9

สู่ขอ

9

สู่ขอ

 

“คุณว่าอะไรนะคะ” 

คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันแน่น แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อสักครู่ หญิงสาวหันไปจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มเป็นเชิงคำถาม 

“คุณไม่ได้ยินที่ผมพูดจริงๆ เหรอ” 

“ค่ะ ฉันไม่ได้ยิน” 

“งั้นก็ขยับมาใกล้ๆ ผม” 

ม่านพระจันทร์ขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงใหญ่อย่างว่าง่าย 

“ส่งมือซ้ายมาให้ผมด้วย” เสียงทุ้มห้าวออกคำสั่ง

“คุณเมฆจะทำอะไรเหรอคะ” 

“เดี๋ยวก็รู้ ส่งมือซ้ายมาเร็วเข้า” 

เขากล่าวย้ำอีกครั้ง เธอจึงจำต้องยื่นฝ่ามือเรียวงามไปให้บุรุษหนุ่ม

“หลับตาด้วยอย่างนั้นแหละ ดีมาก”

เมฆาใช้มือขวาล้วงกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มในกระเป๋ากางเกง จากนั้นหยิบวัตถุบางอย่างที่อยู่ในกล่องออกมา ก่อนจะบรรจงสวมมันลงบนนิ้วนางของยายแม่ชีที่บัดนี้กลายร่างเป็นเมรีขี้เมาไปเรียบร้อยแล้ว 

สัมผัสแปลกประหลาดที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของตนทำให้ม่านพระจันทร์รีบลืมตาขึ้นดู และสิ่งที่เห็นก็ถึงกับทำให้เธอแทบลมจับ

แหวนทับทิมล้อมเพชรซึ่งประเมินค่าไม่ได้ว่ากี่กะรัต ตัวแหวนทำจากทองคำและสลักตัวอักษรเป็นนามสกุลของเขา ‘วรานุกร’ 

ให้ตายเถอะ อย่าบอกนะว่าสิ่งที่เธอได้ยินตอนแรกเป็นความจริง!

“แต่งงานกับผมนะคุณจันทร์” 

เขาขอเธอแต่งงานด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย คำพูดของเขาไม่ได้ฟังดูเป็นประโยคขอร้องเลยสักนิด ออกจะเป็นประโยคคำสั่งเสียด้วยซ้ำ

“คุณเมฆต้องพูดเล่นแน่ๆ” หญิงสาวหัวเราะแห้งกลบเกลื่อน ขณะพยายามรูดแหวนออกจากนิ้ว เมื่อสติสัมปชัญญะเริ่มกลับมา เธอสร่างเมาตั้งแต่เห็นแหวนอยู่บนนิ้วของตัวเองแล้ว แต่ถึงแม้จะพยายามถอดแหวนดังกล่าวออกจากนิ้วสักเท่าไร ก็ถอดไม่ออก 

“หึๆ ถอดไม่ออกหรอก อย่าพยายามเลย”

 เมฆายิ้มอย่างผู้ชนะ แอบแปลกใจอยู่มากกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่คาดคิดว่าสิ่งที่คุณตาของเขาพูดก่อนจะให้แหวนวงนี้นั้นเป็นความจริง

นี่คือแหวนประจำตระกูลของเรา ผู้หญิงที่เป็นสะใภ้ทุกคนน่ะใส่กันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว

ไม่เห็นมันจะดูเก่าเท่าไหร่เลยนะครับ คุณตาเอามาหลอกผมหรือเปล่า

ว่ะ ไอ้นี่ ตาจะมาหลอกเอ็งทำไม ที่มันไม่ค่อยเก่าเพราะเขาเก็บรักษากันมาเป็นอย่างดี พอหลังแต่งงานเขาก็เปลี่ยนไปใส่วงเล็กๆ ส่วนวงนี้ก็เก็บรักษาเอาไว้ส่งต่อให้ลูกให้หลาน

