บทที่ ๘

 

 เรื่องราวเกี่ยวกับบุตรชายและบุตรสาวของพระยาธรรมานุรักษ์ที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากปากเพื่อนรักทำให้เกื้อกูลถึงกับนิ่งงัน สิ่งที่ได้ยินทำให้เขาผิดหวัง ผู้หญิงคนนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นภรรยาทูตเลยแม้แต่อย่างเดียว

 “ทำหน้านิ่งอย่างนี้แสดงว่าไม่ชอบ” โรเบิร์ตถาม ออกจะแน่ใจว่าแสงจันทร์ไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่เกื้อกูลปรารถนา

 “เท่าที่ฟังยังไม่เหมาะ” เกื้อกูลตอบไปตามความจริง เขาไม่ชอบผู้หญิงที่สวยเพียงอย่างเดียว เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน

 “แล้วอย่างไหนถึงจะเหมาะ” โรเบิร์ตถามเพราะสงสัย ใครต่อใครมักจะชอบผู้หญิงสวยทั้งนั้น

 “ต้องมีความรู้ ต้องเก่ง ต้องดีด้วย”

 “มาตรฐานของคุณสูงเหลือเกิน หายากหน่อยนะผู้หญิงอย่างที่คุณว่า”

 เกื้อกูลถอนหายใจยืดยาวด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนจะอธิบายเหตุผลในการตั้งมาตรฐานอันสูงส่งของตนให้เพื่อนฟัง “โรเบิร์ต ผมมีหน้าที่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ดังนั้นผู้หญิงที่มายืนเคียงข้างผมก็ต้องเป็นหน้าเป็นตาของประเทศได้เช่นกัน ผมจึงต้องเลือกให้ดี อย่างคุณแสงจันทร์ทำอะไรไม่เป็น พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หนังสือไม่เรียน แต่งงานไปแล้วต้องไปอยู่ต่างแดนเห็นทีจะลำบาก แล้วผมก็ไม่รู้ว่าหากต้องไปอยู่ในประเทศกันดารจะอยู่กันได้ไหม ดังนั้นผู้หญิงที่ผมเลือกจะต้องเก่งพอตัว”

 โรเบิร์ตพยักหน้าเข้าใจ เมื่อเพื่อนอธิบายทุกอย่างออกมาก็ทำให้เขารู้ว่าเกื้อกูลรักในหน้าที่ของตนแค่ไหน และทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามเหตุผลที่ชายหนุ่มกล่าวทั้งสิ้น

 “แล้วคุณจะทำอย่างไร”

 “ผมคงต้องคุยเรื่องนี้กับทางบ้าน แต่อาจจะไม่ถึงกับตัดรอนเสียทีเดียว คงต้องให้โอกาสแสงจันทร์ หากเธอสนใจที่จะกลับมาเล่าเรียน ผมก็ยินดีที่จะคบหาดูใจ”

 วิธีการของเกื้อกูลเป็นวิธีการอย่างหนึ่งของนักการทูตคือยื่นข้อต่อรอง แล้วให้อีกฝ่ายยินยอมทำตามข้อเสนอนั้นเพื่อแลกกับบางสิ่งที่ต้องการ หากตกลงกันได้พันธสัญญาก็จะเกิดขึ้น แต่หากตกลงกันไม่ได้ก็อาจจะหมายถึงข้อพิพาทและการเกิดสงครามตามมา

 “ผมเห็นด้วยกับวิธีของคุณ” โรเบิร์ตสนับสนุน “ว่าแต่วันนี้บุษมาหรือยัง” ประโยคหลังโรเบิร์ตหันไปถามแคทลีนที่เดินมาชะโงกมองออกไปภายนอก สิ่งที่มองหาก็คงจะเป็นบุษบงที่บ่ายจัดแล้วยังมาไม่ถึง

 “ยังไม่เห็นเลยค่ะวันนี้” น้ำเสียงของแคทลีนเต็มไปด้วยความกังวล

 “แปลก ปกติน่าจะมาได้แล้ว หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้น” โรเบิร์ตเปรยขึ้นด้วยความเป็นห่วง ชะเง้อมองไปทางสะพานก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของบุษบง

