9
บทที่ 9
9
“เอาไง”
แพรวพรรณรายตั้งสติมากกว่าปกติอีกครั้งเมื่อส่งเสด็จท่านพ่อกลับวังเรียบร้อยแล้ว เพราะอยู่ดีๆ ฌอนฤทธิ์ก็ให้ทางเลือกหล่อนแบบงงๆ ระหว่างการไปนั่งฟังเพลงในบาร์ของโรงแรม กับสั่งอะไรขึ้นไปดื่มต่อระหว่างดูหนังด้วยกัน หญิงสาวพยายามทบทวนว่ามื้ออาหารเมื่อครู่ฌอนฤทธิ์ดื่มมากขนาดที่จะติดลมอยากดื่มต่อ หรือที่ชายหนุ่มเป็นอยู่ตอนนี้คืออาการเมาหรือไม่ แต่ยังไม่ทันได้คำตอบจากตัวเอง ปากอิ่มสวยก็ขยับถามตามสัญชาตญาณ
“กับใครคะ เราสองคนเหรอ” หญิงสาวเปิดปากถาม หน้าตาเหลอหลาเมื่อตั้งสติได้
อีกคนก็กวนประสาทกลับมาทั้งทีที่เพิ่งเอ่ยปากชวนสาวเดตอยู่หยกๆ
“แล้วคุณเห็นใครอีกหรือไง”
“เอ๊ะ! คุณนี่”
“ตอบมาเร็วๆ ไปไหม หรือจะขึ้นห้อง เลือกสิ”
“บ้าหรือไง ใครจะขึ้นห้องกับคุณ”
ปากถามแพรวพรรณรายเหมือนให้ทางเลือก แต่พอได้ยินสาวงามสวนตอบมาแบบนั้น เขาก็รวบศอกหล่อนไว้ในอุ้งมือ ตัดสินใจให้และพาเดินไปในทิศทางที่เขาต้องการ จนทั้งคู่มานั่งอยู่ที่โต๊ะขนาดสี่ที่นั่ง มีบริกรนำถั่วและมั่นฝรั่งมาวางเสิร์ฟเรียบร้อย พร้อมรอรับออร์เดอร์เครื่องดื่ม
“วันนี้รับเหมือนเดิมไหมครับ”
ปกติหากวันไหนที่งานเหนื่อยงานเครียด หลังจากกินอาหารเสร็จ ฌอนฤทธิ์ก็มักจะมาดื่มเบาๆ สักแก้วสองแก้ว มีเครื่องดื่มประจำที่เปิดขวดทิ้งไว้ ไม่เคยเปลี่ยนชนิด แต่ในวันนี้เขาต้องถามความต้องการของคนที่พามาด้วย
“คุณหญิงอยากดื่มอะไร”
“นี่ดิฉันยังไม่ได้บอกสักคำเลยนะคะว่าจะมา คุณก็บังคับ”
หน้าสวยยู่ยับ กอดอกพิงตัวกับเก้าอี้แสนสบาย ไม่ได้รู้เลยว่ากิริยานั้นดันอกอวบเกินเรื่องให้นูนพ้นขอบเดรส แถมชายกระโปรงก็ยังร่นขึ้นโชว์ต้นขานวลเนียน เล่นเอาชายหนุ่มมาดนิ่งจะเย็นไม่ไหว กลืนน้ำลายเอื๊อกก่อนจะรีบละสายตากลับมามองที่พนักงานเสิร์ฟ
“ก็ไหนๆ ก็เดินมาถึงนี่แล้ว ดื่มอะไร”
“ปกติคุณฌอนดื่มอะไรล่ะคะ ดิฉันดื่มเหมือนคุณก็ได้”
คนไม่เรื่องมากพูด แต่มือก็เปิดเมนูเครื่องดื่มชมรายการไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดอยากจะดื่มอะไรจริงจังด้วยซ้ำ อยากขึ้นไปนอนดูซีรีส์เกาหลีแบบสบายๆ มากกว่า แต่ในเมื่อโดนฉุดมานั่งสวยอยู่กลางบาร์ก็เลยตามเลยไปเสียแล้วกัน
