8

บทที่ 8


 8

แดดอุ่นที่ปะทะใบหน้าเมื่อก้าวพ้นจากอาคารสูงซึ่งติดแอร์เย็นฉ่ำทำให้อัยย์ศยาหน้ามืด จากเดิมที่ตั้งใจจะแวะไปนวดผ่อนคลายสักสองชั่วโมงแล้วไปหาระรินดา แต่พอขึ้นมานั่งบนรถแท็กซี่ อัยย์ศยาก็ทนอาการพะอืดพะอมและปวดร้าวศีรษะรุนแรงไม่ไหว เธอเลยตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางไปโรงพยาบาลแทน เพราะกลัวว่าปัญหาส่วนตัวอันนำมาซึ่งความเครียดจะพานทำให้เสียงานเสียการ

หลังจากใช้เวลาในการรอและตรวจรักษาไปกว่าสองชั่วโมง ระหว่างที่กำลังจะลุกขึ้นไปรับยาตามลำดับหมายเลข เธอก็เห็นใครบางคนที่คุ้นหน้ากำลังพูดอะไรบางอย่างกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก่อนที่จะหันมาเห็นเธอ

“ไหม”

“พี่บอย”

พี่บอย หรือนายแพทย์ดลยุทธ์ยิ้มกว้างแล้วเดินเข้ามาหาหญิงสาว คุณหมอรูปหล่อเจ้าของรอยยิ้มอารมณ์ดีคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของขุนพลและเคยเป็นรุ่นพี่สมัยมัธยมของอัยย์ศยา แม้จะเคยพูดคุยทักทายกันบ้างตามสื่อออนไลน์ต่างๆ แต่ก็ไม่ได้พบหน้าค่าตากันนานมาก ครั้งสุดท้ายก็เมื่อสามปีก่อนได้

เพราะการเปลี่ยนท่ากะทันหันทำให้อัยย์ศยาเสียหลักเซไป ดีที่คุณหมอหนุ่มช่วยประคองให้ลงนั่งบนเก้าอี้หุ้มเบาะตัวเดิม

“เป็นอะไรมาหาหมอนี่เรา” ดลยุทธ์คว้านิตยสารเล่มบางมาพัดวีให้หญิงสาวพลางทำหน้าเหมือนเวทนาอัยย์ศยาเหลือประมาณ “แล้วมากับใคร”

“ไหมมึนหัวนิดหน่อยค่ะเลยแวะมาตรวจ แต่ไม่ได้เป็นอะไรมาก” อัยย์ศยาพยายามจะสูดยาดมกลิ่นสมุนไพรเข้าปอดเพื่อประคองตนให้ดูปกติมากที่สุด แต่นายแพทย์หนุ่มส่ายหน้าอย่างตำหนิ

“ทีหลังมีอาการแบบนี้ อย่าไปไหนคนเดียวนะไหม มันอันตรายมากรู้หรือเปล่า ถ้าเกิดวูบไป ตกรถตกเรือถึงตายเชียวนะครับ” คนพูดยังโบกลมให้หญิงสาวที่ตนนับเป็นน้องคนหนึ่ง พอเห็นอัยย์ศยาทำท่าพะอืดพะอมเขาก็เบ้หน้า “เอ้า ไหวไหมน่ะ”

“ไหวค่ะ” เธอเงยหน้าขึ้นมาตอบแล้วสูดยาดมเข้าลึกหลายๆ ครั้ง

“นี่ไอ้อิฐมันเป็นเจ้านายแบบไหนวะเนี่ย ลูกน้องป่วยขนาดนี้ยังปล่อยให้มาหาหมอตามลำพังอีก” เขาบ่นไปถึงเพื่อนโดยไม่ได้สังเกตใบหน้าที่ซีดเผือดขึ้นของอัยย์ศยา “นี่ถ้าพี่ไม่ติดเคสผ่าตัดอีกครึ่งชั่วโมง พี่จะไปส่งเราแล้วนะเนี่ย โทร. ให้ญาติมารับกลับดีกว่ามั้ง”

“ไม่เป็นไรค่ะ” อัยย์ศยารีบโบกมือ ไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ พอดีกับมีเสียงประกาศเรียกรับยา หญิงสาวจึงลุกขึ้น แต่ดลยุทธ์เห็นใจเลยอาสาไปรับยามาให้เธอ แล้วเอามายื่นให้

“แน่ใจนะว่ากลับไหว”

“ไหวสิคะ แค่นี้เอง ดีใจที่ได้เจอพี่บอยนะคะ แล้วก็ขอบคุณที่เป็นห่วง”

อัยย์ศยาฝืนยิ้มกว้างให้นายแพทย์หนุ่มที่เหลียวมองอย่างเป็นห่วง แต่เขาเองก็ติดภารกิจจึงได้แต่ปลงและเฝ้าโทษโชคชะตาที่ทำให้คนเราเป็นโสดได้ถึงอายุขนาดนี้ ไม่ใช่แต่อัยย์ศยาหรอก เขาเองก็เช่นกัน

