10

ขันหมากมหาเศรษฐี

10

ขันหมากมหาเศรษฐี

 

เมฆาเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่เป็นว่าเล่น แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนหลับนอน ไหนจะต้องจัดการงานที่ไร่วรานุกร บ้านเรือนหอ และจัดเตรียมขันหมากแบบลับๆ แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นหูตาผู้เป็นมารดาไปได้ จนโดนซักถามเข้าในวันหนึ่ง

“พ่อเมฆ ทำไมหมู่นี้ไม่ค่อยอยู่บ้าน เข้าแต่กรุงเทพฯ ที่นั่นมันมีอะไรดีนักหนารึ” สตรีวัยกลางคนถามแกมประชดประชัน 

“ผมไปติดต่อทำธุระกับห้างที่จะนำผักออร์แกนิกของเราไปวางขาย เร็วๆ นี้เขาก็น่าจะมาตรวจสอบคุณภาพผักกับน้ำที่เราใช้ที่ไร่ของเรา” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่ปกติ ขณะจัดกระเป๋าเดินทางเข้ากรุงเทพฯ อีกครั้งเพื่อไปแต่งงาน

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีไป ไม่ใช่ว่าไปติดผู้หญิงเมืองกรุงเข้าให้ล่ะ บอกไว้ก่อนเลยนะว่าแม่ไม่ยอมแน่ ยังไงซะเดือนหน้าลูกก็ต้องแต่งงานกับหนูแก้วตา” 

คุณนายยื่นคำขาด ทว่าคราวนี้คนเป็นลูกชายไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านแต่อย่างใด กลับผิวปากฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ยิ่งทำให้นางรู้สึกสงสัยมากขึ้น

“แล้วไอ้ที่ขนคนงานในไซต์ขึ้นไปปลูกเรือนคืออะไร พ่อเมฆยังไม่ได้บอกแม่สักคำเลยนะ”

“ผมก็แค่อยากสร้างบ้านไว้พักผ่อนเงียบๆ คนเดียว” 

“อ้อ! นี่พ่อเมฆคงรำคาญแม่ถึงขนาดไปสร้างบ้านอยู่แยกคนเดียวสินะ หึ” 

“เฮ้อ ก็แล้วแต่แม่จะคิดเลยครับ ผมไม่อยากอธิบายให้เหนื่อยเปล่า บอกไปก็คงไม่เชื่อผมอยู่แล้ว” เมฆาคร้านจะสู้รบปรบมือกับมารดา เมื่อจัดกระเป๋าเสร็จแล้วก็ตะโกนเรียกลูกน้องคนสนิท 

“ไอ้ดินโว้ย มาหิ้วกระเป๋าฉันไปที่รถด้วย”

“ครับคุณเมฆ” แดนดินรับคำ ก่อนจะเข้ามาหิ้วกระเป๋าสัมภาระในห้องออกไปข้างนอก 

“ผมไปแล้วนะครับแม่ จะกลับมาวันพฤหัสตอนสายๆ” ร่างสูงใหญ่ตรงเข้าไปกอดลาและหอมแก้มผู้เป็นมารดาหนึ่งฟอด แม้จะทะเลาะถกเถียงกันบ่อยครั้ง แต่ความรักที่มีให้ผู้มีพระคุณเพียงหนึ่งเดียวไม่เคยจางหาย

“เออๆ ไปเถอะไป๊” พอโดนมุกอ้อนของลูกชาย นางก็ใจอ่อนยวบ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ 

“ไปทำงานทำธุระก็อย่าเถลไถล งานในไร่ช่วงนี้ก็ยุ่งมาก แม่คุมคนเดียวไม่ไหวหรอกนะ”

“ครับ แล้วผมจะรีบกลับมา ไม่ต้องห่วงว่าผมจะเถลไถล ครั้งนี้ผมพาคุณตาไปด้วย”

“หา! พ่อเมฆพาคุณตาไปด้วยทำไม เดินเหินยิ่งไม่ค่อยสะดวกอยู่ด้วย ครั้งก่อนก็ไปทีนึงแล้ว ครั้งนี้ยังจะไปอีกหรือ” 