 เมื่อโรเบิร์ตกล่าวถึงบุษบงขึ้นมา เกื้อกูลก็นึกได้ว่ามีเรื่องสำคัญอยากจะขอร้องเพื่อนทั้งสองเกี่ยวกับฐานะที่แท้จริงของตนเอง 

“โรเบิร์ต แคทลีน ผมมีเรื่องจะขอร้องคุณสองคน คุณสองคนช่วยกรุณาอย่าบอกบุษบงว่าแท้จริงแล้วผมเป็นใคร”

 โรเบิร์ตกับแคทลีนงุนงงกับคำขอร้องของเขา เกื้อกูลจึงอธิบายต่อเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจ

 “ก็ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าผมกลับมาแล้ว และอีกอย่างหล่อนอยู่ใกล้กับแสงจันทร์ ผมยังไม่อยากให้แสงจันทร์รู้ตัวว่าผมกำลังสังเกตอยู่ เอาเป็นว่าไม่ต้องโกหก เพียงแต่ไม่ต้องพูดถึงฐานะของผมก็พอ”

 “แล้วคุณจะให้ผมบอกว่าคุณเป็นใคร”

 “เป็นเพื่อนคุณ เป็นศิลปินที่กำลังตามหาความฝัน” เกื้อกูลตอบหน้าตาย แต่เขาไม่ได้โกหกในเมื่อเวลานี้เขากำลังตามหาความฝันอยู่จริงๆ

 โรเบิร์ตมีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับการขอร้องของเพื่อนเพราะคิดว่าคงไม่ทำให้บุษบงเดือดร้อนอะไร อีกทั้งยังเห็นใจเกื้อกูลอยู่มากที่ตกอยู่ในสภาพอย่างนี้

 “ก็ได้ ผมจะช่วยคุณปกปิดเรื่องนี้”

 “ขอบคุณมาก”

 “แล้วเรื่องวาดรูปส่งเข้าประกวดที่อิตาลีล่ะ คุณยังคิดที่จะทำอยู่หรือเปล่า”

 “คิดสิ แต่ตอนนี้ยังหานางแบบที่เหมาะสมไม่ได้”

 นอกจากความสามารถพิเศษทางด้านการพูดจาโน้มน้าวจิตใจคนแล้ว เกื้อกูลยังมีพรสวรรค์ทางด้านศิลปะทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพหรือเล่นดนตรี และเขาก็มีความฝันอย่างหนึ่งที่อยากทำคือส่งรูปภาพเข้าประกวดที่ประเทศอิตาลี

 “อย่างนั้นก็น่าเสียดาย แต่กลับมาที่นี่บางทีคุณอาจจะเจอคนที่เหมาะสมก็ได้”

 “นั่นสิ บางทีผมอาจจะหาผู้หญิงไทยสักคนมาเป็นแบบ ใช้เอกลักษณ์ของประเทศเช่นวัดวาอารามมาเป็นฉากหลัง น่าจะดูแปลกและโดดเด่น”

 “ผมขออวยพรให้คุณได้เจอนางแบบคนนั้น เพราะผมอยากเห็นผลงานของคุณและผมเชื่อว่าคุณจะต้องได้รางวัลมาครอบครอง”

 “ขอบ...”

 เกื้อกูลยังไม่ทันเปล่งเสียงคำสุดท้ายออกมาจากลำคอก็มีต้องตกตะลึงเมื่อทอดตาออกไปนอกหน้าต่าง ท่ามกลางไอแดดสีเหลืองเรืองรอง สตรีนางหนึ่งกำลังข้ามสะพานมา ทุกอย่างทำให้โลกของเขาหยุดนิ่งและรู้สึกเหมือนกำลังได้มองภาพวาดที่สวยที่สุด

 แสงจากดวงอาทิตย์สาดส่องเป็นเงาทาบร่างบอบบางสะโอดสะอง ยามเยื้องกรายแต่ละย่างก้าวเขารู้สึกเหมือนหล่อนเป็นพญาหงส์ที่บินอยู่เหนือม่านเมฆา ใบหน้าหวานละมุนอมเศร้ายามอยู่ในเงาแดดดึงดูดตรึงตราจนเขาไม่อาจละสายตาจากหล่อนได้

 “ผมเจอแล้ว” เกื้อกูลกล่าวออกมาเหมือนคนที่กำลังละเมอ

 “เจออะไร แล้วคุณเป็นอะไร” โรเบิร์ตหันไปมองนอกหน้าต่างบ้าง แล้วก็ไม่พบอะไรผิดปกติเลยสักนิด นอกจากบุษบง

