2

บทที่ 2


2

 

เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ศารทูลคว้าเครื่องมือสื่อสารของตนขึ้นมามอง พอเห็นว่าเป็นสายจากใครก็ทำหน้าหน่าย คาดว่าบุณฑริกคงรู้เรื่องที่ผู้ใหญ่จะจับเขากับเธอแต่งงานกันแล้วอย่างแน่นอน ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจรับสาย ยังไม่ทันได้ทักทายอะไรฝ่ายนั้นก็สวนขึ้นมาก่อนเหมือนกำลังร้อนใจเต็มที่

“สวัสดีค่ะพี่เดียว นี่ปิ๊กนะคะ”

“จ้ะ พี่รู้แล้ว มีอะไรเหรอปิ๊ก” ศารทูลแสร้งถามทั้งๆ ที่รู้ดี

“คือ...พี่เดียวรู้เรื่องที่พวกผู้ใหญ่เขาตกลงกันหรือเปล่าคะ”

“เรื่องอะไรเหรอ” ศารทูลยังแกล้งไขสือต่อไป

“ก็...ก็เรื่องที่พ่อพี่กับพ่อปิ๊กอยากให้เราหมั้นกันน่ะค่ะ”

“อ๋อ...พี่รู้แล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ หวังว่าน้ำเสียงเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรร้ายแรงจะช่วยให้อีกฝ่ายผ่อนคลายได้บ้าง บางครั้ง เรื่องบางเรื่องก็ได้แต่ทำใจยอมรับมัน

“รู้แล้ว?” บุณฑริกอุทานเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ในเมื่อศารทูลรู้แล้วทำไมยังนิ่งอยู่ได้ในขณะที่เธออยากจะบ้าตาย! จึงรีบซักต่อทันที “แล้วพี่เดียวคิดว่ายังไงคะ”

“อืม...พี่ว่าก็ดีเหมือนกันนะ” ศารทูลตอบด้วยน้ำเสียงเรื่อยเฉื่อย

“ดี! นี่พี่เดียวถูกผีเข้าหรือไง! ที่พ่อพี่กะจะหมั้นให้น่ะปิ๊กนะ! ไม่ใช่พวกดาราที่พี่เดียวควงๆ อยู่”

“พี่รู้แล้ว ก็พวกดาราที่ปิ๊กว่าน่ะ วันก่อนเขามาทะเลาะกันที่โรงแรมพี่ พี่ก็โดนป๊าเฉ่งเหมือนกันนั่นแหละ เลยคิดว่าเราหมั้นกันไปก่อนก็ดีนะ เผื่อพวกนั้นรู้ว่าพี่มีเจ้าของแล้วจะเพลาๆ มือกันบ้าง”

ศารทูลอ้างไปเรื่อยเปื่อย ไม่กล้าพูดกับบุณฑริกตรงๆ ว่า ทุกอย่างเป็นเพราะทุกคนห่วงเธอ กลัวว่าเธอจะพาธุรกิจของครอบครัวไปไม่รอด ถึงได้โยนภาระนี้มาให้เขา ให้เขาทำหน้าที่ดูแลเธอต่อไป

ถึงเขาจะคิดว่าบุณฑริกเป็นยายจอมแสบ แต่ก็รักใคร่เอ็นดูราวกับน้องแท้ๆ ไหนจะความเคารพที่มีต่อบุพการีของเธอ แล้วยังไม่นับรวมความผูกพันของทั้งสองครอบครัวอีก เขาไม่อาจทำให้คนเป็นน้องรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไร้ค่า หรือเป็นภาระของคนอื่น สู้ให้เธอคิดว่าเขาเห็นด้วยกับพวกผู้ใหญ่ซะยังดีกว่า

“หา! แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวกับปิ๊กตรงไหน ทำไมปิ๊กต้องซวยไปด้วยเล่า!” บุณฑริกต่อว่าด้วยความหัวเสีย เพราะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง ได้แต่คิดว่าอีกฝ่ายประสาทไปแล้ว อยู่ๆ ก็แปรพักตร์ไปเข้าข้างพวกผู้ใหญ่หน้าตาเฉย

“อืมมม...พี่มาคิดๆ ดูแล้ว ถ้าเราแต่งงานกันเรื่องมันก็ลงตัวหลายอย่าง ธุรกิจของครอบครัวเราก็คงง่ายขึ้น พ่อปิ๊กกับป๊าพี่กำลังมีโครงการใหม่ที่ว่าจะลงทุนด้วยกัน อีกอย่างหนึ่งพี่ว่าปิ๊กคงไม่มานั่งหึงหวงไร้สาระให้พี่ปวดหัว พอป๊ามาถามเรื่องหมั้นพี่เลยตามใจท่านไป”

ศารทูลอธิบายเพิ่มเติม หวังว่ามันจะทำให้อีกฝ่ายสงบจิตสงบใจลงได้บ้าง แต่ประเด็นเรื่องความหึงหวงนั่น เขาคิดอย่างนั้นจริงๆ บางทีต่อให้แต่งงานแล้ว บุณฑริกก็อาจจะให้เขาไปใช้ชีวิตหัวหกก้นขวิดแบบเดิมก็ได้ เขาไม่คิดว่ายายนั่น

จะนึกอยากเป็นคู่ผัวตัวเมียกับเขาจริงๆ หรอก เขาเองก็ทำไม่ลงเหมือนกัน ไปๆ มาๆ อาจจะเป็นการแต่งบุณฑริกเข้ามาเพื่อเอามาเลี้ยงเป็นน้องก็ได้

โอ๊ย! การเป็นคนดีก็ทำให้มีชีวิตพิสดารไปอีก

ศารทูลแทบอยากจะเอาหัวโขกโต๊ะเมื่อจินตนาการถึงชีวิตสมรสของตัวเองกับบุณฑริก แทบจะอยากจุดธูปบนบานให้เนื้อคู่ของฝ่ายนั้นโผล่มาซะวันนี้พรุ่งนี้เลยทีเดียว พลันสะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินเสียงบุณฑริกตวาดแหวผ่านมาตามสาย

“โธ่! พี่เดียว ไอ้พี่บ้า!” บุณฑริกตวาดแว้ดพร้อมทั้งตัดสายทิ้งทันที

คนที่โดนตัดสายทิ้งก็ไม่ได้โทร. กลับมาหาแต่อย่างใด เพราะรู้จักฤทธิ์เดชของบุณฑริกมาตั้งแต่เยาว์วัยจึงรู้ว่าถ้าโทร. กลับไปคงถูกอาละวาดใส่อีกรอบ ได้แต่นั่งเข่นเขี้ยวใส่โทรศัพท์

“ยายปิ๊กนะยายปิ๊ก ยังมีหน้ามากระแทกหูใส่อีกเรอะ นี่ถ้าไม่เห็นเป็นน้องเป็นนุ่งจะปล่อยลอยแพซะให้เข็ด ยายเด็กแสบ”