 

เงาร่างที่หยุดอยู่เบื้องหน้าทำให้หญิงสาวที่เพิ่งจะนั่งลงได้ไม่กี่นาทีเงยหน้าขึ้นมอง พยายามหักห้ามความรู้สึกที่นับวันยิ่งเก็บกดได้ยากเย็น เมื่อคืนเธอหลับใหลไปได้เพราะฤทธิ์ยาคลายเครียดที่หมอจ่ายให้ มิเช่นนั้นวันนี้คงมีสภาพเหมือนผีมาทำงานเป็นแน่

“เดี๋ยวเอารายงานการประชุมเมื่อวันที่สิบแปดที่ผ่านมาเข้าไปให้ผมในห้องด้วยนะครับคุณไหม” สั่งจบเขาก็ไม่รอให้ใครตอบรับ หันหลังเดินกลับเข้าห้องทำงานไปทันที

อัยย์ศยาข่มสีหน้าให้เป็นปกติ ยิ้มให้สามสาวที่ต่างหยุดชะงักทุกสิ่งที่กำลังทำ เพราะเสียงสั่งเครียดๆ ของขุนพล เธอพยายามบอกทุกคนว่ามันก็แค่เรื่องปกติที่อารมณ์ของเจ้านายหนุ่มจะขึ้นๆ ลงๆ เช่นนี้

ส่วนคนที่เดินมาดนิ่งเข้าไปยืนพิงโต๊ะทำงานโดยไม่ได้นั่ง พอเห็นอัยย์ศยาเดินเข้ามาพร้อมแฟ้มรายงานการประชุมที่เขาอ้างไปมั่วๆ เพื่อหาจังหวะคุยกับอัยย์ศยาตามลำพัง จะไม่ให้เขาเดือดดาลได้อย่างไร เมื่อวานเธอถือโอกาสตอนที่เขาไม่อยู่ออฟฟิศลางานกลับไปเฉยๆ ทิ้งหน้าที่รับผิดชอบอย่างที่ไม่เคยเป็น และขุนพลจะไม่โมโหเลยถ้าไม่บังเอิญไปส่งเปรมพลอยที่ดีอาร์กรุ๊ปสำนักงานใหญ่แล้วเจอทิวเมธ ลูกชายคนเล็กของเจ้าสัวดิเรกซึ่งกำลังจะออกไปข้างนอก เดินยิ้มหน้าบานคุยโทรศัพท์ไปด้วยแทบจะชนไหล่เขาตอนที่สวนกันตรงหน้าลิฟต์

“เอามาวางตรงนี้” เขาพยักพเยิดไปทางโต๊ะทำงานที่ยืนพิงอยู่ เห็นอัยย์ศยาเหลือบมองแล้วเดินเบี่ยงเหมือนกลัวว่าจะต้องเฉียดเข้าใกล้เขาให้เป็นที่น่ารังเกียจ

ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนลมปราณกำลังจะแตกซ่านกับท่าทางนิ่งเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อนของเลขาฯ สาว เขากัดฟันและพยายามระงับอารมณ์ ซึ่งแน่นอนว่าไม่เคยทำได้ แค่รู้ว่าเธอเคยเป็นเมียน้อยคนอื่นมาก่อน เขาก็แทบจะบ้าแล้ว แล้วนี่เธอยังทำท่าจะตีจากเขาไปคบหาทิวเมธอีก

พออัยย์ศยาวางแฟ้มลงบนโต๊ะ เขาก็หันไปกระชากแขนเธอแล้วรั้งร่างบอบบางเข้าหาตัวทันที “เมื่อวานคุณไปไหนมา”

อัยย์ศยาตกใจ แต่เพียงแวบเดียวเธอก็วางเฉย สัมผัสที่ไม่ได้ถนอมเลยสักนิดจากมือใหญ่ที่บีบเรียวแขนของเธอทำให้หญิงสาวอยากหลั่งน้ำตา แต่ก็ไม่คิดจะทำต่อหน้าให้ขุนพลสมเพชเวทนา เธอจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไหมไม่ค่อยสบายค่ะ เลยลางานครึ่งวันกลับไปพักผ่อน”

“ไม่สบายเหรอ ตรงไหน” เขาไม่พูดเปล่าแต่กวาดตามองเธอไปทั้งเนื้อทั้งตัว ความคิดด้านร้ายผุดขึ้น คิดไปถึงขั้นที่ว่าอัยย์ศยาไปไหนกับทิวเมธมา และเธอยอมให้ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันทำอะไรกับเธอบ้าง แต่กับเขาแค่จับมือยังต่อต้าน

ยิ่งคิดขุนพลก็เผลอออกแรงบีบแขนหญิงสาวแน่นขึ้น “อย่ามาโกหกผม”

“ไหมไม่มีสิทธิ์ลาป่วยเหรอคะ” เธอย้อนถามอย่างน้อยใจ แต่น้ำเสียงกลับเย็นชาและถือดี

“มีสิ ถ้าคุณป่วยจริง คุณคิดจะโทร. บอกผมสักคำหรือเปล่าล่ะ”

