1

บทที่ 1


1

 

“กรี๊ดดด!”

เสียงกรีดร้องแหลมปรี๊ดที่ดังจนแสบแก้วหูส่งผลให้ร่างสองร่างที่กำลังโรมรันพันตูกันอยู่ถึงกับชะงักกึก ฝ่ายชายมองที่มาของเสียงแล้วตีหน้าแทบไม่ถูก สมองประมวลผลอย่างเร็วจี๋ว่าจะจัดการสถานการณ์เฉพาะหน้าอย่างไรดี ส่วนฝ่ายหญิงเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ยี่หระ มองคนที่มาใหม่ด้วยมาดของผู้ชนะ

“ขอโทษค่ะ ดิฉันบอกแล้วว่าคุณเดียวมีแขก แต่ว่าคุณคนนี้เธอ เอ่อ...เธอ...” เลขานุการวัยกลางคนที่ถลันตามเข้ามาอีกคนลนลานแก้ตัวอึกอัก ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ เธอไม่อยากล่วงเกินใครทั้งนั้น เพราะยังไม่แน่ใจว่าสุดท้ายแล้วรถไฟขบวนไหนของเจ้านายจะมาวิน

“ไม่เป็นไรครับคุณทิพย์” ศารทูล สินธวรัตน์ หรือ คุณเดียว ที่เลขานุการสาวใหญ่เรียกเมื่อสักครู่เอ่ยกับเธออย่างไม่ถือสาหาความ เขาไม่โทษว่าเป็นความบกพร่องของอีกฝ่ายแต่อย่างใด เพราะเห็นๆ อยู่ว่าพรทิพย์น่าจะพยายามห้ามปรามแล้ว

“แกลงมาจากตักคุณเดียวเดี๋ยวนี้เลยนะ” หญิงสาวผู้มาใหม่กรีดเสียงอีกครั้ง ชี้หน้าผู้หญิงอีกคนที่ยังนั่งลอยหน้าลอยตาอยู่บนตักศารทูลอย่างเอาเรื่อง

“ถือสิทธิ์อะไรมาสั่งฉันยะ” อีกฝ่ายไม่ยอมลดราวาศอก กอดคอเจ้าของตักที่ตนเองนั่งอยู่ไว้แน่นราวกับจะประกาศความเป็นเจ้าของ

“ก็สิทธิ์ที่ฉันเป็นแฟนคุณเดียวน่ะสิยะ” นักชกมุมแดงประกาศกร้าว

“ฉันต่างหากที่เป็นแฟนคุณเดียว อย่ามาหน้าด้านโมเมหน่อยเลยย่ะ” นักชกมุมน้ำเงินก็ประกาศศักดาแบบไม่ยอมน้อยหน้า

“เอ่อ...ผมว่าค่อยๆ คุยกันดีไหมครับ” กรรมการแบบศารทูลพยายามห้ามปรามให้นักชกแต่ละคนเข้ามุมของตัวเองไปก่อน ค่อยๆ ดันนักชกร่างอวบบนตักตัวเองออกห่างเพื่อความยุติธรรมของทั้งสองฝ่าย จะได้ไม่มีใครพูดได้ว่าเขาลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ดูเหมือนนักชกมุมน้ำเงินซึ่งคิดว่าตัวเองกำลังได้เปรียบคู่ต่อสู้จะไม่เห็นด้วยกับกรรมการนัก เพราะรีบกอดคอกรรมการไว้มั่น มือไม้เหนียวหนึบยิ่งกว่าตีนตุ๊กแกที่ทาทับด้วยกาวตราช้างอีกที กรรมการพยายามแกะเท่าไรก็แกะไม่ออก ทำเอาถึงกับเหงื่อแตกพลั่กไปเหมือนกัน

“แก!” นักชกฝ่ายแดงตวาดลั่นเมื่อเห็นคู่ต่อสู้พยายามติดสินบนด้วยการเบียดหน้าอกหน้าใจถูไถกรรมการให้เห็นคาตา รีบก้าวฉับๆ ตรงไปหา นาทีนี้ไม่มีการคิดถึงกติกาใดๆ ทั้งสิ้น คว้าหมับเข้าที่เส้นผมอีกฝ่ายแล้วกระชากเต็มแรงอย่างไม่ปรานี

“โอ๊ย!” คนโดนจิกหัวอุทานเสียงแหลม ถึงแม้ไม่อยากปล่อยมือก็จำเป็นต้องปล่อย เพราะจำเป็นต้องรักษาหนังหัวของตัวเองไว้ก่อน ดูท่าทางแล้วคู่ต่อสู้คงไม่ยอมเลิกราหากลากเธอออกห่างจากศารทูลไม่ได้ ถูกอีกฝ่ายลากถูลู่ถูกังอย่างน่าเวทนา

“ซ่านักใช่ไหมแก ไม่รู้ของใครเป็นของใครใช่ไหม” ฝ่ายแดงที่กำลังได้เปรียบถือโอกาสจิกหัวอีกฝ่ายลงต่ำจนคู่ต่อสู้ทรุดลงกับพื้น แล้วฉวยจังหวะขึ้นคร่อมอย่างรวดเร็ว นำศิลปะมวยปล้ำมาผสมอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็สะบัดฝ่ามือใส่เป็นพายุบุแคมจนมองแทบไม่ทัน ดูๆ ไปก็คล้ายๆ ฝ่ามือไร้เงาของท่านจอมยุทธ์ในภาพยนตร์จีนอยู่เหมือนกัน เรียกได้ว่าเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นชนิดใดกันแน่