แล้วคุณตาจะมาให้ผมทำไมครับ

ตาส่งต่อให้หลาน เพราะตาไม่มีลูกชาย มีแต่หลานชาย เอ็งเอาไว้มอบให้ผู้หญิงที่คู่ควรจะมาเป็นศรีภรรยาของเอ็ง อีกอย่างแหวนนี่ก็ไม่ใช่แหวนธรรมดา มันใช้เสี่ยงทายได้ด้วย เขาลองกันมาเยอะแล้ว

‘เสี่ยงทายยังไงครับ’

‘ถ้าผู้หญิงคนไหนใส่แล้วถอดไม่ได้ นอกจากเอ็งเป็นคนถอดให้เอง แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นมีดวงจะได้มาเป็นสะใภ้ของตระกูลเรา หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นเนื้อคู่ของเอ็ง'

ตอนนั้นเขาก็ยังนึกขำ คิดว่าเป็นเพียงเรื่องอำตลกๆ ของคุณตาเท่านั้น แต่พอเห็นว่ายายแม่ชีของเขาถอดแหวนไม่ได้ทั้งที่ตอนเขาใส่ให้ ตัวแหวนใหญ่กว่านิ้วนางของเธอมาก น่าจะรูดเข้ารูดออกได้ง่าย เหตุไฉนกลายเป็นว่าตอนนี้มันติดหนึบนิ้วของเธอเสียอย่างนั้น

หรือว่า...ยายแม่ชีจะเป็นเนื้อคู่ของเขาจริงๆ? 

“ทำไมมันถึงถอดไม่ออกคะ” ม่านพระจันทร์พยายามสุดแรงครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ถอดไม่ออกอยู่ดี 

“แหวนประจำตระกูลผม ถ้าได้อยู่บนนิ้วของผู้หญิงคนไหนจะไม่มีวันถอดแหวนออก นอกเสียจากผมจะเป็นคนถอดให้เอง”

“คุณเมฆเอาคืนไปเถอะนะคะ ของสำคัญแบบนี้ไม่ควรเอามาล้อเล่น”

“แล้วใครว่าผมล้อเล่นล่ะ” 

“อยู่ดีๆ คุณเมฆก็ขอฉันแต่งงานอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เราไม่เคยคบหากัน แถมรู้จักกันแค่ไม่กี่อาทิตย์ จะมาแต่งงานกันได้ยังไงคะ” เธอโต้เถียงเขาด้วยเหตุผล แต่เขากลับตีมึนไม่ฟังคำพูดเธอ

“ก็คุณเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอ คุณอยากรู้ว่าถ้าคุณแต่งงานไปกับคนอื่น แล้วไอ้ผู้ชายคนนั้นจะรู้สึกยังไง”

“ฉันก็แค่...” 

“ผมอยากให้คุณฟังข้อเสนอของผมก่อน”

“ข้อเสนออะไรคะ” คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูง

“ตอนนี้ผมถูกแม่บังคับให้แต่งงานกับผู้หญิงที่ผมเกลียดมากๆ ในเดือนหน้า ผมจึงต้องหาผู้หญิงมาแต่งงานก่อนภายในเดือนนี้ และผมก็ไม่เห็นผู้หญิงคนไหนเหมาะสมเท่ากับคุณอีกแล้ว...คุณม่านพระจันทร์ เพราะฉะนั้น คุณช่วยแต่งงานมาเป็นภรรยาปลอมๆ ของผมได้ไหม”

“แต่งงานเป็นภรรยาปลอมๆ!?”

“ใช่” 

“...เฮ้อ” 

ม่านพระจันทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่เคยเจอข้อเสนอแสนประหลาดแบบนี้มาก่อน แถมยังมีเบื้องหลังซับซ้อนยิ่งกว่าเขาวงกต

“แล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วยล่ะคะ คุณไม่มีคนรักของคุณเลยเหรอ”

“ไม่มี” ชายหนุ่มตอบเสียงเย็น 

“คือว่า...ฉันไม่ถนัดเล่นละครจริงๆ ค่ะ อีกอย่างนึงสำหรับฉันแล้ว การแต่งงานมันเป็นเรื่องใหญ่มากๆ ฉันอยากให้มันเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวในชีวิตของฉัน ไม่ใช่ว่ากับใครก็ได้ แต่ต้องเป็นผู้ชายที่ฉันรัก...” 