 “ผมเจอผู้หญิงที่อยากให้มาเป็นแบบวาดรูปแล้วน่ะสิ”

 “อย่าบอกว่านะว่าเป็นบุษ”

 เกื้อกูลยิ้ม เป็นยิ้มที่สดใสที่สุดตั้งแต่เขาเหยียบแผ่นดินแม่ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอันแสดงถึงความยินดี “ถ้าผมบอกว่าใช่ล่ะ คุณว่าหล่อนจะยอมตกลงไหม”

 “ผมก็ไม่แน่ใจนักหรอก แต่ลองพูดดูเถอะ”

 บุษบงมาถึงบ้านของสองสามีภรรยาต่างชาติเวลาบ่ายจัด หล่อนมาพร้อมกับตะกร้าส่วนผสมขนมปัง และเมื่อก้าวเข้าไปในบ้านก็พบว่าครูแหม่มของหล่อนไม่ได้อยู่กับสามีเพียงสองคนเท่านั้น แต่ยังมีผู้ชายร่างสูงอีกคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่เธอเจอเมื่อวาน

 บุษบงยกมือไหว้คนทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่เขา เพราะท่าทางเขาคงอายุมากกว่าหล่อนหลายปี และเมื่อเงยหน้าขึ้นหัวใจของหล่อนก็เต้นแรงขึ้นอย่างประหลาดเพราะสายตาที่เขาทอดมองมา

 เขารับไหว้อย่างสุภาพ ยิ้มเย็นตาแต่กลับทำให้หล่อนรู้สึกร้อนแปลกๆ

 “บุษไม่รู้ว่าครูมีแขก” หล่อนกล่าวเป็นภาษาอังกฤษตามที่แคทลีนเคยขอร้องไว้ เพราะตั้งใจจะฝึกเด็กสาวให้พูดได้คล่องตามที่คุณหญิงต้องการ “ถ้าอย่างนั้นบุษกลับก่อนดีกว่าค่ะ” 

บุษบงเอ่ยปากขอตัวด้วยความเกรงใจ แต่แคทลีนรั้งข้อมือหญิงสาวเอาไว้เสียก่อน

 “ไม่ใช่แขกใหญ่โตที่ไหน เพื่อนของคุณโรเบิร์ต เคยเจอกันแล้วไม่ใช่หรือ”

 “ค่ะ” บุษบงขานรับ และเมื่อหันไปทางเขา หล่อนก็ต้องรีบหลบตา เพราะเขากำลังจ้องหล่อนอย่างเอาเป็นเอาตายจนทำให้สะบัดร้อนสะบัดหนาวอย่างบอกไม่ถูก

 ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ตัว ซ้ำยังก้าวเดินมายืนตรงหน้าหล่อน ด้วยสัญชาตญาณหล่อนก็รู้ว่าเขายังจับจ้องไม่วางตา

 “ขอแนะนำตัวอีกครั้ง ฉันชื่อเกื้อ เคยเรียนกับโรเบิร์ตที่อังกฤษ ตอนนี้เป็นศิลปิน”

 “ค่ะ” หล่อนทำได้เพียงตอบรับเท่านั้น 

 “ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ” เมื่อเห็นว่าได้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการแล้ว เกื้อกูลก็เกริ่นในสิ่งที่ตนต้องการ 

 สิ้นคำพูดของเขา หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจ “คุยกับบุษเรื่องอะไรคะ”

 “เข้ามาก่อนเถอะ แดดร้อน เห็นจะต้องตกลงกันสักพัก” เกื้อกูลกล่าวพร้อมกับเดินนำเข้าบ้าน โดยมีโรเบิร์ตและแคทลีนตามเข้ามาด้วย ทำให้บุษบงยอมเดินตามเขาเข้าไปด้วยความไว้วางใจ

 เมื่อทั้งหมดเข้ามาในบ้านแล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้หวายที่ใช้เป็นที่รับแขก บุษบงมองไปทางเกื้อกูลด้วยความอยากรู้ว่าเขามีธุระอะไรกับหล่อนทั้งที่เพิ่งเจอกันแค่ครั้งเดียว

