5

บทที่ 5


5

 

เท้าที่เหยียบคันเร่งของเกสรีชะงักลง และเปลี่ยนไปเหยียบเบรกทันทีเมื่อเห็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า เธอเห็นกับตาว่ารถจักรยานยนต์คันใหญ่หรือที่นิยมเรียกกันว่าบิ๊กไบค์คันหนึ่งหักหลบสัตว์ตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งที่สันนิษฐานจากที่เห็นรางๆ ว่าน่าจะเป็นกระต่ายจนเสียหลักล้มลงไป

แม้ถนนหนทางช่วงนี้จะค่อนข้างเปลี่ยว และบ้านคนก็อยู่ค่อนข้างห่างออกไป แต่เธอก็ไม่อาจเพิกเฉยไม่ดูดำดูดีเมื่อเห็นอุบัติเหตุเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา อีกอย่างเธอก็ไม่คิดว่านี่จะเป็นการจัดฉากของมิจฉาชีพ เพราะคงไม่มีใครกำกับบทให้กระต่ายกระโดดออกมาถูกที่ถูกเวลาถึงเพียงนั้น

คนขับรถจักรยานยนต์มีน้ำใจปรานีต่อสัตว์เล็กๆ ยอมหักหลบมันจนตัวเองเสียหลัก เธอไม่คิดว่าคนแบบนี้จะเป็นคนเลวไปได้ เมื่อเขามีน้ำใจต่อสัตว์โลก เธอเองก็ควรมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมโลกไม่ใช่หรือ

หญิงสาวคิดพลางตบไฟเลี้ยวพารถไปจอดข้างทาง จากนั้นก็รีบร้อนลงไปดูคนที่กำลังยักแย่ยักยันลุกขึ้นมาจากพื้น

“เป็นยังไงบ้างคะ” เกสรีถามทันทีที่ไปถึง โล่งใจอยู่บ้างเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายลุกขึ้นมายืนได้ตามปกติ แสดงว่าไม่ได้บาดเจ็บเท่าไรนัก

ผู้ประสบอุบัติเหตุยังไม่ได้ตอบคำถามของเกสรี แต่หันไปยกรถจักรยานยนต์ที่ล้มอยู่ข้างๆ ขึ้นมาตั้งจนเรียบร้อย จากนั้นถึงได้ถอดหมวกกันน็อกออก แล้วส่งยิ้มให้คนที่อุตส่าห์มีน้ำใจจอดรถมาช่วยเหลือ สมัยนี้มีมิจฉาชีพที่แกล้งทำเป็นว่าประสบอุบัติเหตุและก่อคดีกับผู้ที่มาช่วยเหลืออยู่บ่อยครั้ง จนพลอยทำให้คนเราไม่กล้ายื่นมือเข้าไปช่วยเหลือใครนัก เพราะกลัวจะเป็นการชักนำภัยเข้ามาสู่ตัวเอง เขาจึงถือว่าคนคนนี้มีน้ำใจและกล้าหาญไม่น้อย

“คุณ!”

ทั้งผู้ประสบอุบัติเหตุและผู้ที่คิดจะมาช่วยเหลืออุทานขึ้นมาพร้อมกันเมื่อเห็นชัดถนัดตาว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

ฝ่ายหญิงทำหน้าเหม็นเบื่อ เพราะไม่คิดว่าโลกจะเหวี่ยงให้มาเจอโจทก์เก่าที่มีความหลังที่ไม่ค่อยดีต่อกันนัก

ส่วนฝ่ายชายตาใสพราวระยับ เพราะได้เจอกับคนที่คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้พบอีกแล้ว แอบคิดเพ้อเจ้อว่านี่อาจจะเป็นสิ่งที่เขาเรียกกันว่าพรหมลิขิต ไม่รู้สิ เขาไม่เคยข้องแวะกับคำคำนี้มาก่อน แต่ไม่รู้ทำไมถึงอยากจะใช้กับเธอ

“สวัสดีครับคุณเกรซ ไม่คิดว่าจะเจอคุณที่นี่” ศารทูลทักทายอย่างกระตือรือร้น มองคนตัวเล็กที่แต่งกายคล้ายๆ คืนที่ได้พบกันครั้งก่อน คือเสื้อเชิ้ตเข้ารูปและกางเกงยีนสีเข้ม

เกสรีขมวดคิ้วมุ่น เธอแน่ใจว่าครั้งก่อนตัวเองไม่ได้แนะนำตัวให้อีกฝ่ายรู้จัก ก็แน่ละสิ คงไม่มีใครแนะนำชื่อก่อนจะต่อยปากใครหรอก แล้วทำไมหมอนี่ถึงได้เรียกเธอคล่องปากนักล่ะ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเจออีกฝ่ายในลักษณะนี้ เขาดูแตกต่างจากหนุ่มสำอางที่พบกันคราวก่อนอย่างสิ้นเชิง ผู้ชายตรงหน้าเธอตอนนี้ดูทะมัดทะแมงเหมือนหนุ่มไบเกอร์ที่เธอเคยเห็นบ่อยๆ

“คำนั้นฉันน่าจะเป็นคนพูดมากกว่า เพราะฉันเป็นคนที่นี่ ส่วนคุณเป็นคนกรุงเทพฯ ไม่ใช่เหรอ” เกสรีตอบเรียบๆ

ถึงอีกฝ่ายจะมีท่าทีไม่ยินดียินร้าย ไม่เหมือนกับเขาที่ค่อนข้างระริกระรี้ แต่ศารทูลก็ไม่คิดสลด อย่างน้อยก็รู้เพิ่มเกี่ยวกับเธออีกอย่างว่าเป็นคนเชียงราย เริ่มคิดว่าการตามมาดูบุณฑริกกับตระการตาน่าอภิรมย์ขึ้นเยอะ อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาได้พบกับคนที่คิดว่าแคล้วคลาดกันไปแล้ว

“ว่าแต่คุณเป็นอะไรไหม เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า” เกสรีถามถึงสาเหตุหลักที่ทำให้เธอมายืนอยู่ตรงนี้ คนที่เธอกังวลว่าจะบาดเจ็บกลับยืนยิ้มระรื่นจนอดงงไม่ได้ หรือว่าได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองจนเพี้ยนไป

“ไม่เป็นหรอกครับ พอดีว่าไม่ได้ขับเร็วมาก รู้สึกว่าไม่มีแผล แค่เจ็บๆ จุกๆ นิดหน่อย” ศารทูลตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้ รู้สึกดีจนบอกไม่ถูกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเป็นใย

เกสรีกวาดตามองตลอดร่างของอีกฝ่ายก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ เมื่อพบว่าการแต่งกายของเขารัดกุมแน่นหนาพอที่จะช่วยลดการบาดเจ็บได้อยู่ ประกอบกับคงขี่รถมาไม่เร็วเท่าไรอย่างที่ว่า ก็เลยมีเพียงรอยขาดที่เสื้อและกางเกงนิดหน่อย