“ไหมไม่อยากรบกวนคุณอิฐ”

“ผมเป็นเจ้านายคุณ!” แม้แต่เวลานี้เขาก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าอัยย์ศยาจะยอมลดราวาศอกให้เขา เธอไม่ได้เถียงไม่ได้โวยวายก็จริง แต่เขาเกลียดใบหน้าเย็นชาของเธอที่แสดงให้เห็นว่า คำพูดการกระทำของเขาไม่มีผลต่ออารมณ์ของอัยย์ศยาเลยสักนิด ชายหนุ่มกัดปากแน่นแล้วกระชากหญิงสาวจนเธอถลาเข้ามาปะทะตัว

“คุณอิฐ!” อัยย์ศยาทั้งตกใจทั้งโมโหจนเผลอตัวผลักเขาออก แต่มือใหญ่ก็ยังไม่ยอมคลายออก หญิงสาวทั้งเจ็บทั้งน้อยใจจึงพยายามจะบิดแขนออกจากเขา “ปล่อยค่ะ ถึงคุณจะเป็นเจ้านาย คุณก็ไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับไหม”

“ผมไม่มีสิทธิ์แล้วทำไมคนอื่นมีสิทธิ์ ต่อไปถ้าคุณจะลางานห้ามเขียนใบลาแล้วมาแปะไว้บนโต๊ะแบบเมื่อวาน คุณต้องได้รับอนุญาตจากปากผมเท่านั้น”

“ค่ะ” เธอตอบรับสั้นๆ และยื้อแขนออก แต่เขาไม่ปล่อย

“อย่าทำให้ผมหมดความอดทนกับคุณ”

“ค่ะ”

ขุนพลมองเจ้าของคำว่า ค่ะ ที่แสนเย็นชาไร้ความรู้สึก ใบหน้างามเชิดขึ้นน้อยๆ ปลายจมูกที่แดงก่ำทำให้เขาใจอ่อนลงแต่ทิฐิในใจยังมีมาก พอรู้สึกตัวว่าบีบแขนหญิงสาวแรงไปเขาจึงคลายออก เป็นผลให้อัยย์ศยารีบสะบัดตัวออกห่างทันที ชายหนุ่มมองท่าทีนั้นอย่างเจ็บปวด คิดว่าเธอรังเกียจเขา เพราะอยากถนอมตัวไว้ให้ผู้ชายคนอื่น ในขณะที่เขากำลังถูกทำสงครามประสาทจากผู้มีอิทธิพลที่มากด้วยบุญคุณท่วมหัว ยิ่งเห็นอัยย์ศยาใช้ฝ่ามืออีกข้างลูบรอยแดงตรงเรียวแขนเขาก็ยิ่งปั่นป่วนใจ พอร่างบอบบางก้าวพ้นประตูห้อง ขุนพลก็ทุบกำปั้นลงกับโต๊ะหวังระบายความเครียด แต่เสียงโวยวายที่ดังออกมาจากด้านนอกทำให้เขาตวัดดวงตาแดงก่ำมองอย่างสนใจ

“พี่ไหม พี่ไหมคะ!”

ขุนพลพรวดพราดเปิดประตูออกไปเห็นอารดา กมลพร และพิมพ์พราวกำลังช่วยกันพยุงร่างของอัยย์ศยาที่ทรุดอยู่บนพื้น

“ไหม!” ชายหนุ่มใจหายวาบ พุ่งตัวเข้ามาช้อนร่างที่อ่อนปวกเปียกไว้ในอ้อมแขน ลนลานจนทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าของเธอซีดจนขาว “ไหมครับ ไหม!”

อารดาควานหายาดมจากกระเป๋าถือของตัวเองแต่ไม่พบ ยิ่งเห็นอาการของหัวหน้าแล้วยิ่งตกใจ คว้ากระเป๋าของอัยย์ศยามาส่งให้พิมพ์พราวช่วยค้นอีกคน คนรับมาก็ลนลานเผลอทำกระเป๋าคว่ำ ข้าวของในกระเป๋าร่วงเกลื่อนพื้น กมลพรจึงเข้าไปช่วยจนเจอยาดมสมุนไพรก็รีบส่งให้ขุนพลนำไปจ่อปลายจมูกอัยย์ศยา

“ไหม ไหมครับไหม คุณเป็นอะไร” ผ่านไปไม่ถึงนาที แต่ยาวนานเหมือนชั่วโมงในความรู้สึกของขุนพล สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหวรั้งร่างบอบบางขึ้นสู่อ้อมแขน “ผมจะพาคุณไหมไปหาหมอ”

“คุณอิฐ ในกระเป๋าพี่ไหมมียาอยู่ค่ะ ต้องเอายาไปด้วยไหมคะ เผื่อว่า...”

