9

บทที่ 9


 

 9

 

รสเผ็ดเปรี้ยวของบะหมี่ในถ้วยกระดาษไม่ได้ทำให้อัยย์ศยารู้สึกเจริญอาหารสักเท่าไร หญิงสาวดื่มได้แต่น้ำหวานแดงของพิมพ์พราว ระหว่างที่กำลังนั่งละเลียดอาหารอยู่ในห้องเล็กๆ ข้างคอฟฟีเบรกเพื่อจะกินยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง เสียงเตือนข้อความของทิวเมธก็ดังขึ้น

อัยย์ศยาเปิดอ่านแล้วตอบกลับอย่างพยายามรักษาน้ำใจเพื่อคงไว้ซึ่งมิตรภาพดีๆ ที่ควรมีให้กัน โดยไม่รู้ว่าคนที่ควรจะออกไปข้างนอกพร้อมกับนรันยากลับมายืนพิงขอบประตูมองเธอกินบะหมี่คำหนึ่ง ตอบไลน์ทีหนึ่ง สุดท้ายเขาทนไม่ไหวจึงชะโงกมองว่าอัยย์ศยาคุยกับใคร

“คุณอิฐ! คุณ” ดวงตาของเธอมันฟ้องคำถามที่ไม่ได้ถามออกไปจนขุนพลแค่นหัวเราะด้วยมาดนิ่งๆ

“คิดว่าผมพาน้องเขาไปโรงแรมกลางวันแสกๆ เหรอ” เขาแดกดันเธอทั้งน้ำเสียงทั้งแววตา “ผมไม่ใช่คุณ ที่พอลับหลังผมไปไม่เท่าไร ก็แอบเอาเวลางานมาไลน์หาผู้ชาย”

“คุณอิฐ คุณไม่มีสิทธิ์มาดูถูกไหมแบบนี้นะคะ”

“ทำไมครับ ทีคุณยังคิดเลยว่าผมจะพาน้องเนยไปทำอะไรอย่างว่า”

“แล้วมันไม่จริงหรือไงคะ ไหมพยายามจะเตือนคุณอิฐเรื่องผู้หญิงตลอดเวลา แต่คุณอิฐก็ยังพอใจที่จะทำบาปต่อไปเรื่อยๆ คุณอาจไม่มีพี่สาว น้องสาว หลานสาว ให้คุณฉุกคิดเวลาที่คุณเอาเงินซื้อศักดิ์ศรีของผู้หญิงพวกนั้นเพื่อแลกกับความสุขชั่วครั้งชั่วคราว แค่หันหลังให้คุณก็ลืมแล้วว่าพวกเธอทำอะไรให้คุณมีความสุขบ้าง แต่ตราบาปสิคะ มันจะติดตัวผู้หญิงไปจนตาย”

“เหมือนคุณใช่ไหม” เขายักคิ้วอย่างยั่วยวนและหลุบตาลงมองโทรศัพท์มือถือที่วางบนโต๊ะตอนที่ได้ยินเสียงแจ้งเตือนดังขึ้น ทิวเมธส่งข้อความอ่อนหวานแสดงความห่วงใยอัยย์ศยา เห็นแล้วใจกระตุกวาบ ตวัดตามองจ้องหญิงสาวเขม็ง “ตราบาป คุณเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น อย่ามาสอนผม ตอนนี้ก็กำลังจะคว้าลูกชายมหาเศรษฐีเป็นเป้าหมายต่อไป ผมไม่เห็นมันจะแคร์เลยว่าคุณเคยผ่านอะไรมา”

อัยย์ศยาหายใจแทบไม่ทั่วท้องตอนที่ขุนพลเดินเข้ามาใกล้ ใช้ความสูงใหญ่ของร่างกายข่มเธอแล้วโน้มตัวลงมาเค้นเสียงที่พอให้ได้ยินกันแค่สองคน

“คุณคิดว่าบนโลกนี้ผู้ชายคนไหนดีกว่าผมบ้าง รอมีเพศสัมพันธ์กับเจ้าสาวในคืนแต่งงานเหรอ นิยายสมัยนี้ยังไม่มีเรื่องประโลมโลกแบบนี้เลย” เขาเห็นอัยย์ศยานิ่งฟัง กัดปากไว้ก็อยากจะประกบจูบเรียวปากนั้นให้ได้รู้รสหวานสักครั้ง แต่อารมณ์อื่นมันปะปนเต็มไปหมด สุดท้ายขุนพลก็แค่นยิ้มใส่แล้วเค้นเสียงจนชิดใบหน้าหญิงสาว

“คุณอย่าลืมนะ ผมยังไม่มีเมีย ผมจะนอนกับใครก็ได้ ถ้าผมต้องการ” ชายหนุ่มพูดจบก็ปล่อยแขนหญิงสาวในลักษณะกึ่งผลักแล้วเดินออกไป โดยไม่วายเหลือบมองข้อความจากทิวเมธที่ยังส่งมาอย่างต่อเนื่อง

หญิงสาวได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึก กลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอแล้วค่อยๆ ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ ใช้สองมือนวดคลึงใบหน้าเพื่อขับไล่อารมณ์ปวดร้าวที่แล่นมาจุกอก ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะทำใจปั้นหน้าให้เป็นปกติออกไปพบผู้คนได้ พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานอย่างยิ้มแย้มเหมือนไม่เป็นอะไรเลย แต่ทุกครั้งที่ขุนพลเดินผ่านหน้าเธอไปโดยไม่เหลือบแล ใครจะรู้บ้างว่า อัยย์ศยาปวดแปลบในอกเพียงใด

 

ในราตรีที่ชุ่มฉ่ำด้วยสายฝนพรำ ขุนพลกำลังละเลียดวิสกี้รสร้อนแรงในแก้วใบสวย ตรงหน้าเขาคือนายแพทย์ดลยุทธ์ หรือหมอบอยของเพื่อนๆ ทั้งคู่เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งสมัยเรียนมัธยม ไม่ว่าขุนพลจะร่ำรวยหรือยากจน ดลยุทธ์ก็ยังนับว่าเขาเป็นเพื่อนเสมอ แต่ด้วยหน้าที่การงานของทั้งคู่ทำให้ยากที่จะหาเวลาว่างให้ตรงกันอย่างเช่นตอนนี้

ดลยุทธ์สังเกตเห็นความเงียบขรึมที่ผิดปกติจากคนตรงหน้า “หน้าตาแกเหมือนคนอกหักเลยว่ะไอ้อิฐ ใครวะที่ทำให้แกเป็นแบบนี้อีก”

                ขุนพลกระตุกมุมปาก “เปล่าหรอก แค่นานๆ ได้มานั่งแบบนี้ก็เลยทอดอารมณ์ไปบ้าง”

