๗.
อัสมิฮานตื่นแต่เช้ามืด ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดวอร์มสำหรับออกกำลัง หลังจากทำละหมาดซุบฮิแล้ว เธอก็ก้าวเข้าไปในลิฟต์แล้วกดปุ่มลงไปที่ชั้นฟิตเนส
ลิฟต์ความเร็วสูงเคลื่อนตัวลงราวกับจรวดด้วยอัตราเร่งสี่เมตรต่อวินาที แต่ก่อนจะไปถึงชั้นที่เป็นจุดหมาย มันกลับหยุดที่ชั้นสิบห้าซึ่งเป็นชั้นห้องพักโรงแรม หญิงสาวจึงดึงผ้าคลุมที่เย็บติดกับชุดขึ้นคลุมศีรษะเพื่อความเหมาะสม เพราะอาจมีสุภาพบุรุษเข้ามาใช้บริการลิฟต์ด้วย
เมื่อประตูลิฟต์ค่อยๆ เลื่อนออกจากกันช้าๆ ร่างของบุรุษกำยำและสูงใหญ่ในชุดออกกำลังก็ปรากฏเด่นชัดต่อหน้าเธอ อัสมิฮานจำได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร เพราะเพิ่งจะเห็นเขาเมื่อคืนนี้ที่ร้านอาหารใจกลางเมือง
ชายหนุ่มชะงักค้างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค้อมศีรษะลงเล็กน้อยแล้วกล่าวสลามอย่างสุภาพ เธอได้แต่ก้มหน้าก้มตาตอบสลามเขาด้วยความประหม่า แผ่นหลังที่สัมผัสกับผนังลิฟต์เย็นเยียบขึ้นมาอย่างกระทันหัน
อัสมิฮานจำชีคอัลมาญิดได้แม่น แต่ไม่คิดว่าเขาจะจำเธอได้ เพราะตอนนี้เธอเป็นสาวขึ้นและคลุมศีรษะเอาไว้ แม้จะไม่ได้ปิดหน้ามิดชิดนักก็ตาม
เขาก้าวเข้ามาในห้องโดยสาร ก่อนจะหันหลังให้เธอแล้วยื่นมือไปกดปุ่ม ร่างสูงใหญ่ของเขาบดบังแป้นควบคุมลิฟต์จนมิด แต่ดูจากการแต่งกายของเขา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขากำลังจะไปที่ชั้นไหน
“ไปออกกำลังหรือครับ”
“คะ?” อัสมิฮานสะดุ้งเฮือก
“คุณกดชั้นฟิสเนสสำหรับผู้หญิง” เขาเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อให้เธอเห็นแผงควบคุม ตอนนี้เองที่เธอเห็นว่าเขาก็กดปุ่มชั้นที่เป็นห้องออกกำลังกายสำหรับผู้ชายเหมือนกัน
“อ้อ...ค่ะ ฉันกำลังไปฟิสเนส” เธอตอบ “คุณก็คงเหมือนกันใช่ไหมคะ”
“ครับ ผมออกกำลังทุกเช้า มันช่วยให้แข็งแรงและสดชื่น”
อัสมิฮานพยักหน้าเห็นด้วยกับเขา ก่อนที่ลิฟต์จะเงียบลงจนเธอแทบจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวของตัวเอง
“ร็อชดานเป็นอย่างไรบ้างครับ” ชายหนุ่มทำลายความเงียบลงด้วยคำถามอันน่าพิศวง
หญิงสาวเบิกตากว้างกับคำถามเฉพาะเจาะจงแบบนั้น สมองของเธอตื้อไปครู่ใหญ่เมื่อถูกจู่โจมด้วยคำถามที่ไม่คาดฝันว่าจะได้ยินเช่นนี้
“เอ่อ...คุณ...”
