7

รุกฆาตแม่ชี

7

รุกฆาตแม่ชี

 

เย็นวันศุกร์ของอาทิตย์สุดท้ายก่อนวันสิ้นปี ลมหนาวผสมละอองฝนพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างบานกระจกใสที่ถูกเปิดกว้าง ขณะที่แม่บ้านและสาวใช้วุ่นอยู่กับการทำความสะอาดภายในบ้านหลังใหญ่ เพื่อต้อนรับการกลับมาของทายาทลำดับที่หนึ่งแห่งครอบครัวปุณยภักดิ์

ม่านพระจันทร์อยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนลายลูกไม้ตัวเก่ง เธอเกล้าผมเก็บขึ้นเรียบร้อย ด้วยไม่ต้องการให้หล่นลงไปในหม้อแกงเขียวหวานที่กำลังบรรจงปรุงอย่างตั้งอกตั้งใจ เนื่องจากมันเป็นของโปรดของ ‘ดนัยณัฐ’ ผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งนานๆ ครั้งจะมีโอกาสได้เจอกันเสียที

“คุณหนูจะให้ตั้งโต๊ะอาหารเลยหรือเปล่าคะ?” 

“ยังไม่ต้องหรอกค่ะป้าก้อย นี่เพิ่งจะหกโมง รอพี่ณัฐกับแม่กลับมาค่อยตั้งโต๊ะดีกว่าค่ะ” หญิงสาวตอบแม่นมคนสนิท พลางเดินไปปิดเตาแก๊ส เมื่อแกงเขียวหวานเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

“อืม...กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา ผัดฟักทอง แกงเขียวหวานเสร็จหมดแล้ว เหลือแต่ของหวาน ป้าก้อยช่วยหยิบผลไม้ในตู้เย็นให้จันทร์หน่อยได้ไหมคะ จันทร์จะเอามาปลอก”

“ได้ค่ะ” นางกวินรับคำ ก่อนจะเปิดตู้เย็นแล้วหยิบผลไม้ในถุงมาให้หญิงสาวที่นางรักและเฝ้าดูแลทะนุถนอมมาตั้งแต่ยังแบเบาะ เปรียบได้กับลูกในไส้เลยทีเดียว

“ขอบคุณค่ะ” คุณหนูของนางยิ้มอ่อนโยน เหงื่อเม็ดเล็กเกาะพราวตามไรผมและส่วนต่างๆ ของใบหน้างาม จนอดไม่ได้ที่จะหยิบกระดาษทิชชูบนเคาน์เตอร์ซับให้เบาๆ 

“คุณหนูคงเหนื่อยแล้ว ไปพักก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวทางนี้ป้าทำเอง” 

“ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ พี่ณัฐกลับมาทั้งที จันทร์ก็อยากจะทำอะไรพิเศษๆ ให้ ป้าก้อยช่วยดูนะคะ เดี๋ยวจันทร์จะแกะสลักเป็นรูปดอกไม้เหมือนที่ป้าก้อยเคยสอนเอาไว้”

ร่างบางกล่าวด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี หยิบผลไม้ในถุงออกมาแกะสลักอย่างง่ายให้เป็นลวดลายสวยงาม โดยที่ไม่ใช้เวลานานมากจนเกินไป

“ฝีมือไม่ตกเลยนะคะเนี่ยคุณหนู” นางกวินเอ่ยชมยิ้มๆ ขณะหยิบชิ้นผลไม้ที่แกะสลักแล้วขึ้นมาพิจารณาดู 

“แน่นอนค่ะ เพราะจันทร์คือศิษย์เอกของป้าก้อย”

ยังไม่ทันที่จะได้สนทนาอะไรกันต่อ เสียงรถยนต์จากหน้าบ้านก็ดังขึ้นเสียก่อน

“ทำไมแม่กับพี่ณัฐกลับมาเร็วจัง” ริมฝีปากอิ่มพึมพำเบาๆ 

“เดี๋ยวป้าออกไปดูเองค่ะ” ร่างท้วมในชุดยูนิฟอร์มเดินออกจากห้องครัวไปสักพักใหญ่ ก็กลับเข้ามารายงานให้คุณหนูของนางได้ทราบ

“ไม่ใช่คุณศิภากับคุณณัฐหรอกค่ะ คุณเก้าเธอมาส่งคุณขวัญ สงสัยว่าคงจะไปรับเธอมาจากที่โรงเรียน” 

คำตอบของแม่นมทำให้ม่านพระจันทร์หุบยิ้มลง หัวใจดวงน้อยในอกเจ็บลึก ทันทีที่ได้ยินว่านพกรขับรถมาส่งน้องสาวของเธอที่บ้าน

