ถึงบ้านโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะหากฝนตกลงมาเสียก่อนอาจจะต้องเสียเวลาหลบฝนอีกนาน อีกทั้งบริเวณนี้ไม่ค่อยมีบ้านคนนัก หากชักช้าอาจจะเปียกปอนไปทั้งตัวแล้วคุณหญิงแขอาจดุเอาได้ที่ไม่ยอมดูแลตัวเองให้ดี

 ขณะที่วิ่งอยู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง เมื่อหันไปดูก็พบว่าเกื้อกูลวิ่งตามมา หล่อนหยุดฝีเท้าแล้วมองเขาอย่างสงสัยจนกระทั่งชายหนุ่มตามมาทันจึงเอ่ยปากถาม

 “คุณเกื้อตามมาทำไมคะ”

 “ก็ฉันบอกแล้วว่าจะมาส่ง”

 ตอนแรกบุษบงคิดว่าจะคัดค้าน ทว่าน้ำเสียง สีหน้า และท่าทางที่แสดงถึงความดื้อดึงของเขาทำให้หล่อนรู้ว่าเปล่าประโยชน์ สุดท้ายจึงต้องตามใจ “ถ้าอย่างนั้นรีบไปกันเถอะค่ะ เมฆลอยลงต่ำเหลือเกิน อีกไม่นานฝนคงจะตก”

 เกื้อกูลพยักหน้า ทั้งคู่จึงเดินเคียงกันไปอย่างรีบเร่ง กระนั้นก็ยังไม่ทันกาลอยู่ดี

 หยาดฝนกลั่นตัวตกลงมาเป็นเม็ด ก่อนจะทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นสาย ทั้งคู่มองหน้ากันคล้ายกลับจะปรึกษา เวลานี้ทั้งสองอยู่กึ่งกลางระหว่างบ้านโรเบิร์ตกับบ้านของพระยาธรรมานุรักษ์พอดี ไม่ว่าจะไปทางไหนก็ใช้เวลาเท่ากันทั้งสิ้น และดูเหมือนว่าฝนจะตกแรงขึ้นในทุกขณะ 

 “ฉันว่าเราควรหาที่หลบฝนก่อน” เกื้อกูลเสนอและมองไปรอบๆ เพื่อหาสถานที่หลบฝน เพราะหากวิ่งฝ่าไปมีหวังได้เปียกทั้งตัว และที่สำคัญอาจจะทำให้เจ็บไข้ไม่สบายได้ “ที่เรือนร้างนั่น ฉันว่าเราควรไปพักที่นั่นก่อน รอจนฝนซาแล้วค่อยเดินกลับ”

 บุษบงเห็นด้วยกับความคิดนั้น ฝนตกหนักเกินกว่าจะฝ่าไปได้ หล่อนจึงเบนทิศทางไปยังเรือนร้างอันเป็นสถานที่เดียวที่ค่อนข้างมั่นคงสำหรับหลบฝนและลมแรงในเวลานี้

 กว่าจะถึงเรือนทาสเกื้อกูลก็เปียกไปทั้งตัว ส่วนบุษบงเปียกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพราะระหว่างทางเกื้อกูลถอดเสื้อของตนมากางกั้นน้ำฝนให้ โดยให้เหตุผลว่าหล่อนเป็นผู้หญิง หากเปียกปอนไปทั้งตัวก็จะดูไม่ดีนัก เมื่อเขาอ้างเช่นนั้นหล่อนก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เห็นด้วยกับเขาทุกประการและอดไม่ได้ที่จะชื่นชม แม้ในสถานการณ์อย่างนี้เกื้อกูลยังนึกถึงเกียรติของหล่อนเป็นสำคัญ

 ทั้งสองมานั่งอยู่ใต้ถุนเรือนทาส สถานที่แรกที่ได้พบกันโดยเว้นระยะห่างไว้พอสมควร บุษบงห่อตัวเพราะความหนาว แต่เกื้อกูลทำราวกับชินชากับอากาศเช่นนี้ทั้งที่ท่อนบนของเขาเปล่าเปลือยด้วยอุทิศเสื้อเป็นร่มกันฝนให้หล่อน

 “หนาวรึ”

 บุษบงพยักหน้าแทนคำตอบ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปฏิเสธเมื่ออาการทางกายฟ้องไปหมดแล้ว

 “ฉันขอโทษที่ทำให้บุษต้องมาติดฝนอย่างนี้”

 “ไม่ใช่ความผิดคุณเกื้อหรอกค่ะ ไม่มีใครรู้หรอกว่าฝนจะตกเวลาไหน”

