6

บทที่ 6


6
แพรวพรรณรายไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ทำให้เกิดการตกลงเมื่อครู่มีสาเหตุมาจากอะไร จะว่าหล่อนยังไม่หายจากการเป็นลมดีก็คงไม่ใช่ หรือจะเรียกว่ายังช็อกอยู่ก็คงไม่เชิง เพราะหลังจากที่ชายหนุ่มยืนเฝ้าจนหล่อนดื่มน้ำส้มหมดตามที่เขาสั่งการ ก็สั่งให้ดนัยไปเอาข้าวของของหญิงสาวจากห้องทำงานชั่วคราวของหล่อนมา แล้วพาขึ้นรถกลับวังวิริยา ไม่สนใจเจ้าตัวที่ร้องบอกว่าเอารถส่วนตัวมาเอง แต่กลับค้นหากุญแจรถคันจิ๋วของหล่อนยื่นให้ดนัยแบบไม่ออกคำสั่งเพราะมั่นใจว่าอีกคนรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร
หลังพาเจ้าตัวกลับมาส่งถึงมือหม่อมเจ้าโชติรัตน์และหม่อมมธุรส เขารับคำเชิญร่วมโต๊ะเสวยที่หม่อมมารดาของหล่อนขอเลี้ยงขอบคุณที่ชายหนุ่มช่วยดูแลลูกสาวและเป็นธุระพามาส่งให้ ก่อนจะออกปากเรื่องที่ทำหล่อนมึนตึ้บตอนนี้
“...เพราะอย่างนี้แหละครับ กระหม่อมเลยจะขอประทานอนุญาตให้คุณหญิงไปพักที่โรงแรมช่วงสองเดือนนี้”
“ยังงั้นหรือ”
พระเนตรเหยี่ยวมองธิดาที่นั่งรับประทานอาหารข้างหม่อมในพระองค์ อยากจะยกยิ้ม แต่กลัวไก่ตื่น เลยเลี่ยงมามองหน้าของหม่อมมธุรส เห็นแววตาของคู่ชีวิตเป็นประกายก็รู้ว่าสมพระทัยอย่างที่คิดอ่านและเคยตรัสกับชายาคู่ชีวิตแล้วเป็นแน่แท้
“แต่หญิงแพรวเป็นผู้หญิง ให้ไปนอนค้างอ้างแรมนอกบ้านเป็นเดือนๆ ทั้งๆ ที่ที่วังก็ห่างจากโรงแรมของคุณฌอนไม่เท่าไร แถมยังมีคนนอกเดินเข้าเดินออกได้ตลอดเวลา นี่ไม่นับพวกคนงานก่อสร้าง พ่อไม่รู้เลย...” ท่านชายเล็กแห่งวังวิริยาตรัสเหมือนรำพึงรำพันกับตนเอง แทนพระองค์ด้วยสรรพนามติดดิน มองหน้าคนที่เอ่ยเรื่องการขอธิดาไปนอนนอกบ้านด้วยพระพักตร์เรียบเฉย
“...ว่ายอมให้หญิงแพรวทนเหนื่อยขับรถไปกลับวัง หรือปล่อยให้ไปอยู่กับคุณฌอน อะไรจะปลอดภัยกว่ากัน แล้วถ้าเกิดใครครหาอะไรขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบชื่อเสียงราชสกุล”
“ผมเองครับ”
ฌอนฤทธิ์ตอบทันทีแบบไม่คิด จนแม้กระทั่งตัวเองยังเก้อเขินขึ้นมาไม่ได้ ยกมือขึ้นไหว้เจ้านายเลือดสีน้ำเงิน
“เอ่อ กระหม่อมหมายถึง กระหม่อมจะดูแลเอง ห้องพักที่ตั้งใจจะจัดไว้ให้คุณหญิง ก็อยู่ในโซนส่วนตัว ไม่มีคนนอกเข้าไปถึงได้ ส่วนเรื่องความปลอดภัย เดี๋ยวกระหม่อมจะจัดคนไว้คอยดูแลคุณหญิง และหากมีใครพูดอะไรไม่ดี กระหม่อมขอประทานอนุญาตรับผิดชอบเอง”
ได้ยินแบบนั้นหม่อมเจ้าโชติรัตน์ก็พอพระทัย เปิดพระโอษฐ์ถามพระธิดาอีกครั้ง
“เราน่ะเอาไง ไปอยู่ที่โรงแรมพี่เขาไหม จะได้ไม่ต้องเป็นแบบนี้”
“แต่หญิงอยากอยู่บ้าน นี่คงแค่ไม่ชินเวลาเองนะเพคะ”