ดวงตากลมคู่สวยหลุบลงต่ำ เธอจริงจังกับเรื่องนี้มากกว่ามองมันเป็นเรื่องเล่นไร้สาระ เพราะการแต่งงานสามารถเปลี่ยนชีวิตคนสองคนไปตลอดกาล 

“แล้วผู้ชายที่คุณรักเขาเลือกคุณหรือเปล่าล่ะ” 

คำถามย้อนของเขาทำให้หญิงสาวถึงกับพูดไม่ออก และจุกหน่วงในอกลึกๆ 

‘จริงสิ...เขาก็ไม่ได้เลือกเราอยู่ดี แม้เราจะบูชาเทิดทูนเขามากแค่ไหน เขาก็ยังใจร้าย’

“เขาทำร้ายคุณอย่างเลือดเย็นได้ ทำไมคุณต้องเสียเวลาฟูมฟายเพื่อเขาอีก ทำให้เขารู้ว่าคุณไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอก ดูซิว่าถ้าคุณแต่งงานกับผม เขาจะแสดงปฏิกิริยาอย่างไร”

“...”

“แผนของผมคือเราแกล้งแต่งงานกันหลอกๆ ไม่ต้องมีความสัมพันธ์แบบสามีภรรยากันจริงๆ เมื่อไหร่ที่ยายผู้หญิงคนนั้นเลิกตามตื๊อผม หรือไม่ก็แต่งงานแต่งการไปกับคนอื่นแล้ว ถึงเวลานั้นเราก็ค่อยหย่ากัน แฟร์ๆ มีแต่ได้กับได้ คุณช่วยผม ผมช่วยคุณ”

“...”

“คุณอยากได้อะไรหลังจากที่แต่งงานกันแล้ว ผมพร้อมจะหาให้คุณทุกอย่าง ทั้งเงินทองของมีค่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการ ผมพร้อมให้คุณได้เสมอ ขอแค่คุณเอ่ยปาก คุณไม่ต้องทำงานให้เหนื่อย ผมจะเลี้ยงดูคุณอย่างสุขสบาย”

“ฉันไม่ได้ต้องการของมีค่าอะไรพวกนั้นหรอกค่ะ” ม่านพระจันทร์รีบปฏิเสธ ของมีค่าหรือเงินทอง เธอก็มีมันมากพออยู่แล้ว ไม่เคยโลภอยากได้มากขึ้นเลยแม้แต่น้อย

“คุณอยากได้อะไรล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา

“ฉันไม่ได้ต้องการอะไรจากคุณเมฆเลย” เธอยืนยันหนักแน่นอีกครั้ง

“งั้นคุณจะยอมช่วยผมได้มั้ย ถือว่าผมขอร้องคุณ” 

เมฆาคุกเข่าลง กุมมือเรียวทั้งสองข้างของหญิงสาวเอาไว้แน่น ทั้งที่คนอย่างเขาไม่เคยต้องขอร้องใคร

“คุณเมฆ ลุกขึ้นเถอะค่ะ อย่าทำแบบนี้” ม่านพระจันทร์พยายามห้ามปรามเขา

“แต่งงานกับผมนะ” 

ดวงตาคมปลาบของเขาช่างเว้าวอนเหลือเกิน แม้น้ำเสียงจะไม่อ่อนหวานอ่อนนุ่ม แต่ก็เหมือนมีเวทมนตร์สะกดให้เธอค้างนิ่ง มีเพียงหัวใจดวงน้อยในทรวงอกที่ขยับเต้นไม่เป็นจังหวะเท่านั้น 

ม่านพระจันทร์กำลังจมอยู่ในภวังค์ความคิดอันแสนปั่นป่วน จู่ๆ ภาพที่นพกรขอหมั้นกับขวัญฤทัยก็ปรากฏในหัวสมอง คำว่า ‘เพื่อน’ ที่ได้ยินจากปากของเขายังดังก้องอยู่ในหู สิ่งที่ผู้ชายคนนี้ทำมันช่างเย็นชา ใจร้าย เลือดเย็นเกินจะพรรณนา

ในเมื่อความรักที่เธอมีให้ เขาไม่เคยเห็นค่า เธอก็ไม่มีความจำเป็นต้องยึดติดกับค่านิยมเก่าๆ ของตัวเองอีกต่อไปแล้ว 

เธอจะทำให้เขาต้องเสียใจและเสียดายที่ทำแบบนี้บ้าง!