 พอกล่าวจบบุษบงก็รู้สึกได้ถึงความอุ่น เมื่อก้มลงมองก็พบว่าเขากอบกุมมือของหล่อนไว้ ความตกใจทำให้บุษบงชักมือหนี แต่อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย ปรามด้วยเสียงเหมือนผู้ใหญ่กำลังสั่งสอนเด็ก

 “ฉันไม่ได้คิดจะล่วงเกิน มือเท้าของคนเราต้องทำให้มันอุ่นอยู่เสมอ หากปล่อยให้เย็นเธออาจจะไม่สบายเอาได้ แล้วคราวนี้ใครกันที่จะดูแลคุณหญิงแข”

 เขาช่างฉลาดที่เอาคุณหญิงแขมาอ้าง แต่หล่อนไม่คล้อยตามเหตุผลนี้

 “ปล่อยเถอะค่ะ มันไม่เหมาะสม แล้วบุษก็ไม่ได้หนาวถึงขนาดนั้น”

 “แล้วถ้าฉันบอกว่าฉันหนาว เธอจะปรานีให้ฉันจับมือเธอได้ไหม” คำกล่าวนั้นกึ่งขอร้อง กึ่งเว้าวอน 

บุษบงวางหน้าไม่ถูก จริงอยู่ที่หล่อนสงสารและการที่เขากุมมือนั้นก็สร้างความอบอุ่นให้เป็นอย่างมาก แต่ก็ยังต้องคำนึงถึงขนบธรรมเนียมประเพณีอยู่ดี

 ระหว่างที่หล่อนกำลังลังเลอยู่นั้น สายอัสนีก็ฟาดเปรี้ยงลงมา ความตกใจทำให้บุษบงลืมตัวโผเข้ากอดชายหนุ่มไว้แน่น กว่าจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปบุษบงก็อายแทบแทรกแผ่นดิน หล่อนค่อยๆ ดันตัวออกจากอกแกร่งที่ใบหน้าเคยแนบชิด ใจเต้นระทึกหวั่นไหว ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เพราะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 “บุษ...บุษขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินคุณ” หล่อนกล่าวด้วยเสียงที่ค่อนข้างสั่น ลิ้นพันกันเพราะความรู้สึกตีกันยุ่งเหยิงอยู่ภายใน

 ชายหนุ่มหัวเราะแผ่วเบาในลำคอ ราวกับเจ้าของเสียงกลั้นเอาไว้อย่างสุดความสามารถ

 ความอับอายทำให้บุษบงโกรธ โกรธทั้งตัวเองและเขา ใบหน้าจึงบึ้งบูดในฉับพลัน

 “เป็นอะไรไป”

 “เปล่าค่ะ” บุษบงปฏิเสธ ก้มหน้าก้มตามองแค่ปลายเท้าของตนเองเท่านั้น เพราะไม่กล้าสู้หน้าเขา

 เกื้อกูลเอื้อมมือมาเชยคางบุษบง บังคับให้หล่อนหันหน้ามาสบตาเขา แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นหยาดน้ำคลอหน่วยตา

 “เธอกำลังเข้าใจฉันผิดนะ ฉันไม่ได้หัวเราะเยาะเธอ แต่ที่หัวเราะเพราะฉันมีความสุข รู้ไหมตอนเด็กๆ เวลาที่ฟ้าร้องฉันจะมีความสุขมาก เพราะแม่ของฉันกลัวฟ้าร้องเหมือนอย่างเธอ ฉันจะต้องไปกอดปลอบท่านอยู่เสมอ”

 บุษบงกะพริบตาอย่างงุนงง มองเขาด้วยความไม่เชื่อ

 “ฉันพูดเรื่องจริง แม่ฉันกลัวฟ้าร้องมาก แต่แม่ฉันไม่ใช่คนอ่อนแอหรอกนะ ท่านเข้มแข็ง ดูแลฉัน ดูแลทุกคนในบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข”

 บุษบงอึ้งงันกับคำพูดนั้น ไม่คิดเลยว่าเขาจะเอาหล่อนไปเทียบกับมารดาของตนเอง กระนั้นหล่อนก็สัมผัสได้ถึงความรักและความผูกพัน ยามเขาเอ่ยถึงแม่ สีหน้าเขาดูผ่อนคลายและมีความสุขทำให้เธอรู้สึกดีไปด้วย ความโกรธในใจจึงมลายไปทันที