“ขอโทษที ลืมแนะนำตัว” ชายหนุ่มหัวเราะ “ผมชื่ออัลมาญิด เป็นเพื่อนกับร็อชดาน ผมเคยไปที่บ้านคุณสองสามครั้ง คุณคงจำผมไม่ได้”
“อ๋อค่ะ” เธอพยักหน้า แกล้งตามน้ำไปอย่างที่เขาว่า “พี่ร็อชดานสบายดีค่ะ ตอนนี้แต่งงานกับคนไทย ย้ายไปตั้งรกรากอยู่ที่เมืองไทยแล้วค่ะ”
“อืม” เขาครางในลำคอเบาๆ เหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่เสียงลิฟต์ก็ดังขึ้นเสียก่อน
ประตูค่อยๆ เลื่อนเปิดออกช้าๆ อัลมาญิดก้าวออกไป ก่อนจะหันมาขณะที่ประตูลิฟต์กำลังเลื่อนปิดพร้อมรอยยิ้ม
“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะครับ คุณอัสมิฮาน”
ไม่ทันที่เธอจะอ้าปากตอบเขา และถามเขาว่าทำไมถึงจำเธอได้ ประตูลิฟต์ก็ปิดลงเสียก่อน อัสมิฮานจึงได้แต่ชะงักค้างอยู่ตรงนั้นกระทั่งประตูลิฟต์เปิดอีกครั้งที่ชั้นแปด อาการมึนงงทำให้เธอเกือบไม่ได้ออกจากลิฟต์ เพราะประตูเริ่มปิดลงอีกครั้ง
การไม่คาดคิดว่าจะได้พบชีคอัลมาญิดอีก รวมทั้งไม่คาดคิดว่าเขาจะจำเธอได้ ทำให้การออกกำลังในเช้าวันนั้นเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นสักเท่าไร เธอเกือบตกลู่วิ่งเพราะใจลอยปรับสปีดเร็วเกินไป บางครั้งก็นั่งแช่อยู่ตรงเครื่องออกกำลังจนคนที่ต้องการใช้อุปกรณ์เหล่านั้นต้องมาคอยถามอยู่บ่อยๆ แต่ในที่สุดเธอก็ได้เหงื่อเป็นที่พอใจ จึงรีบออกจากฟิสเนสกลับไปยังห้องพักที่ชั้นบนสุดของอาคารทันที
เมื่อกลับเข้ามาอยู่ในลิฟต์อีกครั้ง หัวใจของเธอก็เต้นตึกตักขึ้นมา ใจหนึ่งหวังว่าจะได้เห็นชีคอัลมาญิดก้าวเข้ามาเมื่อประตูเปิดออกที่ชั้นถัดไป แต่ลิฟต์กลับพุ่งผ่านเลยไปอย่างรวดเร็วด้วยความเร็ว จนกระทั่งถึงชั้นที่พักของเธอโดยที่ประตูไม่ได้เปิดที่ชั้นไหนเลย
อัสมิฮานกลับเข้าห้องด้วยความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เธออาบน้ำอีกครั้งเพื่อชำระล้างเหงื่อไคล หลังจากนั้นก็แต่งตัวด้วยชุดทำงาน ซึ่งเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงยาวกรอมเท้าสีเข้ม สวมทับด้วยสูทแขนยาวที่คลุมไปถึงข้อมือ จากนั้นก็หยิบฮิญาบมาคลุมศีรษะ ก่อนจะลงลิฟต์อีกครั้งไปยังส่วนสำนักงานของ อัล ชุรูก ออยล์
“ท่านประธานฝากข้อความเอาไว้ ให้ท่านรองฯ เข้าไปพบทันทีที่มาถึงค่ะ” เลขานุการรายงานเมื่อเธอนั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานหรูหราของรองประธานบริษัท
อัสมิฮานพยักหน้ารับรู้ แต่ก็ยังนั่งเซ็นเอกสารด่วนจนเสร็จ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ห้องทำงานของบิดาซึ่งอยู่อีกปีกหนึ่งของอาคารหลังใหญ่ ทว่าเมื่อไปถึงหน้าห้อง เลขานุการของท่านกลับบอกว่าท่านกำลังมีแขก
“อีกนานไหมกว่าท่านประธานจะเสร็จธุระ”
“อืม...ไม่ทราบครับ เป็นแขกที่ไม่ได้นัดหมายเอาไว้น่ะครับ...ท่านรองฯ”