                “เหงาละสิ รวยแล้วนี่หว่า อะไรก็มีพร้อมไปหมดแล้ว หาเมียสิวะเพื่อน” ดลยุทธ์หัวเราะหยอกในตอนท้ายแล้วจิบเครื่องดื่มอย่างสบายอกสบายใจ

                “ไม่มีว่ะ”

                “เฮ้ย! พูดเป็นเล่นไป ฉันเห็นควงแต่ละคน แจ่มๆ ทั้งนั้น อะไรนะ น้องนีน่า น้องปาลิน คนที่ได้ข่าวว่าไปอัปไซซ์มาซะสบึม ได้ลองยังวะ” ดลยุทธ์ทำท่าประกอบเรียกรอยยิ้มกึ่งขำกึ่งตำหนิจากขุนพล

                “แกจะให้ฉันแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนก็ได้ที่เคยนอนด้วย งั้นแกก็เลือกมาบ้างสิวะ แต่งพร้อมกัน มีลูกพร้อมกัน” ขุนพลย้อนเพื่อนซึ่งทำหน้าเหยเก ไม่รู้เพราะรสร้อนแรงของเหล้าหรือเพราะแขยงบางอย่าง

                “เออว่ะ ฉันก็เห็นแกควงเขาตั้งนานนี่หว่า สองคนนั้นน่ะ ก็คิดว่าคงพิเศษหน่อย”

                “นีน่าเป็นเพื่อนฉัน กำลังจะแต่งงานแล้วด้วย ส่วนปาลินก็แค่ต่างคนต่างพอใจกันน่ะ ฉันพอใจเธอ เธอก็...พอใจเงินของฉัน” เขาหัวเราะขื่นๆ โดยมีสายตาของคุณหมอหนุ่มจับสังเกต “บางทีนะเว้ย พรหมลิขิตนี่แม่งชอบเล่นตลกกับคน ฉันเลยไม่เจอคนที่เหมาะสมสักที” ขุนพลเปรยเสียงปร่า ยิ้มหยันให้แก้วเหล้าที่เขาขยับอยู่ในอุ้งมือ

                “แกอกหักจริงๆ ด้วย ใช่ไหมไอ้อิฐ บอกมานะว่าใคร ฉันเคยเห็นหน้าแกแบบนี้ตอนที่แกถูกน้องไหมเมินตอนม.ปลาย” จู่ๆ คุณหมอหนุ่มก็ชะงักคำพูด ชี้มือมาทางคนตรงข้ามที่สบตารออยู่ “เออ พูดถึงน้องไหม วันก่อนนู้น...” เขาลากเสียงยาว “ฉันเจอน้องไหมไปหาหมอคนเดียว ดูแลลูกน้องยังไงวะ ปล่อยให้ขึ้นรถไปโรงพยาบาลคนเดียว เกือบหน้ามืดกลางโรงพยาบาลเลยนะเว้ย”

ดลยุทธ์พยักหน้ายืนยันสิ่งที่เพิ่งพูดออกไป ก่อนจะชี้นิ้วมาที่เขาแล้วทำเสียงเหมือนจับโกหกบางอย่างได้ “เฮ้ย...หรือว่าแก...ไอ้อิฐ แกปล่อยให้ถ่านไฟเก่าจุดติดตั้งแต่เมื่อไร ที่นั่งซึมเพราะน้องเขาไม่เล่นด้วย หรือเพราะคิดอะไรไปเองคนเดียวอีกแล้ว” ดลยุทธ์ส่ายหน้าช้าๆ โดยไม่ละสายตาไปจากคนที่แค่นหัวเราะอยู่ตรงหน้าเขา

                “เปล่า” ขุนพลปฏิเสธแล้วหลบตา หันไปชงเหล้าแก้วใหม่โดยไม่รอบริกร

                “ฉัน-ไม่-เชื่อ” ดลยุทธ์เน้นทีละคำ ทำให้คนถูกกล่าวหาเหลือบตามองแล้วแค่นหัวเราะ

                “ถ้าวันนั้น บ้านฉันไม่จน แล้วฉันได้ติดต่อกับไหมตั้งแต่ตอนนั้น ได้เจอกันบ้าง ทุกวันนี้มันก็คงไม่เป็นแบบนี้ แกคิดว่าฉันจะรักผู้หญิงที่เคยผ่านเรื่องราวอะไรมามากมาย เอามาเป็นเมีย เอามาเป็นแม่ของลูกได้ใช่ไหม แม่ฉันล่ะ จะรู้สึกยังไงวะถ้าฉันได้คนที่ไม่ดีพร้อมอย่างที่แม่คิด”

                ดลยุทธ์อึ้ง เขารู้สึกถึงความบาดหมางทางอารมณ์ในทุกถ้อยคำที่ขุนพลพูดออกมาจากความรู้สึก เป็นครั้งแรกที่เขายอมเปิดปากพูดถึงอัยย์ศยา แสดงว่าครั้งนี้เรื่องราวมันคงเดินทางมาถึงจุดคับขันที่สุดแล้ว

                “ถ้ารักก็ไม่ต้องคิดป่าววะ อยู่ด้วยกันเข้าใจกัน มีความสุข มันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ”

                ขุนพลส่ายหน้า เสียงที่เปล่งออกมาฟังดูรวดร้าวใจ เหมือนจะโทษว่าเป็นความผิดของเวลา “ถ้าเขารักฉัน ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ต่อให้ต้องเฉือนเนื้อตัวเองมาขายเพื่อแลกกับตราบาปของไหมฉันก็จะยอม แต่ตอนนี้มันไม่มีประโยชน์แล้วไงไอ้บอย ฉันทำอะไรไม่ได้ ทุกอย่างมันสายไปหมดแล้ว” เขาสาดเหล้าที่เหลือค่อนแก้วลงคออย่างรวดร้าว ดวงตาแดงก่ำไม่ใช่เพราะเมา แต่เพราะอารมณ์เจ็บปวดที่เก็บซ่อนไว้กำลังผลักดันจากภายใน

                “สมัยนี้ ใครๆ เขาก็เป็นกัน ไม่มีใครคิดมากหรอก”

                “จริงเหรอวะ”

                ดลยุทธ์ถอนใจยาวเหยียดแล้วซดเหล้าเหมือนจะดับกลุ้ม ปล่อยให้การสนทนาเงียบลงไปชั่วครู่ แล้วจู่ๆ คุณหมอหนุ่มก็ส่ายหน้า “ฉันไม่เชื่อว่ะ” เสียงของดลยุทธ์ทำให้ขุนพลที่ใช้ปลายนิ้วเขี่ยขอบแก้วเล่นเหลือกตามามองเขา “จริงๆ นะเว้ยไอ้อิฐ ฉันไม่เชื่อว่าน้องไหมจะคิดสั้นทำอะไรแบบที่แกพูดเลยจริงๆ แกพิสูจน์หรือยัง” คำหลังๆ เขาทำเสียงกระซิบมีเลศนัย