“ฉันตกลงค่ะ” 

 

หลายวันต่อมา ห้องรับแขกของบ้านปุณยภักดิ์ที่เคยเงียบเหงาบัดนี้กลับแน่นขนัดไปด้วยแขกผู้มาเยือนและสมาชิกทุกคนจากสองครอบครัว เพื่อพูดคุยธุระสำคัญเกี่ยวกับงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นแบบสายฟ้าแลบในอาทิตย์หน้า

“ตัวผมไม่ได้ขัดข้องอะไรครับ เพียงแต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงต้องเร่งจัดงานแต่งงานเร็วขนาดนั้น” ณรงค์ไม่เห็นด้วย ถึงแม้จะแอบดีใจอยู่มากที่ได้คู่ค้าคนสำคัญมาเป็นลูกเขย แต่เขาก็ยังคิดว่ามันเร็วเกินไปหน่อย หนุ่มสาวควรได้ศึกษาดูใจกันให้มากกว่านี้เสียก่อน

“อ้าว แต่งเร็วๆ ไม่ดีหรอกรึ ผมแก่แล้วก็อยากจะอุ้มหลานไวๆ” ชายชราหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี “อีกอย่างหนึ่ง ถ้าคนรักกัน เราก็ไม่น่าจะประวิงเวลายืดยาว หรือว่าเถ้าแก่ไม่เชื่อใจหลานชายผม ไม่อยากได้หลานชายผมเป็นลูกเขย?” 

“ปละ...เปล่าหรอกค่าคุณปราชญ์ แหม ชอบพูดเล่นอยู่เรื่อยเลยนะคะ เถ้าแก่เขาก็แค่กลัวจะจัดงานแต่งไม่ทันน่ะค่ะ” นางศิภารีบแก้ต่างให้สามี ใครเล่าจะไม่อยากได้เศรษฐีผู้ทรงอิทธิพลทางการเกษตรมาเป็นลูกเขย อีกทั้งลูกสาวคนโตก็จะได้สุขสบาย แถมยังมีผลประโยชน์ทางด้านการค้าควบคู่มาอีกด้วย

“ผมไม่ได้ไม่เชื่อใจคุณเมฆหรอกนะครับ แต่อาทิตย์หน้ามันเร็วเกินไป ควรจะเป็นเดือนสองเดือนข้างหน้ามากกว่า ทางเราก็จะได้เตรียมงานทันให้สมเกียรติคุณเมฆและลูกจันทร์ของผม” 

“รอไม่ได้หรอกครับ” 

เสียงทุ้มกล่าวขึ้น ทำเอาทุกคนในห้องหันมามองบุรุษหนุ่มเจ้าของเสียงเป็นตาเดียว 

“ผมขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ” เมฆาจับมือของคู่หมั้นหมาดๆ ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ กันมาเกาะกุมเอาไว้มั่น แอบส่งสัญญาณบางอย่างให้เธอรู้กันกับเขา 

“เพราะเมื่อวันที่ผมกับคุณจันทร์ไปเคานต์ดาวน์อยู่กันสองต่อสอง คืนนั้นบรรยากาศมันพาไป เราก็เลยพลั้งเผลอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันครับ”

“หา!!” 