“ผมอยากจะพาคุณตาไปเปิดหูเปิดตา ดูความเจริญในเมืองกรุงบ้างก็เท่านั้นเอง ผมไปพร้อมกับลูกน้องอีกส่วนหนึ่ง”

“ยกโขยงกันไปอย่างกับจะไปตั้งเป็นขบวนขันหมากอย่างนั้นแหละ” 

คำพูดเปรียบเปรยของมารดาทำเอาบุรุษหนุ่มเผลอและสะดุ้งเล็กน้อย แม่ของเขาไม่วันรู้เลยว่าไอ้สิ่งที่พูดแบบไม่ใส่ใจออกมานั้นเป็นความจริง เมฆาเกณฑ์ลูกน้องกลุ่มที่สนิทสนมกับเขาประมาณยี่สิบกว่าคน และบรรดาเพื่อนๆ ของเขาจากมุมต่างๆ ในประเทศมารวมตัวกันเพื่อตั้งขบวนขันหมาก

“พาไปดูงานครับ เลือกเฉพาะไอ้คนที่มันขยันๆ ตั้งใจทำงานไป ถ้าให้พวกมันดักดานทำงานอยู่แต่ในไร่ ก็คงไม่ทันชาวบ้านชาวเมืองเขา” 

“ตามใจแล้วกัน จะทำอะไรก็ทำ แต่ให้ไว้หน้าแม่บ้าง ถึงไร่และทรัพย์สินทั้งหมดจะเป็นของพ่อเมฆแล้วก็เถอะ”

“ครับ” เขารับคำสั้นๆ 

“แล้วก็...ระวังตัวด้วยนะ พ่อเมฆก็รู้ว่าตอนนี้มีใครที่จ้องจะทำลายลูกและไร่ของเราอยู่” 

คุณนายเอื้องกลิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาลง เอื้อมมือหยาบกร้านไปจับบ่ากว้างของลูกชายเอาไว้

เมฆาสบตากับมารดาอย่างมีความหมาย นัยน์ตาที่เคยว่างเปล่าและแข็งกร้าวเต็มไปด้วยความห่วงใย เขาส่ายหน้าช้าๆ จับมือของมารดามากุมเอาไว้ ก่อนจะประกาศกร้าว

“ไม่มีใครทำลายผมได้และไม่มีใครทำลายไร่เราได้ โดยเฉพาะคนอย่างไอ้ปัดด้วยแล้ว แม่วางใจเถอะ มันก็แค่หมาลอบกัดเก่งแต่เล่นทีเผลอ” ริมฝีปากหนารูปกระจับแค่นยิ้มเยาะเย้ยศัตรูหมายเลขหนึ่งที่มีอาณาเขตไร่อยู่ติดกัน 

“นั่นแหละที่แม่กลัว มันอาจจะเล่นทีเผลอกับพ่อเมฆ”

“ผมไม่มีทางเปิดโอกาสให้มันมาทำร้ายหรอกครับแม่ อย่ากังวลเลย ผมไปก่อนละ” 

“เอ๊อ ไปดีมาดี” นางให้ศีลให้พร มองร่างสูงใหญ่ของลูกชายในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีน้ำเงินเดินออกจากห้องไป และเหมือนเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงตะโกนถามเสียงดังลั่น

“พ่อเมฆ! พ่อเมฆเดี๋ยวก่อน! แม่จะถามว่าเมื่อคืนพ่อเมฆถอนเงินในตู้เซฟไปทำไมตั้งเกือบๆ ร้อยล้านหา! ยังไม่นับพวกเครื่องเพชรเครื่องทองอีกนะ กลับมาตอบแม่ก่อนสิ!” 

ช้าไปแล้ว...เอื้องกลิ่นได้ยินเสียงรถยนต์เคลื่อนตัวออกไป จึงได้แต่จมอยู่กับห้วงความสงสัยอีกครั้ง แม้จำนวนเงินในตู้เซฟนั้นจะเป็นของลูกชายและมีไม่มากนัก ถ้าเทียบกับทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ในธนาคาร แต่ลูกของนางเป็นคนประหยัดมัถยัสถ์ ไม่เคยใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเลยสักครั้ง 

ถ้าอย่างนั้น...