“ไม่บาดเจ็บก็ดีแล้ว” หญิงสาวเปรยเบาๆ

ศารทูลยิ้มอีก เห็นดีเห็นงามตามไปด้วยทุกอย่าง

เกสรีมองคนที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วรู้สึกว่าไม่น่าไว้ใจเท่าไรนัก บางทีตานี่อาจไม่บาดเจ็บภายนอก แต่อาจกระทบกระเทือนภายใน ซึ่งนั่นน่าจะเป็นปัญหาใหญ่ยิ่งกว่า ในเมื่อตอนนี้เขายังพอพูดรู้เรื่องอยู่บ้าง เธอก็ควรไปได้แล้ว เพราะไม่แน่ว่าอาจมีปัญหาเรื้อรังตามมา

ทำไมนะ อีตานี่ถึงมาพร้อมกับปัญหาอยู่เรื่อย สิงห์สาวแอบบ่นในใจ และเริ่มหาทางชิ่งเมื่อเห็นว่าเขาดูจะช่วยตัวเองได้เป็นอย่างดี

“ถ้างั้นฉันไปก่อนก็แล้วกันนะ”

หา! อยู่ๆ ก็จะไปเลยหรือ นี่เธอจะทำอย่างนี้อีกกี่ครั้ง นึกอยากไปก็ไปซะเฉยๆ แบบไม่มีเยื่อใยสักนิด เสือเมืองกรุงบ่นกระปอดกระแปดอยู่ในใจ

เกสรีถือว่าบอกลาแล้วก็จบกันจึงหันหลังเดินดุ่มๆ กลับไปที่รถของตัวเองทันที พลันชะงักเมื่อถูกคว้าข้อมือเอาไว้ ดวงตาคู่งามของนางสิงห์หรี่ลงด้วยความระแวงภัย แต่ยังไม่พูดอะไรออกมา ได้แต่ระวังเตรียมพร้อมไว้

อยู่ๆ ศารทูลกระตุกข้อมือดึงร่างบอบบางเข้าไปหาแบบไม่บอกกล่าว

“ทีหลังจะลงมาช่วยใครให้ดูดีๆ ก่อน อย่าทำอย่างนี้อีก แล้วก็อย่าไว้ใจจนหันหลังให้อีกฝ่ายง่ายๆ แบบนี้ ถ้าคนที่คุณเจอไม่ใช่ผม อาจจะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นก็ได้” ศารทูลเอ่ยเสียงเข้ม อดใจหายไม่ได้เมื่อคิดไปว่าบางทีความใจดีของเธออาจทำให้เสียทีพวกมิจฉาชีพได้ พยายามจำลองเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นให้เธอเห็นเป็นตัวอย่าง

“ขอบคุณในความหวังดีที่อุตส่าห์เตือน แต่ด้วยความหวังดีเช่นกัน ฉันเลยอยากบอกให้ปล่อยแขนฉันซะ แล้วก็ช่วยขยับออกห่างอีกนิด” สิงห์สาวแห่งไร่ภูพญาเอ่ยพลางหลุบตาลงช้าๆ คล้ายต้องการให้อีกฝ่ายมองตามสายตาของเธอ

ศารทูลลดสายตามองตามแล้วก็พลันสะดุ้งโหยง รีบปล่อยแขนอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ แถมยังถอยหนีไปหลายก้าว มองคนที่ส่งยิ้มแฉ่งให้เขา แต่แววตาแข็งกร้าวด้วยความตกตะลึง

ในมือของยายตัวแสบคือเครื่องชอร์ตไฟฟ้าที่ไม่รู้ว่าแม่เจ้าประคุณเอามาถือไว้ตั้งแต่ตอนไหน แถมเมื่อกี้ยังจ่อมันอยู่ใกล้ๆ หน้าอกเขาอีกด้วย เรียกว่าถ้าเธอคิดจะลงมือจริงๆ เขาจะต้องสลบเหมือดแน่นอน

“อย่างนี้ใช้ได้ไหม ถือว่าระวังตัวพอหรือยัง” เกสรีถามพร้อมกับยักคิ้วให้นิดๆ

เสือเมืองกรุงพยักหน้าหงึกๆ เชื่อแล้วว่าเธอระวังตัวอย่างดี ดีกว่าที่เขาคิดไว้มากๆ ดูเหมือนเขานี่ละที่ไม่ได้ระวังอะไรเลย!

คิดแล้วก็อดขนลุกไม่ได้ ถ้าหากเมื่อกี้เขาเล่นบทมิจฉาชีพแบบสมบทบาทกว่านี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“งั้นไปละนะ” เกสรีเอ่ยจบก็เดินฉับๆ ตรงไปที่รถ แล้วก็ขับออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ศารทูลมองตามท้ายรถกระบะคันโตที่คนตัวเล็กขับจากไปด้วยสายตางงงวย เพราะนี่เป็นอีกครั้งที่เขาโดนอีกฝ่ายทิ้งไปง่ายๆ แบบหน้าตาเฉย ความดีใจที่ได้พบเธออีกครั้งก่อนหน้านี้ คล้ายจะเป็นแค่ความฝันที่จินตนาการขึ้นมาเองซะด้วยซ้ำไป

เสือหนุ่มรีบก้าวขึ้นไปคร่อมจักรยานยนต์คันเก่งที่ใครๆ ก็คงคิดไม่ถึงว่าเขาพิสมัยเจ้าพาหนะชนิดนี้เสียยิ่งกว่ารถยนต์หรูๆ เสียอีก ตั้งท่าจะสตาร์ตเครื่องเพื่อขับตามอีกฝ่ายไป แต่พอคิดถึงจุดประสงค์ที่ตัวเองเดินทางมาที่นี่ก็พลันชะงักกึก ก่อนอื่นเขาต้องจัดการเรื่องบุณฑริกกับตระการตาให้เรียบร้อยก่อน เพราะทุกคนทางกรุงเทพฯ กำลังร้อนใจกันอย่างมากที่ดูเหมือนสองสาวจะเที่ยวเพลินจนไม่คิดกลับบ้านกลับช่อง

ศารทูลถอนหายใจอีกครั้งเมื่อต้องปล่อยคนที่อยากเจอมาตลอดไปอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงคนนี้เป็นคนแรกที่ทำให้คิดถึงเรื่องพรหมลิขิตอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะเชื่อในสิ่งนั้น ในเมื่อครั้งนี้ยังมีโอกาสได้เจอเธอโดยไม่คาดคิด ก็หวังว่าพรหมลิขิตจะทำให้ได้พบกันอีกครั้ง

คิดอย่างนั้นแล้วก็ตัดสินใจสตาร์ตรถและมุ่งหน้าไปยังจุดหมายเดิมที่ตั้งใจจะไปแต่แรก นั่นก็คือไร่ภูพญา

 

เกสรีขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นรถจักรยานยนต์คุ้นตาจอดอยู่หน้าบ้าน ถ้าจำไม่ผิดเธอคิดว่าเพิ่งเห็นรถคันนี้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เอง หญิงสาวคิดพลางดับเครื่องยนต์ ก่อนจะลงจากรถแล้วเดินเข้าไปดูรถจักรยานยนต์คันนั้นใกล้ๆ สิงห์สาวแห่งไร่ภูพญากวาดตามองจนมั่นใจว่าไม่น่าจะจำผิด รถคันนี้น่าจะเป็นของอีตาเดียวอะไรนั่นแน่ๆ