ปากต่อว่า แต่ใจก็อดเป็นห่วงไม่ได้เพราะเห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย ได้แต่คิดเสียดายความโสดที่หดสั้นลงทุกทีของตัวเอง ลงว่าบุณฑริกโทร. มาโวยวายอย่างนี้ แสดงว่าพวกผู้ใหญ่เตรียมการพร้อมแล้ว ยังเหลือแต่งานหมั้นเป็นทางการเท่านั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งชีช้ำ เห็นทีต้องรีบไปฉลองอำลาความโสดให้ช่ำปอดเสียหน่อยแล้ว

ในขณะที่กำลังปลงอนิจจังเรื่องความโสดอันแสนสั้นของตนเองอยู่นั้น ศารทูลไม่รู้เลยว่าบุณฑริกกำลังดิ้นรนช่วยเหลือตัวเองอย่างสุดฤทธิ์ และการกระทำของเธอนอกจากจะช่วยตัวเองแล้ว ยังถือว่าช่วยเขาด้วยอีกต่างหาก เนื้อคู่ที่เขาเคยเปรียบเปรยว่าตกมาจากฟากฟ้าเหมือนผีพุ่งไต้นั้นไม่ได้พุ่งชนแค่บุณฑริกแค่คนเดียว แต่ยังพุ่งมาชนคนเป็นพี่อย่างเขาอีกด้วย

อาจจะเรียกได้ว่าพื้นดวงของเขากับบุณฑริกนั้นต้องพัวพันกันไปเรื่อย เหมือนกับโชคชะตาดลบันดาลให้ต้องเป็นวงศ์วานว่านเครือและคอยเกื้อหนุนกันตลอดไป

 

เพื่ออำลาความโสดที่กำลังจะถูกพรากไป ระยะหลังศารทูลจึงไปเที่ยวแทบจะทุกคืน ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงราวกับว่าโลกกำลังจะแตกในอีกไม่ช้านี้ ไม่นำพากับเสียงด่าทอของคนเป็นพ่อแต่อย่างใด

กระทั่งวันหนึ่ง เจ้าสัวเกิดทนไม่ไหว ก็เลยมานั่งดักรอเทศนาลูกชายตัวดีพร้อมกับภรรยา เพราะสถานการณ์ระหว่างศารทูลกับบุณฑริกดูเหมือนจะไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวังเท่าไรนัก

“ทำอะไรกันอยู่เหรอคร้าบ...” ศารทูลส่งเสียงระรื่นมาแต่ไกล เมื่อเห็นว่าบิดามารดานั่งอยู่ด้วยกันที่ห้องนั่งเล่น ความที่รู้ว่าตัวเองขัดคำสั่งบิดา ทำให้ส่งยิ้มประจบไปเป็นทัพหน้า

“ก็นั่งรอแกนั่นแหละไอ้ตัวดี” เจ้าสัวเจษฎาเอ่ยพร้อมกับทำตาเขียวใส่

“น้องเดียวมานี่มา” โศรยากวักมือเรียกลูกชาย

ไอ้ตัวดีของเจ้าสัวเจษฎารีบถลาไปนั่งข้างคนเป็นแม่ทันที เพราะนี่คือยันต์คุ้มภัยที่ขลังที่สุดแบบไม่จำเป็นต้องผ่านการปลุกเสกจากวัดไหน ต่อให้ป๊าโมโหอย่างไร อย่างน้อยก็ไม่กล้าลงมือต่อหน้าหม่าม้าแน่นอน

คนเป็นพ่อถลึงตาใส่เมื่อเห็นท่าทางรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางของลูกชาย อดต่อว่าภรรยาไม่ได้ “คุณก็คอยถือหางมันอยู่เรื่อย เจ้าเดียวมันถึงได้เหลวไหลแบบนี้”

“ถือหางอะไรกันล่ะคะ คุณก็ น้องเดียวมีหางซะที่ไหนกัน ค่อยพูดค่อยจากันดีกว่าค่ะ” โศรยาเอ่ยกับสามีเสียงอ่อน

ศารทูลรีบพยักหน้าหงึกๆ เหมือนจะบอกว่าเห็นด้วยกับมารดาทุกอย่าง

แม้จะหมั่นไส้ลูกชายแค่ไหน แต่เมื่อภรรยากางปีกปกป้องแบบนี้ เจ้าสัวเจษฎาก็จัดการอะไรไม่ถนัดนัก

โศรยาภรรยาของเขาเป็นลูกสาวเจ้าของห้องแถวที่เขาเช่าอยู่เมื่อครั้งที่เดินทางมายังเมืองไทยใหม่ๆ บิดาของเธอก็เป็นชาวจีนที่เข้ามาตั้งรกรากในเมืองไทยเช่นกัน พอลืมตาอ้าปากได้ก็สร้างห้องแถวไว้ให้หนุ่มสาวเลือดมังกรที่เดินทางมาใหม่เช่าอยู่ในราคาถูก

เจ้าสัวเจษฎาในตอนนั้นเรียกว่ามีแต่ตัวจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นโศรยาก็ยังไม่รังเกียจเมื่อรู้ว่าเขามีใจให้เธอ เขาอาศัยความมุมานะและพากเพียร สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจนทัดเทียมกับเธอ กระทั่งได้แต่งงานกันในที่สุด

ความที่ซาบซึ้งน้ำใจของภรรยาที่ไม่เคยนึกรังเกียจตน อีกทั้งยังสำนึกบุญคุณที่พ่อตาเคยให้การช่วยเหลือเมื่อครั้งที่ยังตั้งตัวไม่ได้ ส่งผลให้เขารักใคร่และเกรงใจคู่ชีวิตมาก แทบจะไม่เคยทำให้เจ็บช้ำน้ำใจสักอย่าง สุขภาพเธอไม่ค่อยแข็งแรง นอกจากศารทูลก็ไม่สามารถมีลูกได้อีก จึงค่อนข้างตามใจเจ้าตัวดีของเขาพอสมควร

คนเป็นพ่อคิดด้วยความอ่อนใจ เมื่อเห็นท่าทางกางปีกปกป้องคนเป็นลูกที่ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากกำลังทำอยู่

“แกรู้ไหมว่ายายปิ๊กเปิดไปถึงเชียงรายโน่นแล้ว” เจ้าสัวเจษฎาเปิดประเด็นเรื่องที่ทำให้ถึงกับต้องมาดักรอลูกชายทันทีแบบไม่มีอารัมภบท

“อะไรนะครับ เชียงรายงั้นเหรอ นี่ยายปิ๊กกับยายจุ๊บกล้าพากันไปถึงโน่นเลยเหรอครับ ผมนึกว่าสองคนนั่นจะไปแถวๆ นี้ อย่างแต่ก่อนซะอีก” ศารทูลแปลกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อทราบว่าตอนนี้บุณฑริกอยู่ที่ไหน