‘เขาคงจะทำหน้าที่คู่หมั้นที่ดีสินะ’

“เอ่อ...คุณหนูออกไปที่ห้องรับแขกเถอะค่ะ คุณท่านเรียกหา คงมีเรื่องสำคัญอยากจะคุย เดี๋ยวทางนี้ป้าจัดการเองค่ะ” 

เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวจืดเจื่อนลงไปถนัด นางจึงพูดตัดบทด้วยการอาสาทำงานที่เหลือแทน รู้สาเหตุเป็นอย่างดีที่คุณหนูของนางเป็นเช่นนี้เพราะใครและเพราะอะไร แต่ถึงจะสงสารมากแค่ไหน ก็ฝืนคำสั่งของเจ้านายไม่ได้ ต้องจำยอมปล่อยให้แก้วตาดวงใจของนางไปเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด

“ฝากที่เหลือด้วยนะคะ” ม่านพระจันทร์ถอดผ้ากันเปื้อนส่งให้แม่นม ก่อนจะก้าวเท้าแสนหนักอึ้งเยื้องย่างออกมาจากห้องครัวช้าๆ 

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่คนว่าง่ายอย่างเธออยากจะขัดคำสั่งของบิดาเหลือเกิน เพราะเธอไม่อยากเจอเขา...คนที่ทำร้ายหัวใจของเธออย่างเลือดเย็น

“จันทร์ลูก มาพอดีเลย มานั่งนี่มา” บิดาเอ่ยเรียกทันทีเมื่อม่านพระจันทร์เดินมาเข้ามาถึงห้องรับแขก เธอเดินไปนั่งบนโซฟาตัวยาวโดยไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ นอกจากก้มหน้า ไม่ชายตามองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันเลยแม้แต่น้อย

“ผมอยากชวนคุณอากับทุกคนไปเคานต์ดาวน์ที่บ้านพักตากอากาศที่พัทยาด้วยกันในวันอาทิตย์นี้น่ะครับ เราสองครอบครัวไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันนานแล้ว” นพกรเอ่ยถึงจุดประสงค์หลักในการมาครั้งนี้นอกเหนือจากการมาส่งคู่หมั้นตัวแสบด้วย

“เอ้อ ดีเหมือนกันนะ ไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง” ณรงค์เห็นด้วยกับว่าที่ลูกเขย แต่ก็ไม่ลืมหันมาถามความคิดเห็นของลูกสาวคนโต

“จันทร์ว่าไงล่ะลูก” 

“ดีเหมือนกันค่ะ” ม่านพระจันทร์ยิ้มบางๆ ในที่สุดก็ควบคุมหัวใจตัวเองไม่ให้หันไปมองชายหนุ่มที่ตนรักไม่ได้

ยิ่งตอกย้ำให้เจ็บไปกว่าเดิม เมื่อได้เห็นดวงตาเย็นชาว่างเปล่าคู่นั้นที่ไม่ได้หันมามองเธอเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของเขายังจับจ้องอยู่ที่น้องสาวเธอซึ่งนั่งข้างๆ กัน

“งั้นตอนประมาณเจ็ดโมงครึ่ง ผมจะเอารถตู้ที่บ้านแวะมารับนะครับ เราเอารถตู้ไปสองคันน่าจะพอ”

“แล้วจะไปกี่วันล่ะ พวกอาจะได้เอาเสื้อผ้าไปถูก” 

“ไปสองวันหนึ่งคืนครับ หรือคุณอาอยากจะอยู่นานกว่านั้น?”

“อืม...จันทร์อยากไปอยู่เที่ยวกี่วันลูก” 

บิดาหันมาถามความเห็นเธออีกแล้ว

“สองวันก็พอค่ะ” หากอยู่นานกว่านั้น มีหวังเธอคงตรอมใจตายไปก่อน

“แล้วขวัญล่ะ อยากไปกี่วัน”

“ขวัญอยากไปเคานต์ดาวน์กับเพื่อนมากกว่า” ขวัญฤทัยตอบเถรตรงตามบุคลิกนิสัยของตน

“ไปกับครอบครัวนี่แหละดีแล้ว ไปเที่ยวกับเพื่อนก็พากันเถลไถลอีก” นพกรแย้งอย่างไม่เห็นด้วย

“เอ๊ะ! พี่เก้าอย่ามาว่าขวัญนะ”

“เอาน่า พี่เขาเป็นห่วง เราก็ยิ่งแสบๆ อยู่ด้วย ถือว่าพ่อขอละปีนี้ ไปเที่ยวกันเป็นครอบครัวเถอะ”