นาทีนั้นเกสรีไม่ได้ฉุกใจเลยว่าเธอเองก็จำชื่อของอีกฝ่ายได้ขึ้นใจโดยที่เขาก็ไม่ได้แนะนำตัวเช่นกัน

คิ้วของหญิงสาวขมวดแน่นกว่าเดิม หลังจากแยกกับอีกฝ่าย เธอก็ไปธุระตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก ไม่คิดเลยว่าพอกลับมาจะพบว่าอีตานั่นตามมาจนถึงบ้านเธอ อย่าบอกนะว่าคิดจะมาใส่ร้ายว่าเธอเป็นต้นเหตุให้เขาเกิดอุบัติเหตุและเรียกร้องค่าเสียหาย

ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหที่พลเมืองดีอย่างเธอกำลังถูกแบล็กเมล์ นึกแล้วเชียวว่าอีตานั่นต้องนำความซวยมาให้ เกสรีสันนิษฐานพลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโห เพราะนอกจากสาเหตุนี้แล้ว เธอก็ยังไม่เห็นเหตุผลอย่างอื่นที่อีตานั่นจะมาที่นี่เลย ก่อนจะก้าวฉับๆ เข้าไปในบ้าน กะจะไปเอาเรื่องอีกฝ่ายให้หายโมโห

พอเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าเป้าหมายนั่งอยู่กับบิดามารดาของเธอพร้อมด้วยตระการตาและนฤเคนทร์ สีหน้าของแต่ละคนมองดูแล้วค่อนข้างเคร่งเครียดจนเธอคิดว่าอีตาคนเลวนั่นต้องเล่าความเท็จให้คนในครอบครัวเธอฟังแล้วแน่ๆ ใบหน้าสวยๆ จึงถมึงทึงยิ่งกว่าเดิม

“นายมาทำอะไรที่นี่!”

น้ำเสียงขึ้งเครียดของเกสรีทำให้ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียวกัน ต่างก็งุนงงว่าเธอเป็นอะไรไป ถึงได้ใช้น้ำเสียงอย่างนั้นกับแขกแบบศารทูล ทำราวกับแค้นกันมาสักสิบชาติ จะว่าโกรธแทนสีหราชก็ดูจะเกินไปหน่อย

ในขณะที่คนอื่นงุนงง คนโดนตะคอกอย่างศารทูลกลับเบิกตากว้าง ในใจโห่ร้องด้วยความยินดีจนแทบบอกไม่ถูก โอ๊ย! แบบนี้ไม่เรียกพรหมลิขิตแล้วจะเรียกอะไรได้อีก

เกสรีไม่สนใจความงุนงงและความยินดีของใครทั้งนั้น เดินปรี่เข้าไปหาคนที่คิดว่าเป็นพวกชอบแบล็กเมล์ทันที

“ทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป ฉันคิดไว้แล้วเชียวว่านายมันต้องไม่ใช่คนดี ไม่นึกเลยว่าลางสังหรณ์จะแม่นขนาดนี้”

“เอ่อ...คือ...”

ทั้งศารทูลและแม่เลี้ยงรินรดาได้แต่พูดจาอึกๆ อักๆ ขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะไม่แน่ใจว่าเกสรีกำลังเกรี้ยวกราดเรื่องอะไร

“ว่าไง ที่แท้นายวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม ไม่งั้นจะตามมาถึงบ้านฉันได้ไง ฮึ่ย! มาเหนือเมฆนะยะ นายบังคับกระต่ายให้ออกมาถูกจังหวะได้ไง นายมันไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ด้วย โอ๊ย! ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเสียรู้ใครอย่างนี้มาก่อนเลย นายแน่มาก!” เกสรีรัวเป็นชุด ไม่คิดไม่ฝันว่าระวังตัวขนาดนี้แล้วยังเสียรู้คนอื่นเข้าจนได้

“กระต่าย?” คนอื่นๆ อุทานขึ้นมาพร้อมกัน เพราะไม่รู้ว่ากระต่ายมาเกี่ยวข้องตรงไหน

คนอื่นๆ มัวสนใจเรื่องกระต่าย แต่คนที่ถูกมองว่าเป็นคนร้ายแบบศารทูลกลับสนใจเรื่องอื่นมากกว่า “บ้านคุณ? คุณบอกว่าที่นี่บ้านคุณงั้นเหรอ” เสือเมืองกรุงถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

หลังจากที่ศารทูลเป็นฝ่ายกะพริบตาปริบๆ มาหลายรอบแล้ว คราวนี้ก็เป็นทีของเกสรีบ้าง สิงห์สาวแห่งไร่ภูพญาถึงกับกะพริบตาปริบๆ เมื่ออีกฝ่ายทำราวกับไม่รู้ว่าที่นี่คือบ้านของเธอ ถ้าไม่รู้แล้วมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน

“ก็ใช่น่ะสิ นี่บ้านฉันเอง” เกสรียืนยัน ก่อนจะถามแบบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก “ตกลงนายไม่ได้มาบอกพ่อแม่ฉันว่าฉันทำให้นายรถล้ม แล้วก็จะมาเรียกร้องค่าเสียหายหรอกเหรอ”

ศารทูลถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ความดีใจที่ได้พบเธออีกครั้งลดลงฮวบฮาบจนเกือบติดลบ เกิดมาเป็นตัวเป็นตนจนป่านนี้ ไม่เคยมีใครมองว่าเขาเป็นมิจฉาชีพเลยสักครั้ง เพิ่งมีเธอเป็นคนแรกนี่ละ

ปัดโธ่! หล่อรวยครบสูตรขนาดนี้จะเป็นโจรได้ยังไงล่ะแม่คู้ณ! คนหล่อตัดพ้ออยู่ในใจ

“นี่เกรซรู้จักคุณศารทูลด้วยหรือลูก” แม่เลี้ยงรินรดาถามแทรกขึ้นมา เพราะฟังๆ ดูแล้วสองคนนี้เหมือนจะรู้จักกันแต่ก็เหมือนคุยกันคนละเรื่องอย่างไรชอบกล

“ศารทูล?” เกสรีทวนคำมารดาแบบงงๆ

“อ้าว ก็เห็นมาถึงก็ตรงดิ่งมาคุยกับเขาก่อนเลย ตกลงไม่รู้จักกันหรอกเหรอ” คนเป็นแม่ถามแบบงงๆ ไม่แพ้กัน

“คุณชื่อศารทูลเหรอ” เกสรีหันไปถามคนที่เจอกันแล้วสองหน แต่ก็ยังไม่รู้จักกันเป็นเรื่องเป็นราวเสียที

ได้ยินเกสรีถามศารทูลแบบนั้น ทุกคนก็มั่นใจว่าทั้งคู่คงจะไม่รู้จักกันมาก่อน หรือถ้ารู้ก็คงจะผิวเผินเต็มที ขนาดว่าอีกฝ่ายชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไรก็ยังไม่รู้

