บทที่ ๑๕

๑๕

 

 แม้บุษบงจะพยายามอำพรางรอยเฆี่ยน แต่สุดท้ายก็ไม่อาจปกปิดได้ ในเช้าวันหนึ่งขณะที่หล่อนกระโจมอกอาบน้ำคุณหญิงแขก็บังเอิญเห็นรอยแผลนั้นเข้า ท่านจึงซักไซ้และได้รับรู้ถึงความเป็นมา

 ครั้งนี้คุณหญิงแขมีความเห็นว่าคุณสร้อยทำเกินกว่าเหตุ บุษบงไม่ได้มีความผิดยังถูกเฆี่ยนตีอย่างน่าสงสาร ส่วนหนึ่งท่านก็กล่าวโทษว่าเป็นความผิดของตนที่วางเฉยต่อการกระทำของคุณสร้อย จนฝ่ายนั้นได้ใจไม่เกรงกลัวและไม่เกรงใจท่านเลย เอาคนของท่านไปลงโทษโดยไม่บอกไม่กล่าว หากปล่อยเอาไว้เหตุการณ์เช่นนี้จะต้องเกิดขึ้นซ้ำอีก จึงเห็นควรว่าจะต้องจัดการสักครั้ง

 “จำปา ไปเรียกแม่สร้อยมาที เห็นทีฉันคงต้องคุยให้รู้เรื่อง” ในที่สุดคุณหญิงแขก็ตัดสินใจหลังจากตรึกตรองเรื่องนี้มาครึ่งค่อนวัน

 จำปาตะลึงพรึงเพริดกับการตัดสินใจของคุณหญิงแข และเกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่เดือดร้อนกันไปทั้งเรือน

 “จะดีหรือเจ้าคะ ถ้าคุณสร้อยเธอโกรธขึ้นมา” จำปาค้านเบาๆ เนื่องจากเห็นว่าคุณหญิงแขพยายามหลบเลี่ยงเรื่องที่จะก่อให้เกิดการปะทะกันมาโดยตลอด

 “คราวนี้ฉันต้องพูดให้รู้เรื่อง แม่สร้อยทำเกินไป”

 “แต่ว่า...” จำปายังคงค้าน แต่ไม่รู้จะใช้เหตุผลใดทัดทาน 

 “ไปตามมาเถอะ ฉันจัดการได้”

 เมื่อได้รับคำยืนยันหนักแน่นเช่นนั้นจำปาจึงคลานออกไป จุดหมายคือเรือนใหญ่ที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก 

จำปาเดินขึ้นบันไดเรือนไปแล้วก็ต้องถอนหายใจกับภาพที่เห็น เรือนใหญ่เวลานี้แตกต่างจากตอนที่คุณหญิงแขเคยอยู่ แม้จะสะอาดเพราะแรงงานบ่าวไพร่ ทว่าข้าวของกลับวางอย่างไร้ระเบียบและไม่เป็นหมวดหมู่ เครื่องลายครามวางรวมกับเครื่องทองเหลืองในตู้ไม้ขัดลงน้ำยาไม่ได้แยกเก็บวางให้เป็นระเบียบเรียบร้อย บ่งบอกว่าไม่ได้รับการเอาใจใส่หรือไม่เจ้าบ้านก็ไร้ความรู้ในเรื่องการจัดวาง

 จำปามองทุกอย่างอย่างปลงตก หรือบ้านนี้จะเข้าสู่กลียุคเสียแล้ว 

 “มาทำไม”

 เสียงนั้นคือเสียงของกลอย บ่าวคนสนิทของคุณสร้อยที่ยืนเท้าสะเอวมองอย่างไร้สัมมาคารวะทั้งที่จำปาอายุมากกว่าเกือบสองรอบ

 จำปาตวัดสายตามองอย่างไม่พอใจ อยากบอกเหลือเกินว่าไม่ใคร่อยากมาเหยียบเรือนนี้นัก ทว่าไม่อยากมีเรื่องมีราวจึงบอกเพียงธุระของตนเท่านั้น “คุณหญิงแขต้องการพบคุณสร้อย”

 “มีธุระอะไรถึงเรียกคุณสร้อยของฉันไปพบ หรือว่าท้องพระคลังร่อยหรอเลยต้องมาขอพึ่ง”