                “พิสูจน์อะไร”

                “อ้าว แกได้สืบหาความจริงหรือเปล่าว่าน้องเขาทำจริง แต่ของแบบนี้ ไม่ต้องไปสืบไกลก็ได้” ดลยุทธ์ยักคิ้วเป็นความหมายที่เข้าใจกันตามประสาผู้ชาย

                “ฉันทำไม่ได้” ทั้งที่อยากทำใจแทบระเบิดแต่ไม่กล้า

                “แกกลัว แสดงว่าทุกวันนี้แกยังหลอกตัวเองอยู่ครึ่งหนึ่ง แกกลัวว่าถ้ามีอะไรกับน้องไหมแล้วพบว่าน้องเขาผ่านเรื่องอย่างว่ามาจริงๆ แกจะอกหักมากกว่านี้ จะเจ็บปวดมากกว่านี้ ความรักของแกนี่แม่งช่างเต็มไปด้วยความคาดหวัง เห็นแก่ตัวจริงๆ ว่ะ” ดลยุทธ์หัวเราะใส่หน้าคนที่จ้องเขาเขม็ง เหมือนสมเพชเพื่อนเสียเต็มประดา

                “ฉันจะเล่าอะไรให้ฟังนะเว้ย ในฐานะที่ฉันเป็นหมอสูติฯ จบมาหมาดๆ” ดลยุทธ์ยกตัวอย่างหวังให้เคสการรักษาของเขาทำให้ขุนพลเห็นทางสว่างในเส้นทางรักที่ดูซับซ้อนทางความคิดเหลือเกิน

“ฉันเคยเจอเคสผู้หญิงคนหนึ่ง อายุสามสิบเจ็ดแล้วนะ ฐานะค่อนข้างยากจน มาหาหมอเพื่อฝากครรภ์ ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอกก็แค่เคสปกติทั่วไป แต่ปรากฏว่าเธอโชคร้ายเกิดความผิดปกติทำให้ต้องเอาเด็กออก ทางโรงพยาบาลก็เลยขอให้พ่อเด็กมาตรวจเลือด แกเชื่อไหมว่าพ่อเด็กอายุแค่ยี่สิบห้า ทำงานเป็นข้าราชการในอำเภอ เขากอดกันร้องไห้พอรู้ว่าจะต้องเอาลูกออก แล้วเล่าให้ฟังว่ากว่าจะรักกัน ได้อยู่ด้วยกันต้องผ่านอะไรมาขนาดไหน ผู้ชายถึงขนาดยอมลาออกจากงานมาอยู่ชนบทเพื่อจะได้อยู่กับคนรัก ทั้งที่ฐานะทางบ้านก็ดี แต่พ่อแม่รับไม่ได้ที่ลูกชายได้เมียแบบนั้น...แกเห็นไหมไอ้อิฐ ความรักแม่งไม่ต้องไปคิดมาก รักก็คือรัก ถ้าแกรักน้องไหมแต่กลับไม่เคยทำอะไรเพื่อเธอเลย ความรักของแกก็โคตรน่าทุเรศ แกอย่าไปมีเมียเลยว่ะ ปล่อยให้น้องเขาเจอคนดีๆ เถอะ”

                “อือ ตอนนี้ลูกชายคนเล็กของเจ้าสัวดิเรกกำลังตามจีบไหมอยู่” ขุนพลพูดเสียงขื่นกึ่งยอมรับว่าเขาเห็นแก่ตัวจริงๆ นั่นละ ขณะที่เพื่อนก็ยังซ้ำเติมเขาไม่หยุด

                “ก็สมควรแล้ว คนเราใช่ว่าจะประคองตัวให้รอดมาจนเติบใหญ่ได้ดีกันทุกคนนะเว้ย บางคนกว่าจะได้ดีเขาอาจผ่านอะไรมามากมาย ผู้หญิงบางคนเป็นคนธรรมดานี่แหละ แต่ใช่ว่าพวกเธอจะต้องถนอมตัวเอาไว้รอรักแท้ รักสุดท้ายเสียเมื่อไร คนเราก็ตัดสินใจพลาดกันได้ แกเอาอดีตมาตัดสินคนได้ยังไงวะ”

                “ก็เพราะฉันคิดแบบนี้ไง ฉันถึงอยากขอเวลาให้นานกว่านี้ ให้มั่นใจว่าไหมไม่ใช่คนไม่ดี แต่เธอไม่ให้เวลาฉัน พอมีคนรวยมาชอบไหมก็เปลี่ยนไป ทำท่าจะตีจากฉัน แกก็พูดได้สิไอ้บอย แกไม่ได้เห็นไอ้ทิวเมธมันกอดไหมอยู่บนโซฟาเหมือนที่ฉันเห็นนี่”

                ดลยุทธ์อ้าปากค้าง มองขุนพลกระดกเหล้าเข้าปากอย่างคนที่กลัดกลุ้มหนักแล้วเริ่มเข้าใจเหตุการณ์มากขึ้น “งั้นแกก็...พิสูจน์ซะก่อนสิวะ”

                “ให้ฉันปล้ำไหมเหรอ” ขุนพลพูดติดตลกทั้งที่ใจกำลังเจิ่งนองด้วยความรวดร้าว

                “ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว แกจะอ่อนขนาดนั้นเชียวเหรอวะ” ดลยุทธ์หัวเราะล้อเลียน หวังให้สถานการณ์ดีขึ้น เขาไม่อยากให้ขุนพลจมอยู่ในห้วงความคิดที่ไม่ดีแบบนี้

                ขุนพลหัวเราะเยาะตัวเองแล้วเสมองไปรอบๆ ก่อนจะสะดุดตากับชายหนุ่มในชุดเรียบหรู เสริมบุคลิกให้ดูหล่อเหลากว่าอายุจริงหลายปีนัก ปรนัยควงคู่มากับหญิงสาวร่างสมส่วน ขุนพลใจเต้นรัวเมื่อนึกถึงถ้อยคำของอัยย์ศยาที่เคยพูดถึงปรนัย

                เธอบอกว่าปรนัยแก่คราวพ่อ...