“ก็ได้ค่ะ” สาวน้อยยอมจำนน แต่ก็มิวายหันไปทำตาเขียวใส่คู่หมั้นจอมเผด็จการ ก่อนจะถูกเขาแกล้งโยกคลึงศีรษะไปมาแรงๆ 

ม่านพระจันทร์มองภาพนั้นด้วยความเจ็บปวดจนสุดจะกลั้น เขาก็ดูรักดูห่วงน้องสาวของเธอดี มีแต่เธอนั่นแหละที่คิดไปเองว่าเขารักเธอ

‘ทำไมเราถึงได้โง่อย่างนี้นะ...’ หญิงสาวตัดพ้อกับตัวเองในใจ 

“ขะ...ขอตัวก่อนนะคะทุกคน พอดีว่าจันทร์ทำงานค้างเอาไว้” 

เมื่อทำนบน้ำตาทำท่าจะพังลง หญิงสาวจึงรีบเอ่ยขอตัวเดินจากมา ไม่ต้องการให้มันไหลล้นเอ่อออกมาประจานความน่าสมเพชของตัวเอง

 

แดนดินดื่มกาแฟมอคคารวดเดียวจนหมดแก้ว ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการขับรถเป็นเวลานานทำให้เขาง่วงมาก ระยะทางจากเชียงใหม่ถึงกรุงเทพฯ ไม่ใช่ใกล้ๆ เลย ถ้านั่งเครื่องบินก็ใช้เวลาเพียงสองชั่วโมง แต่ทำไงได้ เมื่อมันเป็นความต้องการของผู้เป็นเจ้านาย

“แกเหนื่อยมาตั้งแต่เช้าแล้ว ผลัดให้ฉันขับก็ได้นะ” 

“ไม่เป็นไรหรอกครับ อีกนิดเดียวก็จะถึงหมู่บ้านของเถ้าแก่แล้ว พอเสร็จก็เลยไปคอนโดคุณเมฆ ผมจะขอนอนยาวถึงพรุ่งนี้เช้า”

เขาหมายถึงคอนโดมิเนียมที่เมฆาซื้อเอาไว้อยู่พักผ่อน เมื่อเดินทางมาทำธุระที่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้มันไม่ถูกเปิดใช้บ่อยนัก เพราะเจ้านายหนุ่มไม่ชอบการใช้ชีวิตท่ามกลางแสงสีเสียงอันแสบตาหนวกหู แต่พักหลังๆ มันกลับถูกเปิดเข้าเปิดออกเป็นว่าเล่น

นี่ละหนาที่เขาว่า เมื่อคนเราลองได้มีความรัก มักทำได้ทุกอย่าง แต่แดนดินก็ไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่เจ้านายของเขากำลังทำมันเข้าข่ายคนมีความรักหรือไม่ เขาเองก็ดูไม่ออก

เพียงเวลาไม่นานนัก รถยุโรปสีบรอนซ์เงินก็เลี้ยวเข้ามาภายในหมู่บ้านจัดสรรของย่านคนมีสตางค์ ทั้งสองข้างทางสะอาดสะอ้านเรียบร้อยสวยงาม เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวร่มรื่น มีบ้านทาวน์โฮมลักษณะเหมือนๆ กันเว้นระยะห่างเป็นระเบียบ 

ยานพาหนะมีระดับเคลื่อนตัวเข้ามาตามทางลึกขึ้นเรื่อยๆ จนถึงบริเวณท้ายหมู่บ้านและข้ามสะพานเชื่อมลำคลองขนาดเล็ก ขับต่อได้อีกสักระยะก็มาหยุดอยู่หน้าประตูรั้วของบ้านหลังใหญ่ ซึ่งตั้งตระหง่านโดดเด่นเป็นสง่าท่ามกลางแมกไม้ มันต่างจากบ้านทาวน์โฮมหลังที่ผ่านๆ มาโดยสิ้นเชิง เพราะบ้านหลังนี้สร้างสไตล์โมเดิร์นทันสมัย คล้ายกับบ้านของชาวยุโรป 

เมฆาไม่อยากเชื่อว่านี่คือบ้านของเศรษฐีเจ้าของธุรกิจขนมยอดขายร้อยล้าน ถึงมันไม่เวอร์วังอลังการ แต่ก็เรียบหรูดูดี เขาเคยได้ยินกิตติศัพท์ความตระหนี่ของครอบครัวนี้มาพอสมควร ก่อนจะตกลงเซ็นสัญญาการค้า เพราะตระกูลปุณยภักดิ์สืบเชื้อสายมาจากชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่อพยพมาตั้งรกรากอยู่ในเมืองไทย

แต่ถึงจะตระหนี่ถี่เหนียวอย่างไร ก็คงไม่เท่าแม่ของเขาอยู่แล้ว รายนั้นแม้แต่เศษเหรียญก็ไม่ให้กระเด็นออกจากกระเป๋าเลยด้วยซ้ำ

