4

บทที่ 4


4

 

ทุกคนมองตามรถพยาบาลที่เคลื่อนที่ออกไปแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอกกันโดยถ้วนทั่ว โดยเฉพาะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงอย่างเกสรีและศารทูลที่ดูเหมือนจะโล่งใจเป็นพิเศษ

สองหนุ่มสาวหันมาสบตากันอีกครั้งโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อความเชื่อมโยงเดียวระหว่างเธอกับเขาอย่างลอร่าไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว ก็เลยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกัน เกสรีเป็นฝ่ายเบนสายตาไปก่อนอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก บวกกับพวกเพื่อนๆ กำลังเข้ามาปรึกษาหารือด้วยพอดี

“เรียบร้อยแล้วใช่ไหมเกรซ” อาวุธถามขึ้น รู้สึกแย่อยู่บ้างที่ช่วยอะไรเธอไม่ได้มากนัก

“ตอนนี้ก็น่าจะเรียบร้อยในระดับหนึ่งนะคะ แต่ก็ต้องรอดูก่อนว่าเขาเจ็บมากหรือเปล่า แล้วหมอจะว่ายังไงบ้าง”

“ขอโทษนะ ถ้าพี่ไม่ชวนเกรซออกมาก็คงไม่มีปัญหาแบบนี้หรอก” อาวุธเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขารู้ว่าเกสรีไม่ค่อยชอบออกมาเที่ยวกลางคืน แต่ความที่อยากพบเจอเธอบ้างจึงอ้างว่าพี่น้องในสายรหัสอยากสังสรรค์กัน และทุกคนก็อยากเจอเธอ ความที่อยู่สายรหัสเดียวกันทำให้เกสรีไม่ค่อยปฏิเสธหากเป็นเหตุผลนี้

“คิดอะไรอย่างนั้นล่ะคะพี่อาร์ม ไม่มีใครรู้หรอกค่ะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราก็แค่มาสังสรรค์กันตามประสาพี่น้อง ใครจะนึกว่าเรื่องมันจะวิ่งมาหา ถือว่าเป็นคราวซวยของเกรซก็แล้วกันค่ะ อีกอย่าง เกรซต่างหากที่ต้องขอโทษพี่น้องในสายทุกคนที่ทำให้หมดสนุกไปด้วย” เกสรีถือโอกาสขอโทษขอโพยคนอื่นๆ ไปด้วย

“นั่นสิครับพี่อาร์ม ผมว่าพี่อย่าคิดมากเลย พี่เกรซเองก็เหมือนกัน ไม่เห็นต้องมาขอโทษขอโพยกันเลย สายเราเหนียวแน่นอยู่แล้ว วันหลังค่อยนัดกันใหม่ก็ได้” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งในกลุ่มของเกสรีเอ่ยขึ้นมาบ้าง

“ขอบใจนะที่เข้าใจ” เกสรีเอ่ยพลางตบป้าบๆ ลงไปที่ไหล่ของชายหนุ่มรุ่นน้องเหมือนจะบอกว่าเห็นด้วยทุกอย่าง

คนที่เงี่ยหูฟังเกสรีคุยกับเพื่อนอย่างศารทูลถึงกับแอบเบะปาก นี่ยายตัวเล็กนั่นกล้าพูดออกมาได้อย่างไรว่าให้ถือว่าเป็นวันซวยของเธอ น่าจะบอกว่าเป็นวันซวยของลอร่าหรือวันซวยของเขายังจะฟังขึ้นกว่า

ยังหมั่นไส้เรื่องความซวยไม่เสร็จ ก็ถึงกับขมวดคิ้วเมื่อเห็นเธอตบไหล่ชายหนุ่มอีกคนอย่างสนิทสนม ไอ้อาการแบบนี้ส่วนมากเขาเห็นแต่ผู้ชายทำกัน ยายนี่นอกจากจะมีแต่เพื่อนผู้ชายแล้ว กิริยาท่าทางก็คล้ายๆ ผู้ชายหลายอย่าง ไม่ได้หมายถึงว่ามีลักษณะทอมบอย แต่ดูคล่องแคล่ว ปราดเปรียว และห้าวหาญ

คิดมาถึงตรงนี้เสือหนุ่มก็กะพริบตาปริบๆ ที่ผ่านมาเขามักจะให้คำนิยามผู้หญิงที่อยู่ในความสนใจของตัวเองว่าคือความงดงาม อ่อนหวาน หรือไม่ก็เซ็กซี่ร้อนแรง สรุปแล้วก็คือเป็นสิ่งจรรโลงใจขั้นสุดยอดของโลกนี้ ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะต้องมาให้นิยามผู้หญิงคนหนึ่งว่าห้าวหาญ หรือว่าโลกของเขามันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

คิดพลางแอบชำเลืองคนที่เข้ามาเปลี่ยนโลกของตัวเองด้วยความว้าวุ่นใจนิดๆ ก่อนจะหลุดจากภวังค์เมื่อคนกลุ่มนั้นเริ่มสนทนากันต่อ

“แล้วจะเอายังไงกันต่อ ยังจะอยู่เที่ยวต่อไหม” อาวุธสอบถามขึ้นมาในฐานะพี่ใหญ่สุดในกลุ่ม และเป็นตัวตั้งตัวตีชวนทุกคนออกมาเที่ยว

แต่ละคนในกลุ่มมองกันราวกับจะหารือว่าจะเอายังไงต่อ

“เกรซคงต้องขอตัวก่อน ว่าจะตามไปที่โรงพยาบาลสักหน่อยค่ะ”

“อืม งั้นเหรอ ให้พี่ไปเป็นเพื่อนไหม” อาวุธเสนอตัว

“ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนอยู่สนุกกันต่อเถอะ นานๆ เจอกันที” เกสรีรีบปฏิเสธความหวังดีของอีกฝ่าย

“คนที่นานๆ จะมาเจอคนอื่นทีก็เรานั่นละ คนอื่นๆ อยู่แถวนี้ทั้งนั้น มีแต่เราน่ะอยู่ไกลกว่าใครเพื่อน” อาวุธเอ่ยเสียงอ่อน