 “อย่ามองฉันเช่นนั้น ฉันไม่ได้คิดอะไรที่ไม่ดีกับเธอแม้แต่นิดเดียว” กล่าวจบเขาก็ส่งยิ้มพร่างพราย พยายามแสดงถึงความเป็นมิตร เพราะในดวงตาของบุษบงมองเขาอย่างหวาดระแวง ซึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้นเนื่องจากเขาจู่โจมหล่อนรวดเร็วกันไป

 “ถ้าเช่นนั้นคุณมีเรื่องอะไรจะพูดกับดิฉันหรือคะ”

 “ฉันอยากจ้างเธอมาเป็นแบบวาดภาพ” เกื้อกูลกล่าวขึ้น 

 คิ้วเรียวขยับเข้าหากัน ดวงตาสีนิลระยับส่องประกายว่ากำลังตกใจ “ดิฉันคงไม่เหมาะ”

 “ทำไมหรือ ทำไมถึงไม่เหมาะ”

 “ดิฉันคงไม่สะดวกที่จะมานั่งให้คุณมองเรือนร่างนับชั่วโมงเพื่องานศิลปะของคุณหรอกค่ะ” หล่อนกล่าวออกไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ขนบธรรมเนียมประเพณีที่หล่อนยึดถือมาคือการถนอมเนื้อถนอมตัว แม้จะยากจนเพียงใดหล่อนก็ไม่คิดจะเอาศักดิ์ศรีของตนเองเข้าแลกกับเงิน

 “เธอกำลังแปลเจตนาฉันในทางไม่ดี”

 “ดิฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าเจตนาของคุณคืออะไร แต่ดิฉันขอปฏิเสธ ไม่ว่าอย่างไรดิฉันก็ไม่สะดวกที่จะมาเป็นแบบวาดรูปให้คุณ”

 เกื้อกูลนึกขันอารมณ์กรุ่นโกรธของหญิงสาว แต่เขาไม่คิดที่จะโกรธตอบทว่ารู้สึกเสียดายอย่างมาก “น่าเสียดาย แต่ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าหากเธอเปลี่ยนใจเมื่อไหร่มาบอกฉันได้ตลอดเวลานะ ฉันยินดี”

 สิ่งที่ได้รับกลับมาคือสายตาวาววาบของหญิงสาว ทำให้เขารู้ตัวว่าควรจะหนีหน้าหล่อนไปก่อนที่จะถูกชังไปมากกว่านี้ 

 “เอาละ เธอไม่คิดจะเปลี่ยนใจก็ไม่เป็นไร และฉันก็ขอโทษที่ทำให้เธอไม่สบายใจ ฉันคงต้องขอตัวก่อน หวังว่าเราคงได้พบกันใหม่”

 ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วค้อมศีรษะให้หล่อนน้อยๆ คล้ายล้อเลียน ก่อนจะก้าวออกไปโดยมีโรเบิร์ตตามไปทีหลัง ดูเหมือนทั้งคู่มีธุระจะออกไปไหนด้วยกัน แต่บุษบงก็ไม่สนใจจะถามไถ่เนื่องจากไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

 หลังจากเกื้อกูลจากไปแล้ว บุษบงก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว ความอึดอัดที่เกิดขึ้นคลายลง หล่อนไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาถึงรู้สึกแปลกๆ ราวกับความเป็นตัวของตัวเองโบยบินจากไป

 “ทำไมถึงปฏิเสธงานนี้ล่ะ คุณเกื้อเป็นคนดีไว้ใจได้ ครูรับรอง อีกอย่างจะได้มีเงินทองไว้ใช้บ้าง ไม่ต้องปลูกผักให้เหนื่อย งานนี้ง่าย ดีไม่ดีอาจจะมีชื่อเสียงด้วย”

 บุษบงเข้าใจดีว่าครูแหม่มห่วงหล่อนและคงรู้จักมักจี่เพื่อนเป็นอย่างดีจึงรับรองว่าเขาไว้ใจได้ แต่หล่อนก็ยังคงมีความตั้งใจอย่างเดิมคือหล่อนกลัวการอยู่กับผู้ชายสองต่อสอง แม้เจตนาของเขาจะบริสุทธิ์ แต่หากใครเห็นคงไม่ดี ครูแหม่มอาจจะไม่ได้ถือสาเรื่องนี้อย่างเคร่งครัดนัก เพราะมาจากสังคมตะวันตกที่มีวัฒนธรรมของการคบหาระหว่างชายหญิงแตกต่างกับสังคมสยาม