 น้ำเสียงและท่าทางก้าวร้าวนั้นทำให้จำปาไม่อาจทนได้อีกต่อไป ไม่รู้ว่าคุณสร้อยอบรมบ่าวไพร่ของตัวเองอย่างไรถึงได้กล้าพูดจาดูถูกตนกับคุณหญิงแขเช่นนี้ ทั้งที่ตนเป็นคนเก่าแก่ของที่นี่อยู่กับคุณหญิงแขมาตั้งแต่ยังสาว อีกทั้งที่คุณสร้อยได้เสวยสุขมาจนถึงทุกวันนี้ก็เป็นเพราะบารมีของคุณหญิงแขทั้งสิ้น

 “คุณหญิงไม่ใช่ขอทาน และท่านก็ไม่ได้ต้องการจะขอคืนทานที่เคยให้แก่พวกที่ไม่รู้จักบุญคุณ”

 กลอยหน้าดำหน้าแดงเมื่อแปลความหมายนั้นได้ครบถ้วน “ถ้าไม่มาขอเงิน แล้วจะพบทำไม”

 “มันไม่ใช่กงการอะไรของบ่าวอย่างเอ็ง ไปบอกนายเอ็งแค่ว่านายข้าเรียกพบ”

 “ใช่ซิ ทำไมจะไม่ใช่ ฉันต้องบอกคุณสร้อยว่าคุณท่านต้องการพบคุณสร้อยด้วยเรื่องอะไร เพราะคุณสร้อยจะได้พิจารณาว่าควรไปหรือเปล่า”

 ความโกรธแล่นเป็นริ้วๆ จนจำปารู้สึกเหมือนจะเป็นลมนายกับบ่าวคู่นี้โอหังนัก ทำเหมือนเจ้านายของนางเป็นหัวหลักหัวตอ ทั้งที่คุณหญิงแขเป็นผู้ใหญ่ที่ควรเคารพมากที่สุดในบ้านนี้

 “นังคางคกขึ้นวอ”

 “ป้าว่าใคร” กลอยถามเสียงแหลมขึ้นมาทันที

 “ใครอยากรับก็รับเอาไป” จำปาเองก็เหลืออด เมื่อไม่เกรงใจกันนางก็ไม่คิดจะเกรงใจใคร

 “ฉันจะไปบอกคุณสร้อยว่าป้าด่าคุณสร้อย” กลอยเต้นผาง 

 “รีบขี่ม้าไปบอกเลยนะ แล้วอย่าลืมล่ะว่าคุณหญิงท่านของข้ามีธุระจะพูดคุยกับเจ้านายของเอ็ง” กล่าวจบจำปาก็เดินจากมาทันที นางไม่อาจทนอยู่กับคนที่ไร้การอบรมได้อีกต่อไป ดังคำโบราณว่าอย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ อย่าเอาทองไปรู่กระเบื้องก็เห็นประจักษ์จริงในคราวนี้

 เมื่อจำปาจากไปแล้ว กลอยก็ได้แต่เต้นเร่าด้วยความแค้นเคือง ในบ้านนี้นอกจากคุณสร้อยและเจ้าของบ้านทั้งหมดแล้ว ทุกคนก็เกรงกลัวหล่อนทั้งสิ้น จำปาเองก็เช่นกัน แม้จะเป็นคนเก่าแก่ แต่ยุคของจำปาก็หมดไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงควรจะเกรงใจหล่อนเหมือนคนอื่น

 กลอยมองตามจำปาด้วยแววตาอาฆาตมาดร้าย “คอยดูเถอะ กูจะเสี้ยมนายกูไม่ให้มึงได้มีที่อยู่เลยทีเดียว”

 กลอยสะบัดหน้าแล้วกลับเข้าเรือนไปหาเจ้านายอย่างไม่รีรอ แม้คุณสร้อยจะมีคำสั่งว่าไม่อยากพบใครแต่เห็นทีจะปล่อยเรื่องนี้เอาไว้ไม่ได้ 