ขุนพลพยักหน้าให้พิมพ์พราวที่รีบวิ่งตามหลังไปโดยคว้ากระเป๋าของอัยย์ศยาติดมือไปด้วย เขาพาร่างที่เริ่มได้สติ ไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง 

 

ชายหนุ่มนั่งรออยู่บนเก้าอี้ในขณะที่พิมพ์พราวเดินเข้ามาหาเจ้านายหนุ่มแล้วส่งกระเป๋าของอัยย์ศยาให้ ขุนพลเงยหน้าขึ้นมารับไปแล้วยิ้มขอบคุณอีกฝ่ายอย่างเคร่งขรึม

“คุณกลับไปก่อนเถอะ”

“เอ่อ หมอฉีดยาให้พี่ไหมแล้วให้นอนพักดูอาการสิบห้านาทีค่ะ พราวเอายาให้คุณหมอดูแล้ว เพราะเมื่อวานพี่ไหมไปอีกโรงพยาบาลหนึ่งมาค่ะ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้แทนการตอบคำถาม เขารอจนพิมพ์พราวหายไปจากสายตาจึงค่อยๆ หยิบซองยาสามซองที่ใส่อยู่ในซองกระดาษใบเล็ก มีทั้งยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ยาแก้ปวดชนิดรุนแรง และยาคลายเครียด

ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดลึกหลายครั้ง ตวัดสายตามองไปยังประตูห้องที่หญิงสาวหายเข้าไปเมื่อครู่ก่อนด้วยความรู้สึกผิด นับวันเขาก็ยิ่งหุนหันพลันแล่น ทานทนต่อความเฉยชาที่อัยย์ศยาทำกับเขาไม่ได้ ครั้งก่อนเขาก็ทำให้เธอหน้าผากช้ำ ครั้งนี้ก็ยังทำอีก ชายหนุ่มเฝ้าทบทวนความรู้สึกของตัวเองตลอดเวลาที่รอติดตามอาการอัยย์ศยา

 

ขุนพลหยุดรถที่หน้าบ้านอัยย์ศยา เหลือบมองคนที่หลับตามาตลอดทางเพราะฤทธิ์ยา ถือโอกาสนั้นทอดมองใบหน้าเนียนสวย ก่อนจะหยุดอยู่ที่ริมฝีปากบางที่มีอำนาจทำลายความยับยั้งชั่งใจของเขาจนแทบหมดสิ้น

ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงใกล้ใบหน้าสวยมากขึ้นอย่างเชื่องช้า กลัวว่าการเคลื่อนไหวที่เร็วขึ้นอีกนิดจะทำให้อัยย์ศยารู้สึกตัวตื่น ริมฝีปากแสนสวยนี้จะหวานล้ำเพียงใดหากเขาใจกล้าแตะมันสักครั้งให้สมใจ แต่เสียงรถคันหนึ่งที่แล่นเข้ามาจอดต่อท้ายรถของเขา ทำให้ขุนพลถอยออกจากภวังค์อันลึกล้ำ

อัยย์ศยาขยับตัวนั่งแล้วหันมามองเขา “ขอบคุณค่ะ ไหมขอลางานอีกวันนะคะ”

“ครับ” เขาตอบเสียงเรียบ พยายามระงับใจไม่ให้เผลอกระชากอัยย์ศยากลับมาแล้วพาเธอไปให้พ้นจากหน้าบ้านหลังนี้ แต่ไม่ทันเสียแล้วเมื่อทิวเมธยื่นหน้ามายิ้มทักทายเขา

“คุณอิฐ พอดีผมแวะไปหาที่บริษัทแล้วน้องๆ หน้าห้องคุณบอกว่าคุณไหมป่วย ผมเลยแวะมาเยี่ยมน่ะครับ” คนมาทีหลังบอกเจตนาแล้วเข้ามาช่วยพยุงอัยย์ศยาไว้อย่างเป็นห่วง

“ครับ” ขุนพลตอบได้เพียงเท่านั้น เขาเหลือบตามองหญิงสาวที่ท่าทางอิดโรยแล้วใจเต้นตึกตัก “คุณพักให้หายแล้วค่อยไปทำงานนะไหม”

จบประโยคที่เขาใช้พลังในการปั้นแต่งเสียงให้ปกติ ทิวเมธก็เป็นฝ่ายช่วยอัยย์ศยาปิดประตูรถ

ขุนพลรีบออกรถไปทันที แต่ไปได้ไม่ไกล เขาก็จอดรถแล้วมองภาพที่ลูกชายคนเล็กของเจ้าสัวดิเรกประคองเลขาฯ ของเขาหายเข้าไปในรั้วบ้านผ่านกระจกหลัง ความคิดอกุศลพุ่งเข้ามาซัดโครมจนความตั้งใจที่จะหยุดอารมณ์ร้อนแรงของตัวเองมลายไปสิ้น ลมร้อนพุ่งออกจากใบหูทั้งสองข้าง ร้อนผ่าวมาถึงใบหน้า สายตาคู่คมมองกวาดไปทั่วห้องโดยสารอย่างหงุดหงิดงุ่นง่านเต็มกำลัง ทว่าเมื่อสายตาสะดุดเข้ากับถุงกระดาษใบเล็กจากโรงพยาบาล ขุนพลก็ได้โอกาสถอยรถกลับไปยังบ้านของอัยย์ศยาด้วยอารมณ์ทั้งหึงทั้งหวงจนร่างแทบระเบิดเป็นจุณ