“ผมกินเหล้าเพียว แรงนะ อย่างคุณน่ะจะไหวเหรอ ผสมไหม เอามิกเซอร์อะไรล่ะ” ชายหนุ่มเงยหน้าจากเมนูเครื่องดื่มของตัวเองเพื่อตอบคำถาม ทีแรกว่าจะเลือกค็อกเทลสีอ่อนๆ ให้อีกฝ่าย หรือไม่ก็ไวน์แดงแอลกอฮอล์ไม่เกินสิบสองเปอร์เซ็นต์สักขวด แต่พอเห็นแววตาอีกฝ่ายก็คิดว่าอ่านไม่ผิด
“ดิฉันก็ไม่ได้ติดอะไร ดื่มเพียวแบบคุณก็ได้ค่ะ”
คนสวยยักไหล่เก๋ๆ อย่างไม่ยี่หระ ปิดเมนูแล้วยื่นให้พนักงานที่รอรับออร์เดอร์อยู่ เพื่อนมากกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของเพื่อนในคณะเป็นผู้ชาย แถมหล่อนยังสนิทสนมกับเพื่อนจากคณะภาคีอย่างพวกเด็กวิศวะอีกหลายคน ทำให้คลุกคลีกับพวกนั้นในวงเหล้ามาตลอด
“มียี่ห้อไหนที่ชอบเป็นพิเศษหรือเปล่า” เห็นทีท่าและคำตอบ ฌอนฤทธิ์ก็มั่นใจว่าคนตรงหน้าแข็งกว่าที่คิด
“ขอปีดีๆ ก็พอค่ะ”
พี่ชายทั้งสองของคุณหญิงแพรวพรรณรายเป็นขาดื่ม หม่อมราชวงศ์คนโตถึงแม้จะไม่ใช่สายปาร์ตี แต่ก็เป็นนักสะสมวิสกี้ตัวยง ขวดไหน ปีไหนที่ว่าหายากๆ พี่ชายพัชรของหล่อนมีเก็บไว้ในคอลเล็กชันทั้งหมด ส่วนหม่อมราชวงศ์วชรฉัตร พี่ชายคนที่สองนั่นเรียกว่าเป็นนักดื่มตัวแรง คอแข็งพอๆ กับหัวที่ัรั้นที่สุดในราชสกุล และพี่ทั้งสองก็ฝึกน้องๆ ให้ดื่ม สอนให้ทราบประวัติความเป็นมาของเครื่องดื่มแต่ละชนิด จะได้มีความรู้ติดปลายนวมเวลาเข้าสังคม
“งั้น ลาฟรอยไหม” ฌอนฤทธิ์เอ่ยถึงซิงเกิลมอลต์ชื่อดังจากอิสเลย์ที่มีวิธีบ่มเฉพาะ พลางยื่นเมนูคืนให้พนักงานที่รอบริการเจ้าของโรงแรมกับสาวงามคนแรกที่เพิ่งเคยเห็นเขาควงมา
เห็นนัยน์ตาพราวของแพรวพรรณรายก็พอใจไม่น้อย เขาไม่ชอบหรอกพวกเรียบร้อยสนิมสร้อย แต่ชอบผู้หญิงที่อยู่เป็น เข้าสังคมได้ ยิ่งทำธุรกิจบริการแบบเขา การได้คู่ชีวิตที่่ช่วยรับแขกได้ ควบคุมงานได้ยิ่งดี จากที่เห็นในช่วงเวลาที่่ผ่านมาก็พอรู้แล้วว่าอีกคนเอาจริงเอาจังในเรื่องการทำงานขนาดไหน
“อื้ม ดีค่ะ ดิฉันชอบ”
“ผมก็ชอบ”
ฌอนฤทธิ์พยักหน้าทั้งกับแพรวพรรณราย ทั้งกับพนักงานที่ยืนอยู่ เอ่ยสั้นๆ สื่อความหมายให้อีกฝ่ายตีความเอาเองว่าเขาต้องการเครื่องดื่ม แต่หากสังเกตจริงๆ จะรู้ว่าที่บอกว่าชอบน่าจะเป็นคนตรงหน้ามากกว่า
“ขวดเก่าของคุณฌอนเหลืออีกนิดเดียวครับ”
ปกติเขาดื่มทีละแก้วสองแก้วแค่นั้น แล้วขวดที่ว่าถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะเปิดไว้เป็นเดือนแล้ว