                “เป็นไรวะ”

                “ฉันจะโทร. หาไหม” ขุนพลเหลือบมองปรนัยที่เลือกนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมเยื้องกับโต๊ะของเขาไปเล็กน้อย สามารถมองเห็นจากตรงนี้ได้อย่างชัดเจน

                ปรนัยพะเน้าพะนอหญิงสาวอายุน้อยกว่าอัยย์ศยาหลายปีอย่างเอาอกเอาใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความปรารถนาที่ผู้ชายด้วยกันมองออก วันนี้ขุนพลจะพิสูจน์ความจริงว่าอัยย์ศยาจะทำอย่างไรเมื่อพบปรนัย

                 

                เสียงโทรศัพท์เพิ่งเงียบลงตอนที่อัยย์ศยาเดินกลับขึ้นห้องนอนมาตอนสี่ทุ่ม เธอลงไปช่วยแม่กับน้องสาวแพ็กของเพื่อเตรียมจัดส่งให้ลูกค้าทางไปรษณีย์ในวันพรุ่งนี้ พอเห็นว่าเป็นเบอร์ของขุนพลเธอก็รีบโทร. กลับทันที แม้น้ำเสียงของเขาจะฟังดูเป็นงานเป็นการ แต่อัยย์ศยากลับซาบซ่านหัวใจจนน้ำตาซึม ถึงจะได้พบเขาทุกวัน แต่ขุนพลไม่เคยพูดกับเธอเลย เมื่อฟังสิ่งที่เขาต้องการแล้ว อัยย์ศยาก็รีบแต่งตัวออกจากบ้านไปพบเขาที่ร้านอาหารกึ่งผับโดยไม่เสียเวลาคิดอะไรทั้งนั้น

                ขณะที่หญิงสาวเดินออกมาถึงประตูรั้ว อุดมเพิ่งขับรถเข้ามาจอดพอดีจึงเรียกเธอไว้

                “ไหม จะไปไหนลูก ดึกดื่นแล้ว”

                “คุณอิฐโทร. ตามไหมน่ะค่ะพ่อ เดี๋ยวไหมจะวานให้พี่ยามหน้าหมู่บ้านเรียกรถให้ค่ะ” เธอตอบพ่อซึ่งก้าวลงมาจากรถคล้ายจะบอกว่าท่านไม่ปลื้มการกระทำของเจ้านายเธอ หญิงสาวจึงรีบเอ่ยปาก “ไม่ต้องห่วงไหมหรอกค่ะพ่อ คุณอิฐอยู่ร้านอาหารไม่ไกลจากแถวนี้เท่าไร เดี๋ยวขากลับไหมจะให้เขามาส่งค่ะ” ข้อหลังแม้ไม่มั่นใจ แต่ขุนพลบอกว่าเขากำลังดื่มเหล้ากับเพื่อน อยากให้เธอออกไปพบให้เร็วที่สุด เขาอาจมีเรื่องให้ช่วยเหลือแล้วนึกถึงเธอก็ได้

                “อะไรกัน ดึกดื่นป่านนี้เขายังเรียกลูกออกไปทำงานอีกหรือ พ่อว่าเจ้านายลูกนี่ชักจะเกินไปแล้วนะไหม โทร. กลับไปบอกเขาว่าพ่อไม่อนุญาตให้ลูกออกจากบ้านตอนนี้” อุดมสั่งเสียงเข้ม เคืองขุ่นในตัวเจ้านายหนุ่มของลูกสาวนัก อัยย์ศยาทำงานให้ขุนพลมาสามปี ถึงรายได้จะค่อนข้างดี แต่ฝ่ายนั้นก็ใช้งานจนคุ้มค่า คนเป็นพ่อเห็นแล้วก็อดห่วงใยไม่ได้

                “อย่าเครียดเลยค่ะพ่อ ไหมเชื่อใจคุณอิฐค่ะ แล้วไหมก็ยังอยากทำงานกับเขาอยู่นะคะพ่อ ขืนบอกแบบนั้นเขาไม่พอใจ ไล่ไหมออก ไหมจะเป็นภาระให้พ่อเปล่าๆ นะคะ” หญิงสาวเข้าไปกอดแขนบิดาแล้วยิ้มประจบ

                อุดมจึงตบเบาๆ ที่กลางกระหม่อมหญิงสาว “พ่อจะไปส่งหนูขึ้นแท็กซี่หน้าหมู่บ้าน”

                อุดมหันไปสตาร์ตรถมอเตอร์ไซค์ที่จุฑามาศซื้อไว้ใช้จ่ายตลาดใกล้ๆ ขี่พาลูกสาวไปเรียกแท็กซี่หน้าหมู่บ้านจัดสรรแล้วมองตามอย่างห่วงใย คนเป็นพ่อถอนใจเฮือกใหญ่ เขายังมีความหวังทุกลมหายใจว่าจะสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง อย่างน้อยก่อนที่เขาจะตายไปก็ต้องสร้างอะไรทิ้งไว้ให้ลูกสาวทั้งสองคนบ้าง ถึงกันย์ณิตาจะเป็นแค่หลานภรรยา แต่เขาก็รักเหมือนลูกสาว

                ยิ่งเห็นอัยย์ศยาต้องทนทำงานงกๆ ตามคำสั่งขุนพล เขาก็ยิ่งไม่ชอบหน้าชายหนุ่ม และยิ่งอยากจะกอบกู้ฐานะให้กลับมาร่ำรวยเพื่อลูกสาวที่เขารักยิ่งให้ได้อีกครั้ง ทว่าตอนนี้อุดมนึกอะไรไม่ออกนอกจากชายหนุ่มอีกคนที่ให้ความช่วยเหลือเขาเรื่องงานมาตลอดอย่างอิศรา

               

                เมื่อมาถึงร้านที่เจ้านายนัดพบ หญิงสาวเหลียวหาเขาอยู่ครู่หนึ่งจึงเห็นขุนพล ร่างบอบบางเดินผ่านผู้คนไปยังโต๊ะที่เจ้านายหนุ่มนั่งมองเธออยู่ก่อนแล้ว

                “พี่บอย สวัสดีค่ะ” หญิงสาวไม่คิดว่าขุนพลจะดื่มเหล้าอยู่กับดลยุทธ์ หนำซ้ำเขายังช้อนตาขึ้นมองเธอแล้วพยักพเยิดไปอีกทาง หญิงสาวจึงเหลียวมองตามแต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ มีเพียงชายหนุ่มวัยสามสิบปลายๆ กับหญิงสาววัยละอ่อนสวยหมดจดกำลังนั่งคลอเคลียกัน เธอเห็นแล้วหน้าม้านจึงรีบหันกลับมา

                “นั่งก่อนไหม ดื่มอะไรดี แต่บรรยากาศแบบนี้ต้องวิสกี้แรงๆ สักแก้ว” ดลยุทธ์เย้าหญิงสาวแล้วเหล่ตามองเพื่อน “ข้างนอกฝนหยุดยัง”

                “หยุดแล้วค่ะ แต่ฟ้ายังแลบอยู่เลย ที่บ้านไหมไม่ตกนะคะ มาตกอยู่แถวนี้” หญิงสาวพูดกับดลยุทธ์ก่อนจะรับเมนูมาเปิดผ่านๆ