 กลอยตะโกนขออนุญาตหน้าประตู จากนั้นก็ออกแรงดันประตูเข้าไปโดยไม่รอเสียงขานรับจากเจ้านาย ผลคือหมอนใบใหญ่ลอยมาปะทะใบหน้าทันทีพร้อมกับเสียงแหลมของคุณสร้อย

 “นังกลอย ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามใครรบกวน รวมทั้งเอ็งด้วย” 

ยามโมโหโทโส ความเป็นผู้ดีของคุณสร้อยก็จะหมดสิ้นไปเช่นกัน

 “คุณสร้อยเจ้าขา ฟังบ่าวก่อน” กลอยคลานเข้าไปกล่าวเสียงอ่อนเสียงหวาน “เมื่อสักครู่เจ้าค่ะ นังจำปามาที่เรือนเรา มันบอกว่าคุณหญิงแขต้องการพบคุณสร้อยเจ้าค่ะ”

 “คุณแม่อยากพบข้ากระนั้นหรือ พบเรื่องอะไร” คิ้วเรียวโก่งเลิกขึ้นน้อยๆ ด้วยความสงสัย เพราะหล่อนกับคุณหญิงแขนั้นต่างฝ่ายต่างไม่ยุ่งเกี่ยวกันมานาน ตั้งแต่ท่านย้ายไปอยู่เรือนเล็กด้านหลังก็ลดความสัมพันธ์ไปโดยปริยาย ซึ่งคุณสร้อยเห็นว่าเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง เนื่องจากตนได้ครอบครองทุกสิ่งเป็นใหญ่ในบ้านขึ้นมาทันที

 “บ่าวถามแล้วเจ้าค่ะ แต่มันไม่ยอมบอก พอบ่าวบอกว่าถ้าไม่บอกคุณสร้อยก็จะไม่ไป มันว่าอย่างไรรู้ไหมเจ้าคะ มันว่าคุณสร้อยเป็นคางคกขึ้นวอเจ้าค่ะ”

 กลอยใส่ไคล้อย่างสนุกปากตามความมืดมัวในจิตใจ ส่งผลให้ผู้เป็นนายถึงกับเต้นผางด้วยความโกรธ

 “อ๊าย อีไพร่นั่นมันกล้าว่าข้าขนาดนั้นเชียวหรือ”

 “โอ๊ย...ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะเจ้าคะ มันยังว่าคุณสร้อยเป็นขอทานลืมคุณเจ้าค่ะ มันหาว่าคุณสร้อยเป็นแค่ลูกนักเลง ส่วนเจ้านายมันเป็นชาววัง ก็เลยเหิมเกริมไม่เกรงกลัวคุณสร้อยเลยแม้แต่นิดเดียว คุณสร้อยอย่ายอมนะเจ้าคะ”

 กลอยยุส่งเมื่อเห็นเจ้านายเดือดจัด คราวนี้จำปาจะได้รู้เสียบ้างว่าใครเป็นใคร ต่อไปจะได้ไม่มาแสดงท่าทางกระด้างกระเดื่องและส่งสายตาผู้ดีจิกกัดตนอีก

 “ไปนังกลอย ไปเรือนโน้นกัน ข้าจะได้ให้คุณแม่สั่งสอนบ่าวไพร่ที่บังอาจมาลามปามถึงเรือนข้า”

 ความกังวลเรื่องผีมะลิหมดไปชั่วขณะหนึ่ง คุณสร้อยเดินกระทืบเท้าลงจากเตียงนอนพร้อมที่จะบุกไปยังเรือนหลังเล็กอันเป็นที่อาศัยของมารดาสามี จุดหมายคือชำระความจำปา

 เมื่อไปถึงเรือนหลังเล็ก คุณสร้อยก็พบว่าคุณหญิงแขนั่งรออยู่แล้ว ความเดือดดาลที่มีค่อยๆ ลดลงแทนที่ด้วยความยำเกรง คุณหญิงแขมีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคืองดงามและเยือกเย็นสมชื่อ เพียงแค่ท่านนั่งทำหน้าเรียบเฉยก็เหมือนมีรัศมีประหลาดแผ่ออกมาคล้ายกับบารมีที่ทำให้คนอื่นยำเกรง