“งั้นก็เปิดขวดใหม่มารอไว้ ไปจัดการมาได้แล้ว”
คล้อยหลังคนในปกครองออกไป ชายหนุ่มก็หันกลับมาสนใจคนตรงหน้าอีกครั้ง ในขณะที่อีกคนก็มองเขาไม่วางตา จนฌอนฤทธิ์ต้องออกปากถามเหตุผลที่กำลังนั่งจ้องตากันแบบนี้ รู้ดีหรอกว่าอีกฝ่ายคงมีคำถามว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่คืออะไร
“มองทำไมครับ”
“ก็สงสัยค่ะ”
“สงสัยอะไร”
“สงสัยว่าที่คุณทำอยู่ต้องการอะไร”
นั่นไง! ผิดจากที่คาดไว้ที่ไหน ถ้าแทงหวยถูกแบบนี้บ่อยๆ เขาคงได้เลิกทำงานแล้วนอนกินเงินได้เปล่าสบายๆ ไปแล้ว
“แล้วคุณคิดว่าผมต้องการอะไร”
คนหน้านิ่งทำทียียวน รับแก้วเครื่องดื่มมาไว้ในมือ แต่ยังไม่ยกขึ้นจิบ จนเห็นแพรวพรรณรายแตะแก้วของตัวเอง ถึงได้เริ่มบ้าง
“จะไปรู้คุณฌอนเหรอคะ ดิฉันจะไปรู้ใจ เดาใจคุณได้ยังไง”
“แต่ผมอยากให้คุณรู้ใจนะ”
“ฮะ”
เห็นท่าทางโก๊ะๆ แบบนั้นฌอนฤทธิ์ก็ยิ่งถูกใจ แพรวพรรณรายนี่สร้างความสำราญให้หัวใจเขาได้หลายรูปแบบจริงๆ
“ตกใจอะไรคุณหญิง ผมพูดไม่ชัดตรงไหน”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเนือยๆ ระหว่างลุกขึ้นกวาดตามองรอบๆ พอใจกับจำนวนแขกในคืนนี้ ขนาดยังไม่ดึกดื่น คนก็เริ่มหนาตา ก่อนจะก้าวอ้อมมายืนข้างๆ ที่นั่งของคุณหญิง ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ร่างบางเสียดื้อๆ เล่นเอาคนที่นั่งอยู่ก่อนตกใจทั้งจากคำพูดเมื่อครู่ ทั้งจากการกระทำของเขา แม้จะได้กลิ่นแปลกๆ จากเขา แต่หล่อนก็ไม่อยากมโนไปเองเหมือนผู้หญิงทั่วไป ของแบบนี้มันต้องชัดเจนทั้งคำพูดทั้งการกระทำ ถึงจะพูดได้เต็มปากว่าอีกฝ่ายคิดอะไรกับเรา
“อะไรกันคะ มานั่งทำไม”
“ตรงนี้เห็นแขกชัดกว่า”
คนหน้ามึนตอบหน้าตาย ไม่ยินดียินร้ายกับอาการตกอกตกใจของหม่อมราชวงศ์แพรวพรรณรายแม้แต่น้อยเพราะคิดเอาไว้แล้วว่าเจ้าตัวจะต้องออกอาการเช่นนี้
“งั้นก็หลบ ดิฉันจะไปนั่งฝั่งโน้นเอง”
หญิงสาวเตรียมจะลุกหนี ให้นั่งอยู่ตรงนี้คงไม่ดีแน่ๆ ทว่าฌอนฤทธิ์กลับกระตุกข้อมือไว้ ทำเอาหม่อมราชวงศ์แพรวพรรณรายทรุดลงตามแรงฉุด
“แล้วตรงนี้ก็ใกล้คุณมากกว่า นั่งกับผมจะเป็นอะไร ช่วยๆ กันดูบรรยากาศหน่อย เผื่อว่าจะรีโนเวตบาร์ใหม่เสียด้วย”
“มันไม่ได้อยู่ในสัญญานะคะ แล้วจะต้องมานั่งใกล้กันทำบ้าอะไร”
“ก็ทำใหม่ รับไหมล่ะ จ้างคุณหญิงพิเศษเลยก็ได้ ไม่ผ่าน วี.เค.”