ก่อนหน้านี้เขาทราบจากพวกผู้ใหญ่ว่าบุณฑริกขออนุญาตเดินทางไปหาแรงบันดาลใจในการวาดรูป อ้างกับบิดามารดาว่าถือเป็นการทิ้งท้ายก่อนที่จะต้องแต่งงานกับเขา เพราะถ้าหากแต่งงานแล้วการตะลอนไปไหนต่อไหนอย่างที่เคยทำคงไม่สะดวกนัก

พอเธออ้างอย่างนี้แล้ว คนที่รักและตามใจลูกสาวมาตลอดอย่างเจ้าสัวเกรียงไกรก็ขัดใจเธอไม่ลง ก็เลยอนุญาตให้บุณฑริกกระเตงตระการตา ซึ่งเป็นเด็กในบ้านที่เจษฎาเลี้ยงดูคู่กับบุณฑริกมาตั้งแต่เด็กไปหาแรงบันดาลใจอย่างที่ชอบทำตามเคย เพียงแต่ที่ผ่านมาสองสาวไม่เคยไปไกลถึงขนาดนี้มาก่อน

“ไม่ใช่ไปแค่เชียงรายเท่านั้นนะ ยังพากันไปถึงไร่ภูพญาโน่นเลย” เจ้าสัวเจษฎาเล่าต่อไปอีก

“ไร่ภูพญา? ยายปิ๊กไปทำอะไรที่นั่น นี่เขารู้เรื่องโครงการใหม่ของเราด้วยเหรอครับ” ศารทูลถามด้วยความแปลกใจยิ่งขึ้น เพราะแต่ไหนแต่ไรมาฝ่ายนั้นไม่เคยสนใจเรื่องกิจการของครอบครัวสักนิด

“เรื่องไปยังไงมายังไงก็ยังไม่รู้แน่ แต่ก็อาจจะระแคะระคายบ้างเหมือนกัน อย่าลืมสิว่ายายจุ๊บเคยเป็นผู้ช่วยเลขาฯ อาเกรียงเขา” เจ้าสัวเจษฎาให้เหตุผล “แต่ฉันก็แปลกใจเหมือนกัน ไม่คิดว่ายายปิ๊กจะเริ่มสนใจเรื่องการงานขึ้นมาบ้างแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะว่าใกล้จะแต่งงานแต่งการแล้ว ถึงได้คิดจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ อืม...ฉันว่าก็น่าชื่นใจอยู่นะ”

ศารทูลฟังบิดาพยายามหาเหตุผลมาสรรเสริญว่าที่ลูกสะใภ้แล้วได้แต่ทำหน้าปั้นยาก ช่างปิดหูปิดตาทำอย่างกับว่าไม่รู้จักฤทธิ์เดชของบุณฑริกอย่างนั้นละ เขาคิดว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำแน่นอน

“แล้วนี่ป๊ารู้ได้ยังไงครับว่ายายปิ๊กอยู่ที่นั่น”

“พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์เขาโทร. มาบอกอาเกรียงของแกน่ะสิ กลัวว่ารายนั้นจะเป็นห่วงลูกสาว ก็เลยโทร. มาบอกให้สบายใจว่าตอนนี้ยายปิ๊กกับยายจุ๊บอยู่กับพวกเขา สบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง”

“แล้วเด็กสองคนนั่นไปรู้จักมักจี่กับพ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์ตั้งแต่เมื่อไรครับ ถึงได้สนิทสนมกันถึงขนาดไปพักที่ไร่เขาได้ ทีคนของเราที่ส่งไปเจรจาซื้อที่ ไม่เห็นว่าเขาจะต้อนรับขับสู้แบบนี้เลย ปฏิเสธตลอด”

ยิ่งคิดศารทูลก็ยิ่งแปลกใจ เนื่องจากว่าครอบครัวของเขากับครอบครัวของบุณฑริกกำลังร่วมทุนกันเพื่อขยายกิจการรีสอร์ตไปที่เชียงราย ก็เลยอยากได้ที่ดินที่นั่นเป็นจำนวนมาก เจรจาซื้อขายกับรายอื่นๆ แล้วได้ผลค่อนข้างดี เหลือก็แต่ที่ดินของไร่ภูพญา ซึ่งเป็นแปลงที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุด ที่ไม่ว่าจะส่งคนไปเจรจากี่ครั้งก็คว้าน้ำเหลวทุกที

หลังๆ มานี่เห็นว่าลูกชายเจ้าของไร่ที่ชื่อสีหราชเป็นคนดูแลทุกอย่างภายในไร่แทนพ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์ รายนี้ท่าทางจะอารมณ์ร้อนไม่เบา เพราะไล่ตะเพิดคนที่พวกเขาส่งไปเจรจาขอซื้อที่กลับมาหลายราย แล้วทำไมทั้งๆ ที่รู้ว่าบุณฑริกเป็นลูกสาวของเจ้าสัวเกรียงไกร กลับไม่ไล่กลับมาเหมือนคนอื่นๆ มิหนำซ้ำยังให้ไปพักที่ไร่อีกแน่ะ

“ผมว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ นะครับป๊า”

“อืม ฉันก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน ถึงได้มารอปรึกษาแกอยู่นี่ไงล่ะ”

“งั้นเอาไว้เดี๋ยวผมโทร. ไปหาอาเกรียงอีกทีก็แล้วกัน อยากรู้ว่าทางโน้นเขาพูดอะไรบ้าง จะได้มาประเมินกันอีกทีว่าจะเอายังไง อย่างน้อยตอนนี้เราก็รู้ละว่าสองคนนั่นอยู่ไหน ก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง”

“แกอย่าละเลยน้องเชียวนะเจ้าเดียว ต้องใส่ใจให้มาก”

“รู้แล้วครับป๊า” ศารทูลรับปากด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขารักบุณฑริกกับตระการตาเหมือนน้องแท้ๆ แล้วจะไม่ห่วงได้อย่างไรกัน

“ดีแล้ว” พอได้ยินลูกชายรับปาก คนเป็นพ่อก็ค่อยโล่งใจหน่อย

“คุยกันเรียบร้อยแล้วก็ไปกินข้าวกินปลากันเถอะค่ะ หลังๆ มานี่ไม่ค่อยได้กินข้าวพร้อมหน้ากันเลย” โศรยาเปรยขึ้นมาเมื่อเห็นว่าสามีและลูกชายคุยกันจบแล้ว

“จะไปพร้อมได้ยังไงล่ะคุณ ก็ไอ้ลูกชายตัวดีของคุณมันหายหัวเป็นประจำ” เจ้าสัวเจษฎาอดค่อนแคะลูกชายไม่ได้