 คุณสร้อยยกมือไหว้ คลานเข่าไปนั่งลงกับพื้น แม้จะไม่สำรวมเรียบร้อยอย่างที่ควรจะเป็นแต่ก็มากเหลือเกินแล้วสำหรับสภาวการณ์เช่นนี้

 “มาแล้วหรือแม่สร้อย”

 “ค่ะ ได้ข่าวว่าคุณแม่ให้หา” สายตาของคุณสร้อยตวัดไปทางจำปา ซึ่งทำหน้านิ่งไม่รู้ไม่ชี้อยู่ข้างๆ เจ้านาย

 “ใช่ ฉันให้หา” คุณหญิงแขกล่าวเสียงนิ่งเช่นเดียวกับใบหน้า “จำปาออกไปก่อน”

 “แต่...” จำปาคัดค้าน ทว่าเมื่อสบตากับคุณหญิงแขก็จำต้องเงียบแล้วคลานเข่าออกไป ทั้งที่ในใจห่วงใยคุณหญิงเหลือเกิน เช่นเดียวกับกลอยที่คลานเข่าออกไปเช่นกันเมื่อหันมาสบตากับคุณสร้อย

 “คุณแม่มีอะไรกับดิฉันหรือคะ” คุณสร้อยถามทันทีเมื่อบ่าวทั้งสองออกไปแล้ว

 เมื่อลูกสะใภ้ถามตรงๆ คุณหญิงแขจึงไม่คิดจะอ้อมค้อมให้เสียเวลาอีก

 “ฉันอยากคุยเรื่องแม่บุษ” 

แม้เสียงจะเรียบนิ่ง ทว่าคนฟังกลับรู้สึกถึงความไม่พอใจอันล้ำลึกในเนื้อเสียง ใบหน้าของคุณสร้อยจึงบึ้งยิ่งขึ้นไปอีก

 “แม่นั่นมาฟ้องอะไรคุณแม่หรือคะ”

 “แม่บุษไม่ได้ฟ้อง ฉันเห็นเอง” คุณหญิงแขกล่าวเสียงเย็น มองสะใภ้ด้วยแววตาตำหนิติเตียน “ฉันขอได้ไหม ต่อจากนี้อย่าทำอย่างนั้นอีก”

 “ทำไมคะ ทำไมดิฉันจะทำไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นบ่าว ดิฉันมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรกับมันก็ได้ทั้งนั้น” คุณสร้อยขึ้นเสียงด้วยความไม่พอใจ เกลียดเหลือเกินเวลาที่ใครลุกขึ้นมาปกป้องบุษบง

 “หล่อนไม่มีสิทธิ์ บุษบงเป็นคนของฉัน ต่อจากนี้หากบุษบงทำอะไรผิดก็มาบอกฉัน ฉันจะจัดการเอง”

 “ทำไมคะคุณแม่ ทำไมคุณแม่ต้องวุ่นวายปกป้องนังคนนี้ด้วย” คุณสร้อยแหวอย่างอดไม่อยู่

 “แล้วหล่อนล่ะ ทำไมต้องวุ่นวายกับบุษบง ทั้งที่บ่าวในบ้านก็มีตั้งมากมาย” คุณหญิงแขย้อนกลับ ท่านเองก็อยากรู้นักว่าทำไมคุณสร้อยถึงได้จงเกลียดจงชังบุษบงนัก ทั้งที่ท่านพยายามให้บุษบงอยู่ในที่ของตัวเอง ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับคนบนเรือนใหญ่เลย

คำถามนั้นไปจุดไฟในใจคุณสร้อยเข้า หล่อนหันมามองแม่สามีด้วยดวงตากร้าวแข็งทันที

 “คุณแม่ถามมาก็ดีแล้วค่ะ ดิฉันจะได้ตอบ” เสียงของคุณสร้อยสั่นเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวต่อ “เพราะอะไรน่ะหรือคะ เพราะดิฉันคิดว่านังบุษมันเป็นลูกของอีมะลิ และคุณแม่ก็คิดว่านังนั่นมันเป็นหลานคุณแม่ คุณแม่เลยโอ๋มันนัก ที่พูดมานี่ถูกต้องไหมคะ”

 คำตอบของคุณสร้อยเป็นผลให้ใบหน้าคุณหญิงแขซีดเผือด แต่ท่านพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติโดยเร็วและบังคับเสียงไม่ให้สั่นเมื่อกล่าวประโยคต่อมา

