บทนำ
ท่ามกลางแสงสลัวยามราตรี เรือนไทยหลังเล็กมองเห็นเป็นเงาตะคุ่มดำมืดอย่างโดดเดี่ยว หญ้ารกชัฏขึ้นอยู่ทั่วบริเวณ เถาวัลย์เลื้อยขึ้นข้างฝาบ่งบอกว่าเป็นสถานที่ที่ไม่มีผู้ใดเอาใจใส่ รอบด้านรายล้อมด้วยต้นไม้สูง ก้านใบบดบังแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาทำให้บริเวณโดยรอบมืดครึ้มและน่ากลัวกว่าความเป็นจริง ลมเย็นพัดมาก่อให้เกิดความหนาวยะเยือกอย่างประหลาด อีกทั้งยังไร้ซึ่งสรรพสำเนียงเสียงใด จึงเป็นใจให้บรรยากาศวิเวกวังเวงอย่างเหลือเกิน
บุษบง หญิงสาวเจ้าของเรือนร่างโปร่งระหงสวมชุดนอนสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อแพรสีอ่อนแหงนมองสิ่งก่อสร้างเบื้องหน้าด้วยความพิศวง โดยไม่เข้าใจเลยว่าตนเองมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร
เรือนทาส คือชื่อเรียกของสถานที่แห่งนี้ อันเป็นสถานที่ต้องห้าม พระยาธรรมานุรักษ์และคุณสร้อย สองสามีภรรยาผู้เป็นเจ้าเรือนที่หล่อนพักอาศัยอยู่สั่งห้ามคนในบ้านล่วงล้ำเข้ามาโดยเด็ดขาด หากใครฝ่าฝืนจะได้รับโทษอันสาหัสคือการเฆี่ยนตีและไล่ออกจากบ้าน
กระนั้นก็ไม่มีใครในบ้านที่ไม่เคยมาที่นี่ ทุกคนล้วนอยากรู้ว่าเหตุใดท่านทั้งสองจึงสั่งห้าม หล่อนเองเคยมาที่นี่เมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนที่ยังเป็นเด็ก แต่ก็ไม่พบอะไรที่น่าสนใจ มีเพียงเรือนเก่าทรุดโทรมที่ดูน่ากลัว หลังจากนั้นมาก็ไม่กล้าย่างกรายเข้ามาอีก บัดนี้หล่อนโตมากพอจะรู้ความว่าอะไรเป็นอะไร และหากคุณสร้อยรู้ว่าหล่อนขัดคำสั่งคงโดนเล่นงานอย่างหนักเป็นแน่
ความคิดที่ผุดขึ้นมาก่อให้เกิดความหวาดกลัว มิเพียงกลัวเจ็บตัว แต่กลัวว่าจะทำให้ผู้ใหญ่ที่รับอุปการะหล่อนต้องร้อนใจอีกครั้ง หญิงสาวจึงตัดสินใจหมุนตัวจะเดินจากไปก่อนที่จะมีใครมาพบเข้า ทว่าเมื่อกำลังจะก้าวขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมาเสียก่อน เสียงร่ำไห้ของใครบางคนที่ดังมาจากในเรือน
บุษบงหมุนตัวกลับมามองไปยังประตู ก็พบว่ามันยังคงปิดอยู่เช่นเดิม แล้วใครกันที่มาซ่อนตัวร้องไห้ในสถานที่แห่งนี้
“มีใครอยู่ที่นี่ไหมจ๊ะ” หล่อนตะโกนถามเมื่อเก็บงำความสงสัยเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป
ไร้เสียงขานกลับ สายลมโบกพัดเพิ่มความเยือกเย็น ผสานกับเสียงร่ำไห้ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
ความสงสัยที่มากขึ้นเป็นแรงผลักดันให้สองเท้าเดินขึ้นบันไดเก่าคร่ำ เพื่อไปดูให้รู้ว่าข้างในนั้นมีใครหรือสิ่งใดซ่อนเร้นอยู่ไม่อาจจากไปได้ทั้งที่มีข้อกังขาเต็มหัวใจเช่นนี้