“มีคนมาเปิดประตูรั้วให้แล้วครับ” ลูกน้องคนสนิทว่าพลางขับรถเข้าไปจอดข้างใน ยิ่งทำให้เห็นบริเวณในรั้วบ้านชัดเจนขึ้น “เราไม่ได้บอกเถ้าแก่ล่วงหน้าเลยนะครับว่าจะมาหา แบบนี้...ไม่น่าสงสัยเหรอครับนาย”

“ก็บอกเขาว่าเราแค่แวะมาเยี่ยมเฉยๆ เลยเอาผลไม้จากไร่มาฝาก” บุรุษหนุ่มไหวไหล่ ทำเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ ทั้งที่จุดประสงค์ที่แท้จริงไม่ได้เป็นดังปากพูดเลยสักนิด เขาก็แค่ต้องการจะพบ ‘แม่ชีกุลสตรีศรีสยาม’ ของเขาเท่านั้นเอง 

“แล้วคุณเมฆแน่ใจเหรอครับว่าจะได้เจอคุณจันทร์ ถึงเจอ เถ้าแก่คงไม่ปล่อยให้คุณเมฆไปขอลูกสาวเขาแต่งงานแบบหน้าตายหรอกนะครับ” แดนดินสัพยอก

“แล้วใครบอกว่าฉันจะไปขอเขาแต่งงานเลยล่ะ ขืนทำแบบนั้น เขาคงหาว่าฉันบ้าแน่”

“อ้าว งั้นไอ้ที่ถ่อสังขารกันมาไกลแสนไกลก็ไม่ได้อะไรเลยน่ะสิครับนาย” ลูกน้องตัวดีกล่าวตัดพ้อพร้อมกับพ่นลมหายใจหนักๆ ออกมา

“มันต้องค่อยๆ ‘รุก’ อย่ารีบ และแกก็ไม่ต้องบ่น เพราะฉันขึ้นเงินเดือนให้แกตามสัญญาแล้ว”

แค่ได้ยินคำว่าขึ้นเงินเดือน หนุ่มจอมทะเล้นก็ตาเป็นประกายวิบวับ อารมณ์ดีมีความสุขขึ้นมาถนัด 

“ครับผม จะไม่บ่นไม่พูดให้คุณเมฆระคายหูแม้แต่คำเดียวเล้ย”

“ดีมาก ไปขนผลไม้ที่ท้ายรถได้แล้ว ฉันต้องเข้าไปทักทายเจ้าของบ้าน” 

เมฆาว่าพลางสำรวจความเรียบร้อยของตนเอง เขาต้องดูดีที่สุดตอนพบครอบครัวของเธอ ต้องทำคะแนนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาเมื่อเขาแต่งงาน

 

“ใครมาน่ะแม่ก้อย ตาเก้าก็กลับไปนานแล้วนา” ณรงค์เอ่ยถามแม่บ้าน จะว่าเป็นภรรยากับลูกชายของเขาก็คงไม่ใช่ เพราะทั้งคู่เพิ่งโทร. มาบอกว่าจะแวะซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่ห้างสรรพสินค้าเมื่อสักครู่

“ไม่ทราบเหมือนกันนะคะ อืม...” นางกวินแหวกม่านห้องรับแขก มองผ่านกระจกบานใส “เป็นรถเบนซ์สีบรอนซ์เงินน่ะค่ะ ไม่คุ้นเลยนะคะ เดี๋ยวดิฉันออกไปดูให้ดีกว่า”

“ฮ่าๆ รู้สึกว่าวันนี้บ้านเรามีแขกมาเยี่ยมเยียนกันเยอะเนอะ” ประมุขของบ้านพูดกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี สักพักนางกวินก็กลับเข้ามารายงานให้ผู้เป็นนายฟัง

“ผู้ชายที่ชื่อเมฆามาขอพบค่ะ คุณท่านรู้จักหรือเปล่าคะ” นางเข้ามาถามเพื่อความแน่ใจ ยังไม่กล้าให้บุรุษหนุ่มแปลกหน้าเข้ามาภายในบ้าน ถึงพ่อหนุ่มนั่นจะหน้าตาดี แต่ก็แฝงไปด้วยพลังอำนาจกล้าแกร่ง โดยเฉพาะดวงตาดุๆ คู่นั้น มองๆ ไปแล้วก็เหมือนพวกมาเฟียในละครหลังข่าวที่นางชอบดู

“อ้อ คุณเมฆหรอกรึ ให้เข้ามาสิแม่ก้อย นี่ละคู่ค้าคนสำคัญของฉัน ไปๆ ไปเชิญคุณเขาเข้าบ้าน แล้วให้เด็กไปจัดหาน้ำท่ามาต้อนรับ”