พอเรียนจบเกสรีก็กลับไปอยู่บ้านที่เชียงราย นานทีปีหนถึงเข้ากรุงเทพฯ สักครั้ง ดังนั้นเมื่อรู้ว่าระยะนี้เธอมาอยู่กรุงเทพฯ เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้พี่ชายซึ่งเป็นดารา จึงไม่พลาดที่จะชักชวนออกมาสังสรรค์กัน

เกสรียิ้มนิดๆ เพราะเป็นอย่างที่อาวุธว่าจริงๆ “งั้นเอาไว้วันหลังค่อยเจอกันนะ เกรซขอตัวก่อนเลยก็แล้วกัน ไปแล้วนะทุกคน” ตอนท้ายหันไปขอตัวกับคนอื่นๆ ก่อนจะเดินตรงไปที่รถซึ่งจอดไว้หน้าคลับ โดยมีสายตาอีกหลายคู่มองตามไปด้วยความรู้สึกต่างกัน

และหนึ่งในนั้นก็คือสายตาของศารทูลที่มองตามผู้หญิงตัวเล็กที่โชคชะตาผลักให้ได้พบเจอและมีเรื่องชุลมุนกันอย่างไม่ตั้งใจรวมอยู่ด้วย เขามองเธอเดินไปที่รถด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง มองเธอหันมาโบกมือพร้อมทั้งส่งยิ้มสดใสให้เพื่อนๆ ก่อนจะก้าวขึ้นไปบนรถและขับออกไป

เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกหวิวๆ ที่เกิดขึ้นในหัวใจตัวเองมันคืออะไร เขาไม่รู้ว่าต่อไปจะมีโอกาสได้พบผู้หญิงประหลาดคนนั้นอีกไหม ผู้หญิงที่เขารู้แค่ว่าเธอชื่อเกรซจากที่ได้ยินคนอื่นๆ เรียก ผู้หญิงที่เขารู้แค่ว่าเธอเป็นคู่อริกับลอร่า ผู้หญิงที่เขารู้แค่ว่าเธอเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกับผู้ชายอีกสามคนที่ยืนอยู่นั่น ผู้หญิงที่เขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย แต่กลับรู้สึกใจหายอย่างประหลาดตอนที่เธอขับรถจากไป เขารู้แค่ว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะพบเธออีกสักครั้งก็ยังดี

“ยืนคิดอะไรอยู่วะเดียว” ชลธีถามเมื่อเห็นว่าเพื่อนยืนอยู่ตรงนี้นานแล้ว

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” เสียงถามของเพื่อนทำให้เสือหนุ่มหลุดจากภวังค์

“ไป งั้นก็เข้าไปข้างในกันเถอะ ยังไม่ได้คุยกันเลยนี่หว่า” ชลธีชักชวน

“ไม่ดีกว่าว่ะ เดี๋ยวฉันกลับเลยก็แล้วกัน” คนที่กะจะมาท่องราตรีเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน

“อ้าว ทำไมล่ะวะ”

ศารทูลได้แต่ส่งยิ้มให้เพื่อนนิดๆ ก่อนจะโบกมือให้แล้วหันหลังเดินตรงไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก ระหว่างนั้นก็คิดถึงคำถามของเพื่อนขึ้นมา

นั่นสินะ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไม แค่เห็นว่ายายสาวแสบนั่นจากไป เขาก็ไม่มีอารมณ์อยากเที่ยวต่อแล้ว ตกลงมันเป็นเพราะอะไรกัน

 

“ยายเกรซ!”

เสียงเรียกชื่อตัวเองที่ดังราวกับฟ้าผ่าทำให้เกสรีทำคอย่น รู้ทันทีว่าเรื่องที่พยายามปิดบังคงจะไม่เป็นความลับอีกแล้ว สิงห์สาวแห่งไร่ภูพญาส่งยิ้มไปเป็นทัพหน้าเมื่อประตูห้องนอนถูกกระชากให้เปิดออกตามอารมณ์ของพี่ชาย พยายามทำใจดีสู้เสือที่ยืนทำตาวาวอยู่นั่น

“พี่เคนน่ะ ทำไมต้องเรียกเสียงดังขนาดนี้ด้วย ตกใจหมดเลย แล้วจะเข้าห้องคนอื่นทำไมไม่รู้จักเคาะประตู ไม่มีมารยาทเลย” เกสรีรีบต่อว่าคนเป็นพี่เพื่อชิงความได้เปรียบ

“มารยาทเหรอ นักเลงอย่างเรากล้าพูดเรื่องมารยาทด้วยเหรอยายเกรซ แล้วตอนที่เราไปต่อยคนอื่นเขาจนหน้าแหกน่ะได้ถอนสายบัวก่อนรึเปล่าฮ้า!” นฤเคนทร์ถามน้องสาวเสียงเขียว

“เกรซแค่ป้องกันตัวต่างหาก ไม่ได้ตั้งใจชกใครสักหน่อย” เกสรีบ่นอุบอิบ

“ป้องกันตัว?” นฤเคนทร์อุทานพร้อมกับถลึงตาใส่ไข่แดงของครอบครัว เขายังมองไม่เห็นเลยว่าลอร่าจะมาทำอะไรเกสรีได้

“จริงๆ นะ” เกสรีย้ำรัวๆ แต่ใบหน้างดงามเริ่มมุ่ยเมื่อเห็นสายตาไม่เชื่อถือของคนเป็นพี่

“เอา ว่ามา เราป้องกันตัวแบบไหน” นฤเคนทร์ตั้งตัวเป็นทนายซักฟอกจำเลยทันที

“ยายรอล่านั่นผลักเกรซก่อน”

“เขาชื่อลอร่า” นฤเคนทร์เอ็ดน้องเสียงเขียว ถึงแม้ว่าจะค่อนข้างเห็นด้วยก็ตาม

เกสรีทำปากเบะเมื่อนึกถึงหญิงสาวที่เป็นหัวข้อสนทนาของตัวเองกับพี่ชาย “ยายนั่นน่ะเหมาะกับชื่อนี้ที่สุดแล้ว วันๆ เอาแต่รอล่าเหยื่ออยู่ตลอด หึ! ตอนแรกก็อยากล่าพี่เคนด้วยใช่ไหมล่ะ พอเกรซรู้ทันก็มาทำเป็นโกรธ”