 “บุษขอบคุณครูแหม่มนะคะ แต่ตอนนี้บุษไม่มีรายจ่ายอะไร เสื้อผ้าเก่าหน่อยก็ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ขาดคงใส่ได้อีกหลายปี”

 แคทลีนส่ายหน้าคล้ายกับเอือมระอา ทว่าสายตาแฝงความชื่นชมในความตั้งมั่นอันแท้จริงของเด็กสาว

 “ครูก็แล้วแต่บุษ เอาละ เราไปเข้าครัวกันดีกว่า วันนี้จะสอนทำซุปครีมเห็ดเอาไว้กินกับขนมปังด้วย ได้ข่าวว่าคุณหญิงท่านไม่ค่อยยอมกินอะไรไม่ใช่หรือ”

 “ใช่ค่ะ ท่านดูผอมไปมาก จัดอะไรขึ้นไปรับได้นิดเดียวเท่านั้น”

 “ถ้าอย่างนั้นลองเปลี่ยนรสชาติดูบ้าง เผื่อท่านจะชอบ”

 “ค่ะ”

 แล้วทั้งคู่ก็เดินไปยังครัวเพื่ออบขนมปังและทำซุปครีมเห็ด บุษบงมีความสุขทุกครั้งที่มาเยือนบ้านหลังนี้ เหมือนกับได้มาเจอสิ่งแปลกตาที่หล่อนไม่เคยเห็นมาก่อน ได้มาพบมิตรภาพ ความจริงใจ และความรัก นับว่าโชคดีเหลือเกินที่ได้รู้จักเพื่อนต่างชาติทั้งคู่

 ก่อนกลับบ้านบุษบงได้รับอนุญาตให้ไปดูหนังสือที่ชั้น และพบว่ามีหนังสือใหม่มาหลายเล่มทีเดียว

 “เมื่อวานเรือเอาหนังสือจากเพื่อนที่ปีนังมาส่งให้ มีนวนิยายหลายเรื่องทีเดียว จะยืมไปอ่านสักเล่มสองเล่มก็ได้” แคทลีนกล่าวอย่างเอื้อเฟื้อ

 บุษบงยิ้มจนเห็นฟันขาวสะอาดที่เรียงกันเหมือนไข่มุก ก่อนจะพนมมือไหว้ขอบคุณในความเอื้ออาทรของครูแหม่ม

 “ขอบคุณนะคะ หนังสือของครูคงทำให้บุษรู้สึกดีมากขึ้นทีเดียว” บุษบงกล่าวเสียงสดใส ซึ่งเป็นเสียงที่นานๆ ครั้งจะมีคนได้ยิน หล่อนดีใจที่จะได้นำหนังสือนวนิยายกลับไปอ่านที่บ้าน มันช่วยจรรโลงหัวใจอันแห้งผากให้โลดแล่นไปกับจินตนาการ หลายครั้งที่หล่อนได้รู้จักสิ่งแปลกใหม่จากหนังสือนวนิยายที่ผู้เขียนแทรกไว้นอกจากเรื่องราวความรักอันหวานหยดของพระ-นาง 

 ธุระของเกื้อกูลก็คือการออกมาหาบ้านเช่า เขาเพิ่งรู้จากโรเบิร์ตว่าบ้านที่โรเบิร์ตเช่าอยู่นั้นคือบ้านขององอาจ ลูกของเถ้าแก่ฮกที่เคยรับซื้อเครื่องเทศจากพวกชวา พวกแขกปากีหรือพวกอินเดียมาขายคนไทยอีกที เดิมบ้านและร้านตั้งอยู่ด้วยกันที่ปากคลองตลาด แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้กิจการจะเจริญรุ่งเรืองจึงย้ายมาปลูกบ้านอีกหลังอยู่แถวๆ แยกมหาพฤฒาราม ซึ่งเป็นตึกแบบฝรั่ง ตัวตึกติดกับถนนมีช่องประตูโค้งราวห้าช่อง ก่ออิฐถือปูนแข็งแรง สภาพใหม่เอี่ยมแสดงว่าเพิ่งปลูกได้ไม่นาน หัวเสาเป็นปูนปั้นแบบไอออนิกคือมีลายม้วนก้นหอยอันเป็นศิลปะแบบโรมัน หน้าต่างตีวงโค้งเป็นรูปเกือกม้า และมีไม้ฉลุประดับตามระแนงบ้าน