ใจจริงก็รู้ดีหรอกว่าหากไปนอนที่โรงแรมตามคำเชื้อเชิญของฌอนฤทธิ์ ชีวิตหล่อนจะสบายขึ้นอีกอย่างน้อยแปดสิบเปอร์เซ็นต์ แต่สถานการณ์ตอนนี้ดูแปลกๆ งงๆ ไปหน่อยที่อยู่ดีๆ เจ้าของโรงแรมอย่างฌอนฤทธิ์จะมาทำอะไรแบบนี้ แถมยังเป็นคนที่ไม่ถูกจริตกันมาตั้งแต่วันแรก หาเรื่องกันมาไม่ได้หยุด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าใต้ความไม่พอใจที่โกรธกรุ่นเขาตลอดเวลาก็มีแรงดึงดูดบางอย่างที่หล่อนเองก็ตอบไม่ได้ว่ามันซึมเข้ามาตอนไหน จนกลายเป็นว่าหม่อมราชวงศ์แพรวพรรณรายเองก็พานใส่ใจไปกับทุกคำพูดและการกระทำของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว
“แล้วรอให้ชินคือเมื่อไร ต้องเข้าโรงพยาบาล ต้องป่วยจนแอดมิตใช่ไหมคุณหญิง”
ฌอนฤทธิ์มองสตรีที่นั่งอยู่ข้างๆ หม่อมมธุรสตาขวาง ถามคำถามเสียงเข้มชนิดที่คุณหญิงปากกล้าหดคอ เพราะไม่เคยมีใครกำราบแบบนี้มาก่อน เล่นเอาท่านพ่อกับหม่อมแม่หันสบตากันอีกครั้ง เอาละสิ...ท่าทางคุณหญิงแพรวจะเจอมือปราบสายโหดเข้าแล้ว
“มันก็ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อยค่ะ”
แพรวพรรณรายบอกเสียงอ่อย อยากจะเถียงอีกคนใจจะขาด แต่ยังไม่มีแรง ขอชาร์จพลังเพิ่มก่อนเถอะ จะอัปเลเวลมาสู้ชนิดให้ชายหนุ่มเถียงหล่อนไม่ทันเชียวละ
“งั้นแบบไหน โตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ ทำไมพูดยากจังฮึ”
“พอๆ หญิงแพรว พี่เขาเป็นห่วงยังจะมาพูดเหมือนเขาหาเรื่องเราอีก เอายังงี้นะ...” หม่อมมธุรสเอ่ยขัดขึ้น ปรามหญิงสาวไม่ให้ทำกิริยาไม่น่ารัก เพราะรู้ดีว่าลูกสาวคนเล็กเอาเรื่องขนาดไหน จากที่หวั่นใจว่าท่านชายต้องสร้างคานประทานให้ พอมีหนุ่มคนนี้มาหลงผิด คนเป็นแม่ก็ไม่อยากให้ลูกแสดงกิริยาไม่งามออกไป “...วันไหนงานไม่เยอะก็กลับมานอนบ้าน แต่ถ้ามีอะไรต้องดูแลก็นอนที่นั่นไปแหละ เสาร์-อาทิตย์นี่ต้องทำงานไหมคุณณอน แม่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกก่อสร้างอะไรแบบนี้ด้วยสิ”
“ถ้าช่วงเร่งๆ แบบนี้ก็ต้องทำกระหม่อม อยากให้เสร็จก่อนคริสต์มาส กระหม่อมจะจัดงานคริสต์มาสอีฟที่โรงแรม แต่ไม่จัดงานเคานต์ดาวน์ ลูกจ้างจะได้พอมีเวลาฉลองกับครอบครัวบ้าง”
“คิดดี” ท่านชายตรัสชมจากพระทัยจริง ยิ่งพูดยิ่งคุยก็ยิ่งรู้ว่าคนคนนี้เป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ ยิ่งหากคิดอ่านตามที่พูดมาทั้งหมด ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นคนที่เห็นความสำคัญของครอบครัวไม่น้อย “เอาเป็นว่าเอาตามที่พ่อพูดนะหญิงแพรว แล้วห้องหับจะพร้อมวันไหน”
พระพักตร์ที่เป็นต้นแบบของเหล่าโอรสธิดาหันหาแขกของวังอีกครั้ง
“วันจันทร์ก็ได้กระหม่อม เสาร์-อาทิตย์นี้คุณหญิงก็เก็บข้าวของเครื่องใช้ไป”
พูดจบก็หันสบพระเนตรเหยี่ยว ทูลในสิ่งที่หญิงสาวคาดไม่ถึง “ถ้าท่านชายจะกรุณา กระหม่อมขอมารับคุณหญิงบ่ายๆ วันอาทิตย์เอาของไปเก็บที่โรงแรม เผื่อตระเตรียมอะไรขาดเหลือจะได้ดูแลเพิ่มเติมได้ทัน”