นฤเคนทร์ถอนหายใจเมื่อนึกถึงดาราหน้าใหม่คนนั้น ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเจ้าหล่อนทอดสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กมาให้อย่างที่เกสรีว่าจริงๆ

ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาก็คงข้ามสะพานนั้นไปตามประสาคนไม่หวงเนื้อหวงตัวนั่นละ แต่ตอนนี้กำลังมีปัญหาคาราคาซังกับเต่าปริศนาอยู่ อารมณ์ซุกซนพรรค์อย่างนั้นก็เลยพลอยหดหายไปด้วย เขารู้ว่าการแสดงท่าทีปฏิเสธของตนเองในระยะหลังอาจจะทำให้ลอร่าเข้าใจผิดว่าเกสรีกีดกัน ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ก็คิดไม่ถึงว่าสองสาวจะเขม่นจนถึงขั้นวางมวยกัน

“เขาจะล่าใครมันก็เรื่องของเขาไม่ใช่หรือไง เรามีสิทธิ์อะไรไปต่อยเขา”

นฤเคนทร์ตั้งท่าอบรมน้องสาวแบบที่ไม่ค่อยได้ทำนัก เพราะส่วนใหญ่หน้าที่นี้สีหราชที่เป็นพี่ชายคนโตมักจะรับเหมาไว้เองหมด เนื่องจากปกตินฤเคนทร์เองก็เฮี้ยวพอกัน จับคู่กับเกสรีทีไรก็เอาแต่ทะเลาะกันแบบเด็กๆ จนทั้งบิดามารดาและคนเป็นพี่ชายใหญ่ได้แต่เอือมระอา

ไข่แดงของบ้านพัฒนามนตรีหน้าคว่ำกว่าเดิมเมื่อโดนเอ็ด ปกติเธอไม่ค่อยกลัวนฤเคนทร์นัก เนื่องจากฝ่ายนั้นก็มีพฤติกรรมที่คนในครอบครัวบอกว่า ‘พอๆ กัน’ กับเธอนั่นละ แต่เนื่องจากครั้งนี้ตัวเองมีคดีติดตัวจึงไม่กล้าโต้เถียงรุนแรงนัก นฤเคนทร์เลยฉวยโอกาสได้ทีขี่แพะไล่อย่างที่เป็นอยู่

“ก็ไม่ได้อยากจะยุ่งด้วยหรอกถ้าเขาไม่มายุ่งกับพี่เคนก่อน รับรองว่าพ่อกับแม่ไม่อยากได้คนแบบนั้นมาเป็นลูกสะใภ้หรอก แหม...ทีแรกก็เห็นทำท่าเครซีพี่เคนจะเป็นจะตาย เผลอแป๊บเดียวไปล่าเหยื่อที่คลับเสียแล้ว ผู้หญิงอย่างนี้พี่เคนอย่าไปยุ่งด้วยเด็ดขาดเลยรู้ไหม” คนเป็นน้องได้ทีเทศนาพี่ชายบ้าง ดวงตาคู่งามไหวไปวูบหนึ่งเมื่อคิดถึงเหยื่อของลอร่าในคืนนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

“เออ พี่ก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับเขาสักหน่อย เราไม่ต้องลำบากกีดกันจนต้องคอยไปวิ่งไล่ต่อยชาวบ้านเขาอย่างนั้นหรอก”

“เกรซเป็นห่วงพี่เคนหรอก ถึงได้พลั้งมือไปน่ะ อีกอย่าง ก็บอกแล้วไงว่ายายนั่นผลักเกรซก่อน แถมยังไม่ยอมขอโทษเกรซด้วย” เกสรีไม่ยอมจำนนโดยง่าย

“ถึงยังไงเราก็ไม่ควรต่อยเขาแรงขนาดนั้น อีกอย่าง ที่เราไปมีเรื่องด้วยน่ะ ไม่ใช่แค่ลอร่าไม่ใช่เหรอ พี่เห็นเราเขม่นคนอื่นเขาไปทั่ว” คนเป็นพี่ก็ไม่ยอมเช่นกัน ตั้งแต่เกสรีมาทำหน้าที่ผู้จัดการส่วนตัวให้เขาแทนซูซี่ที่เกิดอุบัติเหตุ ก็ปรากฏว่าเธอมีเรื่องเขม่นกับดาราสาวที่แวดล้อมเขาอยู่หลายราย

เกสรีทำหน้ามุ่ย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ “ก็เกรซไม่ชอบพวกนั้น ไม่อยากให้พี่เคนไปยุ่ง ไม่อยากให้เขามายุ่งกับพี่เคนด้วย”

“เราจะงอแงเอาแต่ใจเหมือนตอนอยู่บ้านไม่ได้” นฤเคนทร์เอ่ยเสียงดุ

หน้ามุ่ยๆ กลายเป็นหน้าคว่ำเมื่อคนเป็นพี่ทำเสียงดุใส่ ปกตินฤเคนทร์เป็นคนขี้เล่น ถึงจะชอบหาเรื่องทะเลาะกับเธอบ่อยๆ แต่ก็เป็นแบบขำๆ น้อยครั้งนักที่คนอารมณ์ดีอย่างเขาจะดุเธอแบบนี้ ไข่แดงของบ้านพัฒนามนตรีจึงไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก ทั้งโกรธทั้งน้อยใจ

นฤเคนทร์เองเห็นอาการแบบนั้นก็รู้เลยทันทีว่าน้องนุชสุดท้องของเขากำลังงอนอย่างหนัก ถ้าลองว่ายังเถียงฉอดๆ แสดงว่ายังไม่โกรธมาก แต่ลองเงียบขึ้นมาเมื่อไรแสดงว่าโกรธหรืองอนหนักจนไม่อยากจะเสวนาด้วย เสียงของคนเป็นพี่จึงอ่อนลงพอสมควร

“ทำไมถึงไม่ชอบพวกเขาขนาดนั้นล่ะ” แคซาโนวาหน้าหยกประจำวงการบันเทิงถามขึ้นมาด้วยความข้องใจ ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมน้องสาวต้องตั้งแง่กับพวกดาราสาวที่พยายามเข้ามาสร้างความสัมพันธ์กับเขาถึงขนาดนั้น

“ก็พวกเขานิสัยไม่ดี ไม่มีความจริงใจ” เกสรีตอบ หน้ายังไม่หายคว่ำ

“อะไรทำให้เราคิดแบบนั้นล่ะ หืม?”