 “จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเด็กคนนั้นตายไปแล้ว หล่อนเป็นคนบอกฉันเองนี่”

 “ไม่มีใครพบศพนี่คะ หรือคุณแม่พบ” 

คุณสร้อยกล่าวด้วยเสียงเยือกเย็น แววตาฉายความเหี้ยมเกรียมจนคุณหญิงแขใจคอไม่ดี

 คุณหญิงแขนิ่งเงียบ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

 ด้วยสัญชาตญาณทำให้คุณสร้อยรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นไม่ผิด มือทั้งสองข้างกำแน่นด้วยความแค้นเคืองที่ถูกหลอกมาเป็นสิบปี ที่แท้หอกข้างแคร่ยังไม่ตาย อีกทั้งยังมีวาสนามาลอยหน้าลอยตาอยู่ใกล้ตนอีก

 “คุณแม่ปิดบังความจริงเรื่องนี้มาตลอด เลี้ยงดูนังบุษอย่างดีเพราะคิดว่ามันเป็นหลาน ทั้งที่มันเป็นลูกชู้ของอีมะลิกับไอ้ทาสนั่น แต่ไม่สนใจพ่อสันติกับแม่แสงจันทร์ คุณแม่ทำอย่างนี้ได้อย่างไรกันคะ”

 เมื่อลูกสะใภ้มองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ คุณหญิงแขก็ไม่คิดจะปิดบัง ท่านจึงยอมรับออกมาด้วยท่าทางนิ่งสงบ

 “ใช่ ฉันคิดว่าบุษบงเป็นหลานของฉัน และยิ่งบุษบงโตขึ้น ฉันยิ่งมั่นใจว่าไม่ใช่ลูกชู้อย่างที่หล่อนเคยกล่าวหาไว้”

“คุณแม่หาว่าดิฉันใส่ร้ายอีมะลิหรือคะ” คุณสร้อยขึ้นเสียงด้วยความลืมตัว มองมารดาของผู้เป็นสามีด้วยแววตาอาฆาตมาดร้าย

 “หล่อนทำอะไรก็รู้ดีอยู่เต็มอก ทำไมนะแม่สร้อย ทำไมถึงใจร้ายได้ผิดมนุษย์มนาเยี่ยงนี้”

 เป็นครั้งแรกที่คุณหญิงแขมองคุณสร้อยอย่างประณามและรังเกียจ แล้วถามด้วยความอ่อนใจ บัดนี้ลูกสะใภ้ได้ในสิ่งที่ต้องการไปทุกอย่าง แล้วทำไมยังตามรังควานบุษบงซึ่งอยู่ในฐานะกำพร้าคนหนึ่งทั้งที่ความจริงมีสิทธิ์ทุกอย่างเทียบเท่ากับสันติและแสงจันทร์

 “คุณแม่ คุณแม่ว่าดิฉันหรือคะ”

 คุณหญิงแขมองลูกสะใภ้อย่างเยือกเย็น และตัดสินใจได้ว่าควรจะทำเช่นใดต่อไป “เอาละ ฉันมีเรื่องจะคุยกับหล่อนเท่านี้ และต่อไปนี้จำไว้ว่าอย่าแตะต้องบุษบงอีก เพราะตั้งแต่นี้เป็นต้นไปบุษบงจะมีฐานะเป็นหลานของฉันเทียบเท่ากับพ่อสันติและแม่แสงจันทร์”

 ดวงตาของคุณสร้อยวาววาบเมื่อได้ยินประโยคนั้น และแล้วสิ่งที่กลัวก็กำลังจะเกิดขึ้น 

 “ไม่ค่ะ ดิฉันไม่ยอม” คุณสร้อยลุกขึ้นมองคุณหญิงแขอย่างโกรธแค้น “คุณแม่จะทำอย่างนี้กับลูกสันติกับแม่แสงจันทร์ไม่ได้ สมบัติของคุณแม่และคุณพี่จะต้องเป็นของลูกดิฉันเท่านั้น”