“เดี๋ยวๆ ค่ะ หญิงยังไม่ได้ตกลงเลยนะเพคะท่านพ่อ หญิงดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาพี่เลี้ยงเป็นเด็กแบบนี้”
“ได้ยังไงล่ะจ๊ะ ก็เห็นกันอยู่ว่าหญิงดูแลตัวเองได้ไม่ดีเลย เอาเป็นว่าทำตามที่ท่านพ่อสั่ง ถ้าหลังจากนี้หญิงแบ่งเวลาพักผ่อนกับทำงานได้เหมาะสมจะกลับบ้านก็คงไม่มีใครรั้งหญิงหรอกจ้ะ นี่เราโชคดีแค่ไหนที่คุณฌอนเขาเอ็นดู อาสาผ่อนแรง แล้วยังโชคดีมากไปอีกที่ทั้งเขาทั้งพี่ชายเขารู้จักกับท่านพ่อ แม่กับท่านพ่อเลยเบาใจ ไว้ใจ”
เมื่อหม่อมมารดาเอ่ยแบบนั้นพร้อมกับที่ท่านชายเล็กทรงมองด้วยพระเนตรเอาจริงสำทับ หม่อมราชวงศ์แพรวพรรณรายก็หมดทางเลือก ได้แต่พยักหน้ารับคำ น้อยครั้งนักที่บุพการีทั้งสองจะสั่งให้หล่อนทำอะไรตามพระประสงค์ของท่าน เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจ ตั้งใจว่าต่อให้ต้องย้ายข้าวของไปที่วันซ์ ริวาอย่างที่โดนบังคับ หล่อนก็จะพยายามหนีกลับมานอนบ้านให้ได้ทุกคืน ให้มันรู้ไปสิว่าใครจะมาบังคับหล่อนได้
“ถ้าท่านชายกับหม่อมไม่ขัดข้อง ขออนุญาตตามนี้ไว้เลยนะกระหม่อม”
“ฝากด้วยละกัน ดื้อบ้างรั้นบ้าง แต่เท่าที่เห็นคุณฌอนน่าจะเอาอยู่นะ”
“เอาไปแค่นี้เหรอคะคุณหญิง”
แม่บ้านประจำตัวหม่อมราชวงศ์แพรวพรรณรายเอ่ยถามตอนที่ยกกระเป๋าเดินทางขนาดกลางลงมาให้คุณหญิงคนเล็กของบ้าน หลังจากได้รับแจ้งว่าหญิงสาวจะย้ายไปอยู่ที่ทำงานประมาณสองเดือนเพื่อความสะดวกในการเดินทาง แต่พอขึ้นมายกกระเป๋าให้กลับพบว่ามีของน้อยกว่าที่คิดไว้มาก เงยหน้ามองเจ้านายคนสวยอีกครั้งเผื่อเจ้าตัวจะมีสัมภาระที่ยังไม่ได้แจ้งกับคนดูแลอย่างหล่อนอีก
“อือ”
ไม่ต่อความยาวสาวความยืดว่าหากจะเอาอะไร ขับรถกลับมาเอาที่บ้านก็ได้ เพราะที่ต้องย้ายไปอยู่โรงแรมที่ห่างจากวังวิริยาไม่ถึงสิบห้านาทีนั้นไม่มีความจำเป็นเลยด้วยซ้ำที่จะต้องไป แต่ก็ไม่อยากขัดพระทัยพระบิดาที่ตามใจหล่อนมาเสมอ ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมอยู่ดีๆ ท่านพ่อถึงอยากให้ออกไปอยู่ที่โรงแรมนัก ทั้งๆ ที่บางครั้งสมัยเรียนมหาวิทยาลัยหล่อนจะไปออกค่ายกับเพื่อนๆ ยังไม่พอพระทัยออกบ่อยๆ
“แล้วคนที่มารับคือเพื่อนคุณหญิงเหรอคะ เขาดูดุจัง หนูไม่เห็นเขายิ้มเลย ตั้งแต่วันที่พาคุณหญิงมาส่งเมื่อวันศุกร์แล้ว นี่เอารถมาคันเบ้อเร่อ คงนึกว่าคุณหญิงจะขนของไปเยอะมั้งคะ”
อาจจะเพราะหล่อนเป็นกันเองที่สุดในวัง แม่บ้านประจำตัวเลยกล้าคุยเล่นหัวด้วยมากกว่าสมาชิกคนอื่น แต่พอคราวนี้หญิงสาวกลับไม่อยากตอบเสียดื้อๆ ไม่พอใจขึ้นมาติดหมัดที่มีใครมาวิพากษ์วิจารณ์ผู้ชายคนนั้น พลางนึกถึงใบหน้าที่ไม่เคยเห็นรอยยิ้มปรากฏ ก็ไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมใครๆ ถึงคิดว่าเขาดุ แต่งงใจที่ทำไมไม่เคยมีใครโดนเขาปากเสียใส่เหมือนที่หล่อนเจอมากกว่า
“ยุ่งน่า ยกกระเป๋าลงไปข้างล่างไป เดี๋ยวหญิงเดินตามไป”