 

ทางด้านอัยย์ศยาก็ไม่ได้ปฏิเสธให้ทิวเมธประคองเธอเข้ามาในบ้าน เพราะเขาไม่มีทีท่าจะล่วงเกินฉวยโอกาสกับเธอ ออกจะสุภาพด้วยซ้ำ หญิงสาวถูกเขาประคองให้นั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก

ทิวเมธมองไปทั่วบ้านที่เงียบสงบแล้วอาสาเดินไปเปิดม่านที่หน้าต่างบานสูง ก่อนจะเปิดพัดลมติดผนังให้ “บ้านเงียบจังเลย ไม่มีใครอยู่เลยเหรอครับ”

“ค่ะ ปกติแม่จะอยู่ แต่สงสัยคงจะออกไปหาลูกค้า อีกเดี๋ยวคงกลับค่ะ” เสียงของอัยย์ศยาอ่อนแรงยิ่งนัก เธอขยับกายเล็กน้อยและนั่งนิ่ง ยังรู้สึกเวียนศีรษะอยู่นิดๆ “คุณเมธมาพบไหมมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”

“ผมแค่เป็นห่วง” เมื่อสบตากันชายหนุ่มก็ยิ้มน้อยๆ “ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ผมเป็นห่วงคุณตั้งแต่เจอกันที่พัทยา กลัวคุณจะเข้าใจผมผิดจนไม่อยากมองหน้า ว่าจะหาโอกาสชวนคุณกินข้าวตั้งหลายครั้ง แต่งานมันก็ยุ่งมาก วันนี้เลยไปหาที่บริษัทกะจะชวนไปทานข้าว แต่คุณก็ดันมาป่วย ผมจะมาขอโทษด้วยที่ปากพล่อยพูดอะไรเรื่อยเปื่อย ผมเป็นพวกตรงไปตรงมาน่ะครับ”

หญิงสาวยิ้มอ่อนอย่างไร้เรี่ยวแรง เธอเวียนหัวจนแทบจะตอบโต้ไม่ได้ แต่ก็ฝืนเพื่อรักษามารยาท “ไหมไม่ได้คิดอะไรค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่อุตส่าห์เป็นห่วง”

ทิวเมธเลิกคิ้วเหมือนพยายามจะตัดความรู้สึกผิดหวังออกให้ห่าง มองสภาพหญิงสาวแล้วถอนใจยืดยาว “ท่าทางคุณแย่มากนะครับ ผมไปหาน้ำให้คุณดื่มดีกว่า”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ ครัวอยู่ทางนั้นใช่ไหม คุณนอนพักเถอะ” ทิวเมธไม่รอให้อัยย์ศยาปฏิเสธเพื่อตอกย้ำสถานภาพอันห่างเหินที่เธอมีให้แก่เขา

บ้านของอัยย์ศยาไม่ได้หลังใหญ่นัก เป็นบ้านเดี่ยวขนาดสามห้องนอนที่เจ้าของต่อเติมเพิ่มอีกเล็กน้อย ทิวเมธจึงไม่ต้องเสียเวลามองหาครัว เขารินน้ำใส่แก้วแล้วเดินกลับมาหาหญิงสาวที่เอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอน มือข้างหนึ่งกุมขมับ หลับตานิ่ง

“คุณไหม”

อัยย์ศยาลืมตาขึ้นแล้วขยับนั่งตัวตรงรับแก้วน้ำจากทิวเมธมาจิบทีละน้อย แต่เกิดเวียนหัวจนต้องหลับตาลงอีกครั้ง มือที่ถือแก้วน้ำสั่นเทาจนต้องรีบโน้มกายไปวางแก้วจนเกือบจะตกจากโซฟา แต่คนที่จ้องมองอยู่แล้วรีบถลาเข้ามารวบตัวเธอไว้ อารามรีบร้อนทำให้พากันเสียหลักลงไปบนโซฟาด้วยกันทั้งคู่ โดยมีเขาคร่อมร่างอยู่เหนือกายบอบบางที่หอมกรุ่นจนใจสั่น

“คุณไหม” เขาเผลอตัวกวาดมองใบหน้าสวยด้วยความเสน่หา ใจเต้นรุนแรง

อัยย์ศยากำลังเวียนศีรษะอย่างหนักจึงทำได้แค่ใช้ฝ่ามือยันต้นแขนเขาไว้ แต่จู่ๆ คนที่กำลังดื่มด่ำกับสัมผัสแนบชิดโดยไม่ตั้งใจก็ต้องสะดุ้ง ผละออกห่างร่างนุ่มหอมตรงหน้า เมื่อเสียงเยียบเย็นจากใครบางคนดังขึ้น