                “ดีแล้วที่ไหมออกมาได้ ไอ้อิฐดื่มไปเยอะ พี่กลัวมันจะเมากลับไม่ไหว พี่เอารถมาคนละคัน” ดลยุทธ์แก้ต่างให้เพื่อนสนิทอย่างรู้ใจ ทั้งที่จริงแค่วิสกี้ไม่กี่แก้วไม่ได้มีผลอะไรกับพวกเขาเลย

                “ถ้าคุณอิฐเมาจนกลับไม่ไหว พี่บอยจะกลับไหวเหรอคะ” หญิงสาวค่อนแคะเขาแล้วหัวเราะกับนายแพทย์หนุ่มที่รู้จักกันดีตั้งแต่สมัยเด็กๆ แม้ช่วงเวลาที่เติบโตมาจะห่างหายหน้ากันไป แต่เมื่อกลับมาพบกันอีกก็ยังคงพูดคุยได้สนิทใจ ไม่เหมือนคนบางคนที่กำลังทำเสียงหึในลำคอ เธอเห็นเขายกแก้วเหล้าขึ้นกระดกใส่ปากรวดเดียวหมดแก้วแล้วหันหาพนักงานเพื่อเติมแก้วต่อไป

                “พี่โอเคอยู่แล้วครับ พี่ไม่มีเลขาฯ แสนสวยแล้วก็แสนดีแบบมัน ก็ต้องดูแลตัวเอง”

                ขุนพลหัวเราะในลำคอขณะรับแก้วเหล้ามาโคลงเล่นไม่มีทีท่าจะดื่ม เขาเหลือบมองพวงแก้มอิ่มที่เจ้าตัวคงจะรีบเลยไม่ได้แต่งหน้าออกมา ดูจากเสื้อผ้าที่อัยย์ศยาเลือกสวมเป็นเดรสสีขาวดำแบบพอดีตัว สวมรองเท้าแตะส้นแบน เส้นผมของเธอยังมีกลิ่นแชมพูหอมฟุ้งเหมือนเพิ่งสระถูกรวบไว้ด้วยริบบิ้นสีฟ้าเข้มผูกเป็นโบดูเรียบง่าย

                จากจุดที่เขานั่งอยู่ อัยย์ศยาสามารถมองเห็นปรนัยได้ถนัดตา แต่หญิงสาวกลับทำท่าเหมือนไม่รู้จักผู้ชายคนนั้น ขุนพลสังเกตอยู่หลายครั้ง ปรนัยอาจกำลังมัวเมากับหญิงสาวตรงหน้าและสุราชั้นเลิศจึงไม่ทันได้มองใคร

                ถ้าเธอแกล้งทำก็นับว่าเธอน่ากลัวมากที่ทำได้แนบเนียน

                “ไอ้บอย แกอย่าเที่ยวแซ็วคุณไหมอย่างคนปากพล่อยนะเว้ย เลขาฯ ของฉันกำลังจะเป็นว่าที่สะใภ้เจ้าสัวดิเรกเชียวนะ” ขุนพลประชดอัยย์ศยา เขาเหลือบตามองเธอเล็กน้อยแล้วจิบเหล้าเข้าไปทีละนิด

                “เฮ้ย! จริงดิไหม อย่างว่าคนสวย คนเก่งอย่างไหม สักวันก็ต้องมีคนตาถึงมาคว้าไป ส่วนไอ้พวกตาบอด ใจปลาซิวก็ได้แต่เห่า” คุณหมอหนุ่มหัวเราะขบขันกับหญิงสาวที่ยิ้มด้วยท่าทีนิ่งเฉย ไม่ได้สะทกสะท้านกับการประชดประชันของขุนพล

                “ใครจะไปรู้วะ ไอ้หมอ คนที่แกมองว่าตาบอดใจปลาซิว อาจจะตาสว่างกว่าไอ้คนตาถึงที่แกว่าก็ได้”

                “คืนนี้ แกท่าจะเมาก่อนฉันนะไอ้อิฐ” นายแพทย์หนุ่มหัวเราะ ชูแก้วเหล้าขึ้นตรงหน้าแล้วหันไปสบตายิ้มให้อัยย์ศยา “ถ้าไม่เกรงใจแก ฉันจีบน้องไหมไปแล้วนะเว้ย”

                “อย่างแกต่อให้ขายขนมจีบวันละเข่ง คุณไหมก็ไม่แยแสหรอกเว้ยไอ้หมอ อย่างคุณไหมเขาต้องระดับนักธุรกิจ พันล้านขึ้นไป” ขุนพลยังมีความสุขกับการกระแนะกระแหนเลขาฯ สาวของตัวเอง พลางจับกิริยาเฉยเมยของอัยย์ศยากับปรนัย แล้วพบว่าทั้งสองคนทำราวกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน “แต่คุณต้องระวังนะไหม ก่อนจะตกลงปลงใจ คุณต้องมองให้ดีๆ ผมเป็นห่วงกลัวคุณจะไปถูกพวกมีลูกมีเมียแล้วหลอกเอาได้”

                อัยย์ศยาหน้าร้อนผ่าว มองตาเขานิ่งแต่เขากลับยิ้มใส่ หญิงสาวโมโหแต่เก็บอาการไว้สุดกำลัง ความรู้สึกดีใจที่ขุนพลยอมพูดกับเธอหายไปอย่างช้าๆ เหลือแต่ความน้อยใจที่ท่วมอก

                “ไหมขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะคะ” หญิงสาวขอตัวไปสงบอารมณ์ ก่อนที่เธอจะเผลอหลุดปากต่อว่าเจ้านายต่อหน้าเพื่อนสนิทของเขา ถึงขุนพลจะปากไม่ดีกับเธอ แต่สิ่งที่อัยย์ศยาพึงระลึกอยู่เสมอนั่นคือเธอต้องให้เกียรติเขา

                ขุนพลแค่นหัวเราะตามหลังอัยย์ศยา เห็นเธอเดินผ่านปรนัยไปเหมือนฝ่ายนั้นเป็นอากาศธาตุ ปรนัยเองก็ไม่มีทีท่าจะเหลียวมองอดีตเมียน้อยเลยสักนิด สำหรับเขาแล้วถือว่าผิดปกติอย่างมาก ทว่าคล้อยหลังอัยย์ศยาไปอึดใจเดียว ผู้หญิงที่มากับปรนัยก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปในทิศทางเดียวกับอัยย์ศยา

                “แกเรียกน้องไหมมาทำไมวะไอ้อิฐ ดึกดื่นป่านนี้ แกจ่ายโอทีให้น้องเขาด้วยเหรอวะ” ดลยุทธ์แดกดันเพื่อนอย่างรู้ทัน