 “ฉันอยากให้บุษได้เจอกับแม่ของฉัน ฉันเชื่อว่าแม่จะต้องรู้สึกอย่างเดียวกับที่ฉันรู้สึกกับบุษในตอนนี้”

 คำกล่าวของเกื้อกูลบอกถึงความนัยชัดเจน หล่อนก็ไม่ใช่เด็กเล็กๆ ที่จะไม่รู้ความหมาย หล่อนเองก็อบอุ่นใจยามที่ได้อยู่ใกล้เขา แต่ก็คิดว่ายังไม่เหมาะที่จะตอบรับหรือปฏิเสธเนื่องจากเจอกันได้ไม่นานนัก เรื่องบางอย่างอาจจะเปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งหล่อนก็ยังห่วงคุณหญิงแขไม่อยากทอดทิ้งท่านไปไหน

 “ดูเหมือนฝนจะหยุดตกแล้วนะคะ”

 เกื้อกูลมองออกไปด้านนอกแล้วก็พบว่าฝนหยุดตกแล้วจริงๆ

 “เดี๋ยวฉันเดินเข้าไปส่ง ตอนนี้มืดแล้วฉันเป็นห่วง”

 บุษบงรู้ดีว่าถึงแม้หล่อนจะปฏิเสธชายหนุ่มก็คงไม่ฟังจึงปล่อยเลยตามเลยอีกครั้ง ส่วนอีกใจหนึ่งก็รู้สึกดีที่ยังมีเขาอยู่ข้างๆ

 หญิงสาวลุกขึ้นจะเดินออกไปนอกเรือนเกื้อกูลก็ลุกตาม แต่ยังไม่ทันพ้นเงามืดก็เห็นแสงไฟและได้ยินเสียงฝีเท้าคน เมื่อเขม้นมองก็พบว่าเป็นคุณสร้อยกับกลอยนั่นเอง

 เกื้อกูลถอยกลับไปใต้ถุนเรือนทันควันพร้อมกับคว้ามือบุษบงมาด้วยเพื่อหลบคุณสร้อย เพราะการอยู่ในสถานที่แห่งนี้ด้วยกันสองต่อสองแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากเรื่องอกุศล แม้ว่าความจริงจะบริสุทธิ์ใจต่อกันก็ตาม

 “คุณเกื้อ ปล่อยบุษนะ” 

บุษบงดิ้นรนขัดขืนด้วยความตกใจที่อยู่ๆ ก็ถูกสวมกอดเอาไว้โดยไม่ทันตั้งตัว แต่หล่อนก็นิ่งเป็นหินเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกัน และหล่อนก็จำได้ดีว่าเป็นเสียงใคร

 บุษบงหลับตา ซุกหน้ากับอกของเกื้อกูลด้วยความกลัว หล่อนไม่ได้กลัวว่าจะถูกทำโทษ แต่กลัวว่าจะทำให้คุณหญิงแขเดือดร้อนเพราะคุณสร้อยไม่เคยมีความเป็นธรรมและไม่เคยมองหล่อนในแง่ดี และหากคุณสร้อยเห็นหล่อนอยู่กับผู้ชายสองต่อสองคงลากหล่อนไปทำโทษอย่างหนักโดยไม่สอบสวนให้เสียเวลา

 เสียงฝีเท้าหยุดลงไม่ไกลนัก ซึ่งใกล้พอจะได้ยินทุกคำพูดที่แสดงถึงความหงุดหงิดจากปากคุณสร้อยที่ และในคำพูดนั้นพาดพิงถึงหล่อนโดยตรง

 “แน่ใจหรือนังกลอยว่าเอ็งเห็นนังบุษแถวนี้”

 “แน่ใจซิเจ้าคะ บ่าวเห็นกับตา มันวิ่งมากับผู้ชายอีกคน”

 “แล้วตอนนี้มันอยู่ไหน ทำไมถึงไม่เห็น”

 “บ่าวก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ หรือว่ามันจะไปกันแล้ว” กลอยชูคบไฟขึ้น จากนั้นก็ก้มมองไปทั่วๆ แต่ไม่พบอะไร จึงเอ่ยด้วยเสียงอันเบากับเจ้านาย “หรือบางทีบ่าวอาจจะตาฝาด”

 “นังกลอย นี่เอ็งอย่าบอกนะว่าเอ็งให้ข้าตากฝนมาที่นี่เพราะความตาฝาดของเอ็ง” คุณสร้อยดุว่าบ่าวด้วยอารมณ์อันเกรี้ยวกราด             