ฌอนฤทธิ์พูดลอยๆ โดยไม่ตอบคำถามสุดท้ายของแพรวพรรณรายที่ยังนั่งอยู่ข้างๆ ไม่ใช่เพราะความเต็มใจแต่เป็นเพราะโดนเขารั้งข้อมือไว้ โดยที่ชายหนุ่มก็ทำเป็นไม่อยากสนใจ ไม่เหลือบมองหล่อนแม้แต่น้อย เพราะกลัวจะอดใจไม่ไหวแล้วกระชับคนตัวหอมเข้ามากอดตามใจอยาก บอกตัวเองให้เย็นๆ ให้เพลาๆ เพราะแค่นี้เขาก็เตลิดเปิดเปิงออกจากกรอบมากจนเกลียดตัวเอง แถมช่วงเวลานี้สถานะระหว่างเขากับหล่อนยังหมิ่นเหม่ ที่ทำๆ อยู่ตอนนี้ก็แย่พอแล้ว
“เรื่องงานดิฉันไม่รับฟรีแลนซ์”
“แล้วเมื่อไรจะเลิกแทนตัวว่าดิฉงดิฉัน อายุเท่าไรกันเชียวมาแทนตัวแบบนั้น แก่แดดแก่ลม”
ฌอนฤทธิ์อยากได้ยินเสียงหวานๆ ติดรั้นนั้นแทนตัวเองว่า ‘หญิง’ หรือ ‘แพรว’ แบบที่พูดกับคนอื่นบ้าง แต่ไม่รู้จะวอนขออย่างไร ปากเลยพลั้งเอ่ยวาจาไม่น่าฟัง
“เอ๊ะ นี่มันจะมากไปละนะคุณฌอน ถึงจะไม่ได้เอ็นดูกัน แต่ก็ควรจะให้เกียรติกันบ้าง!”
คนที่งงไปหมดยังไม่ทันได้หายใจหายคอตั้งแต่เมื่อเย็นก็ต้องมามึนซ้ำ พ่วงด้วยความโมโหที่โดนพูดจาแบบนี้ใส่ เม้มปากแน่นเพราะไม่พอใจอย่างที่สุด อีกทั้งยังน้อยใจที่เมื่อหัวค่ำเขาว่าเอาว่าไม่เห็นความงามในตัวหล่อน ทั้งๆ ที่ก็บอกตัวเองตลอดเวลาหลายชั่วโมงที่ผ่านมาว่าหล่อนเคยสนใจที่ไหนว่าใครจะมองว่าสวยหรือไม่อย่างไร ดังนั้นก็
ไม่ต้องไปสนใจอะไรกับคำพูดหมาไม่รับประทานของคนไร้อารมณ์ ไม่มีรสนิยมแบบนี้ ไม่ได้รู้เลยว่าปลายจมูกเริ่มแดง น้ำตามาคลออยู่ที่เบ้าตาซึ่งหล่อนใช้เส้นสีดำตัดให้ดูคมซึ้ง
ชายหนุ่มที่อยู่ในภาวะจัดการกับอารมณ์ไม่ได้แสดงออกไม่ถูก เผลอละข้อมือหล่อน แต่รวบทั้งมือมาบีบแทน
“คุณหญิง...”
เสียงทุ้มที่เคยนิ่ง หรือไม่ก็ดีแต่หาเรื่องร้อนรนขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นอาการนั้น โมโหตัวเองขึ้นมาติดหมัดที่โตป่านนี้และแก่กว่าหล่อนขนาดนี้ แต่ยังทำตัวเป็นเด็กๆ มาชวนอีกคนทะเลาะ เรียกร้องความสนใจจากผู้หญิงแบบที่ไม่เคยทำ ใช่...ตั้งแต่เกิดมาจนอายุสามสิบสี่สามสิบห้า เขาไม่เคยทำตัวเป็นผู้ชายมีปัญหาเพื่อให้อีกคนหันมามองแบบนี้ และไม่เคยมีใครทำให้เขากลายเป็นผู้ชายปากมากแบบนี้มาก่อนด้วย
“ไม่ต้องมาคุณหญงคุณหญิง! ปล่อย!” ตัวร้ายประจำวังวิริยาเริ่มจะออกอาการ กะว่าถ้าพูดกันไม่รู้เรื่องอาจจะได้มึงตั๊นหน้ากันบ้างให้สติเข้าที่เข้าทาง
“คุณหญิง ผม...”
“ผมอะไร คุณลุกไปเลยนะ อย่ามานั่งขวางทาง! ดิฉันจะกลับ!”