                “ตอนนี้ไหมยังเป็นคนของฉันอยู่ ฉันก็ต้องใช้ให้เต็มที่” เขากระแทกเสียงตามด้วยการกรอกเครื่องดื่มสีอำพันลงคอ

                “แกนี่นะ ระวังนะเว้ย แสดงออกผิดๆ หมาคาบไปแดกแล้วจะรู้สึก”

                คนถูกขู่แค่นยิ้ม เขาเห็นอัยย์ศยาเดินกลับมาใกล้จะถึงโต๊ะปรนัย ใจเต้นระรัวขณะที่กำลังลุ้นว่าฝ่ายชายจะเงยหน้ามาเจออัยย์ศยาหรือไม่ แต่ทันใดนั้นพนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งถือถังน้ำแข็งกับถาดเครื่องดื่มสองแก้วหมุนตัวหาโต๊ะลูกค้ากะทันหันจนชนเลขาฯ ของเขาเต็มรัก

อัยย์ศยาเสียหลักหงายหลังลงไปอยู่บนตักปรนัย ขุนพลใจร้อนเป็นไฟเมื่อเห็นปรนัยพยุงอัยย์ศยาให้ลุกขึ้นขณะที่เด็กเสิร์ฟทรุดนั่งลงบนพื้นเพื่อเก็บข้าวของสลับกับเอ่ยปากขอโทษขอโพยหญิงสาว ขณะที่อัยย์ศยากำลังจะลุกยืน เด็กเสิร์ฟก็ยกมือห้ามปราม เพราะเห็นว่าหญิงสาวสวมรองเท้าแตะจึงกลัวว่าจะได้รับอันตรายจากเศษแก้วที่แตกอยู่บนพื้น

ทว่าเพียงแค่ช่วงเวลาที่ขุนพลแหงนหน้ากรอกเครื่องดื่มลงคอที่แห้งเป็นผง ปานธีราที่จ้างนักสืบส่วนตัวให้คอยติดตามพฤติกรรมที่เริ่มเปลี่ยนไปของสามีก็ก้าวอาดๆ เข้ามา

                เพียงแค่เห็นแผ่นหลังของสามีหนุ่มที่อ่อนกว่าเป็นสิบปี ปานธีราก็จดจำได้ เธอเห็นศีรษะของผู้หญิงที่เคียงไหล่เขาก็จ้ำอ้าวเข้ามาจิกกระชากกลุ่มผมนุ่มหนาเป็นเงาของอัยย์ศยาจนหน้าแหงน

                “โอ๊ย!” อัยย์ศยาตกใจสุดขีด อุทานออกมาด้วยความเจ็บ พอเห็นเป็นปานธีราที่มีแพรนันท์ตามหลังมาติดๆ ก็ใจหล่นวูบ มือบางพยายามจะรั้งมือของสาวใหญ่ที่จิกกระชากผมเธอ “คุณ! ปล่อยฉัน” อัยย์ศยาปั้นเสียงแข็งทั้งที่เธอเจ็บจนน้ำตาเล็ด

                “ปล่อยเหรอ อีหน้าด้าน อีแพศยา พวกแกสองคนรวมหัวกันหลอกฉันมานานแค่ไหน แกสาบานว่าจะเลิกกับคุณต่อแล้ว อีสารเลว!” พูดจบปานธีราก็ถลึงตาใส่สามีหนุ่มอย่างเจ็บแค้นและชอกช้ำ ก่อนจะกระชากศีรษะอัยย์ศยาด้วยแรงหึงผสมความเกลียดชัง หมายจะเอาให้ตายคามือ ให้สาสมกับความแค้นที่สุมอก คนโมโหหึงจนเลือดเข้าตาทำได้ทุกอย่าง

                อัยย์ศยาถูกเหวี่ยงไปชนโต๊ะตรงข้าม เสียงแก้วจานตกแตกดังเปรื่อง พนักงานเสิร์ฟสองสามคนพยายามจะเข้ามาห้ามปราม แต่ปานธีราจิกผมอัยย์ศยาไว้เต็มกำมือ ดวงตาเหมือนคนใกล้วิกลจริตเต็มที แพรนันท์หันไปมองพ่อเลี้ยงตาเขม็ง

ขุนพลกระแทกแก้วเหล้าลงบนโต๊ะอย่างตกตะลึง ผู้คนรุมล้อมเข้ามาเต็มทางเดินแคบๆ นั่น มันเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็วเกินกว่าใครจะเข้าไปหยุดยั้ง ร่างสูงพยายามแหวกผู้คนเข้าไปห้าม ภาพที่เห็นกับเสียงหวีดร้องของอัยย์ศยาทำให้เขาต้องเสียเวลาควานหาลมหายใจที่ขาดเป็นห้วง

เขาทำอะไรลงไป!

                ปรนัยยังงุนงง แต่หางตาเห็นอรชิสา หญิงสาวที่เขากำลังติดพันและเลี้ยงดูไว้ลับๆ ยืนเบิกตา เอามือปิดปากมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนก ชายหนุ่มพยักพเยิดขณะสบตากับหญิงสาวเป็นอันรู้กันว่าให้รีบออกไปจากที่นี่ก่อนที่ความจะแตกว่าปานธีราตบผิดตัว

                อรชิสาไม่รอช้า เธอกระชับกระเป๋าแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งเบียดแทรกผู้คนที่เริ่มมุงดูออกไปจากร้าน ภรรยาของปรนัยน่ากลัวกว่าที่คิด อรชิสาไม่คิดจะหาเรื่องใส่ตัว สาบานว่าเธอจะไม่ยอมเจ็บตัวหรือถูกฆ่าตายเพราะปรนัยเด็ดขาด

                “ปล่อยฉัน!” อัยย์ศยาเสียงเครือใกล้จะร้องไห้โฮเต็มทน เธอนึกถึงบิดาที่ไม่มีทางมาช่วยเธอได้ทัน ที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของเธอตอนนี้คือขุนพล แต่เมื่อตอนงานเลี้ยงวันเกิดเจ้าสัวดิเรก เขาก็ไม่ได้ทำแม้แต่จะยื่นมือมาเป็นหลักให้เธอจับเพื่อประคองตัวขึ้นยืน หญิงสาวจึงไม่คิดรอให้คนใจหินแบบนั้นมาช่วยเหลือ นึกเสียใจที่ยอมเป็นเบี้ยล่างเขาทุกสิ่ง

                ปานธีราเหมือนหมาบ้า กระหน่ำตบอัยย์ศยาไม่ยั้งมือ “แกมันสารเลว คราวนี้ต่อให้แกกราบเท้าฉัน ฉันก็ไม่ละเว้นแน่ๆ อีไหม!” ปานธีราด่าถ้อยคำหยาบคายใส่หน้าหญิงสาวรุ่นลูกที่ยิ่งมองก็ยิ่งสวยหวาน ผิวเนื้อเนียนละเอียดแม้ไม่ได้แต่งเติม ความเกลียด ความริษยาก็ยิ่งทวีคูณ 