โศรยาปรายตาไปมองลูกชาย เพราะครั้งนี้ค่อนข้างเห็นด้วยกับสามี

คนถูกมองรีบฉีกยิ้มประจบ รีบแก้ตัวหน้าระรื่น “แหม คิดถึงก็ไม่บอก แค่นี้ก็ต้องประชดประชันกันด้วย ไปครับ ไปกินข้าวกัน วันนี้หม่าม้าทำอะไรกินครับ น้องเดียวฮิ้วหิว” พูดพลางรีบประคองมารดาให้ลุกขึ้น พาเดินตรงไปยังโต๊ะอาหารอย่างเอาอกเอาใจ

คุณพ่อน้องเดียวอยากจะโบกสมองลูกชายสักป้าบ เมื่อเห็นท่าทีประจบประแจงนั่น แต่ก็ตัดใจทำไม่ลง ถึงจะค่อนข้างกะล่อน แต่นั่นก็เป็นลูกชายเพียงคนเดียว แถมยังเป็นสุดสวาทขาดใจของภรรยาเขาอีกด้วย

ดูสิดู! แค่ศารทูลอยู่กินข้าวเย็นพร้อมหน้ากัน ภรรยาเขาก็ดูมีความสุขอย่างมาก แต่จะว่าไปแล้วเขาเองก็เหมือนกัน คิดพลางเดินตามสองแม่ลูกไปพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ

“อยู่ให้มันติดบ้านหน่อยสิแกน่ะ” เจ้าสัวเจษฎาเปรยขึ้นระหว่างรับประทานอาหาร

“นั่นสิจ๊ะ แม่ว่าพักนี้น้องเดียวเที่ยวถี่เกินไปแล้วนะลูก” โศรยาเอ่ยขึ้นบ้าง

“แหม ก็เหมือนยายปิ๊กไงครับ” ศารทูลเอาบุณฑริกมาอ้างแบบไม่อาย เพราะรู้ว่าช่วงนี้บิดามารดาของตัวเองเทคะแนนความรักให้บุณฑริกมากเป็นพิเศษในฐานะว่าที่ศรีสะใภ้

“อะไรของแกอีกล่ะ ไปเกี่ยวอะไรกับน้องอีก”

“ก็ไปเที่ยวสั่งลาความโสดไงครับป๊า เผื่อต่อไปแต่งงานแล้วจะไปอย่างนี้มันก็ดูไม่ดีใช่ไหมล่ะครับ นี่ดีเท่าไรแล้วที่ผมไม่ไปไกลถึงเชียงรายแบบยายปิ๊กน่ะ” คนหน้าไม่อายอ้างเป็นฉากๆ

คนเป็นพ่อเป็นแม่ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเจอมุกนี้เข้าไป จะต่อว่าอะไรก็กลัวจะกระทบไปถึงว่าที่ลูกสะใภ้ พวกเขาอยากให้ศารทูลชมชอบบุณฑริก แล้วจะเอ่ยปากตำหนิได้อย่างไรกัน

‘ไอ้เดียว! มันมาเหนือเมฆอีกแล้ว’

เจ้าสัวเจษฎาคำรามด้วยความหงุดหงิดอยู่ในใจ ยิ่งเห็นลูกชายกลั้นยิ้มก็ยิ่งโมโห

“แกนะไอ้เดียว! แกไปให้พ้นหน้าฉันเลยไป ก่อนที่ความดันฉันจะขึ้น” เมื่อทำอะไรลูกชายไม่ได้ คนเป็นพ่อก็ได้แต่ไล่ให้ไปพ้นๆ หน้า

“คุณคะ! ลูกยังกินข้าวไม่อิ่มเลย” โศรยาท้วงเมื่อเห็นว่าสามีเริ่มโมโหอีกแล้ว พ่อลูกคู่นี้ไม่รู้เป็นอย่างไร คุยกันได้ไม่เท่าไร ก็กลับมาทะเลาะกันตลอด

“ไม่เป็นหรอกครับหม่าม้า ผมอิ่มพอดีเลย” ศารทูลเอ่ยพลางยิ้มแฉ่ง รีบรวบช้อนอย่างว่องไว ลุกขึ้นไปหอมแก้มมารดาเบาๆ “เดี๋ยวน้องเดียวไปอาบน้ำก่อนนะครับ นั่งอยู่ตรงนี้เดี๋ยวป๊ากินข้าวไม่อร่อย” พูดจบก็หันไปขยิบตาให้บิดา ก่อนจะเดินตรงไปยังบันไดเพื่อขึ้นชั้นบน

“ให้อาหารย่อยก่อนนะลูก อย่าเพิ่งอาบน้ำทันทีล่ะ เพิ่งกินข้าวเสร็จเมื่อกี้เอง” คนเป็นแม่ตะโกนไล่หลังไป

“ครับผม ทราบแล้ว” ศารทูลเดินไปพลางตะโกนตอบมารดาไปพลาง

คนเป็นพ่อกับแม่หันมาสบตากันแล้วต่างก็โคลงศีรษะด้วยความอ่อนใจ

 

เสียงฮัมเพลงอย่างรื่นเริงทำให้เจ้าสัวเจษฎาที่กำลังนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นหลังรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วหันไปมอง ก็พบว่าเจ้าของเสียงก็คือลูกชายตัวดีของเขานั่นเอง

“นั่นแกจะไปอีกฮึเจ้าเดียว” คนเป็นพ่อถามเมื่อสังเกตเห็นว่าชุดที่ลูกชายสวมอยู่นั้นลักษณะเตรียมพร้อมเหมือนจะออกไปข้างนอก เมื่อกี้เจ้าตัวดีบอกว่าจะขึ้นไปอาบน้ำ เขาก็คิดว่าจะไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมเข้านอนเสียอีก

“อ้าว เมื่อกี้ป๊าไม่ได้บอกให้ผมไปพ้นๆ หน้าเหรอครับ ผมก็เลยว่าจะออกไปข้างนอกซะหน่อย ไว้รอป๊าหลับแล้วค่อยกลับมา ป๊าจะได้ไม่หงุดหงิดอีก” ศารทูลเอียงคอถาม มองคนเป็นพ่อด้วยสายตาราวกับจะถามว่าเมื่อกี้ท่านไล่เขาเองไม่ใช่หรือ

“นี่แก!” เจ้าสัวเจษฎาถึงกับพูดไม่ออกเมื่ออีกฝ่ายเอาคำพูดของเขามาใช้พลิกสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองแบบหน้าตาเฉยซะอย่างนั้น

“แล้วนี่หม่าม้าขึ้นไปนอนแล้วเหรอครับ ดีแล้ว นอนดึก ไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ ป๊าก็เหมือนกัน รีบขึ้นไปนอนเถอะ รีบนอนรีบหลับ ผมจะได้รีบกลับบ้าน ผมก็ไม่อยากนอนดึกเหมือนกันนะเนี่ย”