“เลขาฯ ผมไม่สบายอยู่นะครับ คุณทิวเมธ”

คนที่ตกใจแทบสิ้นสติไม่ใช่ทิวเมธ แต่เป็นอัยย์ศยาที่ลุกขึ้นแล้วจ้องมองใบหน้าเรียบสนิทของเจ้านายหนุ่ม “คุณอิฐ” หญิงสาวเรียกเขาเสียงอ่อนระโหย รู้ในทันทีว่าเขาต้องเข้าใจผิด แต่ไม่มีแรงจะแก้ตัว ได้แต่มองร่างสูงในชุดสูททันสมัยกระชับเรือนกายแกร่งแสนสง่านั้นเดินเข้ามาหยุดมองเธอด้วยสายตาดูแคลนโดยไม่พูดอะไร

อัยย์ศยาเห็นเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ในดวงตาดำขลับของเขา ขุนพลเบนสายตาไปมองทิวเมธอย่างไม่เป็นมิตรเลยสักนิด ก่อนจะปล่อยถุงกระดาษติดตราโรงพยาบาลจากปลายนิ้วของเขาลงบนโต๊ะรับแขกตัวเล็กแล้วเดินออกไปโดยไม่ล่ำลาใคร

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้อัยย์ศยาอยากจะปล่อยโฮออกมาแต่ก็ทำไม่ได้ เธอกลืนน้ำตาทุกหยาดหยด เก็บกั้นความเจ็บปวด ทุรนทุรายจากความรักที่อยู่ใกล้แค่ปลายนิ้วแต่ไม่มีสิทธิ์เอื้อมแตะเอาไว้ในหัวใจเพียงลำพัง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มอ่อนให้ทิวเมธเหมือนเธอไม่ได้รู้สึกอะไรใดๆ ทั้งสิ้น

 

สายฝนที่โปรยปรายจนกระจกรถเป็นฝ้ามัวทำให้ขุนพลต้องเพ่งสายตามีสมาธิกับการขับรถท่ามกลางการจราจรอันหนาแน่นยามค่ำคืน เปรมพลอยขยับกายอย่างเมื่อยล้า เงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์ที่เธอใช้เวลากับมันมากว่าครึ่งชั่วโมงแล้วหันมายิ้มให้เจ้าของเสี้ยวหน้าหล่อในความสลัว

“คุณอิฐคิดยังไงคะที่คุณน้าแหววจะกลับมาเปิดร้านอาหารไทยที่บ้านเรา” เธอพูดถึงน้าสาวของขุนพลที่กำลังจะเลิกกับสามีชาวสวิตเซอร์แลนด์แล้วเดินทางกลับถึงเมืองไทยในเดือนหน้า กันติมารู้จักกับเปรมพลอยตั้งแต่สมัยที่เธอยังเด็กๆ พอมาสู่ยุคที่ผู้คนติดต่อสื่อสารกันผ่านเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม หรือไลน์ได้ง่ายแค่ปลายนิ้วก็กลับมาพูดคุยกันอีกครั้ง

“ไม่รู้สิครับ ผมไม่เชี่ยวชาญเรื่องอาหารการกิน” เขาตอบเหมือนไม่อยากเปลืองสมองคิดเรื่องนี้ แต่คำว่าอาหารการกินยิ่งทำให้เขาคิดถึงอัยย์ศยา เธอหยุดงานไปวันเดียวโดยที่เขาไม่ได้โทร. ไถ่ถามอาการเลย เพราะไม่อยากพูดกับคนที่ทำให้ความรู้สึกเขาตุปัดตุเป๋อยู่แบบนี้ ตอนที่เห็นทิวเมธโอบกอดหญิงสาวอยู่บนโซฟา เขาแทบอยากจะพุ่งเข้าไปทำร้ายผู้ชายคนนั้น

“คุณอิฐคะ”

“ครับ” เขาสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเปรมพลอยเรียกชื่อเขาซ้ำ เพราะมัวแต่ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปถึงอัยย์ศยาที่ไม่รู้เลยว่าป่านนี้อาการดีขึ้นแล้วหรือยัง จะกินข้าว กินยาหรือยัง ยิ่งคิดถึงตอนที่เขาไม่สบายแล้วมีเธอคอยดูแลอย่างเอาใจใส่ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหน่วงหนึบใจชอบกล เหมือนเขาเห็นแก่ตัวสิ้นดีที่ยังมีหน้าพาผู้หญิงคนอื่นไปไหนมาไหนได้อีก

“พลอยจะถามว่า คุณอิฐจะแวะทานข้าวกับพลอยก่อนไหมคะ”

“คงไม่ครับ วันนี้ผม...มีงานค้างอีกเยอะเลย ต้องกลับไปเคลียร์ต่อน่ะครับ” เขาตอบแล้วชำเลืองมองหญิงสาวที่ยิ้มรับ แต่สีหน้ามีร่องรอยผิดหวังให้เห็น