“เอาละ งั้นก็มารู้จักกันไว้ซะ” แม่เลี้ยงรินรดาตัดบท เพราะถ้าปล่อยให้ศารทูลกับเกสรีคุยกันเองก็ไม่รู้ว่าวันนี้จะรู้เรื่องกันหรือเปล่า จึงหันมาแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกันเป็นเรื่องเป็นราว

“นี่ยายเกรซค่ะ เกสรี ลูกสาวคนเล็กของดิฉันเอง” แม่เลี้ยงรินรดาแนะนำเกสรีให้ศารทูลรู้จักก่อนในฐานะเป็นเจ้าของบ้าน ก่อนจะหันไปเอ่ยกับลูกสาวบ้าง “นี่คุณศารทูลจ้ะเกรซ เป็น เอ่อ...เป็น คุณศารทูลมาหาหนูปิ๊กกับหนูจุ๊บน่ะลูก”

แม่เลี้ยงรินรดาอึกๆ อักๆ ไม่รู้จะแนะนำสถานะระหว่างชายหนุ่มผู้นี้กับบุณฑริกอย่างไร แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เกี่ยวพันกับบุณฑริกแบบไหน แต่ก็ไม่อยากพูดออกมา เพราะรู้ว่าสถานะของชายหนุ่มผู้นี้จะทำให้ลูกชายคนโตของเธอเสียใจมากเพียงใด แม้สีหราชจะไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่เธอก็ไม่อยากพูดคำนั้นออกมาอยู่ดี

แม้มารดาจะไม่พูดออกมาตรงๆ แต่น้ำเสียงอึกอักและสีหน้าลำบากใจของท่านก็ทำให้เกสรีเข้าใจได้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร อีตาศารทูลนี่จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากว่าที่คู่หมายของบุณฑริกที่มารดาเคยเล่าให้เธอฟังนั่นเอง

พอแน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ดวงตากลมโตที่เมื่อสักครู่ฉายแววขัดเขินเพราะปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อก็เปลี่ยนเป็นวาวโรจน์อีกครั้ง

คนถูกมองอย่างศารทูลถึงกับงงงวย เพราะไม่รู้ว่าตกลงเธอกำลังอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่ เขาเคยรู้จักคนที่เป็นโรคไบโพลาร์ แต่รู้สึกว่าอาการก็ยังไม่หนักหนาเท่ากับเกสรี

พอแน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็ยิ่งรู้สึกไม่เป็นมิตร เกสรีตวัดค้อนใส่วงใหญ่ ก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างๆ มารดา หันไปมองตระการตาก็เห็นว่านั่งหน้าจ๋อยอยู่ ดูท่าทางไม่กล้าสบตานายศารทูลอะไรนั่นเท่าไร ก็ยิ่งเหมาเอาว่าอีกฝ่ายน่าจะนิสัยไม่ดีนัก ไม่อย่างนั้นคนเรียบร้อยน่ารักอย่างตระการตาจะแสดงท่าทีอย่างนั้นใส่ทำไม

ส่วนคนถูกค้อนอย่างศารทูลยิ่งงงหนักเพราะไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด ในเมื่อเธอก็รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่มิจฉาชีพ แล้วทำไมยังทำท่าทางไม่เป็นมิตรใส่อีกก็ไม่รู้

“เขามาทำไมคะแม่” เกสรีแอบกระซิบถามมารดา

แม่เลี้ยงรินรดาขึงตาใส่ลูกสาวหน่อยหนึ่ง เพราะการทำแบบนั้นมันดูเสียมารยาทอยู่ไม่น้อย หันไปยิ้มเจื่อนๆ ให้คนอื่นๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “พ่อหนูปิ๊กให้คุณศารทูลมาน่ะจ้ะ คงจะห่วงลูกสาวนั่นแหละ ใช่ไหมคะ” ตอนท้ายหันไปถามผู้มาเยือน

“ครับ อาเกรียงให้ผมมาเพราะเป็นห่วงนั่นแหละ ตอนอนุญาตให้มาเที่ยว ก็ไม่คิดว่าสองคนนี้จะมาไกลแล้วก็นานถึงขนาดนี้” ศารทูลอธิบายด้วยน้ำเสียงสุภาพ

สมาชิกบ้านพัฒนามนตรีได้แต่ทอดถอนใจ แม้จะไม่ชอบใจนัก แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะบิดาของบุณฑริกเป็นคนส่งชายหนุ่มคนนี้มา แถมฐานะคู่หมายก็ยิ่งทำให้ไม่มีสิทธิ์กีดกันให้เขาพบบุณฑริกอีกด้วย

ระหว่างที่ทุกคนกำลังนั่งกระอักกระอ่วนใจกันอยู่นั้น สีหราชกับบุณฑริกที่เข้าไร่ไปตั้งแต่เช้าก็กลับเข้ามาพอดี เนื่องจากใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว

“พี่เดียว! มาได้ยังคะเนี่ย!” บุณฑริกอุทานถามด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นศารทูลนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ ก็พบกับตระการตาที่นั่งหน้าจืดอยู่

“พี่ก็มาหาปิ๊กนั่นแหละ อาเกรียงให้พี่มาดูว่าปิ๊กเป็นยังไงบ้าง เพลินใหญ่นะเรา บ้านช่องไม่กลับ” ศารทูลเอ่ยกับสาวน้อยด้วยน้ำเสียงดุๆ แต่ฟังออกว่าสนิทสนมกันไม่น้อยจนกล้าตำหนิตรงๆ

ความสนิทสนมระดับนี้ทำเอาสมาชิกครอบครัวพัฒนามนตรีลอบถอนหายใจกันอีกรอบ คนอื่นๆ หนักใจ แต่คนที่มีใจให้บุณฑริกอย่างสีหราชกำลังไม่พอใจอย่างมาก

“พี่เดียวรู้ได้ยังไงคะว่าปิ๊กอยู่ที่นี่” บุณฑริกสอบถามด้วยความงุนงง ไม่สนใจข้อตำหนิของเขาแต่อย่างใด

“อาเป็นคนโทร. ไปเรียนคุณพ่อหนูปิ๊กเองแหละว่าหนูกับหนูจุ๊บอยู่ที่นี่ อาไม่อยากให้ท่านเป็นห่วงพวกหนู” พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์เป็นคนที่ไขข้อสงสัยของบุณฑริกเสียเอง ความที่เป็นผู้ใหญ่และรู้ว่าลูกชายพึงใจในตัวเธอทำให้เขาอยากทำอะไรให้ชัดเจน ไม่หลบซ่อน

บุณฑริกก้มหน้าด้วยความละอายใจ เพราะตนเองเคยรับปากกับพ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์ว่าจะบอกเรื่องนี้กับทางครอบครัวเอง แต่ที่จริงกลับปิดบัง โดยเลือกที่จะบอกว่าเดินทางไปหาแรงบันดาลใจไปเรื่อยๆ

พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์และแม่เลี้ยงรินรดาพอจะเข้าใจเธออยู่บ้างและไม่คิดจะตำหนิ บุณฑริกยังเด็ก และคงต้องการเวลาสำหรับทำใจเรื่องการแต่งงาน การกระทำของเธอไม่หนีก็เหมือนหนีนั่นละ

แต่พวกเขาเป็นผู้ใหญ่จะทำแบบนั้นไม่ได้ ทำได้แต่รับรองกับครอบครัวของบุณฑริกว่าจะดูแลเธอกับตระการตาอย่างดี และการที่ฝ่ายนั้นจะส่งคนมาดูก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ปัญหามันอยู่ที่คนที่ทางนั้นส่งมาต่างหาก สีหราชจะทำอย่างไรเมื่อคู่หมายของบุณฑริกมาตามถึงที่แบบนี้

“หนูขอโทษค่ะคุณอา” บุณฑริกเอ่ยขอโทษพร้อมทั้งยกมือขึ้นไหว้สองสามีภรรยาเหมือนจะน้อมรับความผิดแต่โดยดี กลัวว่าการกระทำของตนเองจะทำให้ทั้งสองท่านโดนครอบครัวของเธอตำหนิ

ทั้งพ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์และแม่เลี้ยงรินรดาต่างยิ้มรับ ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองแต่อย่างใด แต่กลับนึกนิยมสาวน้อยเพิ่มขึ้น คนเราทำผิดก็ต้องกล้ายอมรับ บุณฑริกนั้นถือว่าใช้ได้ทีเดียวในสายตาของพวกเขา ไม่มีใครไม่เคยทำผิด โดยเฉพาะในวัยหนุ่มสาวที่ประสบการณ์ยังน้อยนิด พวกเขาเองก็เคยเป็นแบบนั้นเช่นกัน เสียงที่เอ่ยกับสาวน้อยจึงนุ่มนวลเต็มไปด้วยความปรานี

“ไม่เป็นไรหรอกลูก อาเข้าใจดี”

“ขอบคุณมากค่ะ” บุณฑริกเอ่ยพร้อมทั้งพนมมือไหว้

“แต่พี่ไม่เข้าใจเลย เราชักจะเหลวไหลใหญ่แล้วนะปิ๊ก นี่ถึงขั้นจะเที่ยวแบบข้ามเดือนเลยหรือไง มันคงต้องคุยกันหน่อยแล้วนะ” ศารทูลดุคนที่สนิทสนมกันมาแต่วัยเยาว์เบาๆ ก่อนจะหันไปหาเจ้าของบ้านเพื่อขออนุญาตในสิ่งที่ไม่ได้เตรียมการมาก่อนเช่นกัน แต่เพิ่งคิดได้โดยปัจจุบันทันด่วนเมื่อสบตาวาวๆ ของคนที่นั่งข้างแม่เลี้ยงรินรดานั่นเอง

“ผมอยากจะขออนุญาตคุณอาทั้งสองขอค้างที่นี่สักคืนจะได้ไหมครับ ผมมีธุระจะต้องชำระความกับสองคนนี้เสียหน่อย” เขาพูดพร้อมทั้งปรายตาไปยังบุณฑริกและตระการตาเหมือนจะบอกให้ทราบว่าหมายถึงใคร

พอเห็นท่าทางอึดอัดของทุกคนโดยเฉพาะ ‘สองคนนี้’ ที่ถูกพาดพิง ซึ่งไม่อยากจะเผชิญหน้าเขานักเพราะทราบดีว่าคงถูกเทศนายาว เสือหนุ่มจากเมืองกรุงก็เดินเกมต่อทันที

“ตามที่คุณอาบอกผมก่อนหน้านี้ว่าปิ๊กกับจุ๊บมีบ้านพักส่วนตัวอยู่แล้ว ไม่ได้อยู่บ้านนี้ ถ้าอย่างนั้นผมขอพักกับพวกเขาก็ได้ครับ แต่ถ้าหากเป็นการรบกวนมากไป ผมจะขอพาสองคนนั่นไปพักข้างนอก เพราะยังไงคืนนี้ก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่องให้ได้”

ทั้งพ่อเลี้ยงและแม่เลี้ยงต่างครุ่นคิดหนัก จะกีดกันชายหนุ่มคนนี้ก็กระไรอยู่ เพราะครอบครัวของบุณฑริกส่งเขามา และการจะให้เขาพาสองสาวออกไปพักข้างนอกยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ใครจะรับประกันได้ว่าศารทูลจะไม่พาบุณฑริกกับตระการตากลับกรุงเทพฯ ไปเลย เพราะจะว่าไปเขาก็พอมีสิทธิ์ในตัวบุณฑริกอยู่บ้างในฐานะคู่หมาย

ผู้เป็นพ่อคิดหนักไปอีกเมื่อนึกถึงความรู้สึกของลูกชายคนโตที่จนป่านนี้ยังไม่เปิดปากพูดอะไรกับใครสักคำ

ส่วนคนที่พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์กำลังห่วงตอนนี้ก็บดกรามแน่นเมื่อได้ยินศัตรูหัวใจยื่นขอเสนอขอพักที่นี่ และที่สำคัญคือกระท่อมที่บุณฑริกพักอยู่เช่นกัน บังอาจนัก! สิงห์หนุ่มเจ้าถิ่นคำรามอยู่ในใจ สิ่งที่ไม่คิดจะทำมาก่อนถูกคิดอยู่ในใจเป็นฉากๆ แบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม

แล้วพ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์ก็ตัดสินใจในที่สุดเมื่อบวกลบผลได้ผลเสียอยู่ในใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “ตกลงครับ เอาเป็นว่าคืนนี้คุณพักที่นี่ก็แล้วกัน แต่คงจะไม่ขัดข้องใช่ไหมครับถ้าผมจะส่งเด็กไปพักด้วย เผื่อจะช่วยดูแลอำนวยความสะดวกอะไรให้ ขาดเหลืออะไรจะได้ไม่ขลุกขลัก”

ศารทูลยิ้มรับเมื่อได้ยินข้อตกลงและข้อเสนอกึ่งบังคับของเจ้าของบ้าน แต่ก็เอาเถอะ! จะส่งใครมานอนเฝ้าสองสาวนั่นก็ตามใจ แค่เขาได้อยู่ที่นี่นานขึ้นอีกนิดอย่างที่ต้องการก็พอแล้ว เขาพอจะเข้าใจความห่วงของผู้ใหญ่อยู่บ้างที่กลัวจะเกิดคำครหา

แต่ต่อให้ไม่ส่งใครมาเฝ้า เขาก็ไม่คิดจะทำอะไรบุณฑริกกับตระการตาอยู่แล้ว ที่ตามมานี่ก็เพราะเป็นคำขอร้องจากบิดาของบุณฑริกที่เขาเคารพนับถือ รวมถึงความเป็นห่วงที่มีต่อสองสาวที่รักใคร่เหมือนน้องเล็กๆ ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น แต่บังเอิญเจอคนที่น่าสนใจกว่าจนอยากอยู่ที่นี่ต่อต่างหากละ!