พูดจบก็หันไปสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองอีกครั้ง เห็นร่างสะโอดสะองของตัวเองอยู่ในเสื้อยืดสีขาวพอดีตัวเผยให้เห็นทรวงทรง เข้าคู่กันได้ดีกับกางเกงสกินนียีนเอวสูงสีอ่อน อาจจะดูเป็นเครื่องแต่งกายธรรมดาสำหรับคนอื่น แต่สำหรับคนที่อยู่รอบๆ ชีวิตแพรวพรรณรายหากเห็นเป็นต้องรู้ดีว่าหญิงสาวแต่งตัวไม่ธรรมดา หน้าสวยมีการลงคุชชันตบด้วยแป้งฝุ่นบางๆ ริมฝีปากอิ่มมีลิปมันสีอ่อนเพิ่มความชุ่มชื้น เจ้าตัวหยิบปลายผมยาวระบั้นเอวขึ้นดูแบบไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร ทั้งๆ ที่ปกติก็มัดลวกๆ เป็นมวยไว้ที่กลางกระหม่อม แต่วันนี้ทำไมหล่อนกลับตัดสินใจไม่ได้ก็ไม่รู้
หน้าสวยส่ายด้วยความขัดใจตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะถักเปียเดี่ยวง่ายๆ ปล่อยผมด้านหน้าที่ยาวไม่เท่ากันให้คลอเคลียกรอบหน้า มองความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินลงชั้นล่าง
คนที่มีหน้าที่มารับหล่อนในวันนี้กำลังคุยกับท่านพ่อที่ประทับในห้องนั่งเล่น เห็นการแต่งตัวของเขาจากด้านหลังก็อดเบ้ปากไม่ได้ วันอาทิตย์แท้ๆ ยังใส่สูทเต็มยศ นี่ไม่กะให้รูขุมขนได้หายใจเลยรึไง แต่พอเจ้าตัวหันหน้ากลับมาคงเพราะคงเห็นท่านชายเล็กมองผ่านมาทางด้านหลังเขา ท่าทีเหมือนเมื่อครู่สนทนาอะไรกันค้างอยู่แต่เลือกที่จะเลิกคุยกันเพราะแพรวพรรณรายเดินเข้ามา และพอเห็นฌอนฤทธิ์เต็มๆ ตา หล่อนก็หน้าร้อนฉ่าขึ้นมาทันที เพราะนอกจากเบลเซอร์แบบลำลองสีกรมท่าที่เขาใส่อยู่ เครื่องแต่งกายด้านในของชายหนุ่มก็ไม่ได้แตกต่างไปจากหล่อนเลย ไม่น่าเชื่อว่าคนดุ เอาจริงเอาจังแบบเขาพอเปลี่ยนมาแต่งตัวลำลองแบบนี้ก็ดูเด็กและชวนใจสั่นไม่น้อย
“มาละ คุณฌอนจะอยู่ทานข้าวด้วย เสร็จแล้วค่อยออกไปละกันนะหญิงแพรว”
“เพคะท่านพ่อ”
ปฏิเสธไม่ได้หรอก เพราะรู้ดีว่าอีกห้านาทีก็จะเป็นเวลาตั้งโต๊ะเสวยของท่านชายเล็กแล้ว แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจมาให้พอเหมาะกับการรับประทานอาหารร่วมกับคนในครอบครัวหล่อนหรือเปล่าถึงมาเอาตอนนี้
“แล้วหญิงพราวล่ะคะ”
“ไปธุระกับเรย์ มารับกันออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว”
นั่นก็อินเลิฟกันมากมาย ชนิดที่อยู่ไม่ติดบ้านสักวัน แต่ดูเหมือนว่าบุพการีของหล่อนก็ไม่ได้ว่าอะไรตราบใดที่ยังอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ เข้าตามตรอกออกตามประตู ว่าที่พี่เขยของหล่อนก็ทำดี ทำถูก ทำควรไปเสียทุกอย่าง เพราะนอกจากจะเข้ามาขอประทานอนุญาตศึกษาดูใจกับพี่สาวฝาแฝดของหล่อนอย่างเปิดเผย ผู้ใหญ่ฝ่ายโน้นก็ยังเข้ามาสานสัมพันธ์มากขึ้น มากกว่าคนรู้จักกันในวงสังคมทั่วไป เรียกได้ว่าหากไม่มีเรื่องคอคาดบาดตายพลิกโผ คู่รักคู่นั้นก็ได้ร่วมหอลงโรงกันแน่นอน อดคาดหวังไม่ได้ว่าหล่อนจะได้มีคนรักดีๆ ความรักดีๆ ที่ไม่มีอุปสรรคอย่างที่พี่สาวฝาแฝดมี แต่ของอย่างนี้ก็อยู่ที่บุญที่กรรม เท่าที่เห็นผู้ชายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตหล่อน ถ้าไม่ติสต์จนเกินรับไหว ก็คงเป็นอะไรแบบที่นั่งทำหน้านิ่งแต่ปากร้ายเกินฟังที่กำลังร่วมโต๊ะเสวยอยู่ตอนนี้ละมั้ง