“ได้ค่ะ” 

นางกวินน้อมรับคำสั่ง แล้วออกไปตามบุรุษหนุ่มน่าเกรงขามผู้นั้นพร้อมกับลูกน้องให้เข้ามาภายในบ้าน

“สวัสดีครับคุณเมฆ ไปไงมาไงล่ะเนี่ย” ณรงค์เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มอย่างจริงใจ รีบลุกขึ้นเชื้อเชิญอีกฝ่ายให้เข้ามานั่งที่โซฟาห้องรับแขกตัวยาว

“สวัสดีครับคุณณรงค์ พอดีผมมางานประมูลเครื่องมือการเกษตรนำเข้า ผ่านมาเส้นนี้พอดี ก็เลยแวะเอาผลไม้ที่ไร่มาฝากน่ะครับ” เมฆากล่าวขณะที่นั่งลงตรงข้ามกับเถ้าแก่วัยกลางคน

“โอ้ ขอบคุณมากเลยนะครับ แค่คุณเมฆแวะมาเยี่ยมเยียนที่บ้านเรา ผมก็ดีใจมากแล้ว แม่ก้อย รับผลไม้ไปเก็บไว้ในครัวที”

“เดี๋ยวผมช่วยครับ” แดนดินรับอาสาเป็นคนช่วยถือให้ นางกวินจึงเดินนำชายหนุ่มไปยังห้องครัวหลังบ้าน

ม่านพระจันทร์กำลังนั่งหันหลังแกะสลักผลไม้อย่างใจลอย เมื่อได้ยินเสียงของแม่บ้านคนสนิทเดินเข้ามาในครัวจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

“ใครมาอีกแล้วเหรอคะป้าก้อย”

“สวัสดีครับคุณจันทร์”

กลายเป็นน้ำเสียงของใครคนหนึ่งที่พอคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินทักทายตอบมาแทน หญิงสาวหันหลังกลับไปมองอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นชายหนุ่มเจ้าของเสียงก็แย้มยิ้มน้อยๆ ระคนประหลาดใจ 

“สวัสดีค่ะคุณเลขาฯ มาได้ยังไงคะ”

“ตามเจ้านายมาน่ะครับ เจ้านายผมร่ำร่ำอยากเจอคุณจันทร์จะแย่” 

แดนดินแกล้งหยอกแซว แล้วก็ได้ผล เพราะใบหน้างดงามของคุณนางฟ้าแดงซ่านด้วยความเขินอาย เขาจึงรีบแก้คำพูดของตัวเองก่อนที่จะโดนฝีเท้าหนักๆ ของเจ้านายกระทืบเอา

“ผมล้อเล่นน่ะครับ คุณเมฆแวะมาเยี่ยมเถ้าแก่เฉยๆ”

“ต๊าย! พ่อหนุ่ม มาพูดเล่นอะไรแบบนี้กับคุณเขาได้ยังไงกันหา!” นางกวินดุไอ้หนุ่มหน้ามนที่ริอ่านมาพูดจาแบบนี้กับคุณหนูของนาง

“อย่าไปว่าคุณเลขาฯ เลยค่ะ เขาก็แค่แซวเล่น เรา...สนิทกันน่ะค่ะ ช่วงนี้เจอกันบ่อย” ม่านพระจันทร์รีบปราม เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ เธอไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองคุณเลขาฯ คนนี้แต่อย่างใด ตรงกันข้ามหัวใจของเธอกลับเต้นระรัวเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้นออกมา แม้จะเป็นเพียงคำพูดหยอกล้อก็ตาม

“จะรับน้ำหรือกาแฟดีคะ” ร่างบางหันไปถามชายหนุ่ม เตรียมพร้อมรับรองแขกคนสำคัญเสมอ

“ขอเป็นกาแฟสองแก้วแล้วกันนะครับ”

“งั้นไปรอที่ห้องโถงเลยนะคะ เดี๋ยวเสร็จแล้วจะยกเอาออกไปให้”

“ขอบคุณมากครับคุณจันทร์” แดนดินไม่ลืมที่จะเอ่ยขอบคุณหญิงสาว ก่อนจะผละออกมาเพราะสายตาพิฆาตของคุณแม่บ้าน ซึ่งดูจะหวงแหนคุณหนูของนางนัก

‘ว้า คุณเมฆ มาก็เจอด่านแรกเสียแล้ว’

 

เมฆาสนทนากับประมุขเจ้าของบ้านอยู่สักพักใหญ่ๆ พูดคุยกันสบายๆ ไม่เคร่งเครียด โชคดีที่ความชอบส่วนตัวของเขากับเถ้าแก่วัยกลางคนผู้นี้ตรงกันหลายเรื่อง จึงไปกันได้สวยเหมือนครั้งที่อยู่โรงงาน