ขุนพลไม่เคยรู้สึกอะไรกับเธอเลย เขาจะทนฝืนตัวเองไปไหนมาไหนกับเปรมพลอยได้อีกนานแค่ไหนกัน ตอนนี้สื่อต่างๆ ทั้งแวดวงธุรกิจและแวดวงบันเทิงต่างลงข่าวซุบซิบ ทั้งข้อความทั้งรูปภาพของเขากับเปรมพลอย

ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกเมื่อรถเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าจนน่าหงุดหงิด เปรมพลอยเป็นลูกสาวมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองไทย เขาเองเมื่อหลายปีก่อนนี้ก็เป็นที่รู้จักในนามเซียนหุ้นหนุ่ม เป็นนักการตลาดและการเงินที่ใครๆ ก็อยากรู้เคล็ดลับจากเขา แม้ว่าทุกวันนี้ขุนพลจะลดบทบาทตัวเองลงและหันมาทุ่มเทกับธุรกิจส่วนตัวในนามบริษัทเวิลด์เฮาส์แล้วก็ตาม แต่เปรมพลอยกลับทำให้ตัวเองเป็นที่รู้จักด้วยการเหยียบย่างเข้าสู่วงการเซเลบริตี ทั้งรับแสดงละครพิเศษ เดินแบบการกุศล ขยันหากิจกรรมเพื่อสังคมแล้วถ่ายภาพออกสื่อเพื่อรับคำชื่นชม

อย่างเช่นวันนี้ เธอขอร้องให้เขาช่วยไปทำกิจกรรมบริจาคข้าวของให้แก่เด็กๆ ที่อยู่ในการดูแลของมูลนิธิแห่งหนึ่งทำให้เขาต้องเสียเวลาช่วงบ่ายจนถึงค่ำ ขุนพลตั้งใจว่าเขาจะหาทางถอยห่างจากเปรมพลอยและเจ้าสัวดิเรกให้นุ่มนวลที่สุด

“คุณอิฐคะ วันเสาร์นี้วันเกิดพลอยนะคะ”

“เหรอครับ”

เปรมพลอยเอียงคอมองขุนพล ชักสีหน้าเง้างอดเล็กน้อยแล้วโน้มตัวไปกอดแขนชายหนุ่ม แนบหน้าทำเสียงออเซาะออดอ้อน เธอไม่เคยหวงตัวกับเขาเลยสักนิด “ไปฉลองกันสองคนนะคะ”

“ครับ”

“คุณอิฐรับปากแล้วนะคะ พลอยตื่นเต้นจัง” เปรมพลอยยิ้มกว้างหลังได้ยินคำตอบรับของเขา เธอไม่สนหรอกว่าขุนพลจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ เธอเลือกจะหยุดที่เขา บุญคุณของพ่อท่วมหัวขุนพล เขาจะปฏิเสธเธอย่อมไม่ใช่เรื่องดี

หญิงสาวชำเลืองมองคนหน้านิ่งที่ทำหน้าที่ขับรถให้แล้วอมยิ้ม นึกถึงความสัมพันธ์งดงามที่จะค่อยๆ พัฒนาขึ้นอย่างไม่เชื่อว่าขุนพลจะอดทนไม่แตะต้องตัวเธอได้ตลอดไป ที่สำคัญเปรมพลอยไม่คิดว่าเธอจะต้องเสียเวลากับการรอคอยมากนัก เวลานี้เปรมพลอยนึกไปถึงงานแต่งงานระดับชาติที่ทั้งหรูหรา แสนหวานที่ทุกคนจะต้องอิจฉาเธอ แม้แต่บรรดาญาติพี่น้องคนอื่นๆ ที่เคยค่อนแคะว่าคนอย่างเธอ ไม่มีวันได้ดีเหนือพี่น้องคนอื่น

แค่คิด เปรมพลอยก็อยากจะเห็นแววตาอิจฉาริษยาของบรรดาญาติพี่น้องในวันที่เธอได้ควงแขนขุนพลในชุดบ่าวสาว เธออยากจะเห็นคนพวกนั้นขนหัวลุกที่สามีของเธอคือบุรุษหนุ่มผู้ที่ใครๆ ก็อยากคว้าตัวไปเป็นผู้บริหารระดับสูงกันทั้งนั้น

สายฝนที่ยังโปรยปรายไม่ขาดเม็ด ยิ่งทำให้เปรมพลอยไม่อาจหยุดยั้งความฝัน ความทะเยอทะยานที่ครอบงำจิตใจมนุษย์ผู้ไม่รู้จักพอ แม้ว่าหญิงสาวจะเกิดมาบนกองเงินกองทองมากมายเพียงใด แต่ก็ยังอยากไขว่คว้าทุกสิ่งที่คิดว่ายังขาดมาครอบครอง ไม่สนด้วยซ้ำว่าต้องแลกมาด้วยอะไร ขอแค่เธอพอใจเท่านั้น

 