“ก็ตอนที่เกรซมาช่วยพี่เคนแทนพี่ซูซี่ใหม่ๆ พวกนั้นก็ยังมาทำดีด้วย”

“อ้าว เขาทำดีด้วยแล้วทำไมถึงคิดว่าเขาไม่ดีล่ะ” คนเป็นพี่งงไปใหญ่

“เชอะ! มีแต่พวกทำดีหวังผลทั้งนั้น พวกนั้นเข้ามาทำดีด้วยตอนแรก เพราะอยากใช้เกรซเป็นสะพานข้ามไปหาพี่เคนต่างหาก ไม่มีใครชอบเกรซจริงๆ สักคน”

นฤเคนทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อฟังน้องสาวพูดจนจบ ไม่รู้จะเอาอะไรมาโต้แย้ง เพราะจะว่าไปมันก็มีส่วนถูกอยู่ไม่น้อย

“พอเกรซไม่ค่อยชวนคุยก็หาว่าหยิ่ง วางท่าว่ามีพี่ชายเป็นคนดัง หาว่าไม่อยากช่วยเรื่องพี่เคน แล้วก็ไม่พอใจเอาดื้อๆ เกรซไม่ได้หยิ่งสักหน่อย แค่ไม่รู้จะคุยอะไรกับพวกเขาเท่านั้นเอง” เกสรีระบายความอัดอั้นยาวเหยียด

คนเป็นพี่ถอนหายใจอีกรอบ เขารู้ดีว่าเกสรีไม่ใช่คนถือตัวหรือหยิ่งเลยสักนิด แต่ที่ไม่ค่อยคุยกับดาราสาวพวกนั้นคงเพราะไม่รู้จะคุยอะไรจริงๆ น้องสาวเขาเรียนจบพละ เพื่อนๆ โดยมากก็มีแต่ผู้ชาย เป็นสาวสายลุย แล้วเธอจะไปรู้เรื่อง

แฟชั่นอะไรทั้งหลายแหล่ที่พวกดาราชอบคุยกันได้อย่างไร แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นจุดร่วมพอจะหาเรื่องคุยกันได้สักเท่าไรเลย

“พี่เคนจะเป็นแฟนกับคนพวกนี้จริงเหรอคะ” เกสรีถามเสียงอ่อย คิดว่าถ้าเธอเข้ากับแฟนนฤเคนทร์ไม่ได้ก็คงลำบากใจด้วยกันทั้งคู่

“ไม่หรอกน่า อย่ากังวลไปเลย” นฤเคนทร์ลูบศีรษะน้องสาวเบาๆ “พี่ไม่มีทางรักผู้หญิงที่ไม่รักน้องพี่หรอก ครอบครัวสำคัญสำหรับพี่แค่ไหน เราก็น่าจะรู้ดี”

เกสรียิ้มหน้าบานเมื่อคนเป็นพี่รับปาก กอดแขนและเอียงศีรษะซบไหล่ด้วยท่าทางประจบ ไม่บ่อยครั้งนักที่เธอจะออดอ้อนนฤเคนทร์แบบนี้ เพราะปกติเป็นคู่กัดกันมากกว่า

คนเป็นพี่ผลักศีรษะคนขี้ประจบเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้ เมื่อกี้ยังทำหน้าคว่ำอยู่แท้ๆ ทีนี้ละมาทำยิ้มระรื่น แต่ก็อย่างว่าละนะ เขาเองถึงจะชอบทะเลาะกับเกสรี แต่ที่จริงแล้วก็ตามใจเธอไม่แพ้คนอื่นๆ ในครอบครัวเพราะเป็นน้องนุชสุดท้องที่พวกเขาถนอมไว้ตรงกลางใจจนเรียกว่าไข่แดงของบ้านนั่นละ

ดูเอาเถอะ เขาตั้งใจจะเข้ามาเอาเรื่องเธอแท้ๆ ไปๆ มาๆ กลับมานั่งให้ออดอ้อนจนเกือบลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงไปเสียได้

“ไม่ต้องมาอ้อนหรอก พี่ยังไม่ลืมหรอกนะที่เราไปก่อเรื่องไว้น่ะ”

เกสรีแอบทำหน้าเซ็งเมื่อคนเป็นพี่วกมาเรื่องนี้อีกรอบ “นี่ใครคาบข่าวมาบอกพี่เคนเนี่ย ยายรอล่านั่นกล้าบอกเรื่องตัวเองจมูกเบี้ยวกับคนอื่นด้วยเหรอ”

“คุณปุ้ยเขาโทร. มาบอก ไม่อย่างนั้นพี่คงไม่รู้หรอกว่าเราไปก่อเรื่องใหญ่ไว้ขนาดนี้ ใจคอเราตั้งใจจะปิดพี่ใช่ไหมฮึยายเกรซ” นฤเคนทร์เอ็ดอีกรอบ

“แหม...ไม่ได้ตั้งใจปิดสักหน่อย แค่คิดว่าจะพยายามจัดการเองเท่านั้นแหละ ไม่อยากมากวนใจพี่เคนไง”

“ไม่อยากกวนใจหรือกลัวพี่ดุเอา บอกมาตรงๆ”

คนถูกรู้ทันทำหน้ายู่ แม้จะรู้ว่าเรื่องนี้ปิดอย่างไรก็คงไม่มิด แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงหูนฤเคนทร์เร็วขนาดนี้ แหม...ยายรอล่าเหยื่อ ตอนเธอถามว่าต้องการให้รับผิดชอบอะไรไหมก็ไม่พูดอะไรสักอย่าง ที่แท้คงตั้งใจจะมาฟ้องนฤเคนทร์แต่แรกแล้วละสิเนี่ย!