 หลังจากที่เขาไปเรียนที่ต่างประเทศหลายปี ฐานะทางบ้านขององอาจก็ขยับขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงรู้สึกยินดีกับเพื่อน เขาจำได้ว่าในสมัยเด็กองอาจต้องขาดเรียนอยู่บ่อยๆ เพื่อมาช่วยพ่อแม่ทำงาน และเขาเองที่เป็นคนช่วยสอนหนังสือให้จนองอาจสอบไล่เลื่อนชั้นไปด้วยกันได้

 “มาหาใครครับนายท่าน” ชายรูปร่างแห้งแกร็นถามเสียงแหบแห้งด้วยสำเนียงไทยปนจีนอันเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงชาติกำเนิดได้เป็นอย่างดี

 “มาหาคุณองอาจ อยู่ไหม”

 “อาคุณหลูใหญ่ไม่อยู่ครับ ไปสิงคโปร์”

 เกื้อกูลรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้เจอเพื่อนเก่า แต่เขาไม่ได้มีธุระที่จะพบกับองอาจเท่านั้นจึงถามต่อ “ฉันจะมาขอเช่าบ้านริมคลองแสนแสบ พอจะคุยกับใครได้ไหม”

 “อ๋อ...งั้นเชิงครับเชิง คุณนายลิ้มอยู่บ้านพอดี”

 คุณนายลิ้มที่ชายชรากล่าวถึงก็คือแม่ขององอาจนั่นเอง แต่เกื้อกูลมั่นใจว่าคุณนายลิ้มไม่น่าจะจำเขาได้ เพราะเขาเดินทางไปอังกฤษตั้งแต่อายุเพียงสิบสี่ ยังเป็นเด็กแขนขายาวเก้งก้างไม่ใช่ชายหนุ่มรูปร่างล่ำสันอย่างนี้ ดังนั้นเขาจึงกล้าที่จะเดินเข้าไปพบ

 เกื้อกูลกับโรเบิร์ตจึงได้โอกาสเดินเข้าไปในบ้าน แม้ภายนอกบ้านจะดูโอ่อ่าแบบฝรั่งแต่นั่นเหมือนฉากพรางตัวให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมมากกว่า เพราะเมื่อเข้าไปด้านในกลับไม่ใช่ที่พักอาศัย เป็นเพียงอาคารโล่งที่มีสินค้าวางกองอยู่เท่านั้น 

 เกื้อกูลกับโรเบิร์ตเดินผ่านพื้นกระเบื้องลายมังกรสีเขียวไปจนสุดทาง ก็พบกับประตูวงกลมทาด้วยสีทองและสีแดง เมื่อทะลุผ่านด้านหลังก็พบกับสวนที่ตกแต่งแบบจีน มีพื้นที่ต่ำสูงและบึงน้ำ รอบบึงมีต้นไผ่ขนาดเล็กรายรอบ มีเก๋งจีนและเจดีย์แบบจีนตั้งไว้บนทางเดินที่คดเคี้ยวล่วงไปสู่อาคารหลังใหญ่ที่มองดูแล้วเหมือนศาลเจ้าขนาดย่อม น่าจะเป็นที่อยู่ของเจ้าของบ้าน ทว่าชายชราไม่ได้เดินนำไปยังอาคารหลังนั้น กลับเดินเลี้ยวไปยังสิ่งก่อสร้างอีกหลังซึ่งก็คือศาลาที่ตั้งอยู่ตรงมุมสุดของสระน้ำแทน

 ตรงนั้นมีสตรีคนหนึ่งนั่งอยู่บนชุดโต๊ะหินอ่อนแบบที่ไม่ได้เห็นตามสถานที่ทั่วไป เพราะเก้าอี้นั้นไม่มีพนัก ตรงหน้ามีชุดกากับจอกลายครามเข้าชุดกันมีควันจางๆ ลอยกรุ่นออกมาจากจอกนั่นด้วย

 คุณนายลิ้มสวมชุดกี่เพ้าสีบานเย็นปักลายดอกเหมยและนกยูงรำแพนนั่งอยู่บนเก้าอี้หินอ่อน