เจ้าสัวเจษฎามองคนที่พูดว่าไม่อยากนอนดึก แต่ท่าทางดี๊ด๊าเหลือเกินที่จะได้ออกจากบ้าน ก็รู้สึกเหมือนลมสว้านจะตีขึ้นมาอีกรอบ ได้แต่เข่นเขี้ยวใส่ นับไม่ถูกเหมือนกันว่ารอบที่เท่าไรแล้ว

“ไอ้เดียว ไอ้ปลาไหลใส่สเกต”

“โอ๊ย เอาใจไม่ถูกเลย ป๊าอะ เอาใจยากกว่าสาวๆ อีก นี่ผมพยายามเอาใจป๊าสุดๆ แล้วนะ ยังมาด่ากันอีก”

“ไอ้ตัวร้าย เห็นหม่าม้าแกให้ท้ายเลยกวนประสาทฉันใหญ่ใช่ไหม”

“ไม่ได้คิดแบบนั้นเลยจริงๆ ครับ สาบานได้ ป๊าของผมออกจะองอาจขนาดนี้ แล้วจะไปเกรงใจหม่าม้าได้ยังไง ผมไม่กล้าคิดแบบนั้นหรอก” ศารทูลรีบปฏิเสธพร้อมส่ายหน้ารัวๆ แต่ก็ดูน่าหมั่นไส้มากกว่าน่าเชื่อถือ

เจ้าสัวเจษฎาได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถึงลูกชายจะใช้คำว่า ‘เกรงใจ’ แต่แววตามันส่อว่าอยากพูดว่า ‘กลัว’ มากกว่าชัดๆ เจ็บใจเสียจนอดแช่งอีกฝ่ายบ้างไม่ได้

“เออ! แกมันเก่ง ฉันจะรอดูน้ำหน้าแกตอนมีเมียว่าจะเป็นยังไง อย่างแกคงไม่เกรงใจยายปิ๊กหรอกมั้ง” คนเป็นพ่อหัวเราะหึๆ ด้วยความสาแก่ใจเมื่อนึกถึงฤทธิ์เดชของบุณฑริก ไม่แน่ว่าไอ้ตัวร้ายของเขาอาจจะอาการหนักกว่าก็เป็นได้

นับว่าข้อสันนิษฐานของเจ้าสัวเจษฎาไม่ผิดพลาดสักเท่าไร เพราะวันหนึ่งข้างหน้า ศารทูลจะตบเท้าเข้าชมรมพ่อบ้านใจกล้าโดยสมัครใจ อาการก็หนักกว่าคนเป็นพ่อมากนัก จะคลาดเคลื่อนไปหน่อยก็ตรงที่คนที่จะมากำราบเสือเพลย์บอยตัวนี้ไม่ใช่บุณฑริกอย่างที่คิดเท่านั้นเอง

“ยายปิ๊กน่ะเหรอครับ” ศารทูลเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ป๊าก็ จะขู่อะไรก็ให้มันตื่นเต้นหน่อยสิครับ บอกว่ายายนั่นจะงอแงให้ผมไปซื้อขนมมาให้ยังจะน่ากลัวกว่าอีก”

“เออ พูดดีไปเถอะ ฉันจะรอดู” เจ้าสัวไม่คิดหรอกว่าอนาคตจะได้ดูไปขำไปอย่างสาแก่ใจแน่นอน

“เอาละๆ เลิกโมโหเถอะนะครับ ป๊าขึ้นไปนอนเถอะ ป่านนี้หม่าม้ารอแย่แล้ว เดี๋ยวจะมาโทษว่าผมชวนคุยอีก”

“เออ ฉันก็ไม่อยากคุยกับแกแล้ว” เจ้าสัวเอ่ยพลางลุกขึ้น เพราะยิ่งคุยก็ยิ่งโมโห แต่ก็ไม่ลืมกำชับด้วยความเป็นห่วง “แล้วก็อย่ากลับให้ดึกนักล่ะ อย่าให้หม่าม้าเขาเป็นห่วงนักเลย”

“ครับ ทราบแล้ว ป๊าบอกหม่าม้าไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ป๊าเองก็เหมือนกัน ผมแค่ออกไปเที่ยวเล่นตามประสานั่นแหละครับ ไม่มีอะไรหรอก” ศารทูลเอ่ยเสียงอ่อน คราวนี้ไม่มีแววยั่วเย้าหรือกวนประสาทแต่อย่างใด เพราะไม่อยากให้บิดามารดากังวล

“ก็ดีแล้ว อ้อ แล้วนี่รู้จักพกถุงยางบ้างหรือเปล่า แกห้ามเป็นเอดส์ให้ฉันกับหม่าม้าขายหน้าชาวบ้านเชียวนะ” คนเป็นพ่อไม่วายกำชับเรื่องสำคัญ เห็นมานักต่อนักแล้ว ไอ้พวกรู้จักแต่เที่ยว แต่ไม่รู้จักระวังตัวนี่น่ะ

“เกรดสี่วิชาสุขศึกษาแบบผมไม่มีพลาดอยู่แล้วครับ ยืดอกพกถุงตลอดแหละ” อวดเกรดไม่พอ ยังทำท่าจะควักกระเป๋าสตางค์เพื่อเอาถุงยางอนามัยที่ใส่ไว้ในนั้นออกมาอวดเพื่อยืนยันอีกด้วย

“พอๆ ไม่ต้องเอาของพรรค์นั้นมาให้ฉันดูหรอก จะไปไหนก็ไปไป๊” ท่านเจ้าสัวรีบไล่ มือที่กำลังจะล้วงกระเป๋าของคนหน้าไม่อายถึงได้ชะงักลง

“ป๊าขึ้นบันไดดีๆ นะครับ เดี๋ยวผมก็กลับมาแล้วละ” ศารทูลเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใยเมื่อเห็นบิดาตั้งท่าจะเดินขึ้นชั้นบน

“อืม แกเองก็ขับรถขับราระวังๆ หน่อยล่ะ”

“ครับผม”

หลังจากเถียงกันพอหอมปากหอมคอเหมือนอย่างที่มักจะเป็นเช่นนั้นอยู่แทบทุกวันแล้ว สองพ่อลูกสินธวรัตน์ก็แยกย้ายกันไป คนหนึ่งตรงไปพักผ่อน ส่วนอีกคนออกไปตระเวนราตรีแบบที่ชอบทำ

ส่วนเรื่องที่ล้อบิดาเมื่อสักครู่ ศารทูลก็ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังอะไร เขารู้เรื่องราวความหลังของบุพการีตัวเองดี จึงเข้าใจว่าเพราะอะไรป๊าถึงได้รักและเกรงใจหม่าม้ามาก แต่ก็ยั่วไปอย่างนั้นเอง และก็รู้ด้วยว่าผู้เป็นพ่อไม่เคยโกรธเป็นจริงเป็นจัง มันเป็นการแสดงความรักและความสนิทสนมกันระหว่างพวกเขา ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มาตลอด เขาชอบอ้อนหม่าม้า แต่ชอบแกล้งป๊าจนเป็นนิสัย