ทุกคนอุทานออกมาเสียงดังลั่นบ้าน ขณะที่ใบหน้างดงามของม่านพระจันทร์แดงซ่านและเห่อร้อนด้วยความอับอายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี 

‘เขาบ้าไปแล้ว! พูดออกมาได้ไม่อายฟ้าดิน ถึงมันจะเป็นแค่เรื่องโกหกก็เถอะ แต่เรื่องแบบนี้ใครเขาเอามาพูดโจ๋งครึ่มกันเล่า’

หญิงสาวยกแก้วน้ำบนโต๊ะขึ้นมาดื่มแก้อาการขัดเขิน เมื่อสายตาทุกคู่พุ่งเป้ามาที่เธอเพียงคนเดียว แล้วม่านพระจันทร์ก็ต้องสำลักน้ำพรวดกับประโยคถัดมาของเมฆา

“ที่สำคัญก็คือ ผมไม่ได้ป้องกันเลยครับ”

ให้เขาฆ่าเธอเถอะ ถ้าจะพูดขนาดนี้!

“ผมขอแค่ให้ผมได้แสดงความรับผิดชอบแบบลูกผู้ชาย เพราะหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นในคืนนั้น ผมก็ใช้แหวนประจำตระกูลของผมหมั้นคุณจันทร์เอาไว้ก่อนแล้ว จากนั้นก็รีบเดินทางกลับไปที่เชียงใหม่ ให้คุณตาของผมมาเป็นเถ้าแก่เจรจาสู่ขอคุณจันทร์ในวันนี้ ได้โปรดให้เราสองคนแต่งงานกันเถอะนะครับ ถึงเราจะพลั้งผิด ชิงสุกก่อนห่าม แต่มันก็เกิดขึ้นเพราะความรักจริงๆ”

หากมันไม่ใช่เรื่องโกหก ม่านพระจันทร์คงปาดน้ำตาซาบซึ้งในคำพูดของเขาไปแล้ว แต่ในความเป็นจริงก็คือ คืนนั้นเธอดื่มหนักจนกลับไปที่บ้านพักตากอากาศไม่ไหว เมฆาจึงเสียสละห้องนอนของตัวเองให้เธอ ส่วนตัวเขาออกมานอนที่โซฟาด้านนอก ไม่ได้มีอะไรเกินเลยสักนิดเดียว

“เฮ้อ...” ณรงค์พ่นลมหายใจ พลางยิ้มอย่างอ่อนแรง ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้น 

“ในเมื่อเรื่องมันเป็นอย่างนั้นไปแล้ว ผมก็ไม่มีอะไรขัดข้องอีก เพราะยังไงลูกสาวผมก็เป็นฝ่ายเสียหาย ถ้าท้องไส้ขึ้นมาจะเป็นที่ครหานินทาได้ อีกอย่างตัวผมก็ไม่เคยคิดรังเกียจคุณเมฆเลยนะครับ ดีใจด้วยซ้ำที่จะได้มาเป็นครอบครัวเดียวกัน”

“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันตกลงตามนี้นะครับ ส่วนเรื่องสินสอดทองหมั้น คุณณรงค์เรียกมาได้เลย” ปราชญ์พร้อมจ่ายไม่อั้นเพื่อหลานสะใภ้คนเดียวของตน

“แล้วแต่ทางฝ่ายของคุณจะจัดมาให้เลยครับ ขอแค่พอเหมาะพอดีสมน้ำสมเนื้อ” ชายวัยกลางคนไม่อยากเรียกสินสอดเป็นตัวเลข ถ้าทำเช่นนั้นก็ดูจะเป็นการขายลูกกินเกินไป

“แล้วเรื่องงานแต่งงานล่ะคะ เราควรตกลงกันให้เรียบร้อยก่อน จะได้ช่วยกันเตรียมงานทันภายในอาทิตย์หน้า” นางศิภาไม่ลืมที่จะถามถึงเรื่องสำคัญ

“ผมกับคุณจันทร์เราตกลงกันแล้วว่าจะจัดงานเล็กๆ เชิญเฉพาะญาติสนิทครับ หมั้นเช้าแต่งเย็น ส่วนเรื่องสถานที่...คุณอยากจัดที่ไหนครับ” เมฆาหันไปถามความคิดเห็นของว่าที่เจ้าสาว 