อัสมิฮานนิ่งคิด ก่อนจะตัดสินใจ “งั้นถ้าท่านประธานเสร็จธุระกับแขกแล้ว ช่วยโทร.บอกฉันอีกทีก็แล้วกันนะ ฉันจะกลับมาใหม่”
“ครับ”
ไม่ทันขาดคำของเลขานุการหนุ่ม ประตูห้องประธานกรรมการใหญ่ก็ถูกเปิดออกมาเสียก่อน แล้วเธอก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นชีคอัลมาญิดอีกเป็นครั้งที่สองของวัน เขาเดินออกมาพร้อมกับบิดาของเธอ ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในชุดออกกำลังทะมัดทะแมงแล้ว แต่อยู่ในชุดกันดูราสีขาวสะอาดและคลุมศีรษะด้วยผ้าโกตราดูเรียบร้อย
“อัสลามมุ อะลัยกุม” ชีคอัลมาญิดกล่าวสลามกับเธออย่างสุภาพ
“วะอะลัยกุมุสสะลาม”
“พบกันอีกแล้วนะครับ”
“ค่ะ” เธอยิ้มให้เขาอย่างสำรวม
“อ้าว นี่เคยเจอกันแล้วหรือครับ” อับบาสเอ่ยถามเขาด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเหลือบมองมาทางเธอด้วยแววตาที่แฝงเอาไว้ด้วยความกังวล
“เราพบกันในลิฟต์เมื่อเช้าน่ะครับ”
“อ้อ” ชายชราพยักหน้า “งั้นท่านชีคคงจำอัสมิฮานได้”
“จำได้ครับ ผมเห็นรูปคุณอัสมิฮานในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นตอนที่เธอไปเยือนดุนยาเมื่อสองสามวันก่อน ในฐานะว่าที่เจ้าสาวของชีคซอลีล” ชายหนุ่มตอบ ซึ่งนั่นทำให้เธอรู้ได้ทันทีว่า ทำไมเขาถึงจำเธอได้ในลิฟต์เมื่อเช้านี้
“แล้วลูกล่ะ จำท่านชีคได้ไหม”
เธอก้มหน้าลงด้วยความประหม่า “จำได้ค่ะ ท่านชีคไม่เปลี่ยนไปเลย”
“ใครว่าล่ะ” อับบาสแย้ง “ตัวโตขึ้น ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากกว่าแต่ก่อนเยอะเลยต่างหาก”
อัลมาญิดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะค้อมศีรษะให้ด้วยท่วงท่าที่งดงาม “เอาละครับ ผมเห็นที่จะต้องขอตัวแล้ว”
“ขอให้อัลลอฮ์คุ้มครองท่านชีคนะครับ”
“ขอบคุณครับ ขอให้อัลลอฮ์คุ้มครองคุณอาเช่นกันนะครับ” เขาค้อมศีรษะอีกครั้งแล้วหันมายิ้มให้เธอ “ยินดีที่ได้พบกันอีกนะครับ...คุณอัสมิฮาน”
“ค่ะ...ท่านชีค” หญิงสาวตอบอ้อมแอ้ม มองเขาเดินจากไปพร้อมกับทิ้งความรู้สึกอะไรบางอย่างที่ทำให้หัวใจเธอวูบไหวชอบกล
“เข้ามาในห้องก่อนสิ”
เสียงของบิดาทำให้อัสมิฮานสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะเดินตามผู้เป็นพ่อเข้าไปในห้องทำงาน เธอทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาพร้อมท่าน เมื่อเลขานุการนำชุดน้ำชามาวางไว้บนโต๊ะแล้วออกไป เธอจึงเอ่ยถามออกไปด้วยความอยากรู้
“ชีคอัลมาญิดมาทำไมหรือคะ”
อับบาสรินชาพร้อมเอ่ยเนิบนาบ “ก็มาเยี่ยมเยียนปรกติ เห็นว่ามาถึงเมื่อเย็นวาน แล้วบ่ายนี้จะพาคนจากบริษัทยาเยอรมันไปดุนยาเลย ก็เลยแวะขึ้นมากล่าวสลามกับพ่อในฐานะคนรู้จักกัน”
“อ้อ” เธอกล่าวสั้นๆ เพราะไม่อยากให้บิดารู้ว่าเธอสนใจเขาเป็นพิเศษ “ได้ยินว่าเขาขึ้นเป็นผู้ปกครองเขตสามของดุนยาแล้วใช่ไหมคะ”