ในใจบอกเลยละว่าวันนี้ไม่ได้จะขอตัวแค่กลับขึ้นห้อง แต่แพรวพรรณรายหมายถึงกลับวังวิริยา และต่อจะให้เหนื่อยแทบขาดใจขนาดไหน ก็จะไม่ขออยูู่ที่นี่อีกเป็นอันขาด
“ไม่ ไม่ คุณหญิง!”
หมดทางละ ฌอนฤทธิ์นึกในใจแบบไร้ทางเลือก ตัดสินใจรั้งร่างบางลงเต็มแรงจนแพรวพรรณรายหล่นปุ๊ลงบนตักเขา ในขณะที่ร่างหนาดันตัวหญิงสาวจนหลังแนบไปกับพนักเก้าอี้นวม ใช้เนื้อตัวของตัวเองบังสายตาคนนอกทั้งๆ ที่อันที่จริงที่นั่งตรงนี้ไม่มีใครสังเกตเห็น เพราะเป็นโต๊ะที่ฌอนฤทธิ์สั่งให้มัณฑนากรคนเก่าเล่นมุมในการจัดวางเฟอร์นิเจอร์และแสงไฟให้แขกที่นั่งตรงนี้มองเห็นทุกอย่างในบาร์ ไม่มีใครก้าวล่วงความเป็นส่วนตัวบริเวณนี้ได้
เขาไม่รู้จะพูดสิ่งที่รู้สึกและต้องการอย่างไร จึงหยุดทั้งคำพูดและการกระทำของอีกฝ่ายให้สงบด้วยการประกบปากเขาเข้ากับริมฝีปากนิ่ม ตรึงมือทั้งสองข้างของหล่อนไว้ในกำมือเดียว แล้วใช้มือข้างที่ว่างประคองท้ายทอยหล่อนให้เข้าที่เข้าทาง และป้องกันการขัดขืนที่ไม่ใช่ว่าไม่มี
ฌอนฤทธิ์แทะเล็มไล้เลียรสหวานอย่างแผ่วเบาจนคนที่โดนปรามนั่งนิ่งไป หายใจหนักขึ้นเพราะอารมณ์ที่ไม่เคยพบพาน เผลอปล่อยปากเพื่อนำพาออกซิเจนเข้าเฮือกใหญ่ แต่กลับกลายเป็นว่าแพรวพรรณรายได้ของแถมเป็นเรียวลิ้นของผู้ชายที่แทบจะรั้งหล่อนขึ้นไปอยู่บนตักเขา และก็เป็นเขาอีกครั้งที่ยอมถอนลิ้นออก แต่ยังใช้ริมฝีปากคลอเคลียหน้าสวย ลากไล้ไปสูดความหอมที่แก้มใส จนแพรวพรรณรายสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่ข้างหู
“อย่าไปนะ ผมขอร้อง”
เสียงทุ้มเจือไปด้วยความต้องการที่มากหลาย ทั้งอยากพูดความในใจ อยากทำอะไรให้ชัดเจน อยากแม้กระทั่งจับหล่อนกดแล้วครอบครองหม่อมราชวงศ์คนสวยให้เต็มคราบ เผื่อว่าจะได้ไม่ต้องรั้งรอให้ถูกเวลา
“พะ...พะ...เพราะอะไร...ทำแบบนี้ทำไม”
ที่ว่าตั้งสติไม่ได้มาหลายทั้งวันสู้เมื่อห้านาทีที่ผ่านมานี้ไม่ได้เลย แพรวพรรณรายพึมพำถามทั้งๆ ที่หลับตาพริ้ม ด้วยหัวใจยังไม่กลับเข้าร่าง คลับคล้ายคลับคลาว่าจะลอยไปอยู่กับคนข้างๆ
“โตป่านนี้ยังไม่รู้อีกเหรอว่าคนเขาจูบกันเพราะอะไร”
ฌอนฤทธิ์หัวเราะหึๆ ในลำคอ นอกจากหล่อนทำเขามาดหลุด ยังทำให้คนที่ได้ชื่อว่าไร้อารมณ์มีความสุขได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำ
“ก็เมื่อกี้ยังว่าเป็นเด็ก”
เมื่อได้สติก็เริ่มเถียงและจะขยับตัวออก ตอนนี้ละตอบคำถามได้แล้วว่าเขาพึงใจ แต่มันใช่เรื่องไหมที่ต้องมาบุ่มบ่ามทำอะไรแบบนี้
“ตกลงรู้ยังว่าคนเขาจูบกันเพราะอะไร”
ชายหนุ่มยังคลอเคลียถาม พังหมดแล้ว หน้ากากที่เคยสวมมาหลุดกระเด็นกระดอนหายไปตั้งแต่แม่คุณหญิงคนนี้ผ่านเข้ามาแช่งเขาในชีวิต
“เพราะเขารักเขาชอบกัน”
“ก็ตามนั้น เข้าใจนะ”
“ตามนั้น ตามไหน ปล่อยนะคะ เดี๋ยวคนเห็น”
มั่นใจเกินร้อยแล้วว่าสิ่งที่เขากับหล่อนมีให้กันตอนนี้เกินคาดฝัน และก็ตอบตัวเองได้ด้วยว่าที่ตงิดอะไรในใจก็มีแต่เรื่องเขามาตลอด เป็นเพราะเคมีระหว่างกันที่มันดูดจนตอนนี้แพรวพรรณรายปล่อยให้เขาสัมผัสใกล้ชิดอย่างไม่นึกรังเกียจใดๆ เลยออกปากเปิดช่องให้เขาสารภาพ หวังว่าจะได้ยินคำรักหรืออะไรทำนองนั้น แต่กลายเป็นว่าชายหนุ่มตอบห้วนจัดราวกับสั่งงาน เลยทำให้หม่อมราชวงศ์คนสวยอารมณ์ขึ้นทั้งๆ ที่กำลังเคลิ้ม
“ไม่เห็นหรอก โต๊ะนี้ผมออกแบบอย่างดี”
“หึ เอาไว้หลอกสาวเหรอคะ”
“กับคนอื่นไม่เห็นต้องเคยหลอกสักที เพิ่งจะมีคุณหญิงนี่แหละเป็นรายแรก”
ได้ยินอย่างนั้นสัญชาตญาณผู้หญิงก็เริ่มทำงาน ปฏิเสธได้ไม่เต็มปากหรอกว่าฌอนฤทธิ์ไม่ได้อยู่ในห้วงคำนึงของหล่อนแม้แต่น้อย เรียกว่าเขาเองก็ดึงดูดความสนใจจากหล่อนไปได้มากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ที่ผ่านๆ มาพยายามบอกตัวเองว่านึกถึงเขาเพราะขัดใจ ไม่ใช่ถูกใจ แต่พอมาถึงจุดนี้ก็ต้องยอมรับว่าในใจหล่อนมีเขาเข้ามาแทรกซึมอยู่นานแล้ว
“อ่อ ขอโทษด้วยละกันนะคะที่ต้องให้หลอกล่อ เหนื่อยคุณฌอนแย่”
หน้าสวยสะบัดค้อน ไม่พอใจขึ้นมาดื้อๆ เมื่อเขาเอ่ยถึงหญิงอื่น
ชายหนุ่มแอบส่ายหัว จริงอย่างที่หม่อมเจ้าโชติรัตน์ตรัส อายุไม่น้อย แต่กิริยายังเหมือนสาวน้อย
“ใช่อย่างนั้นที่ไหน เด็กดื้อ”
ได้ยินเสียงงอนก็รู้แล้วว่าอีกคนก็คงพอมีใจ จึงคลี่ริมฝีปากเป็นรอยยิ้มแบบที่ไม่มีใครได้เห็น ยกมือข้างที่ตรึงท้ายทอยสาวเมื่อครู่เกลี่ยผมที่กระจายจากการสะบัดหน้าหนีให้เข้าที่ แล้วเชยคางกลับมาให้มองหน้ากัน
“ไม่เคยอยากจะหลอกอยากจะล่อใคร แบบที่อยากล่อคุณต่างหาก”