‘พ่อเมฆนำเงินไปใช้อะไรกันหนอ’

 

เย็นวันนั้น คอนโดมิเนียมสุดหรูอันแสนกว้างขวางของเมฆาอุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยลูกน้องคนสนิทและเพื่อนฝูงของบุรุษหนุ่มเป็นจำนวนมากมารวมสังสรรค์กัน เพื่อเตรียมพร้อมวางแผนตั้งขบวนขันหมากในวันมะรืน

“ฮ่าๆ ตาละภูมิใจในตัวเอ็งจริงๆ ไอ้หลานเอ๊ย เลือกเมียได้ดี ทั้งสวย ฉลาด กิริยามารยาทเรียบร้อยอ่อนหวาน นี่สิถึงจะสมเป็นหลานสะใภ้ของตา” 

ปราชญ์เอ่ยชมหลานชาย บรรดาเพื่อนตัวแสบของหลานก็พลอยเป็นลูกคู่ลูกรับไปด้วย

“หลอกเขามาแต่งสิไม่ว่า คุณตาอย่าไปชมมันครับ ไอ้นี่มันเจ้าเล่ห์จะตาย” 

‘ภาวัฒน์’ หนุ่มเจ้าสำราญ เพื่อนสนิทที่สุดในแก๊งกล่าวขัดขึ้นตามประสาคนชอบกวนโอ๊ย

“พูดดีๆ นะโว้ยไอ้ภีม กูไม่ได้หลอกเขา เราทำข้อตกลงกันต่างหาก” ริมฝีปากหนารูปกระจับยกยิ้มมีเลศนัย

“ข้อตกลงอะไรวะไอ้เมฆ” เพื่อนอีกคนซึ่งนั่งข้างๆ กันถามอย่างอยากรู้

“นั่นสิ จนตาไปสู่ขอลูกสาวเถ้าแก่ให้แล้วเนี่ย ตายังไม่รู้เรื่องระหว่างเอ็งกับแม่หนูจันทร์คนนั้นเลยด้วยซ้ำ เล่ามาซิว่าไปยังไงมายังไง” 

“ผมก็เล่าให้คุณตาฟังคร่าวๆ ไปแล้วนี่ครับ ว่าผมรู้จักกับเธอไปเซ็นสัญญาที่โรงงานเถ้าแก่ ก็เลยชอบพอรักกัน ก็แค่นั้น” 

เมฆาไม่อยากเล่าเจาะลึกรายละเอียดอะไรมากนัก ความจริงมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของ ‘ว่าที่เจ้าสาว’ เสียเป็นส่วนมาก เขาไม่อยากจะเล่าต่อหน้าพวกลูกน้องที่มาด้วยกัน เพราะมันอาจมีผลกระทบต่อเธอ เมื่อได้กลายมาเป็นภรรยาของเขาแล้ว

“เชื่อตายละไอ้เมฆ ผู้หญิงที่ไหนเขาจะยอมแต่งงานกับผู้ชายที่รู้จักกันแค่ไม่กี่อาทิตย์วะ” เพื่อนสนิทคนเดียวของเขาไม่ปักใจเชื่อ “บอกมาตามตรงดีกว่าว่ามึงมีข้อตกลงอะไร เงิน?” 

“จะบ้ารึไงเล่า เขาก็รวยเป็นลูกคุณหนูอยู่แล้ว จะมาอยากได้เงินกูทำไม กูก็แค่ขอร้องอ้อนวอนให้เขาช่วยกู แล้วเขาก็ใจอ่อนยอมช่วย” 

“หา! คนอย่างมึงเนี่ยนะขอร้องอ้อนวอน” หนึ่งในแก๊งหัวเราะลั่นราวกับมันเป็นเรื่องตลก แคบกันมาตั้งแต่เด็กจนโตเป็นผู้ใหญ่ เมฆาเป็นคนที่มีอีโก้สูงเสียดฟ้า เพราะมีอำนาจปกครองคน ทำให้พวกเขาไม่เคยเห็นภาพเพื่อนคนนี้ไปอ้อนวอนร้องขออะไรจากใครทั้งสิ้น