ศารทูลถึงกับอ้าปากหวอ คาดไม่ถึงว่าสาวสวยที่เขาเคยคิดว่าเซ็กซี่ขยี้ใจ ที่แท้แล้วจะเป็นท่านจอมยุทธ์ปลอมตัวมา หลังจากหายตกตะลึงก็คิดจะเข้าไปแยกทั้งคู่ออกจากกัน เพราะกลัวเหตุการณ์จะลุกลามไปมากกว่านี้

ขณะนั้นเองฝ่ายที่ถูกเล่นงานจนงอมพระรามก็ดูเหมือนจะตั้งตัวติดแล้ว จึงนำกลยุทธ์ของฝ่ายตรงข้ามมาใช้บ้างด้วยการคว้าหมับเข้าที่เส้นผมของคนที่นั่งคร่อมตนเองอยู่ ทั้งดึงทั้งกระชากเหมือนต้องการระบายแค้นจนอีกฝ่ายถึงกับหัวคะมำลงมาหา

ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายจะคิดว่านั่นคือสุดยอดวิชาที่จะนำไปสู่ชัยชนะได้ เพราะคราวนี้ต่างฝ่ายต่างคว้าเส้นผมของกันและกันเอาไว้ กระชากดึงไปมาจนลงไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้นทั้งคู่ ผลัดกันอยู่บนอยู่ล่างสลับกันไปมาเป็นระยะๆ ต่างไม่ยอมปล่อยมือจากกัน ดูๆ ไปก็เหมือนรักกันปานจะกลืน เพราะไม่ว่าศารทูลกับพรทิพย์จะพยายามทำอย่างไรก็ไม่ยอมแยกออกจากกัน เสียงกรีดร้องสลับกับเสียงด่าทอดังขึ้นแทบจะตลอดเวลาราวกับกำลังเกิดกลียุค

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”

เสียงดังก้องราวกับฟ้าผ่าทำให้สถานการณ์ดุเดือดที่กำลังดำเนินอยู่ชะงักกึก ทุกคนหันไปมองที่มาของเสียงเป็นตาเดียวกัน

“ป๊า!” ศารทูลอุทานเรียกเมื่อเห็นว่าฮีโรที่มากอบกู้สถานการณ์ให้โลกกลับมาสงบสุขอย่างเดิมคือใคร

“ฉันถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น!” เจ้าสัวเจษฎาตวาดเสียงดัง ดวงตายาวรีชั้นเดียวบ่งบอกเชื้อชาติถลึงตาใส่บุตรชายคนเดียวจนเขียวปั้ด

“คือ...คือว่า...” คนเป็นลูกอึกอัก แทบไม่กล้าสบตา

นักชกฝ่ายแดงและฝ่ายน้ำเงินยุติศึกลงชั่วคราว ทั้งที่ยังตัดสินไม่ได้ว่าใครเป็นฝ่ายชนะ รีบผลุนผลันลุกขึ้นเมื่อรู้ว่าผู้มาใหม่เป็นใคร รีบทักทายทำคะแนนทันที

“สวัสดีค่ะคุณพ่อ”

สองสาวประสานเสียงทักทายบิดาของศารทูลแบบพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย พอได้ยินอีกฝ่ายพูดเหมือนกับตัวเองก็หันไปถลึงตาใส่กัน ก่อนจะสะบัดหน้าใส่อีกคนจนคอแทบเคล็ด

เจ้าสัวเจษฎามองอดีตผู้หญิงสวยสองคนที่ยืนอยู่ในห้องทำงานลูกชายด้วยสีหน้าปั้นยาก ที่ต้องใช้คำว่าอดีตก็เพราะสภาพของเจ้าหล่อนทั้งคู่เวลานี้ดูแทบไม่ได้ ผมเผ้ายุ่งเหยิงเป็นกระเซิง แถมยังมีหลายกระจุกที่หล่นเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น แยกไม่ออกว่าของใครเป็นของใคร ใบหน้าก็เต็มไปริ้วรอยขีดข่วนจากเล็บของคู่ต่อสู้ เสื้อผ้ายับย่นจนดูไม่ได้ มองๆ ไปคล้ายคนสติไม่เต็มเต็งอย่างไรชอบกล จนเขาทำใจทักทายกลับไม่ลง หันไปเข่นเขี้ยวใส่บุตรชายแทน

“เดี๋ยวแกตามฉันไปที่ห้องทำงานเลยนะไอ้เดียว”

‘ไอ้เดียว’ ของเจ้าสัวเจษฎาทำหน้าจ๋อย ลองคนเป็นพ่อเอ่ยเสียงเขียวและเรียกเขาว่าไอ้เมื่อไร แสดงว่าโทสะกำลังพุ่งปรี๊ดจนสุดเพดาน ถ้าทำได้ศารทูลก็อยากหนีกลับบ้านไปหาหม่าม้าเสียให้รู้แล้วรู้รอด เขาเป็นลูกชายคนเดียว เป็นสุดสวาทขาดใจของหม่าม้า อย่างไรเสียป๊าก็คงไม่กล้ากระทืบเขาต่อหน้าหม่าม้าเป็นแน่ แต่ตาเขียวๆ ของคนเป็นพ่อก็ทำให้ไม่กล้าเสี่ยง ได้แต่รับคำเสียงอ่อย “ครับป๊า”

แม้บุตรชายจะรับปากแล้ว แต่เจ้าสัวเจษฎาก็ยังหน้าตึงราวกับหนังกลอง ปรายตาไปมองรถไฟสองขบวนของบุตรชายที่ชนกันจนวินาศสันตะโรอีกแวบหนึ่ง ก่อนจะสะบัดหน้าแล้วเดินกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเองทันที ตั้งใจจะไปรอชำระความเจ้าตัวดีให้รู้สำนึกเสียบ้าง

พอคล้อยหลังบิดา ศารทูลก็หันกลับไปมองสองนักชกสาวบ้าง ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับเหยเกเมื่อเห็นสภาพของทั้งคู่ ความคิดไม่ต่างจากคนเป็นพ่อนัก สารรูปของสองสาวตอนนี้ทำให้เขาจินตนาการความสวยที่เคยคิดว่ามีไม่ออก พลันสะดุ้งโหยงเมื่อพวกหล่อนประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกันอีกครั้ง

“คุณเดียวขา...”