“จันทร์อยากจัดที่บ้านค่ะ บรรยากาศมันอบอุ่นมากกว่าจะไปจัดตามโรงแรมหรูๆ บ้านเราก็มีพื้นที่เพียงพออยู่แล้วใช่ไหมล่ะคะ” 

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจลูกก็แล้วกัน พ่อจะได้ให้คนไปจัดการพิมพ์การ์ดงานแต่งแบบเร่งด่วน เชิญเฉพาะญาติสนิทกับเพื่อนๆ ของลูก”

“ผมจะเตรียมขันหมากกับสินสอดเอาไว้ให้พร้อมนะครับ แขกทางฝั่งผมคงมีไม่เยอะมาก ครอบครัวก็มีแค่คุณตามาเป็นญาติผู้ใหญ่เพราะคุณแม่ของผมท่านป่วย เดินทางมาร่วมงานไม่ไหว” 

เมฆาจำต้องโป้ปดอีกครั้ง การแต่งงานครั้งนี้เขาตั้งใจจะปิดข่าวให้เงียบที่สุด มีเพียงคุณตากับลูกน้องและบรรดาเพื่อนสนิทของเขาเท่านั้นที่รู้ เพราะขืนผู้เป็นมารดารู้เข้า มีหวังมาพังงานแต่งแน่ๆ 

“หลังจากงานแต่งงาน ผมขอตัวคุณจันทร์ไปอยู่ไร่ของผมที่เชียงใหม่เลยนะครับ ถ้าเถ้าแก่กับคุณภาคิดถึงก็ไปเยี่ยมได้เสมอผมยินดีต้อนรับ การเดินทางสมัยนี้ไม่ลำบาก นั่งเครื่องสองชั่วโมงก็ถึงแล้วครับ” บุรุษหนุ่มพูดยิ้มๆ 

แบบนี้สิถึงเรียกว่าแต่งเมียเข้าไปอยู่ในบ้าน เรือนหอที่เขาสร้างก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว รอตกแต่งเพิ่มเติมตามที่ยายแม่ชีชอบ เขาปฏิญาณตนว่าจะตามใจเธอทุกๆ เรื่อง ในเมื่อเธอไม่ได้เรียกร้องเงินทองอะไรอย่างที่ควรจะได้ หน้าที่ของเธอก็มีแค่รับบทเป็นภรรยากำมะลอซึ่งเขาก็ไม่รับปากว่า อนาคตข้างหน้าจะเลื่อนเป็นภรรยา ‘จริงๆ’ หรือไม่

 

ก๊อก ก๊อก 

เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง ตามด้วยน้ำเสียงที่แสนคุ้นเคย

“นี่ขวัญเอง ขอเข้าไปหน่อยได้ไหมคะ”

ม่านพระจันทร์เงยหน้าจากหนังสือเล่มโปรด ยิ้มบางๆ แม้นึกแปลกใจอยู่มากที่คนเป็นน้องอยากจะเข้ามาหาตนในรอบกี่ปีก็ไม่ทราบได้ มือบางปิดหนังสือดังฉับพร้อมกับวางมันไว้บนเตียง ก่อนจะลุกไปเปิดประตูให้ขวัญฤทัยเข้ามา

“มีอะไรหรือเปล่า ขวัญถึงได้มาเรียกพี่กลางดึกแบบนี้”

เด็กสาววัยสิบแปดปีไม่ตอบ แต่กลับเดินไปนั่งที่เตียงของพี่สาวแทน พลางมองสำรวจไปรอบๆ 

“ขวัญไม่ได้เข้ามาห้องพี่จันทร์นาน ยังจัดห้องสวยเหมือนเดิมเลยนะ”

“ไม่ขนาดนั้นหรอก ช่วงนี้พี่ก็ไม่มีเวลาจัดแต่งดูแลมันเท่าไหร่” ม่านพระจันทร์พูดกลั้วหัวเราะ เดินไปหยิบนู่นจับนี่ตามประสาคนรักความสะอาดสวยงาม