“ก็สถานการณ์มันจำเป็น ถ้าไม่ทำแบบนั้นเขาก็ไม่สงสารกูน่ะสิ” เมฆาว่าพลางกระดกแก้วสุราเข้าปาก ก็ดื่มกันปกติตามประสาผู้ชาย เพียงแต่เขาคอแข็งกว่าเพื่อนคนอื่นๆ 

ไม่คออ่อนเมาง่ายเหมือนใครบางคน...แค่ไวน์ขาวไม่กี่แก้วก็เมาเป็นเมรีไปแล้ว

บุรุษหนุ่มเผลอยิ้มออกมา เมื่อใจนึกกระหวัดไปถึงในคืนเคานต์ดาวน์ซึ่งมีอะไรในกอไผ่มากกว่านั้น...เป็นความลับที่แสนหวานเกินจะเอื้อนเอ่ยออกมา

“แล้วไอ้วันที่ไปสู่ขอ หลานก็บอกกับครอบครัวเขาว่าได้เสียกันแล้ว เลยต้องแต่งไม่ใช่รึ” คนเป็นตาท้วงขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้ ทำเอาเหล่าคนฟังที่นั่งล้อมวงอยู่ในห้องเป่าปากแซวกันยกใหญ่

“ไหนบอกว่ามีแค่ข้อตกลงไงล่ะไอ้เมฆ ฮ่ะๆ มึงนี่มันร้ายสุดว่ะ” 

“จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว มันก็แค่ข้ออ้างน่า” เมฆารีบปฏิเสธคำครหา เขาไม่ใช่เสือผู้หญิงล่าแต้มเหมือนไอ้พวกเพื่อนตัวดีที่นั่งหน้าสลอนกันอยู่ 

“ตอนแรกเถ้าแก่ทำท่าจะยืดเวลา กูก็เลยต้องใช้วิธีนี้ เพราะถ้าขืนยืดเวลาออกไป มีหวังคุณนายแม่จับกูแต่งงานกับลูกสาวกำนันแน่ นี่ก่อนจะมาแม่กูก็รีบดักทางห้ามกูไปชอบสาวกรุงเทพฯ ด้วย”

“หารู้ไม่ว่าคุณลูกชายมาแต่งงานกับสาวกรุงเทพฯ เรียบร้อยแล้ว” ภาวัฒน์แกล้งสัพยอก เรียกเสียงหัวเราะครืนให้วงเหล้าอีกครั้ง

“แต่ก็ช่างเหอะ กูพร้อมรับมือเสมอ เผลอๆ แม่กูอาจจะชอบก็ได้ คุณเขาเรียบร้อยกุลสตรีขนาดนั้น” บุรุษหนุ่มสันนิษฐาน หลังแต่งงานมารดาอาจจะใจอ่อน เพราะม่านพระจันทร์เป็นคนวางตัวดี มีเสน่ห์ มีหรือผู้ใหญ่จะไม่หลงรัก

“หึๆ ไอ้หลาน ทำอย่างกับไม่รู้จักนิสัยนังเอื้อง ไอ้กระเป๋าหนังราคาเหยียบล้านน่ะมีค่าเหนือความดีทั้งปวงสำหรับแม่เอ็ง” ปราชญ์หัวเราะเบาๆ อย่างรู้เท่าทันนิสัยลูกสาวคนเดียว

เมฆานิ่งเงียบไปเมื่อลืมนึกถึงเรื่องนี้ ตาของเขาพูดถูก กระเป๋าแบรนด์เนมเป็นปัจจัยสี่ในชีวิตมารดาไปเสียแล้ว ถึงจะมีเงินมากพอจะซื้อใช้เอง แต่มารดานิยมของซื้อฝากจากคนอื่นมากกว่า ตระหนี่ถี่เหนียวชนิดที่ว่าไม่ให้กระเด็นออกจากกระเป๋าสักบาท

“แล้วสรุปว่าคืนที่ไปเคานต์ดาวน์นี่ เอ็งกับหนูจันทร์คนนี้ไม่ได้มีอะไรเกินเลยกันจริงๆ ใช่ไหมล่ะ” 

“ไม่มีครับ ไม่มีอะไรเกินเลย” เมฆาตอบด้วยน้ำเสียงปกติ 

แค่ ‘จูบ’ คงไม่นับว่าเป็นเรื่องเกินเลยหรอกกระมัง หรืออาจนับนะ...