เมื่อมองตากันก็พอรู้ความนัย บรรยากาศระหว่างคนสองคนที่เคยเหมือนจะขัดแย้งกันมาตลอดก็แปลเปลี่ยนเป็นขัดเขิน จากที่เคยมีเสียงเสียดสีก็แทบจะกลายเป็นเงียบฉี่ แต่ที่น่าสนใจคือระยะห่างระหว่างใจกลับใกล้กัน เพราะต่อให้ยังไม่กล้าเปิดใจพูดจาบอกเล่าความรู้สึกจนครบถ้วนกระบวนความ แต่ตอนนี้มือของฌอนฤทธิ์สอดประสานกับนิ้วทั้งห้าของหม่อมราชวงศ์แพรวพรรณรายที่หมดแรงจะดื้อดึงขัดขืน เพราะทำแบบนั้นแล้ว แต่คนอายุมากกว่าไม่ยอม จนต้องมานั่งให้เขาใช้นิ้วโป้งถูไถหลังมือหล่อนอยู่
จากที่ไม่รู้จะทำตัวทำหน้าอย่างไรก็กลับกลายเป็นว่าเกิดความคุ้นชินอย่างประหลาด นึกได้อีกทีเสียงปรบมือให้นักดนตรีที่เพิ่งแสดงเพลงจบลงของแขกในบาร์ก็เรียกสติหญิงสาว พร้อมๆ กับที่คนข้างๆ หันมามอง
“หิวไหม สั่งอะไรมาทานเล่นไหม”
ทำได้ประมาณนี้ก็ดีเท่าไรแล้วสำหรับคนแข็งกระด้างและปากหมาอย่างเขา เกิดมาอย่าว่าแต่ออดอ้อนเอาใจใคร แค่พูดดีๆ กับคนเขายังไม่อยากจะทำสักเท่าไร
“ไม่ค่ะ”
“กลัวอ้วนเหรอ ตัวแห้งอย่างกับอะไร”
“ไม่ได้กลัวอ้วนค่ะ ดิฉันไม่หิวจริงๆ”
คนตัวโตหน้าตึงทันทีเมื่อได้ยินหล่อนแทนตัวแบบเดิม ฟังแล้วขัดหูชอบกล “เมื่อกี้ผมบอกว่าไง ให้แทนตัวเองว่ายังไงนะ”
คราวนี้ฌอนฤทธิ์หรี่ตามองอย่างเอาเรื่อง แต่ท่าทางเปลี่ยนไป ยกมือขาวที่เขารวบไว้ขึ้นจูบ หลังจากที่เมื่อครู่ขู่กันไปแล้วว่าให้หญิงสาวเปลี่ยนคำแทนตัวที่ฟังรื่นหูกว่าเดิม หากพูดผิดมีค่าปรับเป็นครั้งละหนึ่งจูบ แต่ดูเหมือนคนสวยของเขาจะไม่สนใจบทลงโทษถึงยังเพียรใช้คำแทนตัวผิดแบบนี้
“เอ่อ...หญิง...หญิงค่ะ”
ได้ยินแบบนั้นชายหนุ่มก็ยิ้มกริ่มที่อีกคนลงให้แต่โดยดี ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม
“เอ่อ แต่ว่าให้เรียกหญิงมันจะดีเหรอคะ”
หม่อมราชวงศ์แพรวพรรณรายถามอ้อมแอ้ม ปกติกับคนที่สนิทๆ หล่อนมักจะแทนตัวเองด้วยชื่อเล่น ไม่เคยใช้คำที่แทนถึงฐานันดรนำหน้านาม เพราะไม่อยากให้ใครคิดว่าถือยศถืออย่าง
“ดี ผมอยากให้หญิงแพรวเรียกตัวเองเหมือนที่ใช้กับที่บ้าน”
เพราะอยากสนิทสนมเป็นคนในครอบครัว ชายหนุ่มจึงร้องขอเช่นนั้น ไม่ได้ต้องการเป็นแค่คนสนิท เป็นเพื่อนที่คุ้นเคย แต่เขาต้องการเป็นมากกว่านั้น
“แต่หญิง...”