แล้ววันหนึ่งข้างหน้าศารทูลถึงได้ซาบซึ้งว่า เรื่องที่ว่าป๊าของเขากลัวหม่าม้านั้นเป็นเรื่องล้อเล่น แต่เรื่องที่เขากลัวเมียนี่สิ ช่างเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนยิ่งนัก

 

หลังจากนั้นไม่นานนัก ศารทูลก็มานั่งกระดิกเท้า จิบเหล้า และฟังเพลงอย่างสบายใจอยู่ที่คลับที่ชอบไปเที่ยวหาความสำราญเป็นประจำ นั่งดื่มไปได้ไม่นานนักก็มีสาวสวยลักษณะเหมือนลูกครึ่งมาขอนั่งด้วย ชายหนุ่มส่งยิ้มพร้อมกับตอบรับคำขอของอีกฝ่ายแบบคนไม่หวงเนื้อหวงตัว นั่งคุยกันไปกระแซะกันมาก็รู้ว่าเจ้าหล่อนชื่อลอร่า เป็นดาราหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการบันเทิงได้ไม่นานนัก

คลื่นลูกใหม่ในวงการบันเทิงเกิดขึ้นแทบจะทุกวัน ศารทูลจึงจำไม่ค่อยได้ว่าใครเป็นใคร ใครทอดไมตรีมาเขาก็ตอบสนองไปตามครรลองของมัน

ผิดกับฝ่ายหญิงที่รู้จักศารทูลเป็นอย่างดี เพราะมักจะมีภาพของเขาปรากฏอยู่ในคอลัมน์ข่าวซุบซิบไฮโซอยู่เสมอ ถึงได้เตร่เข้ามาทำความรู้จัก เพราะคิดว่าคง ‘สอย’ เขาได้ไม่ยากนัก

คนบางคนแค่มองตาก็รู้ใจ ดังนั้นเมื่อสาวเจ้าขอร้องให้ศารทูลช่วยเป็นเพื่อนพาเธอไปห้องน้ำ สุภาพบุรุษอย่างเขาก็เอื้อเฟื้ออย่างมีน้ำใจ แล้วก็เพราะความเป็นสุภาพบุรุษอีกนั่นละ ที่ทำให้เขาไม่กล้าขัดขืนตอนที่เจ้าหล่อนดันร่างของเขาไปชิดผนังระหว่างทางเดิน ก่อนจะแนบร่างของตัวเองตามมา เขากลัวว่าถ้าออกแรงดันหล่อนออกไป จะกลายเป็นการใช้กำลังกับผู้หญิง ก็เลยปล่อยให้อีกฝ่ายทำอะไรๆ ตามใจชอบ

“ไม่อยากเข้าห้องน้ำแล้วเหรอครับ” ชายหนุ่มถามด้วยประโยคซื่อๆ แต่แววตาไม่ซื่ออย่างคำพูดสักนิด

“อยากสิคะ แต่อยากเข้าที่อื่นมากกว่า” ดวงตาของคนตอบแพรวพราว ไม่ระบุให้แน่ชัดว่าอยากเข้าที่ไหน ได้แต่บอกใบ้ด้วยการบดเบียดเรือนร่างอวบอิ่มเข้ากับร่างสูงของอีกฝ่ายแบบไม่หวงเนื้อหวงตัว

“อืม ก็ต้องดูก่อนว่าปวดมากหรือเปล่า จะได้เลือกถูกว่าควรจะพาไปเข้าที่ไหน” เสือหนุ่มมองตอบด้วยแววตาที่แพรวพราวพอกัน

ริมฝีปากที่เคลือบลิปสติกสีสดของดาราสาวแนบลงกับปากของชายหนุ่มแนบแน่นยิ่งขึ้น เหมือนอยากจะแสดงให้ชายหนุ่มรู้ว่าปวดแค่ไหน

ปลายลิ้นที่เคลื่อนไหวซุกซนอยู่ในโพรงปากปากรวมถึงมือที่ลูบไล้อยู่แถวแผ่นอกทำให้เสือหนุ่มสรุปว่าสาวเจ้าน่าจะปวดอยู่ไม่น้อย พออีกฝ่ายถอนริมฝีปากออกก็ส่งยิ้มให้จนตาหยี ก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบของออกมาสองอย่าง แบมือให้หญิงสาวตรงหน้ามองมันชัดๆ

กุญแจรถยนต์กับคีย์การ์ดบนฝ่ามือของศารทูลทำให้ดาราสาวหัวเราะระรื่น มองชายหนุ่มหน้าทะเล้นอย่างชอบใจกว่าเดิม

“ถ้ารีบก็ต้องใช้รถ แต่ถ้าชอบสงบๆ ก็ต้องใช้คีย์การ์ด” เจ้าของกุญแจทั้งสองแบบเอ่ยยิ้มๆ

“แล้วถ้ารีบมาก แต่ก็ชอบสงบๆ ด้วยล่ะคะ”

“พร้อมบริการทุกอย่างครับคุณผู้หญิง ผมไม่เคยขัดใจสุภาพสตรีอยู่แล้ว”

เมื่อไก่ก็เห็นตีนงูและงูก็อยากจะเห็นนมไก่ อะไรๆ ก็เข้าทางไปหมด สุภาพสตรีเปิดเกมมาถึงขนาดนี้จะกระมิดกระเมี้ยนเล่นตัวก็กระไรอยู่ งูกับไก่ก็เลยเปิดฉากอุ่นเครื่องกันอยู่ตรงนั้นก่อนเพื่อเรียกน้ำย่อย

คิ้วเข้มของศารทูลขมวดขึ้นนิดหน่อยเมื่อรู้สึกว่าร่างกายของคนที่กำลังพันพัวนัวเนียกับตัวเองกระตุกไปจังหวะหนึ่ง ก่อนที่เจ้าหล่อนจะดันตัวผละออกจากเขาแล้วเหลียวกลับมองเหมือนต้องการหาสาเหตุเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง

“ขอโทษค่ะ”

เกสรี พัฒนามนตรี รีบเอ่ยขอโทษเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเดินสะดุดอะไรบางอย่างจนเซไปชนคนอื่นเข้า ที่เป็นอย่างนั้นก็คงเพราะว่าในนี้มันสลัวเกินไป จนเธอมองอะไรไม่ชัดเจน ก็เพราะอย่างนี้ไงล่ะ เธอถึงได้ไม่ชอบมาเที่ยวสถานที่แบบนี้สักเท่าไร แต่พอเขม้นมองคนที่ตัวเองเซไปชนให้ชัดๆ ถนัดตาก็พลันอุทานออกมาด้วยความลืมตัว

“อ๊ะ!”