“อ่อเพคะ แล้วหม่อมแม่ล่ะเพคะ”
“จะไปไหน ทำอะไรได้ ตรวจของเหวยก่อนขึ้นโต๊ะอยู่ในครัวน่ะสิ”
เป็นหน้าที่ของหม่อมมธุรสที่ทำมาตั้งแต่เข้าวังใหม่ๆ โดยพระภคินีในหม่อมเจ้าโชติรัตน์เป็นคนผ่องถ่ายความรับผิดชอบนี้ให้พระสุนิสาองค์เล็กดูแล จนตอนนี้ก็ยังถวายการดูแลพระสวามีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“มีอะไรแพ้หรือเปล่า”
“คะ?”
แพรวพรรณรายที่หยุดยืนอยู่หน้าห้องนั่งเล่นรอให้พระบิดาดำเนินออกมานำแขกสู่ห้องเสวยตกใจเมื่ออยู่ดีๆ คนตัวโตที่เดินมาตีข้างตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เอ่ยถามประโยคที่ไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่มีต้นเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น
“อาหารน่ะ มีอะไรแพ้หรือเปล่า หรือไม่ชอบอะไรไหม”
ได้ยินคำถามชัดๆ แบบนั้นก็ยิ่งประหลาดใจ ไอ้ที่หล่อนย้ายไปอยู่ที่โรงแรมแบบไร้ค่าเช่าก็แปลกเต็มทน นี่เจ้าของยังมาถามด้วยความห่วงใยเกินลูกจ้างแบบนี้อีก จนหญิงสาวที่ไม่เคยรู้ว่ามีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจตัวเองมาสักพักแล้วอดเกิดอาการวูบวาบในช่องท้องไม่ได้
“ได้ทุกอย่างค่ะ ดิฉันทานได้ไม่เลือก”
แพรวพรรณรายตอบแบบไม่คิด ก็หล่อนเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ผิดกับพี่สาวฝาแฝดที่เกิดห่างกันไม่กี่นาทีราวกับมาจากคนละท้อง รายนั้นกระหม่อมบาง ธาตุอ่อน กินยากอย่างกับอะไร เรียกว่าต้องประคบประหงมกันไม่น้อย กว่าจะผ่านโรคภัยไข้เจ็บโตมาเป็นสาวงามแบบในวันนี้
“เลือกหน่อยก็ดี ทางที่ดีก็เลือกผม”
“ฮะ คุณฌอนว่าอะไรนะคะ ดิฉันได้ยินไม่ถนัด”
จากคนไม่เคยมีความเครียดในชีวิต หลังๆ มานี้กลายเป็นว่าแพรวพรรณรายใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว มีเรื่องให้ต้องคิดทบทวนอยู่ตลอดเวลา ทั้งเพราะงานประจำที่อยู่ในความรับผิดชอบมีมากขึ้น ทั้งคนข้างๆ ที่ขยันทำตัวผิดปกติให้หล่อนต้องระแวงอยู่เสมอ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมคนหน้านิ่งกลายมาทำหน้าดุได้ในทันที ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังไม่เห็นความขุ่นมัวปรากฏอยู่บนหน้าหล่อ...เอ๊ะ นี่หล่อนมองว่าเขาหล่อตั้งแต่เมื่อไร คนมีเลือดสีน้ำเงินอดสงสัยตัวเองไม่ได้
“ไม่ได้ยินก็เรื่องของคุณ คนอะไรผู้ใหญ่พูดด้วยไม่รู้จักตั้งใจฟัง อีกหน่อยผมจะทำอะไรไม่บอกคุณแล้ว!”