แต่ก็ช่างมันเถอะ เก็บมันไว้เป็นความลับแสนหวานของเขาตลอดไปดีที่สุด

...

คุณเมามากแล้วนะ ไปนอนเถอะ’ 

‘ฮื้อ ฉันไม่ได้เมา คุณนั่นแหละที่ต้องไปนอน ฉันจะนั่งเคานต์ดาวน์อยู่ตรงนี้’ 

นี่มันเลยเที่ยงคืนมาแล้วแม่คุณ ไปนอนได้แล้วน่า เจ้าของเสียงเข้มออกคำสั่งแล้วทำท่าจะพยุงร่างบางลุกขึ้น แต่เธอกลับสะบัดออกจากการเกาะกุมนั้น น่าแปลกที่ผู้หญิงบอบบางคนหนึ่งกลับมีเรี่ยวแรงมหาศาลเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลล์

‘บอกว่าไม่ไงคะ! ฉันยังไม่ง่วงสักหน่อย เธอปฏิเสธทั้งที่หนังตาใกล้จะปิดเต็มที

‘หึ ตามใจ คุณจะนั่งตากยุงอยู่ตรงนี้ก็เชิญ ผมไปนอนละ เขาไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านพัก ทิ้งให้เธอนั่งหงอยเหงาท่ามกลางขวดไวน์ที่นอนล้มเกลือกกลิ้งอยู่หลายขวด

ม่านพระจันทร์นั่งกอดเข่าตามลำพัง ทอดสายตามองออกไปข้างนอก ปล่อยให้ความทรงจำได้ล่องลอยไปตามสายลม 

‘คนใจร้าย เสียงหวานพึมพำอ้อแอ้ออกมา แล้วสักวันคุณจะต้องเสียใจที่ทำแบบนี้

เธอหมายถึงนพกร แม้ฤทธิ์แอลกอฮอลล์จะทำให้ลืมความเจ็บปวดไปได้ชั่วขณะ แต่เธอก็ยังอดคิดถึงเขาไม่ได้อยู่ดี 

หญิงสาวมองแหวนทับทิมเจ้ากรรมที่มาประดับนิ้วของเธอในยามนี้ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นที่เพิ่งถูกขอแต่งงานไปหมาดๆ คงจะมีความสุข ตรงข้ามกับม่านพระจันทร์ที่ปล่อยให้ด้านมืดของจิตใต้สำนึกเข้าครอบงำ รู้แค่ว่าอยากประชดนพกร อยากจะเห็นท่าทีของเขา เมื่อได้รู้ว่าเธอกำลังจะแต่งงาน 

เขาจะเสียใจ หรือเขาอาจจะไม่ยินดียินร้ายใดๆ เลยก็ได้...

ขอให้ได้หนีไปจากตรงจุดนี้ก็พอ เธอคงทนไม่ได้ เมื่อวันหนึ่งเห็นเขาเดินเข้าออกบ้านเธอในฐานะน้องเขย

ม่านพระจันทร์คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย พลางซบใบหน้าลงในวงแขนของตัวเอง ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะค่อยๆ เลือนหายไป

หญิงสาวมารู้สึกตัวอีกทีในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น ร่างของเธอลอยหวือขึ้นกลางอากาศโดยอ้อมแขนแข็งแรงของใครบางคนที่โอบอุ้มเอาไว้ ศีรษะของเธอซบอยู่กับแผงอกกว้างนั้น และภายในเวลาไม่นาน แผ่นหลังของเธอก็สัมผัสกับที่นอนนุ่ม

คุณนอนในห้องผมแล้วกัน ผมจะออกไปนอนที่โซฟาข้างนอก เมฆาเอ่ยบอก มองเจ้าของร่างอวบอิ่มในชุดเดรสสีขาวตัวยาวที่กำลังนอนสลบไสลไม่ได้สติด้วยจังหวะลมหายใจที่สม่ำเสมอ ทำให้เขาคิดไปเองว่าเธอหลับอยู่