ทุกย่างก้าวก่อให้เกิดความรู้สึกอันแปลกประหลาด เริ่มจากความโหยหาอาดูรอย่างสุดแสนบีบหัวใจจนแทบจะแหลกละเอียด พอย่างอีกก้าวก็แปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดรวดร้าวแทบกระอักราวกับถูกเฆี่ยนตีด้วยคมหวาย และก้าวสุดท้ายก็กลายเป็นความคั่งแค้น ร้อนรุ่มราวกับกำลังถูกเพลิงเผาหัวใจให้ทรมานจนต้องหยุดเดินเพื่อเรียกกำลังกลับมา
หญิงสาวเกาะราวบันไดไว้แน่น หยุดยืนเมื่อหอบจนตัวโยน เงยหน้าขึ้นมองไปยังเบื้องหน้า มีพลังบางอย่างกำลังเรียกร้องให้หล่อนก้าวเข้าไปหา มันเป็นความปรารถนาอย่างแรงกล้าและแรงดึงดูดมหาศาลที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
สองเท้าก้าวอย่างระมัดระวัง ใจเต้นโครมครามราวกับจะหลุดมานอกอก จนกระทั่งถึงบันไดขั้นสุดท้ายก็ต้องหยุดชะงักหน้าประตูไม้บานใหญ่ที่ปิดสนิท หน้าประตูไม่มีพันธนาการใดๆ นอกจากด้ายสีคล้ำร้อยโยงเอาไว้ ปริศนาที่เกิดขึ้นกำลังจะได้รับการเฉลยก่อให้เกิดความใคร่รู้เกินทานทน
มือเล็กผลักประตูเข้าไปทันใด ด้ายที่โยงประตูเอาไว้ขาดออกจากกันอย่างง่ายดายจนน่าอัศจรรย์ใจ
พลันที่ประตูเปิดออก แสงจันทร์ฉายสาดส่องให้เห็นภายในซึ่งก็คือห้องโล่งกว้างรกร้างไม่ต่างจากด้านนอก ฝุ่นเปรอะเต็มพื้นเรือน หยากไย่ห้อยระย้าทั่วเพดาน หญิงสาวกวาดตามองหาบางสิ่งในม่านแห่งความมืด แล้วสายตาก็ปะทะกับสิ่งที่กำลังค้นหา ใครบางคนนั่งคุดคู้อยู่ตรงซอกเสา ร่างกายสั่นสะท้านเพราะแรงสะอื้น ที่สำคัญแผ่นหลังนั้นแตกยับด้วยรอยหวาย
“แม่...แม่จ๋า”
ไม่รู้อะไรดลใจให้เรียกเช่นนั้น แต่หล่อนเชื่อมั่นว่าคนที่ถูกกักขังคือแม่ผู้ให้กำเนิด สองเท้าเร่งรุดก้าวเดินไปหา น้ำตาหลั่งรินอย่างที่ไม่อาจกลั้นและไม่อาจหาเหตุผลมาอธิบายในสิ่งที่เกิดขึ้นได้
ผู้ถูกเรียกหันมา น้ำตานองเต็มใบหน้าไม่ต่างกัน ทว่าในดวงตานั้นแสดงถึงความยินดียิ่ง ริมฝีปากสั่นระริกขณะเค้นเสียงออกมาอย่างยากเย็น
“บัว บัวของแม่ ในที่สุดลูกก็มา”
“แม่...แม่จ๋า” บุษบงสะอื้นด้วยความยินดีอันปรี่ล้น โผเข้าหาอ้อมกอดอันอบอุ่นด้วยความโหยหา โอบกอดด้วยความคิดถึงอย่างสุดใจ เฝ้ารอคอยวันเวลานี้มานานแสนนาน
“บัวของแม่ แม่คิดถึงลูกอย่างเหลือเกิน”
โลกทั้งใบของบุษบงหยุดหมุน จำไม่ได้เลยว่าเมื่อไหร่กันที่หล่อนมีความสุขเท่ากับในเวลานี้ อ้อมกอดของแม่เป็นอย่างนี้นี่เอง ให้ทั้งความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ความโดดเดี่ยว อ้างว้างและเดียวดายจางหายไปทันที
“บุษคิดถึงแม่ อย่าทิ้งบุษไปไหนอีกนะจ๊ะ”