“มีอะไรคุณหญิงก็บอกเขาเลยนะ เขาจะคอยดูแลเป็นพิเศษ ที่จริงนอกจากแก้วตา คุณหญิงอยากได้อะไรก็โทร. ไปบอกรูมเซอร์วิซเขา ทุกคนเขาก็พร้อมบริการแหละ”
ฌอนฤทธิ์ถือวิสาสะนั่งบนโซฟาในห้องพักแบบหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น หนึ่งห้องครัว ที่จัดไว้ให้หม่อมราชวงศ์แพรวพรรณราย ซึ่งอยู่ติดกับห้องพักบนชั้นของเขา อันที่จริงในชั้นนี้มีห้องพักของชัยฤทธิ์อยู่ด้วย แต่ก็เรียกได้ว่าปิดตายมานานเพราะเจ้าตัวอาศัยอยู่ที่บ้าน เอ่ยปากยกให้น้องชายอย่างฌอนฤทธิ์ทุบรวมกับที่พักแบบเพนต์เฮาส์ของเขานานแล้ว แต่ฌอนฤทธิ์ยังไม่นึกอยากทำ เพราะพื้นที่ใช้สอยที่มีอยู่ในห้องส่วนตัวก็มากเหลือเฟือสำหรับคนที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องทำงาน
เขาพยักพเยิดไปทางแม่บ้านที่สั่งไว้ว่าให้คอยมาดูแลห้องพักของหม่อมราชวงศ์คนสวยเป็นพิเศษตลอดเวลาที่เจ้าตัวต้องอยู่ที่นี่ ดูแลตั้งแต่อาหารการกิน เสื้อผ้าเครื่องใช้ ไปจนถึงความสะอาดของห้องพัก
“อาหารเช้าถ้าไม่อยากทานอะไรเป็นพิเศษในห้องของตัวเอง ก็ลงไปทานห้องอาหารไหนข้างล่างก็ได้ แล้วก็เซ็นเข้าห้องไว้...เอ่อ...”
ชายหนุ่มนึกเร็วๆ ว่าจะให้แพรวพรรณรายลงเลขห้องว่าอะไร เพราะห้องพักนี้ไม่มีเลขห้องเลขชั้นเหมือนห้องพักปกติ “...เขียนชื่อผมแล้วคุณหญิงเซ็นกำกับก็ได้ ห้องนี้มันไม่มีเบอร์”
“ขอบคุณมากนะคะ แต่หญิงดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องห่วง ไว้ต้องการอะไรเป็นพิเศษหญิงค่อยแจ้งพี่แก้วตานะคะ”
แพรวพรรณรายแทนตัวเองกับแม่บ้านที่ฌอนฤทธิ์แนะนำอย่างน่ารัก แล้วหันมามองผู้ชายที่บัดนี้ถอดสูทออกเรียบร้อย นั่งกดรายการทีวีดูในห้องที่บอกว่ายกให้หล่อนอยู่ราวกับเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขาเอง
“แล้วก็ขอบคุณคุณฌอนฤทธิ์มากที่เป็นธุระให้ ดิฉันไม่รบกวนวันหยุดของคุณแล้วค่ะ เชิญไปพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย”
ได้ยินแบบนั้นเจ้าของโรงแรมก็ปรายตาดุ ส่งสัญญาณให้แม่บ้านที่เขาจ้างมาเป็นพิเศษด้วยเงินส่วนตัวออกไป จนหญิงสาวอดหมั่นไส้ไม่ได้ที่เจ้านายลูกนอกที่นี่สื่อสารกันด้วยสายตาได้หมด
“ไม่เป็นไร ผมว่าง หิวหรือยัง สั่งอะไรขึ้นมาทานไหม”
“จะหิวได้ยังไงคะ ทานข้าวที่วังเสร็จก็ออกมานี่”
แพรวพรรณรายจำต้องนั่งลงที่โซฟาเดี่ยว รับแขกอย่างไม่เต็มใจ เพราะเจ้าของที่ทางยังทำตัวเอกเขนกเหมือนกับอยู่ห้องของตัวเอง และช็อกหนักเมื่อได้ยินประโยคต่อไปจากคนที่ทำตัวประหลาดมากขึ้นทุกวินาที
“แล้วไปนั่งทำไมไกลๆ โซฟาตั้งกว้าง ไม่หิวก็มานี่ เลือกหนังสิ จะดูอะไรดี”
ชายหนุ่มบอกหน้าตาเฉย ไม่แม้แต่จะหันมามองหน้ากัน เพราะตายังจับจ้องอยู่ที่เมนูเน็ตฟลิกซ์ในทีวีขนาดยักษ์ที่เขาสั่งให้มาติดตั้งเป็นพิเศษ ใช้แอกเคานต์เดียวกันกับห้องพักของเขา แต่ไม่ได้บอกให้หญิงสาวรู้
“นี่มันบ้าอะไร! คุณฌอน...คุณอาศัยทีเผลอมัดมือชกดิฉันออกมาอยู่ที่นี่ก็ทีนึงแล้วนะ”
“หึ พูดยังกับว่าคนอย่างคุณใครบังคับได้ยังงั้นแหละคุณหญิง”
น้ำเสียงจะเย้ยหยันก็ไม่ใช่ จะเอ็นดูก็ไม่เชิง เล่นเอาแพรวพรรณรายหน้าขึ้นสี เพราะเกลียดที่เขารู้ทันไปหมดทุกอย่าง
“โอเค้ ดิฉันไม่ปฏิเสธหรอกว่ามาอยู่ที่นี่มันก็สบายจริงๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมาอะไรๆ แบบนี้ได้นะ”
“อะไรๆ ของคุณคืออะไรคุณหญิง แล้วชื่อเสียงตัวเองไม่มีหรือไง ถึงแทนตัวด้วยคำพูดแบบนั้นอยู่ได้”
“แบบไหน!”