แต่ใจของเขากลับนึกกระหวัดไปถึงหญิงสาวอยู่เรื่อยว่าเธออยู่ไหน และเมื่อไหร่จะออกมาปรากฏตัวออกมา

“เดี๋ยวผมไปเอาพระสมเด็จที่ว่านี่มาให้คุณเมฆดูสักหน่อยดีกว่า รอสักครู่นะครับ”

“ครับ” บุรุษหนุ่มพยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนจะสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ บ้านเพื่อมองหาใครคนหนึ่ง

“กาแฟมาแล้วค่ะ”

ราวหัวใจแข็งแกร่งได้รับหยาดน้ำทิพย์ชโลมใจ มันพองโตจนคับอก เมื่อได้ยินน้ำเสียงหวานใสนั้น เมฆารีบหันกลับมามองที่ต้นเสียงอย่างรวดเร็ว

“คุณ...”

“คือ...คือฉันเอากาแฟมาให้น่ะค่ะ” ร่างบางซึ่งอยู่ในชุดกระโปรงยาวเหมือนอย่างเคยเดินตรงเข้ามาหา และวางแก้วกาแฟในถาดลงบนโต๊ะ 

“ขอบคุณมากครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อ้าว แล้วนี่คุณพ่อไม่อยู่เหรอคะ ให้ขึ้นไปตามให้ไหม...”

“ท่านขึ้นไปเอาของน่ะครับ เดี๋ยวสักพักก็คงจะลงมา”

“อ๋อ งั้นขอตัวก่อนนะคะ”

เมื่อเห็นร่างบางกำลังจะหันหลังจากไป เขาจึงรีบเอ่ยทักท้วง 

“อยู่คุยเป็นเพื่อนผมก่อนได้ไหมครับ”

ม่านพระจันทร์นิ่งชะงัก ไม่แน่ใจว่าตนควรทำตามคำขอของบุรุษหนุ่มผู้นี้ดีหรือไม่ เพราะเขาน่ะช่างอันตรายต่อหัวใจของเธอเสียจริงๆ ทุกครั้งที่ได้พบหน้า ได้พูดคุย มักเกิดความรู้สึกประหลาดซึ่งเธอไม่ชอบมันเอาเสียเลย

“หวังว่าคุณจะไม่ใจร้ายปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวหรอกนะ”

นั่นไง...ความอันตรายของเขาละ

ใจหนึ่งก็อยากเดินหนี แต่ในที่สุดก็ต้านทานน้ำเสียงดุกร้าวที่ฟังดูเว้าวอนนั้นไม่ไหว ร่างบางจึงหมุนตัวเดินกลับไปนั่งที่โซฟาตรงข้ามกันกับชายหนุ่ม

“ผมมีบางอย่างอยากให้คุณดู”

“อะไรเหรอคะ?” 

เมฆาหยิบสมาร์ตโฟนคู่ใจขึ้นมาเปิด ก่อนจะยื่นมันให้หญิงสาว “นี่ครับ”

“แบบบ้านเรือนไทย...” คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูงเป็นเชิงถาม

“แล้วมันสวยไหมล่ะครับ” 

“สวยค่ะ สวยมาก...” ม่านพระจันทร์ชื่นชมอย่างจริงใจ ขณะไล่สายตาสำรวจแบบบ้านนั้นอีกครั้งหนึ่ง มันทั้งมีเสน่ห์และประณีตสวยงาม

“อยากให้ผมต่อเติมอะไรเพิ่มหรือเปล่า” เขาถามออกไปโดยไม่ทันคิด ทำให้แม่ชีกุลสตรีศรีสยามเงยหน้ามามองแบบงงๆ 

“คุณพูดว่าอะไรนะคะ”

“เปล่าหรอก...ผมก็แค่อยากถาม สมมติว่านี่เป็นบ้านของคุณ คุณอยากต่อเติมเพิ่มอะไร ผมต้องการความคิดเห็นของหลายๆ คนน่ะครับ” แล้วเขาก็แก้ตัวอย่างแนบเนียน

หญิงสาวก้มหน้าลงมองหน้าจอมือถืออีกครั้ง ใช้เวลาคิดสักครู่ก่อนตอบออกไป

“น่าจะเพิ่มพวกพุ่มไม้เตี้ยข้างๆ บันไดนะคะ และถ้าเป็นไปได้ รอบๆ บ้านมีไม้หอมของไทยอย่างดอกแก้ว ดอกมะลิ ดอกลีลาวดี กันเกรา หรือว่าปีบก็จะดีมากค่ะ” 