เห็นท่าทางไม่ยอมสบตาของจอมแสบประจำบ้าน นฤเคนทร์ก็รู้โดยไม่ต้องรอฟังคำสารภาพจากจำเลยว่าน่าจะเป็นอย่างหลัง จึงได้แต่ถอนหายใจด้วยความหนักอก

“เอาละ เราน่ะไม่ต้องจัดการอะไรแล้ว เดี๋ยวจะไปกันใหญ่ เตรียมตัวกลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวพี่จะไปส่ง”

นฤเคนทร์เอ่ยเมื่อตัดสินใจเด็ดขาดว่าควรจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ขืนปล่อยให้เกสรีไปจัดการเองอย่างที่เจ้าตัวว่า ก็ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นแบบไหน เพราะฟังๆ จากผู้จัดการของลอร่าแล้ว ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่หายโกรธง่ายๆ ดังนั้นการส่งเกสรีกลับบ้านน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้ ขืนให้ทำหน้าที่ผู้จัดการให้เขาต่อไป ก็ไม่รู้ว่าวันไหนแม่เจ้าประคุณจะไปวางมวยกับใครอีก เพราะดูๆ แล้วในบรรดาสาวๆ ที่มาวอแวกับเขา เธอไม่ชอบใครเลยสักคน

“เมื่อกี้พี่เคนว่าไงนะ” เกสรีถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ผงกศีรษะที่ซบไหล่คนเป็นพี่อยู่ขึ้นมาสบตาเขาทันที

“พี่บอกว่าจะไปส่งเรากลับบ้าน”

“กลับบ้าน! จริงๆ นะ พี่เคนห้ามโกหกนะ ห้ามเปลี่ยนใจด้วย”

“รู้แล้วน่า”

เกสรียิ้มแฉ่งเมื่อในที่สุดก็จะได้กลับบ้านเสียที เธอเบื่อกรุงเทพฯ แต่ที่เบื่อยิ่งกว่าก็คือวงการมายาที่พี่ชายของเธอใช้ชีวิตอยู่นี่ละ แต่ดีใจไปได้สักพักหนึ่งก็ค่อยๆ หุบยิ้มลง

“แล้วอย่างนี้ใครจะช่วยพี่เคนล่ะ พี่ซูซี่ก็ยังไม่หายเลย”

อย่างไรเสียเธอก็อดห่วงคนเป็นพี่ไม่ได้ หลังจากที่มาช่วยงานนฤเคนทร์มาระยะหนึ่งถึงทำให้รู้ว่าการเป็นดาราก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด และยิ่งถ้าไม่มีผู้จัดการคอยช่วยก็จะยิ่งลำบากไปกันใหญ่ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เชี่ยวชาญเหมือนซูซี่ที่เป็นมืออาชีพ แต่ก็ถือว่ายังพอช่วยนฤเคนทร์ได้บ้างนิดๆ หน่อยๆ

เธอได้ยินว่าตอนแรกที่ซูซี่ประสบอุบัติเหตุ ได้จ้างให้ผู้จัดการของดาราอีกคนหนึ่งมาช่วยดูแลนฤเคนทร์ชั่วคราว แต่ปรากฏว่าคนคนนั้นกลับคิดไม่ซื่อ สร้างเรื่องเดือดร้อนให้พี่ชายเธอจนเขาเข็ดขยาดจนต้องมาขอร้องให้เธอมาทำหน้าที่ชั่วคราว

“ช่างมันเถอะ”

“ขอโทษนะคะพี่เคน เกรซไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ ตอนนั้นมันโมโหมากไปหน่อย” เกสรีเอ่ยด้วยน้ำเสียงหม่นๆ เมื่อคิดว่าการกระทำของตนทำให้คนเป็นพี่ต้องลำบาก

นฤเคนทร์ยิ้มอ่อนโยน ถึงเกสรีจะฤทธิ์มาก เอาแต่ใจตามประสาลูกคนเล็ก แถมยังเป็นที่รักของทุกคนในบ้าน แต่ก็รู้จักผิดชอบชั่วดี ผิดก็กล้ารับผิด

“อย่าคิดมากเลยน่า ยังไงซะตอนนี้ก็ยังถ่ายต่อไม่ได้อยู่ดี เพราะลอร่าเขายังป่วยอยู่ กว่าจะหายพี่ซูซี่ก็คงจะหายพอดีนั่นละ เพราะฉะนั้นเราก็กลับไปบ้านก่อนก็แล้วกัน พี่ก็จะไปด้วย คิดถึงแม่เหมือนกัน”

ได้ยินอย่างนี้เกสรีค่อยยิ้มออกหน่อย “งั้นก็ถือว่าเกรซมีความดีความชอบอยู่นิดหน่อย เพราะทำให้พี่เคนได้กลับไปหาแม่ เพราะฉะนั้นอย่าโกรธเลยนะ นะๆ พี่เคนนะ”

นฤเคนทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเจอลูกอ้อน ได้แต่รับปากอย่างเจ็บใจตัวเองที่ไม่เคยใจแข็งกับเกสรีได้เลย บางทีก็อาจจะเหมือนกับทุกคนในบ้านนั่นละ

“โอเคๆ พี่ไม่โกรธเราก็ได้ แต่เราก็ต้องสัญญากับพี่ด้วยเหมือนกัน”

“สัญญาอะไรคะ”

“ก็สัญญาว่าจะไม่ต่อยใครซี้ซั้วอีก”

เกสรีค้อนขวับ “พูดอย่างกับว่าเกรซเป็นอันธพาลหรือนักเลงหัวไม้อย่างนั้นแหละ”

“แล้วพฤติกรรมของเรามันไม่ใช่อย่างนั้นเหรอ”

เกสรีได้ทำหน้าคว่ำอีกรอบ เถียงไม่ออกเพราะหลักฐานมัดตัว จึงเสเปลี่ยนเรื่อง “พี่เคนไปเลยไป เกรซจะเตรียมตัวเก็บกระเป๋ากลับบ้านแล้ว” จากที่กอดแขนประจบอยู่เมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นผลักไสคนเป็นพี่เมื่อไม่สบอารมณ์