แก้วน้ำหวานสีแดงเย็นฉ่ำจนมีไอน้ำเกาะพราวถูกยื่นมาตรงหน้าอัยย์ศยาที่กำลังง่วนกับงานเอกสารที่เธอทิ้งค้างไว้สองวันเต็ม พิมพ์พราวยิ้มกว้างอวดเหล็กจัดฟันสีชมพูใสที่เจ้าตัวเพิ่งไปเปลี่ยนมาเมื่อวานเย็น

“ขอบใจจ้ะพราว ทำไมวันนี้ขึ้นมาก่อนล่ะ” ปากถาม แต่มือและตายังคงทำงานแม้ท้องจะร้องดังโครกคราก แต่ก็ยังอดทนสะสางทุกอย่างไม่ให้คนอื่นต้องมานั่งรองานจากเธอ

“พราวไปทำฟันมาเมื่อวานค่ะ กินอะไรไม่ค่อยได้ เลยซื้อน้ำหวานมาให้พี่ไหม เห็นว่าเพิ่งหายป่วย ท่าทางพี่ไหมยังดูเพลียๆ อยู่เลยนะคะ”

“พี่หายแล้วละจ้ะ”

“แล้วพี่ไหมไม่กินข้าวเหรอคะ แล้วจะกินยากลางวันยังไง”

“เดี๋ยวพี่เสร็จตรงนี้ก่อนแล้วจะไป” เธอพูดแล้วนึกถึงคนในห้องที่ตั้งแต่เช้ายังไม่โผล่หน้ามาพูดกับเธอ เขาออกไปพบลูกค้าเมื่อช่วงสายโดยเรียกอารดาไปแทนเธอ และกลับมาตอนสิบเอ็ดโมงโดยไม่ทักทายเธอสักคำ “ขอบใจนะ สำหรับน้ำหวาน”

“ค่ะ มีอะไรให้พราวช่วยหรือเปล่าคะ”

อัยย์ศยาหยิบน้ำหวานของพิมพ์พราวมาดื่มไปหลายอึกแล้วรู้สึกสดชื่นขึ้น เธอให้พิมพ์พราวช่วยงานที่เหลือต่อเล็กน้อยพอที่เธอจะตรวจสอบได้ ทั้งสองคนก้มหน้าก้มตาทำงานพลางพูดคุยกันไปเบาๆ จนได้ยินเสียงคนเดินมาหยุดเบื้องหน้า พบรอยยิ้มสดใสร่าเริงของหญิงสาวในชุดกระโปรงตัวสวย ผมยาวที่ถูกปล่อยเรียบสลวยเงางามบ่งบอกว่าเป็นคนสุขภาพดีทำให้อัยย์ศยาใจกระตุก เธอรู้สึกหิวจนแสบกระเพาะ แต่กลับไม่มีความอยากอาหารเอาเสียเลย

“สวัสดีค่ะพี่ จำหนูได้ไหมคะ พี่อิฐอยู่ใช่ไหมคะ” นรันยาถามเสียงใสแล้วส่งยิ้มให้พิมพ์พราวอย่างคนอัธยาศัยดี ไม่มีอาการเกร็งเหมือนวันแรกที่พบหน้ากัน “หนูเข้าไปได้เลยใช่ไหมคะ”

อัยย์ศยายิ้มรับเหมือนอนุญาตว่าได้ ก็ในเมื่อนรันยาบอกว่านัดไว้แล้ว เธอคงไม่จำเป็นต้องขออนุญาตเขาซ้ำและตอนนี้มันก็เป็นเวลาเที่ยง

“อย่าบอกนะคะ ว่าคุณอิฐกินเด็กอีกแล้ว โอ๊ย...อยากให้ยายคุณพลอยมาเจอจัง” พิมพ์พราวชะเง้อคอยาวมองประตูปากก็พึมพำชวนอัยย์ศยาคุย “ตอนที่พี่ไหมหยุดนะคะ คุณพลอยมาลากคุณอิฐออกไปจากบริษัทตั้งแต่บ่าย”

อัยย์ศยานิ่งฟัง เธอรับรู้แล้ว เพราะกันย์ณิตานำภาพข่าวของเปรมพลอยกับขุนพลที่ไปเปิดเจอในโซเชียลมีเดียมาให้เธอดูถึงเตียงนอนอย่างตื่นเต้น หญิงสาวยิ้มอ่อนและเงยหน้าขึ้นอีกครั้งเมื่อกมลพรกับอารดากลับมาแล้ว พร้อมกับที่ขุนพลออกมาจากห้องทำงานโดยมีนรันยาเดินยิ้มแป้นตามออกมาด้วย

อัยย์ศยาไม่อาจทนมองภาพพวกนี้ได้อีกแล้ว จึงทำเพียงแค่ค้อมศีรษะน้อยๆ ให้เจ้านายหนุ่ม แล้วหันมาสนใจกับงานของเธอต่อ ขุนพลก็ไม่มีแก่ใจทักทายเธอเช่นกัน ทิ้งร่องรอยอันแสนปวดร้าวไว้ทั่วทุกอณูใจของหญิงสาว

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น