“ที่พี่จันทร์ไม่มีเวลา เพราะมัวแต่ยุ่งกับเรื่องเตรียมงานแต่งงานอยู่ใช่ไหมล่ะคะ”

“นั่นก็มีส่วน อันที่จริงพี่กำลังประกาศหาพนักงานบัญชีมาทำที่โรงงานเรา เพราะหลังจากที่พี่ไปอยู่เชียงใหม่ พ่อกับแม่ก็ไม่มีใครช่วยทำบัญชีให้ หรือขวัญอยากจะลองทำบัญชีดูบ้างไหมล่ะ” เธอถามความสนใจของน้องสาว ซึ่งคำตอบที่ได้รับกลับมาก็เป็นดังที่คาดเอาไว้

ขวัญฤทัยสั่นศีรษะแรงๆ ทำท่าทีขนลุกขนพองเมื่อได้ยินคนเป็นพี่สาวถามแบบนั้น

“ไม่ละ เมินซะชาติหนึ่ง ขวัญไม่ขอยุ่งกับงานที่เกี่ยวกับตัวเลขทั้งสิ้น แค่คิดก็สยองแล้ว” คณิตศาสตร์และตัวเลขทั้งหลายมันไม่ใช่ทางของเธอเลยสักนิดเดียว 

“ว่าแต่...ขวัญขอถามอะไรพี่จันทร์หน่อยสิ”

“ว่ามาเลย”

“ที่พี่จันทร์จะแต่งงานกับคุณเมฆาอะไรนั่น ไม่ใช่เพราะพี่จันทร์กำลังประชดพี่เก้าใช่ไหมคะ”

ดอกไม้ที่อยู่ในมือเรียวขาวผลอยหล่นลงไปกองกับพื้นพรม จู่ๆ มือไม้ก็เย็นเฉียบและหมดเรี่ยวแรงลงอย่างมิทราบสาเหตุ

ช่างเป็นคำถามที่แทงใจดำม่านพระจันทร์เหลือเกิน... ร่างบางในชุดกระโปรงยาวค่อยๆ ย่อตัวลงก้มเก็บมันแล้วนำมาใส่แจกันตรงมุมห้องอยู่ที่เดิม 

เธอไม่รู้เลยว่าควรจะตอบคำถามของน้องสาวอย่างไร

“พี่จันทร์เงียบไปแบบนี้ แสดงว่าใช่จริงๆ ใช่ไหม”

“...”

“ขวัญก็ไม่เชื่อตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าคนอย่างพี่จันทร์จะทำตัวเหลวแหลกได้ พี่กับคุณเมฆาไม่ได้นอนด้วยกัน” ขวัญฤทัยรู้จักนิสัยใจคอของพี่สาวดี ไม่มีทางที่พี่สาวของตนจะพลาดมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ชาย ม่านพระจันทร์เป็นคนที่มีสติรู้ตัวตลอดเวลา ไม่เผลอไผลไปกับอะไรง่ายๆ เป็นคนดีเกินกว่าจะทำให้บิดามารดาผิดหวังกับการกระทำของตัวเอง

“ขวัญจะรู้ดีกว่าตัวพี่เองได้ยังไง พี่ไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบอย่างที่ขวัญเข้าใจ พี่ทำผิด พี่ชิงสุกก่อนห่าม พี่อยากให้ขวัญจำเอาไว้เตือนสติตัวเองว่าอย่าพลาดเหมือนที่พี่พลาดอีก” 

หญิงสาวพูดพลางปาดน้ำตาไปด้วย ระหว่างที่หันหลังจัดดอกไม้ใส่แจกันทั้งที่ไม่มีกะจิตกะใจจะทำ สิ่งที่เธอพูดมันไม่ใช่เรื่องจริง และน้องสาวของเธอก็เดาออก แต่ที่ร้องไห้ออกมาไม่ใช่เพราะเรื่องโกหกนี่เลย เป็นเรื่องนพกรต่างหากที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ แม้ปากจะพูดตรงข้ามไปอีกอย่าง แต่ใจเธอก็ลอยไปหาเขาตลอดเวลา 