เสียงเรียกโหยหวนบวกกับการถลาเข้ามาหาพร้อมกันทำให้ศารทูลถึงกับถอยหลังกรูด นึกถึงภาพตัวเองที่ถูกหญิงสาวสภาพกระเซอะกระเซิงสองคนประกบซ้ายขวาแล้วก็ให้รู้สึกสยองขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

การโผเข้าไปหาศารทูลพร้อมกันๆ ทำให้ไหล่ของสองสาวกระทบกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คู่ต่อสู้ที่ยังสรุปผลแพ้ชนะไม่ได้จึงหันมาถลึงตาใส่กันอีกครั้ง ตั้งท่าจะเปิดศึกรอบใหม่อีกรอบ

“หลบไปสิยะ ฉันจะไปหาคุณเดียว” หนึ่งในสองรีบพูดก่อน

“ฉันก็จะไปหาคุณเดียว หล่อนนั่นแหละหลบไป” อีกคนก็ไม่ยอมหลีกทางให้

“ฉันก่อน ฉันต้องได้ไปก่อน” เอ่ยพลางใช้ไหล่กระแทกอีกฝ่าย

“ฉันก่อน!” อีกฝ่ายก็กระแทกกลับ ประกาศให้รู้ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมถอยเด็ดขาด

ระหว่างที่สองสาวเลิกชกมวยแล้วหันไปเปิดศึกคนชนคนราวกับอยู่ในลีกอเมริกันฟุตบอลอยู่นั้น ศารทูลก็ไม่อยู่ดูผลว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะแล้วได้มาหาเขาก่อน เพราะที่แน่นอนที่สุดคือเขาต้องไปก่อนเป็นคนแรก!

“ผมไปหาป๊าก่อนนะครับคุณทิพย์ ส่วนสองคนนี้ ถ้าเขายังไม่ยอมเลิก คุณก็โทร.ให้ รปภ.มาจัดการก็แล้วกันนะครับ ตอนนี้ดูเหมือนเราพูดอะไรไปก็คงไม่เข้าหูแล้ว” เสือสำอางสั่งความเลขาฯ เมื่อเห็นว่าสองสาวยังนัวเนียกันไม่เลิก ก่อนจะก้าวฉับๆ ตรงไปยังห้องทำงานของบิดาทันที เพราะคิดว่าหากช้ากว่านี้ เขาอาจจะน่วมกว่าสองคนนั้นก็เป็นได้

 

เจ้าสัวเจษฎาเหลือบตาขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด ก็พบว่าคนที่เขารออยู่มาถึงแล้ว เจ้าตัวโผล่แต่หน้าเข้ามาก่อนราวกับจะหยั่งเชิง ยังไม่กล้าก้าวเข้ามาในห้องทั้งตัว ทำราวกับว่าขอดูลาดเลาก่อน

“เลิกทำตัวเหมือนจิ้งจกเกาะผนังได้แล้ว แกมานี่เลยไอ้ตัวดี”

“ป๊าก็ ทำไมต้องทำเสียงแบบนั้นด้วยล่ะ น้องเดียวกลัวจะแย่แล้ว”

เจ้าสัวเจษฎามอง ‘น้องเดียว’ ที่ตัวโตราวกับยักษ์ปักหลั่นแล้วลมสว้านก็แทบจะตีขึ้นมาอีกรอบ ตวาดอีกฝ่ายเสียงเขียว “ฉันไม่ใช่หม่าม้าแก ไม่ต้องมาน้องเดียวน้องแดวอะไรทั้งนั้น มานี่เลยไอ้ตัวดี ก่อนที่ฉันจะโมโหมากกว่านี้”

เมื่อมุกลูกน้อยหอยสังข์ใช้กับคนเป็นพ่อไม่ได้เหมือนที่ใช้กับแม่ น้องเดียวก็ได้แต่เดินหน้าม่อยเข้าไปในห้องทำงานของบิดา ตรงไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของอีกฝ่ายด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมเจียมตัว

“อย่าคิดว่าทำหน้าสลดแล้วฉันจะใจอ่อนแบบหม่าม้าแกนะ ไอ้ลูกเวร ดูซิว่าวันนี้แกทำอะไรลงไป โรงแรมฉันไม่ใช่ตลาดสดให้พวกชะนีของแกมาตบตีแย่งผัวกันแบบนี้นะโว้ย! นี่ยังดีนะที่ตีกันอยู่ในห้องทำงานแก ฉันนึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าแม่พวกนั้นอาละวาดอยู่ข้างล่าง แขกจะพากันแตกตื่นขนาดไหน” สภาพของสองสาวทำให้ท่านเจ้าสัวอดสะพรึงไม่ได้