นฤเคนทร์ยอมลุกขึ้นตามแรงผลักของน้องสาวแต่โดยดี อดคิดไม่ได้ว่าเกสรีจะมีข้าวของอะไรให้เก็บสักกี่อย่างกันเชียว ไอ้หวังจะเห็นของจุกจิกแบบผู้หญิงทั่วไปน่ะคงจะยาก คิดๆ แล้วก็กลุ้มใจ หรือเป็นเพราะว่าไม่มีพี่น้องผู้หญิง แถมยังไปเรียนเอกพละที่มีนักศึกษาผู้ชายมากกว่าอีก ไข่แดงของบ้านเขาเลยแทบไม่มีจริตหญิงบ้างเลย คิดแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ

“เออ พี่เคน อย่าเพิ่งบอกพ่อกับแม่นะคะว่าพวกเราจะไปบ้าน” เกสรีรีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ทำไมล่ะ”

“เซอร์ไพรส์ไง”

“ก็ได้” นฤเคนทร์รับปากเพราะนึกสนุกไปด้วย

“งั้นตามนี้เนอะ ตกลงเรากลับบ้านกันเมื่อไรดีล่ะ”

“มะรืนนี้ดีไหม” คนเป็นพี่หารือ

“ไม่เอาหรอก พรุ่งนี้เลยดีกว่า พี่เคนจะได้มีเวลาอยู่บ้านนานๆ ด้วยไง”

“อืม ก็จริงนะ งั้นก็เป็นวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” นฤเคนทร์เริ่มเห็นดีด้วย เพราะจะว่าไปแล้วเขาไม่ค่อยมีเวลาอยู่ที่บ้านนานๆ เหมือนพี่ชายกับน้องสาว ดังนั้นเมื่อมีโอกาสก็ต้องคว้าไว้ก่อน

“พ่อกับแม่ต้องเซอร์ไพรส์มากแน่ๆ เลยที่เห็นพวกเรากลับไป” ดวงตาของเกสรีเป็นประกายเมื่อนึกสีหน้าของบิดามารดาตอนเห็นเธอกับนฤเคนทร์

“นั่นสิ งั้นพี่ไปเก็บของบ้างดีกว่า เราเองก็รีบนอนล่ะ” นฤเคนทร์กำชับเพราะกลัวว่ายายตัวดีจะมัวแต่ตื่นเต้นจนไม่หลับไม่นอน พฤติกรรมหลายอย่างของเกสรียังเด็กอยู่มาก

“รู้แล้วค่ะ” เกสรีตอบรับหน้าชื่น

นฤเคนทร์เห็นอย่างนั้นก็วางใจ เดินออกไปจากห้องของน้องสาว เพื่อกลับไปเตรียมข้าวของของตัวเองบ้าง รู้สึกแช่มชื่นไม่ต่างจากคนเป็นน้องนัก เพราะคิดถึงบ้านไม่แพ้กัน

สิ่งที่สองพี่น้องพัฒนามนตรีไม่คาดคิดก็คือ การกลับบ้านของพวกเขาคราวนี้ คนที่เซอร์ไพรส์ที่สุดจะไม่ใช่พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์และแม่เลี้ยงรินรดาผู้เป็นบุพการี แต่จะเป็นพวกเขาสองคนนั่นเอง คนหนึ่งจะเจอกับเต่าน้อยปริศนาที่ควานหาตัวมานาน ส่วนอีกคนก็จะได้เจอคนที่ไม่สามารถระบุสถานะได้แน่ชัดว่านับเป็นคู่อริหรือเปล่า

 

การกลับบ้านครั้งนี้ทำให้เกสรีรู้สึกมีความสุขมาก เพราะนอกจากจะได้กลับมาหาครอบครัวที่รักยิ่งแล้ว ตอนนี้ที่ไร่ของเธอยังมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกถึงสองคน

ตอนแรกที่ทราบว่าบุณฑริกกับตระการตามาพักอยู่ที่ไร่เธอเองก็แปลกใจไม่น้อย เพราะปกติที่ไร่ของเธอไม่ได้เปิดให้คนนอกมาพักอาศัย เพราะไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว และยิ่งได้ทราบว่าทั้งคู่มาเพื่อเจรจาขอซื้อที่ดินจากครอบครัวของเธอก็ยิ่งแปลกใจไปกันใหญ่ ที่บิดาของเธอและสีหราชซึ่งเป็นพี่ชายคนโตที่ตอนนี้เป็นคนดูแลเรื่องในไร่แทนบิดา ไม่ตะเพิดสองสาวนี่ไปเหมือนอย่างคนอื่นๆ ที่เคยมาเจรจาก่อนหน้านี้ ที่สำคัญบิดายังให้บุณฑริกกับตระการตาไปพักที่กระท่อมสุดรักสุด

หวง ซึ่งเคยเป็นสถานที่ฮันนีมูนของท่านกับมารดาของเธออีกด้วย แต่พอได้ทำความรู้จักกับทั้งคู่ เกสรีก็คิดว่าพอจะรู้ว่าเป็นเพราะอะไร

บุณฑริกกับตระการตาเป็นคนอัธยาศัยดีและน่ารักมากในความคิดของเธอ สองสาวเล่าให้เธอฟังว่าเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้บุคลิกและนิสัยของบุณฑริกกับตระการตาจะต่างกันมาก แต่เธอก็ชอบทั้งสองคนเท่าๆ กัน บุณฑริกกับเธอนิสัยคล้ายกันอยู่มาก คือค่อนข้างจะซุกซน ปราดเปรียว ส่วนตระการตานุ่มนิ่มอ่อนโยน แต่พวกเธอทั้งสามคนก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี พบกันไม่นานก็สนิทสนมกลมเกลียวอย่างที่เขาเรียกกันว่าชะตาต้องกันนั่นเอง

เกสรีกับบุณฑริกชอบเข้าไร่ไปกับสีหราช ส่วนตระการตาก็อยู่ช่วยแม่เลี้ยงรินรดาดูแลงานบ้าน ดูๆ ไปก็คล้ายน้องเล็กสุดในบรรดาสามสาว