“ถ้าพี่จันทร์ไม่ได้รักเขา แล้วจะไปแต่งงานกับเขาทำไม ในเมื่อพี่ยังรักพี่เก้าอยู่ ขวัญก็จะเป็นคนถอนหมั้นให้เอง”

“พี่รักคุณเมฆ” ม่านพระจันทร์ตอบย้ำด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “กับคุณเก้าเราก็แค่...เพื่อนที่ดีต่อกันเท่านั้นแหละ ขวัญไม่ต้องคิดเรื่องที่จะถอนหมั้น เพราะมันเป็นไปไม่ได้”

“...”

“อีกไม่กี่วันพี่ก็จะแต่งงานกับผู้ชายที่พี่รัก พี่ไม่ต้องการให้ขวัญมาพูดเรื่องนี้อีก นอกจากมันจะไม่ดีต่อตัวพี่แล้ว มันก็ไม่ดีต่อตัวของขวัญเอง”

คำสั่งของเธออาจจะฟังดูใจร้ายที่ปฏิเสธความหวังดีของน้องสาว แต่เธอจำเป็นต้องเด็ดขาด ถ้าความหวังดีไม่เข้าท่านั้นจะทำลายนพกรและขวัญฤทัย ในเมื่อทั้งคู่รักชอบพอกันแล้ว เหตุใดจึงต้องเสียสละให้เธอไปเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการ

“ขวัญขอโทษค่ะ ขวัญก็แค่ไม่อยากเห็นพี่จันทร์มีความทุกข์ ไม่อยากเห็นพี่จันทร์ต้องยอมฝืนใจ” เสียงหวานเศร้าสร้อยลงไปถนัด

คนเป็นพี่ก็ไม่อาจนิ่งดูดายต่อไปได้ ละมือจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ ก่อนจะเดินไปนั่งที่เตียงข้างๆ กับน้องสาว ลูบเรือนผมนุ่มเบาๆ 

“พี่ไม่ได้ฝืนใจเลยจริงๆ นะ พี่รักเขาอยู่เป็นทุน พี่ถึงได้ตกลงแต่งงานกับเขายังไงล่ะ”

“พี่จันทร์จะรักคุณเมฆได้ยังไงอะ ในเมื่อรู้จักกันได้ไม่กี่อาทิตย์เท่านั้นเอง พี่ก็จะแต่งงานกับเขาแล้ว” คนอ่อนวัยกว่าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี 

“พี่ไม่สนใจเรื่องเวลาหรอกขวัญ ถ้ารักมันก็คือรัก พอแต่งงานกันแล้วก็ค่อยศึกษาดูใจกันไป พี่ไม่ซีเรียส”

“แล้วพี่จันทร์มั่นใจได้แค่ไหนว่าเขารักพี่”

“พี่ก็ไม่รู้หรอกนะ รู้แค่ว่าเขาคือผู้ชายที่ปรากฏตัวตอนที่พี่ติดฝนหาทางไปไม่ได้ เขาคือคนที่กางร่มแล้วจูงมือพี่ฝ่าฝนไปด้วยกัน เขาคือคนที่กอดพี่ตอนที่พี่เสียใจ เขาอยู่ข้างๆ ในวันที่พี่ร้องไห้ พี่รู้แค่นี้” 

ม่านพระจันทร์คลี่ยิ้มน้อยๆ ดูเหมือนคนข้างกายจะเริ่มเข้าใจความหมายโดยนัยของคำพูดเธอ จึงไม่ซักถามอะไรอีกนอกจากเอนศีรษะมาซบที่ไหล่ 

เธอไม่รู้ว่าผู้เป็นน้องสาวจะคิดเห็นอย่างไร อาจจะคิดว่าเธอโกหก...ทั้งที่ความจริงแล้ว นี่คือความในใจที่มีต่อผู้ชายที่ชื่อเมฆาทั้งหมด โดยที่เธอไม่เคยพูดออกไปให้เขาได้ฟังเลยสักครั้ง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น