“อู๊ยยย...ป๊าอย่าโวยสิ เดี๋ยวความดันขึ้น” ศารทูลรีบประจบเสียงอ่อนเสียงหวาน เรียกป๊าเหมือนตอนเป็นเด็กชายตัวน้อยอย่างคล่องปาก

เจ้าสัวเจษฎาโมโหจนหายใจหอบซะจนตัวกระเพื่อม แม้จะบอกว่าไม่ใจอ่อน แต่พอถูกลูกชายเรียกว่าป๊าก็อดยอมรับไม่ได้ว่าระดับความโกรธไม่ได้พุ่งปรี๊ดเท่าเดิม ได้แต่ถลึงตาใส่เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ใจ

“สักวันฉันคงต้องเส้นเลือดในสมองแตกตายเพราะแกนี่แหละ ไอ้ลูกไม่รักดี” คนเป็นพ่อบ่นกระปอดกระแปด แต่น้ำเสียงฟังดูแล้วก็ทราบว่าไม่ได้เกรี้ยวกราดเท่าตอนแรก

คนที่เป็นทั้งไอ้ลูกเวรบวกไอ้ลูกไม่รักดียิ้มเผล่เมื่อเห็นว่าบิดาคลายความเกรี้ยวกราดลงแล้ว เอ่ยแก้ตัวด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ “ผมไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย ใครจะไปรู้ล่ะครับว่าอยู่ๆ เขาจะมาหาพร้อมกัน แถมมาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรทั้งนั้น ซัดกันนัวเลย”

พอนึกถึงการฟัดกันแบบไม่มีใครยอมใครของคู่ควงทั้งสองคน ศารทูลก็อดขนลุกไม่ได้ อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเผื่อเจ้าหล่อนเกิดสามัคคีกันแล้วหันมารุมเขาแทนก็น่ากลัวอยู่ไม่น้อย

“ยังจะมาแก้ตัวอีก!”

เสียงดุของบิดาทำให้เพลย์บอยหนุ่มหลุดออกจากภวังค์ รีบยืนยันความบริสุทธิ์ “ผมไม่ได้แก้ตัวนะครับป๊า ที่พูดมาน่ะเรื่องจริงทั้งนั้น เขามากันเองจริงจริ๊ง”

เสียงสูงๆ ของลูกชายทำเอาความดันของเจ้าสัวเจษฎาพลอยพุ่งสูงไปด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าศารทูลไปเอานิสัยแบบนี้มาจากไหน เพราะเขาเองก็รักเดียวใจเดียวต่อภรรยามาตลอด “ก็เพราะความแรดของแกนั่นแหละ จีบดะ ไอ้คำว่าคลำดูไม่มีหางก็เอาหมดนี่ถูกสร้างมาเพื่อแกสินะ”

“โอ๊ย! ป๊ากล่าวหาผมเกินไปแล้ว ผมไม่ใช่พวกมั่วไม่เลือกสักหน่อย แต่ละคนน่ะผมเลือกแล้วเลือกอีก อย่างน้อยๆ ก็ต้องคัปดีขึ้นไป เลือกมาอย่างดีทั้งนั้น”

“ไอ้เดียว! ไอ้...ไอ้...” เจ้าสัวเจษฎาโมโหจนปากคอสั่น “ผู้หญิงดีๆ ไม่ได้หมายถึงมีหน้าอกคัปดีนะโว้ย นี่แกตั้งใจกวนประสาทฉันใช่ไหม”

“โธ่...ขำๆ น่ะป๊า ผมเห็นป๊าซีเรียสเกินไปต่างหาก ถึงชวนคุยสนุกๆ”

“ขำๆ บ้านแกสิ นี่ถ้าแกไม่ใช่ลูกชายคนเดียวนะ ฉันตัดหางปล่อยวัดแกไปแล้วรู้ไหม” คนเป็นพ่อเข่นเขี้ยว

“ถึงป๊าเอาผมไปปล่อยวัด เดี๋ยวหม่าม้าก็ไปรับผมกลับบ้านอยู่ดี เพราะงั้นอย่าเปลืองแรงเลยเนอะ เดี๋ยวจะเหนื่อยเปล่าๆ ผมห่วงป๊านะเนี่ย เอาเป็นว่าต่อไปผมจะไม่ให้ใครมาวุ่นวายที่โรงแรมอีกแล้ว ป๊ายกโทษให้ผมสักครั้งนะครับ นะๆ”

เสียงออดอ้อนของลูกชายทำให้คนเป็นพ่อได้แต่โคลงศีรษะด้วยความอ่อนใจ เสียงที่พูดก็พลอยอ่อนลงด้วย “ถ้าขืนฉันยังปล่อยให้แกทำตัวเป็นเสือผู้หญิงแบบนี้ต่อไป สักวันแกคงเป็นเอดส์ตายให้ฉันกับหม่าม้าแกขายหน้าชาวบ้านแน่ๆ”

“แหม...ป๊าก็ ผมก็แค่ทำตัวให้สมกับชื่อที่ป๊าตั้งให้ ใครๆ จะได้รู้ว่าป๊าผมไม่ได้ซี้ซั้วตั้งชื่อให้ลูกชายไงครับ ถึงพวกเราจะมีสายเลือดมังกร แต่ก็ต้องแสดงให้ทุกคนรู้ว่าภาษาไทยของพวกเราแข็งแรง” คนที่มีชื่อที่แปลว่าเสือโคร่งแถไปเรื่อย

“แล้วแกคิดว่าผู้หญิงดีๆ เขาจะอยากมีผัวเป็นเสืองั้นเหรอ ไอ้ลูกบ้า” เจ้าสัวเจษฎาด่าอีก เพราะไล่ต้อนเท่าไรลูกชายก็ไม่จนมุม