ยิ่งต่อมาเกสรีได้รู้ว่าสีหราชกับบุณฑริกชอบพอกันก็ยิ่งดีใจกว่าเก่า เพราะนิสัยของพวกเธอเข้ากันได้เป็นอย่างดี ไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เคยมาวอแวกับพี่ชายทั้งสองของเธอเลยสักนิด

ส่วนนฤเคนทร์ก็ดูเหมือนจะติดตาต้องใจตระการตาอยู่เหมือนกัน ซึ่งเหนือความคาดหมายของเธออยู่บ้าง เนื่องจากตระการตาแตกต่างจากผู้หญิงที่ผ่านๆ มาของนฤเคนทร์โดยสิ้นเชิง แต่ดูๆ ไปก็คล้ายกับว่าทั้งสองคนมีอะไรบางอย่างปิดบังคนอื่นๆ อยู่ แต่เมื่อทั้งคู่ไม่พูด ก็เลยทำได้เพียงคอยสังเกตและแอบลุ้นอยู่ห่างๆ ความชอบพอในตัวสองสาว ทำให้เกสรีเต็มใจอย่างยิ่งหากทั้งคู่จะเลื่อนตำแหน่งจากเพื่อนมาเป็นพี่สะใภ้ด้วย

“นั่งยิ้มอะไรอยู่เกรซ” แม่เลี้ยงรินรดาถามขึ้นเมื่อบังเอิญผ่านมาเห็นลูกสาวนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน จึงปรี่เข้ามาหาแล้วนั่งลงคุยด้วย

“กำลังแอบมองพี่ราชกับปิ๊กอยู่น่ะค่ะแม่” เกสรีเอ่ยพลางพยักพเยิดให้มารดามองไปยังสีหราชกับบุณฑริก จากมุมที่พวกเธอนั่งอยู่ทำให้มองเห็นทั้งคู่อย่างชัดเจน

ภาพสีหราชกำลังสวมหมวกปีกกว้างให้บุณฑริกทำให้แม่เลี้ยงรินรดายิ้มออกมาไม่ต่างจากลูกสาว แม้จะอยู่ค่อนข้างไกล แต่เธอก็มองเห็นท่าทางมีความสุขของทั้งคู่ได้อย่างชัดเจน เปรยขึ้นมาด้วยความเอ็นดู “คงจะพากันเข้าไร่อีกมั้งนั่นน่ะ”

“ก็คงอย่างนั้นแหละค่ะ” เกสรีเออออไปด้วย

“แล้ววันนี้หนูไม่ไปด้วยเหรอลูก”

“ไม่ค่ะ พอดีมีธุระในเมืองนิดหน่อย อีกอย่าง ไม่อยากไปขัดคอพี่ราชด้วย เกรซไปด้วยทีไรพี่ราชชอบทำตาขวางใส่ทุกที เดี๋ยวนี้เกรซตกกระป๋องแล้วละค่ะ เอะอะอะไรก็ปิ๊ก ปิ๊ก ปิ๊ก” เกสรีเอ่ยพร้อมกับกลอกตาเหมือนหมั่นไส้พี่ชายเต็มทน

แม่เลี้ยงรินรดาถึงกับหัวเราะเมื่อได้ยินอย่างนั้น แต่ก็อดเห็นด้วยไม่ได้ว่าสีหราชแทบไม่ยอมให้บุณฑริกห่างตัวเลย

“ดีใจไหมคะแม่ พี่ราชหาสะใภ้ให้ได้แล้ว ถูกใจหรือเปล่าคะ แต่สำหรับเกรซนะถูกใจมากเลยค่ะ” เกสรีถามยิ้มๆ

“ถูกใจสิ แต่ถูกใจแม่กับเกรซก็ยังไม่สำคัญเท่าถูกใจพี่ราชเขาหรอกจริงไหม”

“โอ๊ย สำหรับพี่ราชน่ะคงยิ่งกว่าถูกใจอีกค่ะ ถ้าทำได้พี่แกคงอยากแต่งงานกับปิ๊กวันนี้พรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำไป”

พอพูดถึงตรงนี้แม่เลี้ยงรินรดาก็อดถอนใจไม่ได้ เกสรีพูดไม่ผิดเลยสักนิด ความรู้สึกที่สีหราชมีต่อบุณฑริกนั้นเรียกได้ว่าไม่ใช่แค่ถูกใจแบบธรรมดา แต่ทุกคนในครอบครัวล้วนมองออกว่าเขารักแม่สาวน้อยคนนั้นเข้าแล้วเต็มเปา บุณฑริกเองก็น่าจะรู้สึกไม่ต่างกัน แววตาของทั้งคู่บ่งบอกความรู้สึกที่มีต่อกันได้อย่างชัดเจน

ถูกของเกสรีที่ว่าสีหราชคงพร้อมจะแต่งงานกับบุณฑริกทุกเมื่อ แต่สำหรับบุณฑริก เรื่องมันไม่ง่ายอย่างนั้นเลยสักนิด คิดแล้วคนเป็นแม่ก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความหนักอก

“เป็นอะไรไปคะแม่” เกสรีถามขึ้นเมื่ออยู่ๆ มารดาก็ถอนใจ ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังดูอารมณ์ดีอยู่เลย

“แม่กำลังคิดเรื่องการแต่งงานของราชกับหนูปิ๊กอยู่น่ะ”

“แล้ว?” เกสรีถามพร้อมกับเลิกคิ้วด้วยความสงสัย ในเมื่อเป็นเรื่องน่ายินดีแบบนั้น แต่ทำไมสีหน้าของผู้เป็นแม่ถึงดูไม่ดีนัก

“หนูปิ๊กเขามีคู่หมายอยู่แล้ว” แม่เลี้ยงรินรดาบอกลูกสาวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เรื่องนี้พงศ์พยัคฆ์ได้ให้คนไปสืบมาจนรู้แน่ชัดแล้ว