บุรุษหนุ่มนั่งลงข้างเตียง อดที่จะชื่นชมใบหน้างดงามนั้นไม่ได้ ใบหน้าของเธอขาวนวลผ่อง แพขนตาสีดำยาวงอน จมูกโด่งรับกับริมฝีปากกระจับสีชมพูอ่อน เลือดฝาดน้อยๆ ประดับแต่งแต้มเนื้อปรางทั้งสองชวนมองนัก

สวยงามราวกับนางสวรรค์...ซ้ำจิตใจยังบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความดีงามเกินกว่าที่เขาจะอาจเอื้อมเธอลงมาเป็นคู่เรียงเคียงหมอนด้วยซ้ำ

แต่เขาต้องการจะครอบครองยายแม่ชีทั้งตัวและหัวใจ จนถึงขั้นลงทุนทำขนาดนี้แล้ว เมื่อโอกาสมาอยู่ตรงหน้า เขาจะไม่มีวันปล่อยให้หลุดลอยไป 

เธอเกิดมาเพื่อ ‘เป็นของเขา’ เท่านั้น

มือหนาเอื้อมไปเกลี่ยปอยผมที่ปรกอยู่บนใบหน้างดงาม แล้วจึงโน้มตัวลงจุมพิตริมฝีปากสีชมพูอ่อนด้วยสัมผัสที่อ่อนโยน 

แม้สัมผัสนั้นจะหวานล้ำเกินกว่าที่บุรุษหนุ่มจะหักห้ามใจตนเอง แต่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็ยังฝังรากลึกในสมองของเมฆา เพราะรู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่ถูกต้อง แค่นี้ก็เป็นการล่วงเกินหญิงสาวไปมากแล้ว

‘ถือว่ามัดจำไว้ก่อนแต่งแล้วกันนะ คุณแม่ชีของผม เขากระซิบเสียงทุ้มพลางยกยิ้มที่มุมปากน้อยๆ ก่อนจะผละจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง ด้วยกลัวจะยับยั้งชั่งใจตัวเองไม่ได้อีก

...

หลังจากที่พาสติสัมปชัญญะกลับมาจากการท่องเที่ยวในความทรงจำอันเลือนรางของคืนเคานต์ดาวน์อยู่นานสองนาน ม่านพระจันทร์จึงยกนิ้วเรียวขึ้นแตะริมฝีปากของตนเอง พลันแก้มสาวก็ร้อนผ่าวขึ้นมาด้วยความสะเทิ้นเขินอาย 

“เราคงฝันไปกระมัง” เสียงหวานพึมพำกับตัวเองอย่างไม่อยากยอมรับ

หากมันเป็นฝัน ก็คงเป็นฝันที่เหมือนจริงมาก...แต่ถ้าหากมันเป็นเรื่องจริง ก็ยังเลือนรางนัก เพราะตอนนั้นเธอก็ยังอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น พอตื่นเช้ามาก็พบว่าเมฆานอนอยู่ที่โซฟาจริงๆ อีกทั้งเขายังทักทายเธอตามปกติ ไม่ได้มีท่าทีกระอักกระอ่วนแต่อย่างใด

“เฮ้อ” 

ม่านพระจันทร์พ่นลมหายใจหนักๆ ออกมา ปรายตามองกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่บรรจุเสื้อผ้ากับข้าวของเครื่องใช้ของตัวเอง ข้างๆ กันมีชุดไทยจักรพรรดิปักลวดลายงดงามแขวนอยู่บนราวเล็กๆ ห่อหุ้มอย่างระมัดระวัง และชุดแต่งงานสีขาวฟูฟ่องสำหรับงานเลี้ยงในตอนค่ำ 

พรุ่งนี้แล้วสินะที่เธอจะต้องเข้าพิธีแต่งงาน และย้ายไปอยู่ในภูมิลำเนาอื่น... 

แม้จะมีอารมณ์อ่อนไหวไปบ้าง แต่เธอก็ได้ตัดสินใจเด็ดขาดและเคารพการตัดสินใจของตัวเองที่เลือกเส้นทางเดินร่วมไปกับผู้ชายที่ชื่อ ‘เมฆา’ ภายใต้เงื่อนไขที่อาจแยกทางกันเมื่อใดก็ได้ เมื่อแผนการของเขาสำเร็จลุล่วง เป็นเพียงแค่สามีภรรยาในนามเท่านั้น

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น