“ก็ไม่เห็นเป็นไร ผมก็รอเสือตัวเมียสักตัวก็ได้ จะได้สมศักดิ์ศรีกันหน่อย”

เสือเพลย์บอยเอ่ยพลางยิ้มแฉ่งให้บิดา ไม่ได้นึกจริงจังกับเรื่องที่พูดแต่อย่างใด เพราะไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงคนไหนจะร้ายถึงขั้นสยบเสือแบบเขาได้ ที่เคยเจอก็มีแต่ใส่ชุดลายเสือดาวสุดเซ็กซี่ พอถอดออกมาก็กลายเป็นนางแมวยั่วสวาทไปซะอย่างนั้น ซึ่งเขาก็ค่อนข้างชอบอยู่เหมือนกัน

“ตกลงแกจะเอาเมียประเภทเดียวกับแกใช่ไหมฮ้าไอ้เดียว แต่รอบๆ ตัวแก ฉันไม่เห็นแม่เสือ แม่สิงห์ เห็นแต่ชะนีกับแรด”

“แหม...ป๊าก็ เกิดเป็นชายทั้งทีมันก็ใช้ชีวิตให้สมศักดิ์ศรีหน่อยสิครับ ว่ากันว่าเหนือกว่าเสือก็น่าจะเป็นสิงห์ เอาไว้ผมหานางสิงห์เจอเมื่อไร จะจับมาเป็นสะใภ้ให้ป๊ากับหม่าม้าชื่นใจก็แล้วกันนะครับ ยังไงก็ไม่เอาชะนีกับแรดมาเป็นลูกสะใภ้ป๊าเด็ดขาด อันนั้นเอาไว้บริโภคเพื่อความบันเทิงเฉยๆ โลกนี้มีผู้หญิงมากมายจนเลือกไม่ถูก ป๊าก็ต้องให้เวลาผมคัดสรรหน่อยสิครับ”

เจ้าสัวเจษฎาสูดลมหายใจลึกเพื่อระงับอารมณ์ คุยกับปลาไหลใส่สเกตแบบศารทูลมักจะทำให้เขาเสียการควบคุมตัวเองเสมอ “แกบันเทิงมามากพอแล้วเจ้าเดียว บันเทิงซะจนฉันกับหม่าม้าแกจะเป็นประสาทตายอยู่แล้ว ต้องมาคอยลุ้นอยู่ทุกวันว่าแกจะไปคว้าแม่รีแม่แรดที่ไหนมาเป็นเมีย ในเมื่อแกเลือกเองไม่ถูก ฉันกับหม่าม้าแกจะเลือกให้เอง”

“ป๊าหมายความว่ายังไงครับ” ศารทูลถามพลางมองคนเป็นพ่อด้วยท่าทีระแวดระวัง เรื่องวันนี้คงจะทำให้ท่านโมโหมาก ขนาดเขาพยายามพูดจาบ้าบอให้อารมณ์ดีขึ้นบ้างก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลนัก

“หมายความว่าฉันจะให้แกแต่งงานซะทีน่ะสิ”

“แต่งงาน!”

“ทำไม ร้องซะเสียงดังเชียว ดีใจมากเหรอไอ้เสือ” เจ้าสัวถามอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นลูกชายทำท่าเหมือนกำลังจะเป็นบ้า หลังจากทำให้คนเป็นพ่ออย่างเขาเกือบจะบ้ามาก่อนหน้านี้แล้ว

“ดีใจอะไรกันล่ะครับ ผมเกือบหัวใจวายตายแน่ะ ป๊าอย่าล้อเล่นแบบนี้สิครับ” ศารทูลโอดครวญ แต่คนเป็นพ่อไม่มีทีท่าว่าจะเห็นใจสักนิด

“ฉันไม่ล้อเล่นสักหน่อย”

“ป๊าจะทำแบบนี้กับผมไม่ได้”

“ได้ไม่ได้ฉันก็จะทำ”

“ถ้าป๊าบังคับผม ผมจะ...ผมจะ...”

“ทำไม แกจะลงไปนอนดิ้นกับพื้นเหมือนตอนเด็กๆ งั้นเหรอ เอาสิ ไม่อายก็ตามใจแก” คนเป็นลูกยังไม่ทันจะเอ่ยปากข่มขู่ก็ถูกคนเป็นพ่อดักคอเอาไว้ก่อน

“ป๊าอะ” เมื่อไม้ตายที่เคยใช้ในวัยเด็กไม่ได้ผล ศารทูลก็ได้แต่ทำเสียงตัดพ้อใส่บิดา “ผมสัญญาแล้วไงว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกแล้ว ป๊าอย่าทำแบบนี้กับผมสิ ผมยังใช้ชีวิตหนุ่มโสดไม่คุ้มค่าเลยนะ”

“แกไม่ต้องมาต่อรองเลยเจ้าเดียว ถ้าจับผู้หญิงที่แกเคยฟีเจอริงทั้งหมดมายืนเรียงกัน แถวคงยาวไปถึงสุไหงโก-ลกโน่น อย่างนี้แกยังว่ายังใช้ชีวิตโสดไม่คุ้มค่าอีกเรอะไอ้ตัวแสบ”