“อะไรนะคะ! คู่หมาย? มันเป็นยังไงน่ะ หมายความว่าปิ๊กต้องแต่งงานกับคนอื่นเหรอคะ” เกสรีถามรัวเป็นชุดเพราะตกใจไม่น้อย เรื่องนี้เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลย “แล้วพี่ราชรู้หรือเปล่าคะ”

แม่เลี้ยงรินรดาพยักหน้านิดๆ “พอแน่ใจว่าราชมีใจให้หนูปิ๊ก พ่อเราเขาก็ให้คนไปสืบประวัติดู ถึงได้รู้ว่าที่หนูปิ๊กกับหนูจุ๊บแกพากันมาขอซื้อที่ดินของเรานี่ก็เพราะว่าทางบ้านแกจะให้หมั้นหมายกับลูกชายเพื่อน เห็นว่าเป็นเพราะหนูปิ๊กแกไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจของครอบครัวเลย แล้วสองครอบครัวนี้เขาก็เป็นเพื่อนรักกันมานานแล้วก็กำลังร่วมทุนกัน ก็เลยจะให้ลูกชายลูกสาวแต่งงานกันไปเลยมั้ง ฝ่ายชายเขาจะได้ช่วยดูแลกิจการไปในตัวด้วย...

“หนูปิ๊กแกคงไม่อยากแต่งงาน ก็เลยดั้นด้นมาขอซื้อที่จากเรา หวังจะทำผลงานให้พ่อแม่เห็นว่าดูแลกิจการเองได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งคนอื่น ก็คงคิดไปตามประสาเด็กนั่นแหละ”

แม่เลี้ยงเล่าจบก็ถอนหายใจอีกรอบด้วยความหนักใจ เพราะถึงแม้สีหราชกับบุณฑริกจะรักกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องระหว่างบุณฑริกกับคู่หมายของเธอยังคาราคาซังกันอยู่

“โธ่...ปิ๊กน่าสงสารจังเลย ต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักอย่างนี้ เป็นเกรซ เกรซก็ทำแบบปิ๊กเหมือนกันนั่นแหละ เรื่องอะไรจะไปยอมง่ายๆ” เกสรีรีบเข้าข้างว่าที่พี่สะใภ้ไว้ก่อน

“พ่อแม่หนูปิ๊กก็ทำไปเพราะหวังดีนั่นแหละลูก” แม่เลี้ยงรินรดาเอ่ยเสียงอ่อน เข้าใจหัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่เหมือนกันดี

“อีตาคู่หมายอะไรนั่นต้องรีบฉวยโอกาสรวบหัวรวบหางปิ๊กแน่ๆ คงไม่ยอมปล่อยง่ายๆ หรอก ก็ปิ๊กน่ารักออกขนาดนี้ ใครจะไม่อยากแต่งงานด้วย โอ๊ย! เกลียด ทำไมต้องมาเป็นตัวขัดขวางทางรักของคนอื่นด้วยนะ” เกสรีเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“เหลวไหลใหญ่แล้วยายเกรซ ยังไม่ทันรู้จักเขาเลย แล้วจะไปตั้งป้อมเกลียดเขาได้ยังไงกัน เขาอาจจะเป็นคนดีก็ได้ ไม่อย่างนั้นพ่อแม่หนูปิ๊กจะคิดยกลูกสาวคนเดียวให้แต่งงานด้วยได้ยังไง” แม่เลี้ยงรินรดาปรามลูกสาวเสียงดุ

“ไม่รู้ละ เกรซไม่ชอบตานี่ก็แล้วกัน ปิ๊กก็คงไม่ชอบเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นจะหาทางเลี่ยงการแต่งงานทำไมล่ะคะ ยังไงเกรซก็อยู่ทีมปิ๊กกับพี่ราช” เกสรียืนยันหนักแน่นเพราะเห็นใจพี่ชายกับเพื่อนจนบอกไม่ถูก พวกเขารักกันแท้ๆ ทำไมจะต้องมีอีตาคู่หมายมาเป็นอุปสรรคด้วยก็ไม่รู้

“เอาละๆ จะทีมใครก็ต้องสงวนท่าทีเอาไว้ก่อน เรื่องนี้ให้พี่ราชเขาจัดการเอง อย่าลืมสิว่าคนที่ตัดสินใจว่าจะร่วมชีวิตกันหรือเปล่าคือพวกเขาสองคน พวกเราทำได้แค่เอาใจช่วยเท่านั้น เข้าใจหรือเปล่า” แม่เลี้ยงรินรดาเอ่ยอย่างคนที่ผ่านและเข้าใจโลกมาพอสมควรแล้ว

เกสรีทำหน้ามุ่ยด้วยความขัดใจ มีความรู้สึกว่าควรช่วยอะไรสองคนนั้นได้มากกว่าการเอาใจช่วย

“เข้าใจหรือเปล่าเกรซ” คนเป็นแม่ย้ำอีก เพราะเห็นท่าทางแบบนั้นของลูกสาวแล้วก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรแผลงๆ อยู่อีกแน่ๆ

“เข้าใจค่ะ” เกสรีรับคำอย่างเสียไม่ได้

“เอาละ แม่จะเข้าบ้านแล้ว หนูจะไปธุระไม่ใช่เหรอ ยังไงก็ขับรถขับราระวังๆ ด้วยนะลูก” แม่เลี้ยงรินรดาพยายามเปลี่ยนเรื่อง หวังว่าการออกไปทำธุระหรือพบปะเพื่อนๆ คนอื่นจะทำให้เกสรีลืมๆ เรื่องนี้ได้บ้าง

“ค่ะ เกรซจะระวัง” เกสรีรับปากง่ายๆ แต่ในใจกลับไม่เลิกล้มความคิดที่จะช่วยบุณฑริกกับสีหราชเลยแม้แต่น้อย

คนเป็นแม่พยักหน้าด้วยความพอใจก่อนจะเดินเข้าบ้านไป ไม่คาดคิดเลยว่าการเล่าเรื่องนี้ให้ลูกสาวฟังจะทำให้เกสรีกระโดดลงไปช่วยพี่ชายกำจัดคู่หมายของบุณฑริกจนเรื่องมันอีนุงตุงนังกันไปหมด

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น