เกสรีกัดฟันกรอดเมื่อได้ยินวาจาเชิงข่มขู่ของคนที่เหม็นขี้หน้า นึกอยู่แล้วเชียวว่าอีตานี่คืออุปสรรครักตัวฉกาจของพี่ชายเธอ มาถึงก็หาทางใกล้ชิดบุณฑริกเลยเชียว อย่าหวังเลยว่าเธอจะยอมง่ายๆ ยิ่งเห็นท่าทางของสีหราชที่เคร่งขรึมลงไปจนผิดตาก็ยิ่งร้อนใจ นึกไม่ชอบหน้าศารทูลยิ่งกว่าเดิม

“เอาละ ถ้าอย่างนั้นก็ไปกินข้าวกินปลากันได้แล้วมั้ง เชิญค่ะคุณศารทูล ไปลูก หนูปิ๊ก หนูจุ๊บ ไปกินข้าวกัน” แม่เลี้ยงรินรดาเชื้อเชิญทุกคนไปรับประทานอาหารกลางวัน ทั้งหมดจึงได้แต่ลุกตามกันไป

 

บรรยากาศระหว่างรับประทานอาหารดูอึมครึมอย่างบอกไม่ถูก เจ้าของบ้านอย่างพ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์และแม่เลี้ยงรินรดายิ่งรู้สึกว่าบรรยากาศดูแปลกๆ ชอบกล คล้ายๆ กับว่าหนุ่มสาวแต่ละคนกำลังหยั่งเชิงกันอยู่อย่างน่าแปลก ไม่

เฉพาะสีหราช บุณฑริก และศารทูล ซึ่งพวกเขาทราบดีอยู่แล้วว่ามีเรื่องของหัวใจที่ซับซ้อนไม่ลงตัว ทว่าแม้แต่นฤเคนทร์ เกสรี หรือแม้แต่คนเงียบๆ อย่างตระการตาก็ดูแปลกไปทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไร ได้แต่จับสังเกตอยู่เงียบๆ เท่านั้น

...

“เดี๋ยวคุณไปเอาของที่ไร่กับผมหน่อยนะ” สีหราชเอ่ยกับบุณฑริกขึ้นมาเป็นประโยคแรกหลังจากที่รับประทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว

“อะไรเหรอคะ” บุณฑริกถามขึ้นมาบ้าง มองคนที่ทำหน้าเครียดอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่สบายใจนัก ส่วนคนอื่นๆ ก็จับตามองท่าทีของทั้งคู่อย่างสนใจเช่นกัน

“ไม่ต้องถามหรอก เดี๋ยวก็รู้เอง นี่คุณยังเป็นลูกน้องผมอยู่นะ ลืมไปแล้วเหรอ” สีหราชตอบเรียบๆ

“ค่ะ!” ลูกน้องนั่งหน้าคว่ำ ความที่เขาตามใจมาตลอดทำให้ลืมเรื่องนี้ไปเลย เสียงที่ตอบรับเขาจึงห้วนสั้นตามอารมณ์ ทั้งๆ ที่เธอกำลังกังวลเรื่องของศารทูลอยู่ แต่เขาก็ไม่เป็นกำลังใจให้สักนิด กลับนิ่งเงียบเสียจนเธอนึกน้อยใจว่าตกลงสิ่งที่เขาบอกเธอมันมีความจริงบ้างหรือเปล่า แล้วเขาคิดอย่างไรกันแน่!

“งั้นก็ไปกันเถอะ ขอตัวก่อนนะครับทุกคน” สีหราชขยับลุกขึ้นอย่างคนใจร้อน แต่ก็ไม่ลืมตวัดสายตาใส่ชายหนุ่มผู้มาเยือนแบบไม่เป็นมิตรนัก ตั้งแต่ทักทายกันตามมารยาทตอนแนะนำตัวแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้พูดจาอะไรกันมากไปกว่านั้น เลื่อนสายตาไปมองคนตัวเล็กเหมือนจะส่งสัญญาณให้ลุกขึ้นจนบุณฑริกต้องขยับกายบ้าง

“เดี๋ยวคุยกันคืนนี้นะคะพี่เดียว ปิ๊กขอไปทำงานก่อน” บุณฑริกเอ่ยขอตัวกับศารทูลบ้าง

ศารทูลพยักหน้ารับง่ายๆ ทั้งที่ยังข้องใจไม่น้อยว่าทำไมบุณฑริกถึงกลายไปเป็นลูกน้องของสีหราชได้ แถมตระการตาที่เคยตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ยังไม่ไปด้วย แต่ก็คิดว่าอาจเป็นหน้าที่ที่คนทางนี้ตกลงกันไว้ก่อนแล้วก็เป็นได้ ตั้งใจว่าจะไปซักถามเอาความจากสองสาวในคืนนี้ จึงเก็บความสงสัยไว้ในใจก่อน จะว่าไปตอนนี้เขาเองก็ไม่ค่อยมีสมาธินัก สายตามันคอยแต่ชำเลืองไปมองคนที่นั่งทำหน้าคว่ำนั่นอยู่ร่ำไป

“เอาละ ถ้าอย่างนั้น อาว่าคุณศารทูลไปดูที่พักก่อนดีไหมคะ จะได้รู้ว่าหนูปิ๊กกับหนูจุ๊บอยู่กันยังไง” แม่เลี้ยงรินรดาเอ่ยขึ้นเมื่อสีหราชกับบุณฑริกเข้าไร่ไปแล้ว

“ก็ดีเหมือนกันครับ” ศารทูลรับคำ เขาค่อนข้างพอใจที่ทราบว่าครอบครัวพัฒนามนตรีให้เกียรติบุณฑริกกับตระการตามากพอควร อย่างน้อยก็ไม่ได้ให้อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกับลูกชายหนุ่มโสดของตัวเองให้เป็นที่ครหา จึงมีความรู้สึกที่ดีกับคนในครอบครัวนี้ขึ้นอีกโข

“งั้นก็ไปกันเถอะค่ะ ไปจ้ะหนูจุ๊บ” แม่เลี้ยงรินรดาเอ่ยพลางจะลุกขึ้น แต่ก็ถูกเกสรีที่นั่งอยู่ข้างๆ ดึงไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวเกรซพาเขาไปเองค่ะแม่ เรื่องแค่นี้เอง แม่ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ”

“เอางั้นเหรอลูก” แม่เลี้ยงถามอย่างไม่แน่ใจนัก สายตาของเกสรีที่มองศารทูลทำให้เธอรู้ว่าลูกสาวจะหาเรื่องชวนแขกทะเลาะ เกสรีก็เป็นเสียอย่างนี้ พอเห็นว่าใครจะมาทำให้คนในครอบครัวไม่สบายใจก็มักจะตั้งป้อมรังเกียจไว้ก่อน

“เอาอย่างนี้แหละค่ะ เดี๋ยวเกรซจัดการเอง”

“ไม่เกเรนะเกรซ” คนเป็นแม่กำชับไว้ก่อน

“รู้แล้วค่ะ” เกสรีรับปากพร้อมกับทำหน้ามุ่ย ไม่เข้าใจว่าทำไมใครๆ ถึงมองว่าเธอเป็นคนชอบหาเรื่องไปได้ ก่อนจะหันไปชักชวนตระการตา “ไปกันเถอะจุ๊บ พาคุณคนนี้ไปดูที่พักกันดีกว่า”