“ป๊าอะ ทำไมต้องจริงจังขนาดนี้ด้วย นี่ตกลงป๊าคิดจะให้ผมแต่งงานกับใครเนี่ย ถึงได้มาบังคับเอาๆ อย่างนี้ อยู่ๆ ก็เอาถุงมาคลุม ไม่กลัวผมหายใจไม่ออกจนขาดใจตายไปหรือไงกัน พูดจาก็ทันสมัย รู้จักฟีเจอรงฟีเจอริง แต่ทำไมถึงคิดอะไรๆ โบราณแบบการคลุมถุงชนล่ะคร้าบ มันย้อนแย้งนะแบบนั้นน่ะ” คนกลัวถูกคลุมถุงชนร่ายยาวเป็นขบวนรถไฟ

“ป๊าจะให้แกแต่งงานกับยายปิ๊ก!” คนเป็นพ่อเอ่ยขึ้นหลังจากปล่อยให้ลูกชายฝอยจนน้ำลายแตกฟองได้สักพัก

“ยายปิ๊ก!” ศารทูลอุทานลั่นเมื่อทราบว่าบิดามารดาต้องการให้ตัวเองแต่งงานกับใคร

“ใช่ ยายปิ๊กนั่นแหละ ดีใจไหมล่ะ ว่าที่เจ้าสาวแกสวยชนิดหนึ่งไม่มีสองเลยเห็นไหม ไอ้ที่แกควงๆ อยู่น่ะสู้ไม่ได้สักคน”

ศารทูลทำหน้าปั้นยาก ไอ้เรื่องความสวยของ บุณฑริก หรือยายปิ๊ก ที่เขากับบิดากำลังพูดถึงนั้นไม่ได้ต่างจากที่ผู้เป็นพ่อว่ามาสักนิด บุณฑริกขึ้นชื่อเรื่องความงามมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่อย่าไปคิดเลยว่ายายนั่นเรียบร้อยอ่อนหวานน่าบูชาเหมือนดอกบัวขาวตามชื่อ ความแสบของยายนั่นเขารู้ซึ้งยิ่งกว่าใครเพราะคลุกคลีตีโมงกันมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากครอบครัวของเขากับครอบครัวของเธอสนิทกันมาก

“ป๊ากับหม่าม้าคิดอะไรกันอยู่เนี่ย ยายปิ๊กเนี่ยนะ โอ๊ย! คราวนี้แหละ คลุมถุงชนขนานแท้เลย ยายนั่นคงวิ่งชนผมอุตลุดเลยละ ตายๆ แค่คิดว่าตัวเองต้องมียายปิ๊กเป็นเมียผมก็จะบ้าแล้ว ว่าแต่ต้องแถมยายจุ๊บมาด้วยหรือเปล่า สองคนนั้นเคยแยกกันซะที่ไหนล่ะ”

ศารทูลโวยวายใหญ่โตเมื่อนึกถึงการแต่งงานของตัวเองกับบุณฑริก ฟุ้งซ่านไปถึงว่าอาจจะได้ตระการตาแถมมาอีกคน เพราะสองสาวนั่นไม่เคยแยกกันมาก่อน ติดกันหนึบยิ่งกว่าแฝดสยามเสียอีก

“แกก็พูดเกินไปเจ้าเดียว ยายปิ๊กไม่ได้แย่ขนาดนั้นเสียหน่อย ส่วนเรื่องยายจุ๊บ ถ้ายายปิ๊กอยากให้ยายจุ๊บมาอยู่บ้านเราด้วย ป๊าก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาตรงไหน” เจษฎารีบแก้ต่างให้ว่าที่ลูกสะใภ้ทันที

ศารทูลรีบคิดหาเหตุผลมาโน้มน้าวให้บิดาเปลี่ยนใจอย่างเร่งด่วน “ยายปิ๊กหย่านมหรือยังก็ไม่รู้ จะให้ผมแต่งงานกับยายนั่นจริงๆ เหรอครับป๊า” นึกอะไรได้เสือเพลย์บอยก็นำมาอ้างแบบส่งๆ ไปก่อน เขาจำได้ว่าบุณฑริกกับตระการตายังต้องให้คนขับรถไปรับไปส่งที่มหาวิทยาลัยอย่างกับเป็นเด็กอนุบาล จนโดนคนล้อเลียนอยู่บ่อยๆ

“นี่! น้องเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว จะยังไม่หย่านมได้ยังไง คนที่ยังไม่หย่านมน่าจะเป็นแกมากกว่า ไม่งั้นคงไม่วุ่นวายหาแต่พวกแม่สาวคัปดีมาควงอยู่เรื่อยหรอก จริงไหม” คนเป็นพ่อต่อว่าด้วยความหมั่นไส้

เจอหมัดเด็ดของบิดาเข้าไป คนที่หมกมุ่นเรื่องนมก็เลยหน้าม้านไปตามระเบียบ อึ้งกิมกี่จนไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรไปอ้างได้อีก

“ป๊ารู้ว่าแกคงตกใจแล้วก็อึดอัดใจด้วย คงคิดว่าแกเองโตป่านนี้แล้ว แถมนี่มันก็สมัยใหม่ ยังจะมีใครที่โดนพ่อแม่จับมาคลุมถุงชนอีกใช่ไหม” เจ้าสัวเจษฎาถามลูกชายเสียงอ่อน

ศารทูลมองคนเป็นพ่อ แต่ไม่ได้ตอบอะไรทั้งๆ ที่กำลังคิดอย่างที่ฝ่ายนั้นพูดทุกอย่าง แต่เสียงอ่อนๆ ของท่านทำให้เขาคิดว่าน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น

“ก็เพราะแกโตแล้ว แถมยังเป็นพี่ แต่ยายปิ๊กก็อย่างที่เรารู้ๆ กันอยู่” เจ้าสัวเอ่ยพลางถอนหายใจเมื่อนึกถึงบุตรสาวของเพื่อนรัก