“คุณคงชอบพวกดอกไม้ไทย”

“ค่ะ ฉันชอบดอกไม้ของไทยมากๆ มันสวยแล้วก็หอมแบบมีมนตร์เสน่ห์น่ะค่ะ” ม่านพระจันทร์ยิ้มบางๆ ความจริงแล้วเธอก็ชอบทุกอย่างที่เป็นไทยนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย อาหาร ขนม หรือแม้กระทั่งดอกไม้ก็ตาม

“งั้นก็ตามใจคุณ”

“ตามใจ? ยังไงเหรอคะ” 

เธอไม่เข้าใจที่เขาพูดอีกแล้ว ทำไมถึงได้ชอบพูดจาแปลกๆ นักนะ

“ผมหมายความว่าแล้วแต่ความชอบของคุณต่างหาก” เมฆายกแก้วกาแฟขึ้นจดริมฝีปากพลางเบือนหน้าไปมองอย่างอื่นเป็นการกลบเกลื่อน ไม่ต้องการให้หญิงสาวจับพิรุธได้ว่ากำลังหลอกถามข้อมูลเพื่อนำไปสร้างเป็น ‘เรือนหอ’

หลังจากที่ได้สนทนาอยู่กับเถ้าแก่คู่ค้าต่ออีกสักพักใหญ่ๆ เมฆาจึงได้ขอตัวไปงานประมูลเครื่องมือการเกษตรนำเข้า ซึ่งเป็นเพียงข้ออ้างที่ใช้ในการมาหาหญิงสาวเท่านั้น เขาไม่ได้ไปที่งานนั่นจริงๆ เพราะได้สั่งซื้อจากเพื่อนผู้นำเข้าเครื่องมือเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลาประมูล พอรถเคลื่อนพ้นออกจากบ้านปุณยภักดิ์ ชายหนุ่มก็สั่งให้แดนดินขับรถไปที่คอนโดมิเนียมทันที

ร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมนอนสีน้ำเงินเข้มเอนกายพิงพนักเตียงกว้าง ผ่อนลมหายใจเบาๆ และหลับตาลงสักครู่ ปล่อยให้ร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทางเป็นเวลานานๆ ได้พักฟื้น ไม่ต้องพูดถึงลูกน้องตัวดีของเขาที่เวลานี้นอนหลับเป็นตายอยู่ห้องข้างๆ 

คอนโดมิเนียมสุดหรูแห่งนี้ เมฆาซื้อต่อจากเจ้าของเดิมไว้นานมากแล้ว ตกแต่งยกเครื่องเฟอร์นิเจอร์ใหม่ทั้งหมด ปกติเขาจะมาพักเวลาที่มาทำธุระในกรุงเทพฯ แล้วมีเหตุให้ต้องค้างคืน แต่ถ้าหากไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ ก็จะไม่ค้างคืนเลย เพราะไม่นึกพิสมัยการใช้ชีวิตบนตึกสูงท่ามกลางเมืองใหญ่อันวุ่นวาย ไร้ซึ่งสีสันของธรรมชาติ ตรงข้ามกับปัจจุบันนี้ที่ชายหนุ่มนึกอยากจะอยู่ที่คอนโดของตัวเองไปนานๆ 

แม้ใจยังนึกห่วงไร่ตลอดเวลาว่า หากไม่มีเขาอยู่สักคนแล้ว คงจะไม่เป็นไร่วรานุกรอย่างทุกวันนี้ แต่เมฆาไม่อยากกลับบ้านไปพบความเผด็จการของผู้เป็นแม่ที่ต้องการจะบังคับคลุมถุงชนให้เขาแต่งงานกับยายแก้วตา อีกทั้งดูเหมือนว่าคราวนี้แม่จะเอาจริงเอาจังเสียด้วย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเชื่อสิ่งที่หมอดูทำนาย ในขณะที่เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระสิ้นดี

ต้องหาเมียชิงแต่งก่อนนะหลานเอ๊ย รักใครชอบใคร เล็งใครไว้ ตาจะไปสู่ขอให้โดยที่ไม่ต้องพึ่งนังเอื้อง เพราะตอนนี้แม่เอ็งมันเตรียมการพร้อมแล้ว มันเอาจริง ขืนชักช้าเอ็งได้แต่งกับลูกสาวกำนันแน่

นี่เป็นคำพูดของคุณตาเขาก่อนจะเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ ยิ่งทำให้เมฆากระตือรือร้นที่จะทำให้แผนการบรรลุผลสำเร็จโดยเร็วที่สุด