ตระการตาพยักหน้ารับอย่างสงบเสงี่ยมตามบุคลิก แล้วจึงหันไปชักชวนศารทูลบ้าง “ไปเถอะค่ะคุณเดียว”

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับคุณอา ขอบคุณมากนะครับที่เอื้อเฟื้อเรื่องที่พัก แล้วก็ขอโทษด้วยที่มารบกวนให้ยุ่งยาก” ศารทูลเอ่ยกับเจ้าของบ้านทั้งสองคนอย่างนอบน้อม

“รู้ว่าคนอื่นยุ่งยากแล้วยังจะมาทำไมก็ไม่รู้” เกสรีบ่นงึมงำ

“เกรซ!” คนเป็นพ่อและแม่ปรามลูกสาวขึ้นมาพร้อมๆ กัน ทำเอาคนโดนดุหน้ามุ่ย

“เอ่อ...จุ๊บว่าเราไปกันเลยดีไหมคะ” ตระการตารีบสงบศึก เธอรู้ดีว่าเกสรีคงทำไปเพราะนึกโกรธแทนพี่ชายนั่นเอง ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ทำให้ทราบว่าพี่น้องบ้านนี้รักกันแค่ไหน

“ไปสิ” เกสรีเอ่ยแล้วก็เดินนำออกไปก่อน รีบชิ่งหนีเพราะรู้ว่าบิดามารดากำลังไม่พอใจที่เห็นตัวเองระรานแขก

ตระการตาเดินตามออกไปอีกคน ส่วนศารทูลหันไปส่งยิ้มให้พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์กับแม่เลี้ยงรินรดาอีกครั้งก่อนจะเดินตามสองสาวออกไป ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมเกสรีถึงได้มีทีท่าว่าไม่ชอบหน้าเขาเท่าไร

 

“จุ๊บมาซ้อนท้ายเกรซนี่มา” เกสรีซึ่งขึ้นไปนั่งเตรียมพร้อมอยู่บนรถจักรยานยนต์คันเล็กที่ใช้ขี่อยู่ภายในไร่เป็นประจำกวักมือเรียกตระการตาที่เดินเคียงกันมากับศารทูลให้มานั่งซ้อนท้ายคันของตัวเอง

“ต้องขี่มอเตอร์ไซค์ไปด้วยเหรอ นี่เรากับยายปิ๊กอยู่ไกลบ้านใหญ่มากขนาดนั้นเลยเหรอจุ๊บ” ศารทูลหันไปถามตระการตาพร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความเป็นห่วง เพราะทราบมาว่าเธอกับบุณฑริกอยู่กันตามลำพัง เขาพอใจที่คนที่นี่แยกพวกเธอไม่ให้อยู่ปะปนกับลูกชาย แต่ก็เป็นห่วงเมื่อรู้ว่าพวกเธออยู่ไกลจากบ้านใหญ่ของครอบครัวพัฒนามนตรีพอสมควร

“ค่ะ จุ๊บกับคุณปิ๊กขี่มอเตอร์ไซค์มากันประจำแหละค่ะ แต่ตอนมากินข้าวเย็นขับรถยนต์มา คุณราชไม่ให้ขี่มอเตอร์ไซค์ตอนค่ำๆ ค่ะ กลัวจะเป็นอันตราย” ตระการตาเล่าตามประสาซื่อ

“กลัวจะเป็นอันตราย แล้วทำไมถึงให้ไปอยู่ไกลแบบนั้นล่ะ” ศารทูลซักอีก ตั้งใจจะสอบถามข้อมูลเรื่องความเป็นอยู่ของตระการตากับบุณฑริกให้ได้มากที่สุดเพื่อนำไปบอกกล่าวแก่บรรดาผู้ใหญ่ของทั้งเขาและเธอ รวมถึงความห่วงใยส่วนตัวด้วย เพราะสำหรับเขา บุณฑริกกับตระการตาไม่ต่างจากน้องสาวแท้ๆ แต่อย่างใด

คนเมืองกรุงแบบเขาพอพูดถึงคำว่าไร่ก็มักจะนึกถึงความเปลี่ยวร้างไม่ศิวิไลซ์ ถึงแม้ว่าไร่ภูพญาแห่งนี้จะดูไม่ร้างเลยสักนิดก็เถอะ แต่พื้นที่กว้างใหญ่มาก คนงานก็ร้อยพ่อพันแม่ แล้วให้บุณฑริกกับตระการตาไปอยู่ห่างไกลแบบนั้น มันไม่น่ากลัวไปหน่อยหรือ

“นี่คุณ อันตรายที่พี่ชายฉันเป็นห่วงน่ะหมายถึงอุบัติเหตุ ไม่ใช่อย่างอื่น ถ้าคุณกำลังคิดอย่างนั้นอยู่ละก็” เกสรีซึ่งเงี่ยหูฟังอยู่ด้วยความระแวงรีบสวนขึ้นมาทันทีแม้จะรู้ว่าค่อนข้างเสียมารยาทก็ตาม “คนที่นี่อยู่กันแบบครอบครัว แล้วก็คอยดูแลกันและกัน เพราะฉะนั้นไอ้อันตรายแบบที่คุณคิดน่ะมันไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก อีกอย่าง พี่ราชก็จัดเวรยามให้คอยดูแลแถวที่พักของปิ๊กกับจุ๊บอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง รู้ไว้เสียด้วย”

ศารทูลสะดุ้งโหยง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน เขาก็แค่เป็นห่วงเท่านั้น ทำไมต้องทำเสียงดุขนาดนั้นก็ไม่รู้ ปกติก็ดูเหมือนคะแนนนิยมของเขาจะไม่ดีอยู่แล้ว พอไปตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับไร่สุดที่รักของเธอเข้า ก็ดูเหมือนว่าคะแนนก็จะยิ่งดิ่งลงเหวไปอีก

“ฉันว่าคุณไปดูเองให้เห็นกับตาดีกว่าว่าทำไมพวกเราถึงให้ปิ๊กกับจุ๊บไปพักที่นั่น มานี่เถอะจุ๊บ มากับเกรซดีกว่า” เกสรีหันไปชวนตระการตาอีกรอบ พยายามกีดกันศารทูลออกห่างจากทั้งสองสาวอย่างสุดฤทธิ์

“งั้นจุ๊บไปกับเกรซนะคะ คุณเดียวขี่ตามไปก็แล้วกัน” ตระการตาหันไปเอ่ยกับศารทูล

“อืม ตามนั้นแหละ” ศารทูลรับคำง่ายๆ เพราะจะว่าไปแบบนั้นก็สมควรที่สุดแล้ว เพราะทั้งคู่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน อีกอย่าง เขานึกภาพตระการตาซ้อนท้ายบิ๊กไบค์ไม่ออกเลยจริงๆ

 