“เธอ!” คู่กรณีของเกสรีก็มีอาการไม่ผิดกัน

สองสาวมองกันด้วยแววตาที่ไม่ว่าใครเห็นก็เดาได้ไม่ยากว่าศรศิลป์ไม่กินกัน เพราะมองหาความเป็นมิตรในดวงตาทั้งสองคู่ไม่เจอแม้แต่นิดเดียว

ศารทูลก็มองออกเช่นกัน

‘โอ๊ย! คนหล่อเพลีย’

เสือเพลย์บอยที่เพิ่งผ่านการเป็นเป้าหมายของศึกชิงนายระหว่างผู้หญิงสองคนมาเมื่อไม่นานนี้โอดครวญอยู่ในใจเมื่อเห็นสายตาของสองสาวตรงหน้า นี่อย่าบอกนะว่าแม่สองสาวนี่ก็จะวางมวยแย่งเขากันอีกรอบ การเป็นที่หมายปองของสาวๆ มากมายก็ทำให้ลำบากใจเหมือนกันนะ

คนที่กำลังกลุ้มกับความหล่อของตัวเองคิดพลางมองดูคนที่ยื่นมือเข้ามาแทรกกิจกรรมระหว่างตัวเองกับดาราสาว เห็นตาวาวๆ ของคนมาใหม่แล้วก็ได้แต่อ่อนอกอ่อนใจ ถึงจะชอบเขาแค่ไหน แต่เธอคนนี้ก็น่าจะรู้จักคำว่ามาก่อนมาหลังบ้างนะ ไม่ใช่เอะอะก็จะตีกันท่าเดียว ที่สำคัญก็คือเขายังนึกไม่ออกเลยว่าตัวเองไปหว่านเสน่ห์ใส่ผู้หญิงคนนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ถึงจะสวยมาก แต่หน้าไม่คุ้นเลยจริงๆ

แต่อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ ถ้าพวกเธอตกลงกันไม่ได้จริงๆ ก็จัดมันพร้อมๆ กันไปเลยก็ได้ จะว่าไปแบบนั้นก็น่าตื่นเต้นดีเหมือนกันนะ อย่างน้อยก็น่าจะดีกว่าตีกันแน่ๆ เขาจะยอมเสียสละรับความเหนื่อยนี้ไว้เอง ขออย่างเดียวว่าอย่าใช้กำลังเพื่อแย่งชิงเขาอีกเลย คนหล่อเพลียใจเหลือเกิน

ขณะที่กำลังคิดจะเสียสละร่างกายให้สองสาวย่ำยีไปพร้อมๆ กันอยู่นั้น สายตาของแม่สาวที่มาใหม่ก็ปรายมาทางเขาพอดี

ศารทูลตั้งท่าจะส่งยิ้มให้เพื่อปูทางไปสู่การเกลี้ยกล่อมให้เจ้าหล่อนสมัครสมานสามัคคีกันไว้ ยังไงเขาก็จะมอบความยุติธรรมให้อย่างแน่นอน จะไม่มีใครได้จำนวนยกมากกว่ากันจนต้องมาขุ่นเคืองอย่างเด็ดขาด แต่ปากที่กำลังจะยกยิ้มก็พลันชะงักกึก เพราะสายตาที่อีกฝ่ายมองมาดูเหมือนจะไม่มีแววพิศวาสเจือปนมาเลยแม้แต่นิดเดียว

เอ...หรือว่าเจ้าหล่อนจะเปลี่ยนสายตาไม่ทัน บางทีอาจเป็นเพราะกำลังส่งสายตาพิฆาตให้ลอร่า แต่บังเอิญเลยมาถึงเขาเข้าพอดีก็เป็นได้

มนุษย์หลงตัวเองยังจินตนาการเพ้อเจ้อต่อไป

“นี่เธอตั้งใจใช่ไหม!”

เสียงของลอร่าทำให้คนเพ้อเจ้อกลับจากโลกแห่งจินตนาการมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงทันที กำลังชั่งใจอยู่ว่าควรจะยื่นข้อเสนอแทรกไปตอนไหนถึงจะเข้าทีที่สุด

เกสรีกลอกตาเมื่อได้ยินข้อกล่าวหาของอีกฝ่าย เธอคิดว่าถ้าเป็นคนอื่นที่เซมาชนยายนี่ เรื่องอาจจะไม่เป็นอย่างที่กำลังเป็นอยู่ก็ได้ การที่อีกฝ่ายโวยวายเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่ได้ชนแรงอะไรนัก น่าจะเป็นเพราะไม่ชอบหน้ากันมาก่อนมากกว่า ถ้าเป็นคนปกติ เรื่องแค่นี้ขอโทษแล้วก็แล้วกันไปทั้งนั้น

ความจริงแล้วชีวิตของเธอไม่น่าจะต้องมารู้จักมักจี่กับคนอย่างลอร่าเลยสักนิด เพราะวิถีชีวิตนั้นเรียกได้ว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่เนื่องจากนฤเคนทร์ซึ่งเป็นพี่ชายคนรองของเธอเป็นดารา และบังเอิญว่าผู้จัดการส่วนตัวของเขาประสบอุบัติเหตุทำให้ไม่สามารถทำงานได้ในระยะนี้ นฤเคนทร์จึงขอร้องให้เธอมารับหน้าที่ผู้จัดการส่วนตัวให้เขาเป็นการชั่วคราว ก็เลยพลอยให้เธอรู้จักผู้คนในวงการบันเทิงหลายคน รวมถึงผู้หญิงคนนี้ด้วย

“ฉันไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็ขอโทษไปแล้วด้วย” เกสรีเอ่ยเสียงเรียบ เพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับคนแบบนี้

“ฉันไม่เชื่อ ฉันรู้ว่าเธอตั้งใจ” อีกฝ่ายกระชากเสียงใส่

“นั่นมันก็เรื่องของเธอ แต่ฉันขอยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจ” เกสรีเอ่ยอย่างไม่ใส่นัก ก่อนจะรีบชิงพูดต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าขยับปากคล้ายกำลังจะพูดบ้าง “แล้วฉันจะบอกให้รู้นะว่าอะไรคือความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เรียกว่าความตั้งใจ

กับไม่ตั้งใจ การที่ฉันเดินสะดุดจนเซมาชนเธอน่ะมันเกิดจากความไม่ตั้งใจ มันเป็นเหตุสุดวิสัย หรือที่คนทั่วไปเรียกว่าอุบัติเหตุ”

เกสรีเว้นจังหวะเพื่อสำรวจว่าคู่กรณีเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองพูดหรือไม่ ก็เห็นว่าเอาแต่ยืนถลึงตาทำท่าเหมือนนางร้ายในละคร นี่เจ้าหล่อนคิดว่าตัวเองยังอยู่ในกองถ่ายหรืออย่างไร และที่สำคัญเธอไม่ได้รับบทบาทเดียวกับนางเอกในละครที่แม่คนนี้เล่น ถึงจะต้องหงอให้ จึงใส่แบบไม่ยั้ง