พอได้ยินอย่างนี้ ศารทูลที่ปฏิเสธปาวๆ อยู่เมื่อครู่ก็หุบปากลงทันที ดวงตาอ่อนแสงลงเมื่อนึกถึงคนที่ตนเองรักไม่ต่างจากน้องสาว ถอนหายใจเฮือกใหญ่ไม่ผิดกับคนเป็นพ่อเลยสักนิด

เจ้าสัวเจษฎาบิดาของศารทูลกับเจ้าสัวเกรียงไกรบิดาของบุณฑริกเป็นเพื่อนรักกัน ทั้งคู่รู้จักกันมาตั้งแต่เป็นเด็กเพราะอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันตอนอยู่ที่เมืองจีน พวกเขาเป็นหนุ่มเลือดมังกรที่เดินทางเข้ามาตั้งรกรากที่ประเทศไทยในเวลาไล่เลี่ยกัน นอกจากนั้นยังทำธุรกิจในแขนงเดียวกันอีกก็คือกิจการโรงแรมและรีสอร์ต

แม้จะเป็นธุรกิจชนิดเดียวกัน แต่กลับไม่ได้มองอีกฝ่ายเป็นคู่แข่ง แต่ทำตัวเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันเรื่อยมา พึ่งพาอาศัยกันมาโดยตลอด ครอบครัวก็ใกล้ชิดสนิทสนมจนเหมือนเป็นญาติกันจริงๆ เสียด้วยซ้ำ

เพราะผู้นำของทั้งสองครอบครัวมีเชื้อสายจีน จึงมีแนวคิดอยากให้ลูกสาวและลูกชายของตนแต่งงานกัน นอกจากนั้นก็มีเหตุผลสำคัญอีกอย่างก็คือ บุณฑริกซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวของเจ้าสัวเกรียงไกรนั้น ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจของครอบครัวเลยแม้แต่น้อย เธอเลือกเรียนศิลปะ ซึ่งแทบจะไม่สามารถนำวิชาความรู้ทางด้านนั้นมาช่วยกิจการของครอบครัวได้เลย ต่างจากศารทูลที่เรียนบริหารธุรกิจมาโดยตรง และจบออกมาช่วยกิจการของครอบครัวได้หลายปีแล้ว

ความห่วงใยในอนาคตของบุณฑริก ทำให้สองครอบครัวหารือกันจนได้ข้อสรุปว่าควรจะให้เธอแต่งงานกับศารทูลเสีย เพื่อให้ศารทูลช่วยดูแลเธอ รวมถึงบริหารธุรกิจของทั้งสองครอบครัวต่อไป แม้จะรู้ว่าทั้งคู่ไม่ได้รักใคร่กันแบบหนุ่มสาว แต่ความผูกพันฉันพี่น้องก็มีมานาน บรรดาผู้ใหญ่จึงได้แต่หวังว่าทั้งคู่จะพัฒนาความสัมพันธ์ไปเป็นแบบคนรักได้ นี่เป็นทางเลือกที่ทุกคนหารือกันมาเป็นอย่างดีแล้ว

“แล้วนี่ยายปิ๊กรู้หรือยังครับ” ศารทูลถามบิดาก่อนจะถอนหายใจอีกเฮือก

“เห็นเจ้าเกรียงว่าจะบอกเร็วๆ นี้แหละ”

เพลย์บอยหนุ่มถึงกับกลอกตาเมื่อนึกขึ้นมาว่าบุณฑริกจะมีปฏิกิริยาเช่นไรเมื่อรู้เรื่องนี้ “ผมว่าอาเกรียงจะต้องปวดประสาทกว่าป๊าแน่ๆ ผมงี้นึกภาพออกเลยว่ายายปิ๊กจะทำหน้าแบบไหน”

ได้ยินแบบนั้นเจ้าสัวเจษฎาก็ทำหน้าปั้นยากเช่นกัน ฤทธิ์เดชของบุณฑริกมากแค่ไหน ทั้งสองครอบครัวต่างรู้ดี

ความที่มีลูกสาวคนเดียว แถมยังเพิ่งมามีตอนอายุมากแล้ว ทำให้เจ้าสัวเกรียงไกรกับภรรยาตามใจลูกสาวมากพอควร ก็ขนาดที่ว่าบุณฑริกอยากเรียนศิลปะก็ไม่คิดขัดใจ ทั้งๆ ที่เธอเป็นทายาทคนเดียวแท้ๆ แล้วก็ต้องมานั่งกลุ้มทีหลังกันอย่างนี้ไงล่ะ

พอเห็นบิดาทำหน้าแบบนั้นศารทูลก็ถึงกับหัวเราะขึ้นมา ทำเอาคนเป็นพ่อหันไปมองด้วยความแปลกใจ เพราะอยู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

“แกหัวเราะอะไรเจ้าเดียว” คนเป็นพ่อถามอย่างไม่ไว้ใจนัก

“เห็นหรือยังล่ะครับว่าป๊าโชคดีแค่ไหนที่มีลูกชายอย่างผม”

เจ้าสัวเจษฎามองคนที่ชมตัวเองด้วยสีหน้าพิกล ดูเหมือนว่าเรื่องหลงตัวเองศารทูลก็ไม่เป็นสองรองใคร “ไหน แกลองบอกมาซิว่าป๊าโชคดียังไง”

“อย่างน้อยป๊าก็ปวดประสาทน้อยกว่าอาเกรียงนั่นแหละ ผมน่ะพูดรู้เรื่องกว่ายายปิ๊กเยอะ”