ความรู้สึกของศารทูลไม่ต่างจากบุณฑริกและตระการตาตอนเห็นกระท่อมริมธารหลังนี้ไม่มีผิด แม้ทุกคนในไร่ภูพญาจะเรียกที่นี่ว่ากระท่อมท้ายไร่ แต่ต้องยอมรับว่านอกจากขนาดที่ค่อนข้างกะทัดรัดแล้ว สภาพอย่างอื่นไม่ใกล้เคียงกับคำว่ากระท่อมเลยสักนิด เพราะดูสวยงาม ทันสมัย แถมสภาพแวดล้อมโดยรอบก็สวยงามมากๆ อีกด้วย

เกสรีกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความพอใจเมื่อเห็นแววตาชื่นชมแกมประหลาดใจของอีกฝ่าย แน่นอนว่าสถานที่ฮันนีมูนสุดรักสุดหวงของบิดากับมารดาของเธอย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว

“เมื่อก่อนที่นี่เป็นกระท่อมส่วนตัวของพ่อฉัน ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามายุ่มย่ามทั้งนั้น ต่อมาตอนท่านแต่งงานกับแม่ของฉัน ก็ใช้ที่นี่เป็นสถานที่ฮันนีมูน ปกติไม่ได้ปล่อยให้ใครมาอยู่ง่ายๆ คุณยังคิดว่าพวกเราไม่ใส่ใจเรื่องที่พักของจุ๊บกับปิ๊กอยู่อีกไหม” เกสรีหันไปตั้งคำถามกับศารทูล

“ผมไม่ได้บอกว่าพวกคุณไม่ใส่ใจนะ ผมก็แค่เป็นห่วงสองคนนี้เท่านั้นเอง” ศารทูลพยายามแก้ไขความเข้าใจผิดของอีกฝ่าย

“พวกเราก็ห่วงจุ๊บกับปิ๊กเหมือนกันนั่นแหละ ห่วงมากกว่าที่คุณคิดอีก”

แม้จะดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น แต่ศารทูลก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่าทำไมคนในครอบครัวพัฒนามนตรีถึงปฏิบัติต่อบุณฑริกและตระการตาเป็นพิเศษถึงขนาดนี้

“เอาละค่ะ จุ๊บว่าเราพาคุณเดียวเข้าไปดูข้างในก่อนดีกว่าค่ะ” ตระการตาตัดบท เพราะเกรงว่าเกสรีจะหลุดปากเรื่องบุณฑริกกับสีหราชออกมา ถึงจะรู้ว่าศารทูลกับบุณฑริกไม่ได้รู้สึกต่อกันฉันชู้สาว แต่ถึงอย่างไรก็อยู่ในสถานะว่าที่คู่หมาย จึงไม่แน่ใจว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรถ้าทราบเรื่องนี้ ก็เลยอยากรอดูท่าทีไปก่อน ที่สำคัญก็คือควรให้บุณฑริกเป็นคนบอกกับศารทูลเองมากกว่า เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของทั้งคู่

“อืม ไปสิ” เกสรียอมตามใจ แต่ก็ไม่วายทำเสียงจึ๊กจั๊กด้วยความขัดใจตามประสาคนใจร้อน ความที่รักพี่ชายมากทำให้อยากจะตะเพิดมารหัวใจของสีหราชไปให้พ้นๆ แต่ก็รู้ว่าตัวเองกำลังทำให้ตระการรู้สึกลำบากใจ จึงยอมถอยก่อน

“เชิญค่ะคุณเดียว” ตระการตาหันไปชักชวนศารทูล

ศารทูลพยักหน้ารับ จัดการแบกเป้ใบเก่งเดินตามสองสาวเข้าไปในกระท่อม

“ที่นี่มีสองห้องค่ะ แต่ปกติจุ๊บกับคุณปิ๊กก็นอนด้วยกันอยู่แล้ว ห้องโน้นก็เลยไม่ได้ใช้ ถ้ายังไงคุณเดียวพักห้องโน้นก็แล้วกันนะคะ” ตระการตาเอ่ยพลางชี้มือชี้ไม้ประกอบ

“เมื่อกี้พ่อเลี้ยงบอกว่าจะส่งคนมาอยู่เป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ ให้เขานอนห้องนั้นก็ได้ เดี๋ยวพี่นอนแถวๆ นี้ก็ได้ไม่เป็นไรหรอก” ศารทูลเอ่ยพร้อมกับพยักพเยิดไปยังโซฟาหน้าโทรทัศน์ เพราะคิดว่าคนที่พ่อเลี้ยงพงศ์พยัคฆ์ส่งมาน่าจะเป็นผู้หญิง

เกสรีเลิกคิ้วนิดหนึ่งด้วยความแปลกใจ เพราะไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะมีความเป็นสุภาพบุรุษถึงขนาดนี้ แต่ก็ปฏิเสธความหวังดีของอีกฝ่าย “อย่าลำบากเลยค่ะ คุณเป็นแขก”

“แต่ว่า...” ศารทูลพยายามแย้ง ถึงเขาเป็นแขก แต่ก็เป็นผู้ชาย

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะว่าเดี๋ยวฉันจะคุยกับพ่อ ขอมานอนเป็นเพื่อนปิ๊กกับจุ๊บเอง ปกติฉันก็มานอนกับสองคนนี้บ่อยๆ อยู่แล้ว คราวนี้น่าจะลงตัวแล้วนะ ฉันนอนห้องนี้กับพวกจุ๊บได้สบายมาก ทีนี้คุณก็ไม่ต้องกังวลว่าต้องเผื่อห้องไว้ให้ใคร โอเคไหม”

เกสรีเอ่ยขึ้น ตั้งใจว่าจะคอยจับตามองบุณฑริกกับศารทูลไว้ให้ดี อย่างน้อยก็ต้องคอยกีดกันไม่ให้มีโอกาสใกล้ชิดกันมากนัก ไม่อย่างนั้นพี่ชายเธอต้องอกแตกตายแน่ๆ ที่ผ่านมาเธอก็มักจะมานอนกับบุณฑริกและตระการตาบ่อยๆ อยู่แล้ว คงไม่ทำให้ทั้งคู่รู้สึกว่าเธอกำลังพยายามกีดกันศารทูลอย่างโจ่งแจ้งเท่าไรกระมัง

ศารทูลพยายามเก็บอาการลิงโลดของตัวเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ก็ที่เขายอมหน้าด้านขอพักที่นี่ทั้งที่เจ้าของบ้านไม่ได้เชิญก็เพราะอยากหาทางพบเจอเกสรีให้มากกว่าเดิมสักนิด...แม้จะนิดเดียวก็ตาม คิดไว้ว่าแค่ได้เจอหน้าเวลาร่วมรับประทานอาหารหรืออะไรทำนองนั้นก็พอใจแล้ว แต่นี่เธอจะพาตัวเองมาเสิร์ฟเป็นอาหารตาอาหารใจถึงที่จะไม่ให้เขายินดีที่สุดได้อย่างไร

“โอเคครับ งั้นผมเอาของเข้าไปเก็บก่อนก็แล้วกัน” ศารทูลรีบตอบพลางกระวีกระวาดนำสัมภาระน้อยนิดของตัวเองเข้าห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น