 เกื้อกูลจำมารดาของเพื่อนได้ดี คุณนายลิ้มไม่เปลี่ยนไปมากนัก ดวงหน้าขาวผ่องมีร่องรอยของกาลเวลาแต่ก็ยังคงมีสง่าราศี เสียงแหลมกังวานก็ยังเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน จนกระทั่งเขาเดินไปใกล้แล้วจึงได้เห็นว่าคุณนายลิ้มในวันนี้มีแววตาที่แสดงถึงความสุขกว่าครั้งก่อน นั่นคงเป็นเพราะฐานะอันมั่นคง ผู้คนให้เกียรติ ไม่ใช่แม่ค้าขายเครื่องเทศที่ยากจนดังเมื่อก่อน

 “คุงนาย สองคงนี้มาถามหาบ้านเช่า” ชายชราผู้นำทางเกริ่น

คุณนายลิ้มหันมามองผู้มาเยือน “อ้าว มิสสะเตอร์โรเบิก” คุณนายลิ้มร้องเรียกเสียงดังพร้อมกับยิ้มต้อนรับ “นึกว่าใคร มาหาบ้านเช่าเหรอ ให้ใคร”

 “Hello” โรเบิร์ตกล่าวทักทาย พร้อมยกมือไหว้ด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ

เกื้อกูลจึงยกมือไหว้ตาม และก็ได้รับการรับไหว้จากคุณนายลิ้ม นาทีนี้เกื้อกูลรู้สึกปลื้มปีติที่ได้เห็นคนสามชาติสามภาษายิ้มแย้มให้กันอย่างเป็นมิตร ทุกคนอยู่บนผืนแผ่นดินไทย รับเอาวัฒนธรรมไทยมาปฏิบัติอย่างไม่เก้อเขิน คนเป็นเจ้าของชาติอย่างเขารู้สึกปลื้มใจเหลือเกิน

 “กระผมมาหาบ้านเช่าให้เพื่อนคนนี้ครับ เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกยังไม่มีที่อยู่”

 “ล่ายสิล่าย อั๊วมีบ้านว่างอยู่หลายหลัง แต่เอ...อั๊วว่าหน้าอีคุ้นๆ นะ ชื่ออะไร”

 เกื้อกูลอึกอัก แต่สุดท้ายก็ตอบไปตามความจริง เพราะคิดว่าวันหนึ่งจะกลับมาไหว้คุณนายลิ้มในฐานะที่คุณนายลิ้มเป็นมารดาขององอาจจึงไม่คิดจะโกหก

 “เกื้อครับ”

 “อาเกื้อ...ยิ่งคุ้งเข้าไปใหญ่ แต่ช่างเถอะ” แต่แล้วคุณนายลิ้มก็กล่าวเพียงแค่นั้น หันมาสนใจเรื่องธุรกิจต่อ “แล้วลื้อจะเช่าหลังไหนล่ะ”

 “หลังที่ใกล้กับบ้านโรเบิร์ตครับ”

 “ไอ้หยา...หลังนั้นรึ อั๊วกำลังจะรื้อไปถวายวัดอยู่แล้วทีเดียว”

 “มีอะไรหรือครับ”

 “ก็หลังนั้นมังอยู่ใกล้ไอ้เรือนทาสที่เขาว่าผีเฮี้ยงนักเฮี้ยงหนา ไม่มีใครอยู่ได้สักคง”

 “ไม่เป็นไรครับ ผมอยากอยู่หลังนั้น”

 “คุงแน่ใจนะ” คุณนายลิ้มถามย้ำ “ถ้าคุงจะอยู่ อั๊วลดค่าเช่าให้ครึ่งหนึ่งเลย”

 “ครับ ผมขออยู่”

 เป็นอันว่าการตกลงเช่าบ้านไม่ได้ยากเย็นเลย และดูเหมือนเจ้าของบ้านจะเต็มอกเต็มใจอย่างยิ่งที่จะให้เขาอยู่ที่นั่น เมื่อจัดการเรื่องสัญญาเช่าและข้อตกลงต่างๆ เสร็จเรียบร้อยเกื้อกูลก็ลากลับ แต่ก่อนกลับเขาเห็นสายตาแห่งความสงสัยของคุณนายลิ้มที่มองมายังเขา แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไรเขาก็โล่งใจ


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น