“ส่วนแบบที่เธอกับนายนั่นทำอยู่น่ะเขาเรียกว่าตั้งใจ นอกจากตั้งใจแล้วยังไม่รู้จักกาลเทศะอีกต่างหาก ต้องให้บอกด้วยไหมว่าไม่ถูกกาลเทศะยังไง”

น้ำเสียงราวกับกำลังจะเทศนานั้นทำให้ดาราสาวถึงกับกัดฟันกรอด

ส่วน ‘นายนั่น’ ซึ่งเป็นผู้ร่วมชะตากรรมแบบศารทูลก็ได้ฟังสองสาวโต้แย้งกันโดยไม่ได้ตั้งใจไปด้วย แต่ถึงไม่ตั้งใจก็ยังฟังออกว่าถูกด่า เริ่มเข้าใจว่าเขาไม่ใช่เป้าหมายของผู้หญิงคนนี้แต่อย่างใด ตกลงที่ทำท่าราวกับจะซัดกันนั่นไม่ได้เกี่ยวกับเขาเลยใช่ไหม แล้วก็ปล่อยให้กลุ้มใจอยู่ตั้งนาน ให้ตายสิ!

“ตกลงเข้าใจแล้วใช่ไหม ถ้าเข้าใจแล้วฉันจะได้ไปเสียที ปวดฉี่จะตายอยู่แล้ว ไม่คิดจะเข้าห้องน้ำแล้วมายืนขวางทางชาวบ้านเขาทำไมก็ไม่รู้” เกสรีบ่นยืดยาวแล้วก็ผละไปทันทีเหมือนไม่อยากเสวนาด้วย

คนโดนชนแล้วยังโดนตำหนิโมโหจนแทบหน้ามืดที่ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ตามเคย ได้แต่ต่อว่าตามหลัง “ทำเป็นวางท่าเทศนาคนอื่น ตัวเองน่ะนิสัยดีสักแค่ไหนกัน ลองไม่ใช่น้องสาวคุณเคนสิ ไม่รู้จะมีใครอยากคบไหม”

เกสรีหันขวับมาทันทีเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมเลิกรา มองสาวสวยตรงหน้าด้วยสายตาเบื่อหน่าย ยายนี่กินอาหารเข้าไปคงเอาไปบำรุงหน้าอกหน้าใจจนหมดกระมัง ถึงได้ไม่เหลือไปบำรุงสมองซะบ้าง

“แล้วใครอยากคบกับคนแบบเธอไม่ทราบ ถ้ายังจำได้ฉันไม่เคยอยากจะสุงสิงด้วยสักนิด คนที่เลือกว่าจะคบหรือไม่คบคือฉัน ไม่ใช่เธอ เข้าใจซะใหม่ด้วย คนมีสมองเขาเลือกจ้ะว่าควรคบใคร ส่วนพวกไม่มีสมองก็มักจะเกลือกกลั้วกันเอง เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ โอเคเนอะ ไม่อยากพูดเยอะ เจ็บคอ” สิงห์สาวแห่งไร่ภูพญามองนางร้ายนอกจอสลับกับคู่ควงของฝ่ายนั้นที่ยืนทำหน้างงๆ อยู่ เหมือนอยากบอกให้รู้ว่าใครคือพวกไม่มีสมองที่ชอบเกลือกกลั้วกันเอง

ต่อล้อต่อเถียงกับคู่อริจนพอใจแล้ว เกสรีก็ตั้งใจจะไปเข้าห้องน้ำตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก ใบหน้าสวยใสงอง้ำ อารมณ์เบิกบานหดหายไปจนเกือบหมด อดคิดไม่ได้ว่าเสียฤกษ์แท้ๆ

เมื่อโดนต่อว่าเรื่องที่แทงใจดำที่สุด ทำเอาสาวลอร่าถึงกับฟิวส์ขาด บวกกับดื่มไปหลายแก้วทำให้ความยับยั้งชั่งใจไม่มีเหลือ เธอไม่เคยชอบหน้าเกสรีเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ความที่อีกฝ่ายเป็นน้องสาวของนฤเคนทร์ ดาราหนุ่มสุดฮอตแถวหน้าของเมืองไทยซึ่งเธอหมายใจอยากจะสานสัมพันธ์ด้วย ทำให้เธอพยายามเข้าไปตีสนิทกับเกสรีซึ่งมาทำหน้าที่ผู้จัดการส่วนตัวให้พี่ชาย หวังจะใช้ความสนิทสนมนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าหาดาราหนุ่มผู้เป็นเป้าหมาย

แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่หวังสักนิด เกสรีทำตัวไม่เป็นมิตรกับใครทั้งนั้น คอยกันท่าผู้หญิงทุกคนรอบตัวพี่ชาย แถมยังต่อว่าตรงๆ ให้อายคนอื่นอยู่หลายครั้ง

ก่อนหน้าที่เกสรีจะมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของนฤเคนทร์ เขาก็ยังดูสนใจไมตรีที่เธอทอดไปให้อยู่บ้าง แต่ระยะหลังไม่ได้เป็นอย่างนั้น เธอเดาว่าสาเหตุที่เป็นอย่างนั้นจะต้องเป็นเพราะเกสรีคอยกีดกันอย่างแน่นอน ดาราสาวสันนิษฐานไป

เองโดยไม่รู้เลยว่าสาเหตุแท้จริงที่ทำให้นฤเคนทร์เปลี่ยนไปนั้นไม่ได้เกี่ยวกับเกสรีเลย แต่เกิดเพราะบุพเพอาละวาดของเขากับเต่าน้อยตัวหนึ่งต่างหาก

ความไม่พอใจที่สะสมมานานทำให้ลอร่าโมโหจนขาดสติ ดาราสาวเอื้อมมือไปผลักคนที่กำลังเดินหนีเต็มแรง เล่นเอาเกสรีเซถลาเกือบหน้าคะมำไปเช่นกัน

สิงห์สาวแห่งไร่ภูพญาหันขวับกลับมาทั้งตัว ที่ผ่านมาแค่หมั่นไส้และเบื่อหน่ายผู้หญิงคนนี้เท่านั้น แต่ตอนนี้มันกลายเป็นความโมโหสุดขีด เพราะอีกฝ่ายลงไม้ลงมือก่อน ความจริงตั้งแต่มาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้พี่ชายก็ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังอย่างที่ทำเป็นประจำเท่าไรนัก เห็นทีคงจะได้ยืดเส้นยืดสายกันคราวนี้ละ! คิดพลางก้าวอาดๆ ไปหาลอร่า ยืดไหล่ สะบัดคอ เหมือนนักมวยที่พร้อมชกอย่างยิ่ง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น