“ก็ไอ้ดิฉันๆ น่ะ เก็บไว้ใช้กับคนอื่นมะ ทีแม่บ้านเมื่อกี้คุณยังแทนตัวเองเสียเป็นกันเอง”
ฌอนฤทธิ์อดไม่ได้ หลายครั้งแล้วที่ได้ยินหญิงสาวแทนตัวกับคนอื่นอย่างสนิทสนมมากกว่าที่พูดกับเขา เรียกได้ว่าตั้งแต่รู้จักกันมามีกับเขาคนเดียวละมั้งที่หล่อนแทนตัวว่า ‘ดิฉัน’
“แล้วเราเป็นอะไรกันหรือไง ดิฉันถึงต้องมาให้ความสนิทสนมกับคุณ ต้องมานั่งดูหนังกับคุณแบบนี้ ถ้าจำไม่ผิด เราเป็นแค่คนที่ต้องทำงานร่วมกัน”
ได้ยินแบบนั้นเขาก็หน้าชา เพราะเอาเข้าจริงๆ เขากับหล่อนก็ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันมากไปกว่านายจ้างกับลูกจ้าง แถมไม่ใช่สายตรงอีกต่างหาก จะดูมีดีเทลมากหน่อยก็ตรงที่พี่ชายของเขาเป็นหนึ่งในพระสหายรุ่นน้องที่ท่านชายโปรดจะหารือด้วยบ่อยๆ ทำให้เขาเองเลยพลอยได้รับความไว้วางพระทัยให้ดูแลธิดาคนเล็กไปด้วย
แถมตัวผลักเร้าให้เขาเข้าหาสาวงามที่นั่งหน้าเป็นตูดอยู่ตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้มีใครล่วงรู้ว่าคืออะไร แม้กระทั่งเขาเองก็เพิ่งแน่ใจเมื่อวันที่หล่อนล้มพับไปนั่นละ แต่จะให้ผลีผลามเกินงามก็ไม่เหมาะไม่ควร เพราะหากมีใครรู้ว่าเขาคิดไม่ซื่อกับคุณหญิงคนนี้ คนอื่นอาจจะครหาได้ว่าเขาเข้าข้างเอาใจหล่อน ไหนจะจดหมายลับที่พรรณพัตราส่งถึงเขาเป็นการส่วนตัวว่า งานชิ้นนี้เขาจะต้องเป็นผู้ประเมินหลักว่าแพรวพรรณรายจะพร้อมสำหรับการเลื่อนขั้นในบริษัทต่อไปไหม ไหนจะเรื่องธุรกิจที่เมืองจีนที่อีนุงตุงนังเหลือเกิน
ดังนั้น ต่อให้เขาจะอยากทำอะไรมากแค่ไหน แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เลยได้แต่เดินเข้าไปบอกกับท่านชายและหม่อมมธุรสตรงๆ หลังจากที่พอเดาความนัยที่พี่ชายของเขาพยายามสื่อออกว่า หากเขากับคุณหญิงแพรวพรรณรายจะศึกษากันในสถานะอื่น พูดราวกับว่าอ่านแววตาบางอย่างของเขาออก ซึ่งเขาก็ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธพี่ชายตรงๆ บอกแค่ว่าถ้าต้องการเช่นนั้นก็คงต้องช่วยเขาอีกแรง เพราะแค่ตอนนี้คุณหญิงตัวร้ายก็ป่วนอารมณ์จนงานการกระเจิดกระเจิง จนมาถึงวันที่เดินหน้าเข้าวังวิริยาแสดงความรับผิดชอบและความต้องการกับพ่อแม่ฝ่ายหญิงอย่างชัดเจน จะมีก็แต่ยายคุณหญิงที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับ ไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต เขาคงทำได้แค่ปล่อยไป ให้เจ้าตัวค่อยๆ รับรู้ว่าต่อไปสถานะระหว่างกันจะไม่เหมือนเดิม