“นี่หมายความว่าแกตกลงแล้วใช่ไหม” เจ้าสัวเจษฎาถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เพราะนึกว่าต้องบังคับกันมากกว่านี้

“พูดอย่างกับว่าป๊าจะให้ผมปฏิเสธอย่างนั้นแหละ อีกอย่าง ผมก็ห่วงยายปิ๊กเหมือนกัน” ชายหนุ่มพูดจบก็ถอนใจอีกรอบ

“ขอบใจแกมากนะเดียว” เจ้าสัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ถึงชีวิตส่วนตัวจะเหลวไหลไปบ้าง แต่โดยเนื้อแท้แล้วเขารู้ดีว่าลูกชายเป็นคนมีความรับผิดชอบและมีน้ำใจ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมว่าป๊าเอาเวลาที่มาขอบใจผมนี่ไปช่วยอาเกรียงกล่อมยายปิ๊กดีกว่า”

“อืม นั่นสินะ เดี๋ยวป๊าต้องลองสอบถามสถานการณ์ทางโน้นดูบ้าง”

“ป๊า ผมขอเสนออะไรหน่อยได้หรือเปล่าครับ”

“อะไรเหรอ”

“ผมว่า ถ้ายังไงแค่ให้ผมกับยายปิ๊กหมั้นกันไว้ก่อนได้ไหมครับ จะได้มีเวลาทำใจกันบ้าง คนมันเป็นพี่น้องกันมาตลอดนะครับ อยู่ๆ จะให้แต่งงานกัน มันจั๊กจี้นะป๊า อีกอย่าง เผื่อว่าระหว่างนี้ยายปิ๊กแกอาจจะเจอเนื้อคู่ขึ้นมาก็ได้ ยายปิ๊กเพิ่งอายุนิดเดียว ผมไม่อยากให้แกรู้สึกว่าถูกพวกเราบีบบังคับมากเกินไป”

ศารทูลเอ่ยอย่างเห็นอกเห็นใจคนเป็นน้อง เขารู้ดีว่าความเป็นไปได้ที่เขากับบุณฑริกจะเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อกันมาเป็นแบบคนรักนั้นแทบจะเป็นศูนย์ ต่อให้หมดหนทางแล้วต้องแต่งงานกันจริงๆ เขาก็คงจะคิดแบบนั้นกับเธอไม่ลง

บุณฑริกเองก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเช่นกัน ดังนั้นการหมั้นกันไว้ก่อนก็น่าจะพอช่วยได้ เผื่อว่าบางทีเนื้อคู่ของบุณฑริกจะตกลงมาจากฟ้าเหมือนผีพุ่งไต้ พวกเขาจะได้ไม่ต้องแต่งงานกันตามหน้าที่แบบนี้

“อืม ความคิดนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน หมั้นกันไว้ก่อนก็ดี” เจ้าสัวเจษฎาพึมพำ อย่างน้อยก็มีเวลาให้ทั้งคู่ทำใจบ้าง หากจับแต่งกันเลยก็เกรงว่าบุณฑริกอาจอาละวาดจนเรือนหอแตก ถ้าได้มีเวลาให้คิดสักนิดเด็กสองคนนี้อาจจะพยายามทำใจให้รักกันได้บ้าง ถ้าเป็นอย่างนั้นคนเป็นพ่อเป็นแม่แบบพวกเขาย่อมมีความสุขมากกว่า

ฝ่ายนี้ก็ลุ้นอย่างไม่ยอมหมดหวังเช่นกันว่าลูกหลานจะรักกันได้

“งั้นก็เอาตามนี้นะครับ งั้นผมไปละ ไม่รู้ว่าป่านนี้คุณพรทิพย์เป็นยังไงบ้าง” ศารทูลอดเป็นห่วงเลขานุการของตัวเองไม่ได้ ไม่รู้ว่าตกลงสองคนนั้นแยกกันเองหรือต้องอาศัย รปภ.

“แกนี่น้า ต่อไปจะทำตัวแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ เป็นคนมีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว ยังไงก็ต้องเห็นแก่หน้ายายปิ๊กแล้วก็พ่อแม่เขาบ้าง”

“โธ่ ป๊า ยังไม่ทันได้หมั้นกันจริงๆ สักหน่อย”

“ถือว่าตกลงกันทางวาจาแล้ว แกอย่าคิดเบี้ยวเชียวนะเจ้าเดียว เพราะฉะนั้นก็เพลาๆ ความแรดของแกลงบ้าง” คนเป็นพ่อถือโอกาสปรามเอาไว้ก่อน

ศารทูลถึงกับทำหน้าเหลอ นี่ตกลงป๊าเป็นพ่อเขาหรือพ่อของบุณฑริกกันแน่ ดูจะรักษาผลประโยชน์ให้ฝ่ายโน้นเหลือเกิน ช่างพูดออกมาได้มาว่าให้ลดความแรด อิสรภาพกำลังจะโบยบินจากไป มีแต่ต้องใช้ชีวิตให้สุดกู่ต่างหาก ไม่แน่ว่าวันดีคืนดีพวกผู้ใหญ่อาจจะจับเขากับยายปิ๊กมาแต่งงานกันแบบกะทันหันอีกก็ได้

แบบนี้ยิ่งต้องรีบกอบโกยความสุขเอาไว้ ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอนเอาเสียเลย เป็นโสดอยู่ดีๆ ก็มีว่าที่คู่หมั้นซะอย่างนั้น คิดดูเอาเถอะ!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น