“ทำไม จะดื้ออะไรอีก”
“ก็คุณฌอนเอาแต่ใจ”
“เหรอ แล้วหญิงแพรวไม่เอาแต่ใจหรือไง ผมบอกให้คุณเรียกผมว่าพี่ว่าพี่ คุณก็ไม่ยอมเรียก ผมยังตามใจ แล้วกะอีแค่นี้ตามใจผมไม่ได้นะ”
ฌอนฤทธิ์บ่นยืดยาวเป็นครั้งแรก นอกจากเรื่องงาน แพรวพรรณรายก็ไม่เคยเห็นเขาพูดเกินสามประโยค
“โอเค โอเคค่ะ”
คุณหญิงจอมเฮี้ยวตั้งท่าจะยกมือห้าม ติดที่ว่าโดนเขาจับมือไว้ไม่ยอมปล่อย เลยได้แต่นิ่วหน้า พยายามบิดมือหนีจากการเกาะกุมของเขา
“นี่ก็ปล่อยบ้างได้ไหมคะ เดี๋ยวคนอื่นเห็น”
“เห็นแล้วทำไม อยู่กับผมมันผิดตรงไหน”
กับท่านพ่อหล่อน เขาก็เคลียร์แล้ว อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยกันทั้งสองฝ่าย พร้อมมีครอบครัวกันได้ทั้งคู่ แถมยังไม่มีเจ้าของตีตราจองทั้งสองคน ดังนั้นเรื่องที่จะคบหากันไม่ใช่เรื่องผิดที่ต้องปิดบังแต่อย่างใด จะมีก็แต่เหตุผลอื่นๆ ที่ชายหนุ่มยังไม่อยากให้ใครรู้ ซึ่งเขาเองก็ไม่อยากชี้แจงกับแพรวพรรณรายในตอนนี้ เผื่อหล่อนเองก็ไม่อยากเปิดเผยให้ใครรู้ก็จะได้สบายกันไป
“มันก็ไม่ได้ผิด แต่...” จะให้บอกได้อย่างไรว่าสาวมั่นแบบหล่อนยังไม่พร้อมจะทำตัวประชิดกายกับใครขนาดนี้
“แต่อะไร” ชายหนุ่มเลิกคิ้วทำนองว่าไม่เข้าใจสิ่งที่หล่อนพูด จนหม่อมราชวงศ์แพรวพรรณรายต้องอธิบายซ้ำ
“แต่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน”
คราวนี้คนพูดน้อยถอนใจ ก็เมื่อกี้ที่จูบปากกันจนแลกดีเอ็นเอผ่านน้ำลายไปเป็นลิตรนั่นยังไม่ถือว่า ‘เป็นอะไรกัน’ อีกหรือ หากเขาไม่กลัวสาวสวยคนนี้ตกใจ ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยปากหล่อนง่ายๆ
“ที่ทำกันเมื่อกี้ คนไม่เป็นอะไรกันเขาก็ทำได้ เฟรนด์วิทเบเนฟิต รู้จักไหม”
ฌอนฤทธิ์ไม่ได้จะหมายความตามนั้น แต่แค่ชี้ให้อีกคนเห็นว่าความสัมพันธ์มากมายที่ลึกซึ้งกว่าที่เขาทำอยู่เกิดขึ้นกับใครก็ได้
กลายเป็นว่าแพรวพรรณรายหน้าชา คิดว่าเขาต้องการความสัมพันธ์แบบไม่ยั่งยืน ก่อนจะคิดเร็วๆ ในหัวว่าแล้วจะทำไม ทุกวันนี้โลกมันก้าวไปขนาดไหน หากหล่อนจะอยากลองศึกษาดูใจกับใครสักคน โดยที่ยังไม่มีอะไรชัดเจน ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องเสียหายอะไร ถ้าไม่ได้ไปเป็นเมียน้อยหรือแย่งแฟนใครเขามา ปรายตาเหยี่ยวไปทางคนที่ทำหน้าตาย ไม่หันมาสบตากัน...
ใช่ ถ้าฌอนฤทธิ์หันมาสบตา คงได้รู้ตั้งแต่วินาทีนั้นแล้วว่าการตอบรับของแพรวพรรณรายมีความหมายอย่างไร
“แปลว่าเราเป็นอะไรกันงั้นเหรอ”
เพราะความยอกย้อนที่อยู่ในนิสัยส่วนลึกของหล่อน ทั้งอยากรู้ว่าหล่อนกับเขากำลังอยู่ในสถานะแบบไหนจึงทำให้พลั้งปากถามออกไป แต่คำตอบที่ได้กลับมาไม่ใช่คำพูด ทว่าเป็นการกระทำของเขาที่ทำให้หล่อนมั่นใจแบบแปลกๆ เมื่อตาคมกริบที่เคยมีแต่กระแสดุดันมองแพรวพรรณรายไม่วางตาระหว่างที่เขายกมือที่ประสานกันไว้ขึ้นมา แล้วพลิกมือหล่อนหงายขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะประทับจูบลงที่เนื้อเนียน ตรึงสายตาหล่อนไว้ด้วยการกระทำ
“เอาเป็นว่าให้การกระทำแสดงแทนคำพูดแล้วกันนะ”