“แม่ไม่เคยทิ้งบัวไปไหน แม่อยู่ใกล้บัวเสมอ” เสียงที่กล่าวนั้นสั่นเครือเต็มไปด้วยความรักความอาดูร และสัมผัสได้ถึงความเศร้าในกระแสเสียงนั้น
แม้ชื่อที่เรียกขานนั้นไม่ใช่ชื่อตน แต่ในยามนี้บุษบงไม่คิดที่จะขัด แม่จะเรียกว่าอะไรก็ตามไม่สำคัญไปกว่าความรู้สึกที่ได้รับ
“แม่จ๋า บุษอยากอยู่กับแม่ ให้บุษอยู่ด้วยนะจ๊ะ” หล่อนวิงวอน กอดมารดาผู้ให้กำเนิดแน่นด้วยกลัวว่าจะถูกผลักไสไปไกลๆ อีกครั้ง แม่ดันหล่อนออกเล็กน้อยพอให้เห็นหน้า และยิ้มบางๆ แต่แววตาของแม่เศร้าเหลือเกิน
“ที่ของแม่ไม่ใช่ที่ที่บัวจะมาอยู่ได้ แม้แม่อยากจะอยู่กับบัวมากเพียงใดก็ตาม”
บุษบงไม่ยอมให้แม่จากไปอีก หล่อนโผเข้ากอดแม่อีกครั้ง รัดแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะกลัวว่าแม่จะทอดทิ้งไปอีก
“ทำไมจ๊ะ ทำไมบุษจะอยู่ไม่ได้” หล่อนถามด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความโหยหาและผิดหวัง ก่อนจะต่อรองด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นยิ่งกว่าเก่า “บุษสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี เป็นคนดี บุษจะเชื่อฟังแม่ แม่ให้บุษอยู่ด้วยเถอะนะจ๊ะ”
“มันยังไม่ถึงเวลา รอก่อน อย่าได้ใจร้อนไปเลย และอีกอย่างบัวจะต้องได้ทุกอย่างคืนมา แม่จะไม่ยอมให้คนพวกนั้นเสวยสุขอยู่บนของของลูก”
“ของอะไรกันจ๊ะ” บุษบงถามเพราะไม่เข้าใจคำพูดของแม่แม้แต่น้อย หล่อนเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่มีผู้เอามาอุปการะไว้แล้วจะมีของอะไรให้ใครเสวยสุข
“ของของลูกที่พวกมันแย่งชิงไป แม่จะเอากลับมาคืนให้ อีกไม่นาน ลูกจงอดทนเอาไว้”
เสียงนั้นแสดงถึงความเคียดแค้นจนน่าตกใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง บุษบงก็พบว่าใบหน้าของแม่ไม่มีรอยยิ้มอีก แววตาปรากฏรอยอาฆาตอย่างน่ากลัว ทว่าหล่อนไม่สนใจสิ่งที่แม่พูดสักนิด
“บุษไม่ต้องการอะไรนอกจากแม่”
“แต่มันเป็นของลูก แม่จะเอามาคืนลูก...แม่จะเอามาคืน รอก่อนนะลูก พวกมันจะต้องชดใช้”
เสียงแม่ก้องซ้ำไปซ้ำมา ก่อนที่ร่างของแม่จะค่อยๆ โปร่งแสง จากนั้นก็เลือนหายไป เหลือเพียงพื้นกระดานว่างเปล่าราวกับไม่เคยมีใครอยู่ตรงนั้นมาก่อน
บุษบงมองอ้อมแขนที่มีแต่อากาศและความว่างเปล่าอย่างตระหนก แล้วผวาคว้าเงาของแม่กลับคืนมา
“แม่ แม่จ๋า แม่ไปไหน”
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ มีแต่ความเงียบงันที่อยู่เป็นเพื่อนหล่อนในยามนี้ หัวใจหล่นวูบเหมือนถูกสูบลงสู่หุบเหว สิ่งที่เกิดขึ้นบ่งบอกว่าหล่อนต้องอยู่ตามลำพังเหมือนเคย ไม่มีแม่ ไม่มีใครสักคนที่คอยให้ความอบอุ่นแก่หัวใจ
ความคิดเห็น |
---|