แต่...ทางไหนล่ะ ที่จะทำให้เขาไปถึงเป้าหมายได้รวดเร็วขนาดนั้น เขาแทบจะไม่มีโอกาสได้เข้าเรื่องการแต่งงานกับม่านพระจันทร์เลย อีกทั้งหญิงสาวยังดูเกร็งๆ เกินกว่าที่จะพูดคุยกับเขาอย่างสนุกสนาน 

‘กลัวอะไรกันนักหนา’ 

บุรุษหนุ่มคิดในใจ ภาพที่หล่อนมักหลบหน้าหลบตา พูดจาติดๆ ขัดๆ และพร้อมจะเดินหนีเขาตลอดเวลาทำให้รู้สึกหงุดหงิดนัก แต่จะให้ล้มเลิกความตั้งใจแล้วไปคว้าคู่ขาคนก่อนของเขามาสวมรอยภรรยาปลอมๆ แทน ก็เห็นจะไม่เข้าท่า เพราะหากแต่งงานกันแล้ว ก็ต้องอยู่กันไปยาวๆ จนกว่ายายแก้วตานั่นจะแต่งงานแต่งการ มีสามีเป็นตัวเป็นตน และมั่นใจว่าจะไม่มาระรานเขาอีกอีกทั้งแม่คู่ขาชั่วคราวของเขาแต่ละคนยังไม่มีคุณสมบัติมากพอจะอยู่ร่วมหอลงโลงด้วยได้แม้แต่คนเดียว 

มีเพียงม่านพระจันทร์เท่านั้นที่เมฆาเห็นว่าเหมาะสมที่สุด เธอสวยสะอ้าน ไม่พูดมากปากไว เรียบร้อยอ่อนหวาน งานบ้านงานฝีมือทั้งหลายก็ดีเยี่ยม เกรงอกเกรงใจ มีความเมตตา ไม่แบ่งแยกชนชั้น ฐานะยังทัดเทียมกัน 

ข้อเสียเพียงอย่างเดียวซึ่งมองเห็นเป็นรูปธรรมก็คือ รสนิยมการแต่งตัวแบบเฉิ่มเชย แม่ชีตั้งแต่หัวจดเท้า หาความเร้าใจไม่เจอ แต่ก็เป็นข้อเสียที่เขาพอรับได้ มันไม่ใช่เรื่องแย่อะไรขนาดนั้น...ใบหน้างดงามหวานซึ้งยังตราตรึงอยู่ในภาพจำทุกขณะจิต ไม่ว่าหลับตา ลืมตา หรือหายใจเข้าออกอย่างที่เขาไม่เคยเป็นกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน

เขาเกลียดที่มันเป็นแบบนี้...ไม่อยากยอมรับว่าชอบเธอ ต้องท่องไว้เสมอว่าตนเพียงแค่ตกหลุมเสน่ห์ ไม่ถึงกับตกหลุมรัก

เสียงเรียกเข้าจากสมาร์ตโฟนในอุ้งมือดังขึ้น เมฆายกมันขึ้นมาดู ชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก็คือคนที่เขากำลังนอนคิดถึงอยู่ในตอนนี้ ทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นโครมคราม รีบกดรับสายพลางแนบหูเข้ากับหน้าจอสี่เหลี่ยม

“ฮัลโหลครับ คุณจันทร์...”

“สวัสดีค่ะคุณเมฆ ตอนนี้อยู่ที่งานประมูลหรือเปล่าคะ คือฉันมีเรื่องจะคุยด้วยสักครู่น่ะค่ะ ไม่นานหรอก” 

“ผมออกมาเข้าห้องน้ำครับ ถ้าจะคุยนานๆ ก็ได้นะ ผมไม่รีบ...” ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มร้าย

“คุณพ่อให้ฉันโทร. ชวนคุณเมฆไปเคานต์ดาวน์ที่ทะเลด้วยกันวันอาทิตย์นี้น่ะค่ะ คุณเมฆว่างหรือเปล่าคะ” ปลายสายบอกจุดประสงค์เดียวที่มี ถ้าหากไม่เป็นคำสั่งจากบิดา เธอก็จะไม่โทร. หาเขาเลย

“ว่างครับ ผมไป” เมฆาตอบอย่างไม่ลังเล

“โอเคค่ะ ฉันจะเรียนให้คุณพ่อทราบตามนี้นะคะ สวัสดีค่ะ...”

“อย่าเพิ่งวางครับ”

“มีอะไรคะ”

“เปล่า ผมแค่จะบอกว่าราตรีสวัสดิ์ ฝันดีครับคุณม่านพระจันทร์” 

เสียงทุ้มห้าวกล่าวกับปลายสายที่เงียบไปสักครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงหวานจะตอบกลับมาว่า... 

“ราตรีสวัสดิ์เช่นกันค่ะคุณเมฆ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น