“พอแล้วคุณ ผมขอ” เมื่อเห็นว่าอัยย์ศยาโดนหนักไป ปรนัยก็เข้ามารั้งร่างภรรยา

ปานธีราสะบัดตัวสุดแรง แถมยังออกแรงกระชากผมในกำมือแรงขึ้น สาวใหญ่มองหน้าสามีเหมือนจะพุ่งไปบีบคอให้ตาย แต่พอปรนัยทำตาปรอยขอความเห็นใจ ปานธีราก็คิดอย่างเห็นแก่ตัวว่าปรนัยเป็นผู้ชาย มีครบทั้งหน้าตาและเงินทอง เป็นธรรมดาที่ผู้หญิงพวกนี้จะเข้ามาเกาะไม่ปล่อย หากจะมีคนผิด อัยย์ศยาก็ผิดมากกว่า

“แกมองไว้นังไหม”

“โอ๊ย!” อัยย์ศยาร้องลั่นเมื่อถูกกระชากผมสุดแรงจนหน้าหงาย ตอนนี้อัยย์ศยารู้แล้วว่าเธอเข้าใจผิดไปเอง ชายที่เคยมีความสัมพันธ์กับน้องสาวเธอไม่ใช่ชายแก่ แต่เป็นหนุ่มหล่อเหลาดูดีมีเงิน

“แกมองไว้ นี่ผัวฉัน แต่ถ้าแกอยากหน้าด้านเป็นชู้กับผัวฉันมากนัก แกก็ต้องยอมรับความอัปยศต่อหน้าผู้คนให้ได้ แล้วฉันจะปล่อยให้แกเป็นนางบำเรอผัวฉันต่อไป” ปานธีราตะเบ็งเสียงเจ็บแค้นแล้วหันไปสบตาลูกสาว

แพรนันท์ผู้เกลียดชังอัยย์ศยาไม่ต่างจากแม่ตรงเข้ามาช่วยกระชากร่างบอบบาง แล้วสองแม่ลูกก็รุมตบตีอัยย์ศยา แถมแพรนันท์ยังหันไปคว้าแก้วเหล้ามาสาดใส่อัยย์ศยาแล้วยิ้มเย็น

“เสื้อผ้าเปียกแบบนี้ ถอดทิ้งไปเลยดีกว่าค่ะคุณแม่”

“อย่านะ! ฉันไม่ได้เป็นเมียน้อยคุณปรนัยนะ ปล่อยฉัน!” อัยย์ศยาตะโกนก้อง ดิ้นรนให้หลุดจากการถูกรุมทึ้งราวกับสัตว์ป่าของสองแม่ลูก

ปรนัยไม่กล้าเข้ามายุ่งเมื่อปานธีราถูกโทสะครอบงำจนขาดสติ หันไปคว้าขวดเบียร์มาทุบกับพื้นแล้วส่ายกลางอากาศขู่จนทุกคนถอยห่างออกไป ในจังหวะที่ขุนพลพุ่งเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้า

“ปล่อยฉันนะ” อัยย์ศยาตะโกนสุดเสียง แต่มีเพียงเสียงแผ่วหวิวที่เล็ดลอดริมฝีปากออกมา ในความพร่าเลือนของดวงตา เธอเห็นขุนพลยืนอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยความสิ้นหวัง

“เปลี่ยนเสื้อผ้ามันสิน้องนีน” ปานธีราสั่งเสียงเหี้ยม

แพรนันท์พุ่งเข้ามากระชากเสื้อผ้าอัยย์ศยาออกอย่างเกลียดชัง อัยย์ศยากรีดร้อง พยายามหยุดยั้งการกระทำป่าเถื่อนซึ่งเกิดขึ้นในเวลาไม่กี่วินาที แต่ยาวนานในความรู้สึกของเธอ

“อย่านะ ปล่อยฉัน!” อัยย์ศยาปล่อยโฮตอนที่แพรนันท์ควานมือไปด้านหลังแล้วรูดซิปชุดกระโปรงของเธอลงมาถึงกลางหลัง

ปานธีรากระชากคอเสื้อจากด้านหน้า ส่ายขวดเบียร์ที่แตกไปมาไล่คนที่จะเข้ามาช่วย แถมบางคนยังเห็นเรื่องคนอื่นเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เอาโทรศัพท์มาถ่ายคลิปวิดีโอ เห็นดังนั้นปานธีรายิ่งบ้าคลั่ง อยากจะประจานอัยย์ศยาให้หายแค้น แต่จังหวะที่เธอกำลังส่ายขวดมีคมไปมา กลับถูกฝ่ามือแข็งแกร่งคว้าหมับแล้วออกแรงบิด “โอ๊ะ!”

“คุณทำเกินไปแล้วนะครับ” ขุนพลหน้าเครียดเขม็ง เขาไม่คิดว่าเรื่องราวจะบานปลายขนาดนี้ เขาผิดเองที่เรียกอัยย์ศยาให้ออกมาเจอเรื่องแบบนี้

“คุณอิฐ” ปานธีราจำชายหนุ่มได้ เธอจ้องเขาเขม็งแล้วยิ้มหยัน “อย่าเอาชื่อเสียงมาเสี่ยงกับผู้หญิงแพศยา กับอีโสเภณีพวกนี้จะดีกว่าค่ะ”

“อีไหมมันเป็นเลขาฯ คุณอิฐค่ะคุณแม่” แพรนันท์ตะโกนบอกแม่ สีหน้ารังเกียจอัยย์ศยาที่พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้น

                “งั้นก็รู้ไว้เลยนะคะ ว่าอีนี่มันเป็นเมียน้อยต่อ มันเคยกราบกรานขอชีวิตกับพี่ พี่ก็หลงเชื่อมัน แต่ที่ไหนได้มันกลับทรยศพี่ ลักลอบสวมเขาให้พี่อีก”

                “แต่คุณก็ไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับคนอื่นนะครับ” ดลยุทธ์พูดขึ้นอย่างสงสารอัยย์ศยา ทั้งยังอึ้งว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดกับผู้หญิงแบบอัยย์ศยาได้อย่างไร ตอนที่ฟังขุนพลพูดเมื่อครู่ เขาคิดแค่ว่าอัยย์ศยาอาจจะแค่พลาดท่ากับผู้ชายที่เธอเคยคบหา แต่ไม่คิดว่ามันจะร้ายแรงขนาดนี้ “พวกคุณจะติดคุกนะครับ”