“แปลว่า...ถ้าเป็นอย่างอื่นกันก็จะยอมเปลี่ยนวิธีเรียก จะยอมใช้เวลาด้วยกันใช่ไหม”
“ใช่ เอ๊ย...เกี่ยวอะไรล่ะคะ”
คนเผลอตัวตอบมองหน้าฌอนฤทธิ์อย่างเอาเรื่อง รู้สึกถึงไอร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมาบนใบหน้า เกิดมามีคนจีบก็มากมาย แต่ไม่เคยมีใครทำให้อายแบบนี้ อีกอย่างไอ้ที่ชายหนุ่มคนนี้ทำอยู่จะเรียกว่าจีบได้หรือเปล่าก็ไม่รู้
“เกี่ยวไม่เกี่ยว ผมก็ถือว่าคุณหญิงพูดแล้ว สัญญาแล้ว คนเลือดสีน้ำเงินจากราชสกุลวิริยาคงไม่ผิดคำพูดใช่ไหม”
ตาคมมองหน้าแพรวพรรณรายอย่างเอาจริงเอาจังจนอีกฝ่ายต้องหลบตา คิดว่าเดาไม่พลาดว่าเขาคิดอะไร แต่หากไม่มีอะไรชัดเจน หล่อนก็จะทำเป็นไม่รู้เรื่องอยู่แบบนี้
“พูดอะไร ดิฉันพูดอะไร คุณฌอนอย่ามาพูดเองเออเองนะ ดิฉันไม่ได้ตกลงหรือรับปากเรื่องอะไรกับคุณทั้งนั้น”
หญิงสาวรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ ตั้งใจว่าถ้าชายหนุ่มยังทำหน้าตายยึดพื้นที่ในห้องที่ยกให้หล่อน หล่อนก็จะปลีกตัวเข้าห้องนอน เอาเสื้อผ้าที่หอบมาไม่ถึงสิบชุดใส่ตู้เสียผ้าเสีย อยู่นานๆ รู้สึกว่าโดนกดดัน โดนมัดมือชกแปลกๆ ขอเวลาไปตั้งหลักก่อนจะได้ไม่เพลี่ยงพล้ำแก่เขา
ทว่าเดินอ้อมยังไม่ทันพ้นพนักโซฟาตัวใหญ่ที่ฌอนฤทธิ์จับจอง ร่างสูงก็กระโดดข้ามมาอีกฝั่งอย่างไรไม่รู้ รู้แต่เขาตวัดแขนรั้งเอวบางเข้าชิด ทำให้หลังของหญิงสาวนาบสนิทกับอกแกร่ง ยกตัวหญิงสาวให้พ้นพื้น แม้เพียง
เล็กน้อย แต่ก็พอทีจะไม่ทำให้แพรวพรรณรายวิ่งหนีได้ เล่นเอาคนเก่งแต่ปากหน้าเหลอเพราะไม่เคยโดนใครประชิดตัวแบบนี้มาก่อน
“เอ๊ะ! นี่ทำอะไร ปล่อยนะ”
คนที่ตกใจรีบตั้งสติ ตีแขนเขาเร็วๆ แรงๆ แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่นำพา ถึงแม้จะไม่เอ่ยอะไรให้ชัดเจน แต่ก็รับรู้ในระดับหนึ่งว่าจากนี้ความสัมพันธ์คงไม่ได้ราบเรียบและมีแค่งานที่ต้องเสวนากันอีกต่อไปแล้ว
“ปล่อยแน่ แต่ให้รู้ไว้ว่าไม่ปล่อยนาน ไป...” ฌอนฤทธิ์ปล่อยตามที่พูดจริงหลังจากรัดเอวหล่อนแน่นๆ อีกครั้ง มันเขี้ยวอยากจะทำมากกว่านี้ แต่เดี๋ยวคนเฮี้ยวจะตื่นตกใจไปเสียก่อน ไม่วายกระซิบข้างหูบอกชะตากรรมให้อีกคนได้รู้ “...จะไปไหนก็ไป ผมจะนอนดูทีวีตรงนี้แหละ หิวแล้วก็ออกมาลงไปกินข้าวข้างล่างกัน”



รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น