“ใช่” บิดาพยักหน้าพร้อมกับยกชาขึ้นดื่ม “ดูเป็นคนหนุ่มที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์นะ”
“งั้นหรือคะ”
“แต่พ่อไม่ค่อยชอบเขาสักเท่าไร”
“อ้าว...ทำไมล่ะคะ” หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น
ชายชรายักไหล่ “ดูเป็นคนที่ขาดความทะเยอทะยาน ต่างกับชีคซอลีลอย่างสิ้นเชิง นี่พ่อก็ได้ยินข่าวมาว่าเขาปฏิเสธส่วนแบ่งรายได้มหาศาลจากน้ำมันที่อยู่ใต้เขตการปกครองของเขา”
“เขาอาจคิดว่ามันไม่จำเป็น”
“นั่นคือหายนะสำหรับนักธุรกิจเชียวล่ะ” บิดาให้เหตุผล
“แต่เขาเป็นนักปกครองนี่คะ”
“การบริหารบ้านเมือง มันก็คงไม่ต่างอะไรกับการบริหารบริษัทนักหรอก”
อัสมิฮานนิ่งเงียบ เธอไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดนี้มากนัก เพราะอย่างน้อยการบริหารภาครัฐก็เน้นความเป็นธรรมให้กับประชาชนและคำนึงถึงผลกระทบต่อสาธารณะ มากกว่าการบริหารภาคเอกชนที่เน้นเรื่องประสิทธิภาพและการแข่งขัน แต่เธอก็ไม่กล้าขัดท่าน เพราะหากถกเถียงกันเรื่องนี้คงต้องใช้เวลาและอารมณ์ไปอย่างเปล่าประโยชน์มากทีเดียว
“แล้วที่คุณพ่อเรียกหนูมาพบ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“อ้อ” อับบาสอุทานเหมือนนึกขึ้นได้ ก่อนจะเอนหลังพิงพนักในท่าสบายแล้วยิ้มให้เธอ “ไปดุนยามาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็ดีค่ะ”
ชายชราเลิกคิ้ว “แค่นั้นเหรอ”
“อืม…” อัสมิฮานครางเสียงแผ่วอย่างรู้ทันความคิดบิดา เพราะท่านคงไม่ได้อยากรู้จริงๆ หรอกว่า เมืองอันห่างไกลจากอัลรีฟไปหลายร้อยไมล์นั้นเป็นที่ชื่นชอบของเธอแค่ไหนและมีความสวยงามน่าอยู่เพียงใด แต่ที่ท่านอยากรู้มากกว่าก็คือ ความคิดของเธอที่มีต่อชีคซอลีลและการแต่งงานจะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ ชีคซอลีลปฏิบัติต่อลูกดีมากตลอดสัปดาห์ที่ลูกอยู่ที่นั่น และเขาทำตามเงื่อนไขทุกอย่างเป็นอย่างดีค่ะ”
อับบาสยิ้มอย่างพึงใจ “อย่างนี้ลูกก็ไม่มีอะไรติดใจเรื่องการแต่งงานกับเขาแล้วใช่ไหม”
อัสมิฮานชะงักไปเล็กน้อย เพราะจู่ๆ ก็นึกถึง ‘ห้องทรมานอันแสนหวาน’ ขึ้นมา ทำให้รู้สึกคันปากยิบๆ อยากจะฟ้องบิดาเรื่องความวิตถารของเขา และยกมันขึ้นมาเป็นข้ออ้างทำลายการแต่งงานนี้เสีย แต่เธอก็รู้ดีว่าตัวเองจะเอาเรื่องนั้นมาอ้างไม่ได้ เพราะเห็นได้อย่างชัดแจ้งแล้วว่าชีคซอลีลไม่ประสงค์จะใช้ห้องนั้นอีก เพราะเขาทั้งสั่งให้ปิดตายห้องนั้นเอาไว้ แล้วยังมอบกุญแจสำหรับเปิดมันให้กับเธอไว้อีกต่างหาก
“ว่าไงล่ะ” บิดาถามย้ำ
“ไม่มีค่ะ” เธอส่ายหน้าในที่สุด
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว” อับบาสหัวเราะร่า “งั้นบ่ายนี้พ่อจะเลือนการประชุมโครงการปาล์มคอมเพลกซ์ออกไปก่อน”
“อะไรนะคะ” อัสมิฮานตาลุกวาว
“ชีคซอลีลมาขออนุญาตพาลูกไปเลือกชุดแต่งงาน พ่อว่าลูกควรไปกับเขานะ”
“แต่โครงการนั่น...”