 คุณหญิงแขตะลึงงันกับท่าทางของลูกสะใภ้ หัวใจของท่านหล่นวูบราวกับถูกธรณีสูบ ท่าทางของคุณสร้อยเหมือนคนจิตอันวิปลาส ดวงตาที่มองมาเหมือนกับว่าต้องการเผาร่างกายท่านให้เป็นจุณ

 คุณสร้อยก้าวเดินเข้าหาแม่สามีอย่างดุดัน

“ถอยออกไปนะแม่สร้อย” คุณหญิงแขร้องบอกด้วยความตระหนก

 “ไม่ค่ะคุณแม่ ดิฉันไม่ถอย เพราะดิฉันถอยไม่ได้” คุณสร้อยประกาศเสียงกร้าว 

คุณหญิงแขรู้ทันทีว่าภัยกำลังจะมาถึงตัว จึงเด้งตัวลุกขึ้นทว่าความชราเป็นอุปสรรคจึงช้ากว่าคุณสร้อย “หล่อนจะทำอะไรฉันแม่สร้อย”

 คุณสร้อยยิ้มเหี้ยมเกรียมแล้วย้อนถาม “แล้วคุณแม่คิดว่าดิฉันจะทำอะไร”

 ใบหน้าของคุณหญิงแขเผือดลง สายตาของคุณสร้อยนั้นเปิดเปลือยคำตอบทุกอย่างเป็นอย่างดี จนท่านเย็นยะเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง

 “อย่า...อย่าทำอะไรฉันนะ จำปาช่วยฉันด้วย” ท่านส่งเสียงเรียกต้นห้องคนสนิทซึ่งในเวลานี้เป็นคนเดียวที่จะช่วยท่านได้

 “อย่าเปลืองแรงเลยค่ะ ดิฉันสัญญาว่าจะส่งคุณแม่อย่างสบายที่สุด”

 เมื่อกล่าวจบคุณสร้อยก็กระชากผ้าคลุมไหล่ของคุณหญิงแขเพื่อใช้เป็นอาวุธในการปลิดชีพ ตวัดผ้าพันรอบลำคอท่าน จากนั้นก็เหวี่ยงท่านล้มไปบนเตียง แม้ในตอนแรกคุณหญิงแขจะขัดขืนต่อสู้ แต่ท่านก็เป็นเพียงหญิงชราอายุร่วมหกสิบ เจ็บไข้จนผอมแห้ง เรี่ยวแรงจึงหดหายในเวลาอันรวดเร็ว ผ้าที่รัดแน่นทำให้การดิ้นรนขัดขืนน้อยลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งคุณหญิงแขแน่นิ่ง ดวงตาเหลือกถลนจนแทบออกมานอกเบ้า รอบปากเขียวคล้ำ และสุดท้ายลมหายใจของท่านก็จากไปชั่วนิรันดร์

 คุณสร้อยถอยออกมา มองผลงานตนเองด้วยสายตาเย็นชา มีความกังวลใจบ้างในตอนแรก แต่เพราะไร้ซึ่งความผูกพันอีกทั้งความรักที่มีต่อลูกทั้งสองนั้นมากกว่า จึงไม่รู้สึกผิดกับการกระทำในครั้งนี้มากไปกว่าการฆ่าหมาฆ่าแมวที่เลี้ยงเอาไว้ในบ้านเท่านั้น

 “ไปสู่สุคตินะคะ อย่าโกรธเคืองดิฉันเลย เพราะคุณแม่เองที่คิดจะเลี้ยงงูเอาไว้ฉกดิฉัน ดิฉันก็เอาคุณแม่ไว้ไม่ได้เหมือนกัน”

 คุณสร้อยกล่าวกับร่างไร้วิญญาณเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งพอดีกับที่จำปาสวนเข้ามา

 “คุณ...คุณท่าน” จำปาร้องเสียงหลงเมื่อเห็นเจ้านายนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง “อีคนชั่ว มึงฆ่าคุณหญิงทำไม”

 จำปาถลาเข้าหาฆาตกรใจโหดด้วยความโกรธแค้น พยายามที่จะใช้พละกำลังทั้งหมดเพื่อทำร้ายคุณสร้อยให้เจ็บปวดเหมือนที่ตนเจ็บปวด แต่ยังไม่ทันถึงตัวคุณสร้อย กลอยก็ปราดเข้ามาจับตัวเอาไว้เสียก่อน