                “คิดว่าฉันจะกลัวเหรอ เรื่องติดคุก ฉันมีทะเบียนสมรสกับผู้ชายคนนี้ มันลักลอบคบชู้ โดนประจานขนาดนี้ยังมีผู้ชายหน้าโง่มารุมปกป้องอีกเหรอ น่าหมั่นไส้!” ประโยคหลังปานธีราหันไปเค้นเสียงลอดไรฟันใส่หน้าอัยย์ศยาที่น้ำตาไหลด้วยความกลัว

หญิงสาวสั่นหน้าไปมา ดวงตาพร่าพรายด้วยหยาดน้ำตา คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ แต่พอคิดถึงกันย์ณิตาที่กำลังจะมีอนาคตที่ดี และความน่ากลัวของสองแม่ลูกคู่นี้ เธอก็ยั้งคำปฏิเสธที่ตั้งท่าจะหลุดปากอีกครั้ง หัวใจเหมือนถูกบีบอัดจวนจะเป็นลม

“คุณอิฐ” อัยย์ศยาเรียกเจ้านายหนุ่มที่ยังบีบข้อมือปานธีราไว้แน่น เธอสบตาเครียดเขม็งของเขาอย่างร้องขอ ขุนพลเป็นความหวังเดียวของเธอ เธอยังไม่อยากถูกสองแม่ลูกคู่นี้เปลื้องผ้าประจาน “คุณอิฐ ฮือๆ” หญิงสาวปล่อยโฮอย่างสิ้นสุดทุกความอดกลั้น

“อย่ายุ่งดีกว่าค่ะคุณอิฐ” แพรนันท์ขู่เสียงเย็น มองหน้าขุนพลแล้วแค่นยิ้ม “ถ้าน้าพลอยรู้เข้า คงจะไม่ปลื้มนะคะ” แพรนันท์เอาชื่อเปรมพลอยมาขู่ชายหนุ่ม เพราะรู้จากปากของเปรมพลอยว่าฝ่ายนั้นกำลังคบหากับขุนพลฉันคนรัก เธอเชื่อว่าขุนพลย่อมไม่อยากเสี่ยงเสียผู้หญิงที่ร่ำรวยอย่างเปรมพลอยไปเพราะขยะอย่างอัยย์ศยา

ขุนพลยิ้มแบบเดียวกับที่แพรนันท์ทำ “คุณนีนคิดว่าคนในตระกูลวิทย์เทวินท์ปลื้มสิ่งที่คุณกับแม่กำลังทำเหรอครับ”

“พอเถอะครับคุณป่าน ผมขอร้อง เราไปคุยกันที่บ้านนะครับ น้องนีน ปล่อยเธอไป ผมสัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงไร้ค่าคนนี้อีก” ปรนัยเข้ามารั้งมืออีกข้างของภรรยาที่ยังคงลังเล

ขุนพลตวัดสายตาคมใส่ปรนัย เขาอาศัยจังหวะนั้นบิดข้อมือสาวใหญ่แล้วฉวยขวดปากฉลามมาส่งต่อให้ดลยุทธ์

แพรนันท์เห็นว่าปานธีราเริ่มสงบลง และไม่คุ้มที่จะมีเรื่องโดยมีพยานปากเอกเป็นชายหนุ่มที่เจ้าสัวดิเรกทั้งรักและเชื่อใจ เธอจึงลุกขึ้นยืนแล้วประกาศถ้อยเหยียดหยามจงใจให้ทุกคนในที่นี้รังเกียจอัยย์ศยา

“ได้ยินเต็มสองรูหูแล้วใช่ไหม คุณพ่อบอกว่าแกเป็นผู้หญิงไร้ค่า ต่อไปอย่ามาขายตัวให้พ่อฉันอีก ต่อให้เป็นโสเภณีราคาสูง กำพืดก็ไม่พ้นโสเภณี บาปกรรมมันจะสนองแกสักวัน ไปกันเถอะค่ะคุณแม่” แพรนันท์แตะแขนมารดา สบตาบอกให้ไปคุยกันที่บ้าน

ทว่าปานธีรายังไม่สาแก่ใจ หันไปมองอัยย์ศยาที่หยัดกาย พยายามจะดึงแขนเสื้อที่ตกไปครึ่งแขนขึ้นอย่างอ่อนแรง สาวใหญ่กัดปากจนแทบจะห้อเลือดก่อนจะยกเท้าหมายจะกระทืบรองเท้าส้นสูงแบรนด์ดังใส่มือเรียวที่ยันพื้นประคองตัวไว้ แต่ขุนพลดันตาไว เขาจึงตะครุบมือเรียวไว้ทันที ปลายแหลมของส้นรองเท้าสตรีกระแทกบนหลังมือเขาอย่างแรง แพรนันท์เห็นแบบนั้นก็ตกใจกลัวว่าขุนพลจะเอาเรื่องจึงรีบลากแม่ออกไป

ท่ามกลางสายตาเหยียดหยันบ้าง เห็นใจบ้าง อัยย์ศยาไม่กล้าเงยหน้ามองใคร เธอปล่อยให้น้ำตาหล่นลงพื้นหยดแล้วหยดเล่า หัวใจสุดขมขื่น ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวความแตกแล้วสองแม่ลูกจะตามไปราวีจนกันย์ณิตาถูกไล่ออกออกจากมหาวิทยาลัย เธอไม่มีวันยอมให้ใครมารังแกขนาดนี้แน่

กันย์ณิตาผิดก็จริง แต่ปรนัยก็ผิดด้วย หนำซ้ำผู้ชายคนนั้นยังเห็นแก่ตัวสิ้นดี เขารู้ดีแก่ใจว่าเธอเป็นแพะรับบาปยังฉวยโอกาสให้ผู้หญิงของเขารอดตัวไปหน้าตาเฉย

“น้องไหม ลุกไหวไหม” เสียงดลยุทธ์เหมือนล่องลอยมาแต่ไกล

ดวงตาอัยย์ศยาพร่ามัว เธอดึงแขนเสื้อขึ้นเพื่อจะได้เดินหนีไปให้พ้นๆ คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงบ้านใจจะขาด หากพ่อกับแม่รู้ว่าลูกสาวถูกคนอื่นรังแกขนาดนี้ ท่านจะเสียใจเพียงใด มือบางสั่นระริกจนเอื้อมแตะแทบไม่ถึงซิปที่ถูกรูดลงไปถึงกลางหลัง แต่วินาทีต่อมาเธอก็รู้สึกถึงปลายนิ้วอุ่นสั่นเทาที่สัมผัสฉิวเฉียดอยู่บนกลางแผ่นหลัง พร้อมตัวเสื้อที่กระชับขึ้นตามการรูดซิปขึ้นให้เข้าที่

“เคลียร์ค่าอาหารให้ด้วยนะ ฉันจะพาไหมกลับก่อน”

“เออ ไอ้อิฐ ดีๆ นะเว้ย สงสารน้อง”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น