 “บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ คุณสร้อยอย่าถือสาหาความเลยนะเจ้าคะ”

 “นังกลอย เอ็งนี่มันโง่ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ ทำให้ข้าดีใจเก้อ อุตส่าห์คิดว่าจะหาเหตุเฆี่ยนนังบุษให้ตายได้แล้วทีเดียว เมื่อคืนเฆี่ยนได้แค่ทีสองทียังไม่สาแก่ใจข้าสักนิด ดูซิเพราะความฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อของเอ็งแท้ๆ ที่ทำให้ข้าผิดหวัง หรือจะให้ข้าเฆี่ยนเอ็งแทนดี”

 ดูเหมือนกลอยจะไม่ได้ใส่ใจกับคำดุด่านั้นสักเท่าไรนัก มือของบ่าวเอื้อมไปจับชายผ้าของผู้เป็นนายเอาไว้แน่นราวกับว่ากำลังหวาดกลัวกับอะไรบางอย่าง

 “ถ้าอย่างนั้นเราก็กลับกันนะเจ้าคะ”

 “กลับซิ เอ็งจะอยู่เฝ้าผีนังมะลิหรือยังไง”

 คุณสร้อยก้าวเดินนำออกไปทันทีทั้งที่ยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค ส่วนกลอยตามไปติดๆ นำมาซึ่งความโล่งใจให้บุษบงจนถอนหายใจออกมายาวเหยียด แต่แล้วเมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวหล่อนก็พบว่าถูกเกื้อกูลกอดเอาไว้ 

 “คุณเกื้อคะ ปล่อยบุษเถอะค่ะ”

 เกื้อกูลทำตามคำขอทันที แต่สายตาของเขาจับจ้องรอยแผลที่แขนหล่อนไม่วางตา ก่อนจะกล่าวเสียงขรึมเข้มอย่างที่หล่อนไม่เคยได้ยินมาก่อน

 “รอยนั่นเกิดการจากถูกคุณสร้อยเฆี่ยนใช่ไหม”

 คำถามนั้นทำให้บุษบงพูดไม่ออก แต่หล่อนรู้ว่าเขาได้ยินทุกถ้อยคำที่คุณสร้อยเอ่ย และแน่นอนว่าหล่อนไม่อาจโกหกได้อีก จึงเลือกที่จะเงียบ

 “ฉันไม่รู้ว่าทำไมเธอต้องปกป้องคุณสร้อย แต่มันเป็นการกระทำที่ไม่สมควร คุณสร้อยเป็นเพียงนาย ไม่ใช่เจ้าชีวิต ไม่มีสิทธิ์อะไรมาเฆี่ยนตีบุษอย่างนี้ ฉันไม่อยากให้บุษยอม เพราะยิ่งยอมคนเช่นนี้ก็จะยิ่งได้ใจ มันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง และบุษจงรู้ไว้เถิดว่าเวลาบุษเจ็บตัว ไม่ใช่เพียงแค่บุษเท่านั้นที่เจ็บ ฉันเองก็เจ็บไปด้วย และฉันคิดว่าคุณหญิงแขเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน”

 บุษบงได้แต่นิ่งเงียบไม่โต้ตอบ แต่ใจส่วนหนึ่งก็เห็นด้วยกับเขา บางทีหล่อนอาจจะต้องลุกขึ้นมาปกป้องตัวเอง ปกป้องคุณหญิงแข ไม่อย่างนั้นก็จะถูกข่มเหงรังแกอย่างนี้เรื่อยไป

 ขณะที่หล่อนเดินออกจากเรือนทาสก็ครุ่นคิดเรื่องนี้มาตลอดทาง จนกระทั่งถึงเรือนเล็กก็ถูกเขารั้งเอาไว้

 เมื่อหันไปก็พบว่าเกื้อกูลมองมาด้วยสายตาจริงจังกว่าทุกครั้ง ก่อนจะกล่าวในสิ่งที่หล่อนไม่คาดคิดมาก่อน

 “บุษ ขอให้ฉันจัดการเรื่องทั้งหมดของฉันให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วฉันจะพาเธอไปรู้จักกับคุณพ่อคุณแม่ของฉัน ฉันจะพาท่านทั้งสองมากราบคุณหญิงแข”

 เมื่อกล่าวจบเกื้อกูลก็ไม่รอให้หล่อนตอบรับหรือปฏิเสธ เขารีบเดินหายไปในความมืด ปล่อยหล่อนไว้กับความสับสนที่มีความอิ่มใจอย่างประหลาดแทรกปนอยู่

            


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น