 คุณสร้อยก้าวย่างช้าๆ มองจำปาอย่างไม่สะทกสะท้านในสิ่งที่ตนทำ “ไม่ใช่แค่คุณหญิง กูจะฆ่ามึงด้วย” 

ดวงตานั้นเหมือนซาตาน ไร้ความปรานีในสีหน้าขณะคุณสร้อยเอื้อมไปหยิบแจกันกระเบื้องลายครามมาถือไว้ จากนั้นก็เงื้อขึ้นสุดแขน

 ในนาทีนี้จำปาไม่กลัวความตายเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่าห่วงบุษบง เพราะมั่นใจว่าคนที่มีจิตใจชั่วช้าอย่างคุณสร้อยต้องฆ่าบุษบงอีกคนอย่างแน่นอน

 “พระคุณเจ้า ขอให้คุ้มครองแม่บุษด้วยเถิด”

 สิ้นแรงอธิษฐาน จำปาก็รู้สึกถึงแรงอันมหาศาลที่กระแทกลงมาบนศีรษะ หลังจากนั้นโลกก็มืดลงไปทันที พร้อมกับหยาดน้ำตาแห่งความเสียใจไหลออกมา

 กลอยมองสองร่างแน่นิ่งด้วยใจหวาดหวั่น แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นคุณสร้อยฆ่าคน แต่หล่อนก็ยังไม่สามารถทำใจให้ไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ยิ่งเห็นตาที่เหลือกถลนของคุณหญิงแขใจหล่อนยิ่งหวาดหวั่น ก่อนคลานมาเกาะขาคุณสร้อยแล้วถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ทำอย่างไรดีเจ้าคะ”

 “มาช่วยข้ารื้อค้นห้องนี้เร็วๆ เข้า”

 “รื้อทำไมเจ้าคะ” กลอยถามด้วยความงุนงง สมองตีบตันคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น รู้เพียงแต่ว่าอยากออกจากห้องนี้ไปให้เร็วที่สุด

 “อีโง่ ก็ทำเหมือนมีคนมาจี้มาปล้นน่ะซิ ไม่งั้นเขาก็ต้องสงสัยคนในบ้าน เดี๋ยวก็ได้นอนตะรางกันทั้งเอ็งทั้งข้าหรอก”

 กลอยทำตามคำสั่งด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รื้อค้นทุกอย่างออกมาจากที่ของมัน โดยพยายามไม่ให้เกิดเสียงดังจนกระทั่งทั้งห้องเกลื่อนกลาดไปด้วยข้าวของเครื่องใช้

 “พอหรือยังเจ้าคะ” กลอยถามเสียงสั่นด้วยความหวาดกลัว

 “พอแล้ว” คุณสร้อยกล่าวพร้อมกับเดินไปที่ศพของคุณหญิงแข ปลดสร้อยคอทองคำและเข็มขัดทองของท่านออกจากตัว

 “เอ้านี่ ข้าให้เป็นรางวัล แล้วหุบปากเอ็งให้สนิท”

 กลอยตาโต ลืมความหวาดกลัวไปชั่วขณะ สร้อยและเข็มขัดของคุณหญิงแขเป็นทองคำแท้สีเหลืองสุกปลั่ง หากนำไปขายคงได้เงินหลาย อาจจะมากกว่าร้อยบาท

 “รับไปซิ ยืนบื้ออยู่ได้” คุณสร้อยเอ็ดเอาเมื่อบ่าวเอาแต่ยืนตะลึง

 “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ คุณสร้อยใจดีกับบ่าวเหลือเกิน” กลอยยกมือไหว้ท่วมหัว รับสร้อยกับเข็มขัดมาด้วยความยินดีปรีดา ใจลิงโลดด้วยความละโมบ

 “อย่ามัวแต่ยืนอยู่ แล้วนั่นแจกันใบนั้นเอ็งเอาไปทิ้งน้ำให้ข้าด้วย ข้าไม่อยากให้ใครเห็น”

 “เจ้าค่ะ” กลอยรับคำ ใจยังคงจดจ่ออยู่กับสร้อยและเข็มขัดทอง


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น