“โครงการนั่นรอได้” ชายชราเอ่ยแทรกขึ้นด้วยเสียงเข้มราวกับเป็นประกาศิต “พลังงานทางเลือกยังไกลไปสำหรับอัซดิฮาร ตราบใดที่ประเทศของเรายังลอยอยู่บนทะเลน้ำมัน เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องรีบประชุมในวันนี้พรุ่งนี้”
อัสมิฮานตั้งท่าจะค้าน แต่เมื่อเห็นสีหน้าเครียดเข้มของบิดาจึงได้แต่ก้มหน้ารับคำเสียงอ่อยอย่างหลีกเลี่ยงอะไรไม่ได้ เหมือนที่เธอไม่สามารถหลีกเลี่ยงการแต่งงานกับชีคซอลีลได้นั่นเอง
“งั้นก็ไปเตรียมตัวเถอะ”
“ค่ะ” หญิงสาวค้อมศีรษะ ก่อนจะลุกขึ้น
“ที่พ่อทำไปทุกอย่าง ก็เพราะพ่อรักลูกมากนะ”
หญิงสาวชะงัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน้าบิดาแล้วฝืนยิ้มให้ “หนูเข้าใจค่ะ”
หลังจากออกจากห้องทำงานของบิดาแล้ว อัสมิฮานไม่ได้กลับเข้าออฟฟิศตัวเองทันที แต่เธอกลับลงลิฟต์ดิ่งตรงไปยังส่วนพลาซ่าที่ชั้นล่างของอาคาร แล้วเข้าไปนั่งซุกตัวอยู่มุมหนึ่งของร้านกาแฟอันเป็นมุมโปรดของเธอ ที่เธอมักจะมานั่งใช้ความคิดอยู่ตรงนี้บ่อยๆ เวลาต้องการความสงบ
ยังมีเวลาอีกมาก กว่าที่ชีคซอลีลจะมารับเธอ ตอนนี้เธอรู้สึกสับสนในตัวเองเหลือเกิน เพราะก่อนหน้าที่จะเดินทางไปดุนยา จิตใจของเธอเต็มไปด้วยความว้าวุ่นเมื่อรู้ว่าต้องแต่งงานกับชีคซอลีล ผู้ชายที่เธอคิดมาเสมอว่าเป็นเพียงหนุ่มเจ้าสำราญ แต่พอได้เห็นความตั้งใจจริงของเขา ความว้าวุ่นใจต่างๆ นั้นก็จางลง คงเหลือควันกรุ่นๆ อยู่เล็กน้อย ซึ่งก็เจือจางพอที่จะทำให้เธอไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะต้องแต่งงานกับเขาแล้ว
แต่มาวันนี้...เมื่อบิดาบอกว่าเธอควรทำอะไร และไม่ควรทำอะไรกับเรื่องนี้ เธอกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีก
มันเป็นเพราะอะไรกันแน่?
“อัสลามมุ อะลัยกุม”
เสียงสลามนั้นทำให้อัสมิฮานหลุดจากห้วงความคิดของตัวเอง เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น ก็ต้องพบกับความประหลาดใจที่ได้เห็นชีคอัลมาญิดอีกเป็นครั้งที่สามในเช้าวันนี้
“วะอะลัยกุมุสสะลาม” อัสมิฮานลุกขึ้นแล้วค้อมศีรษะตอบสลามอย่างสุภาพ
“ผมนั่งได้ไหมครับ” เขาผายมือไปยังเก้าอี้ด้านตรงข้ามเธอ
“เอ่อ...เชิญค่ะ”
ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งพร้อมเธอ เขาวางถ้วยกาแฟหอมกรุ่นในมือลงบนโต๊ะ ก่อนจะชี้ไปที่โต๊ะตัวหนึ่งริมผนังกระจกใกล้ประตูทางออก
“ผมนั่งอยู่ตรงโน้น เห็นคุณเดินเข้ามาหน้าเครียดๆ เหมือนกำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่าง นี่ผมไม่ได้มารบกวนคุณใช่ไหมครับ”
“ไม่ค่ะ...ฉันแค่มานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ ทำงานหนักๆ บางครั้งก็อยากหาที่นั่งเงียบๆ ที่ไม่ใช่ห้องทำงานบ้าง” อัสมิฮานตอบ เพิ่งรู้เหมือนกันว่าตัวเองก้มหน้าก้มตาเดินจนไม่เห็นว่าเขานั่งอยู่ในร้านก่อนแล้ว
“แล้วท่านชีคล่ะคะ มาใช้ความคิดในร้านกาแฟเหมือนกันหรือคะ”
“อันที่จริง ผมไม่รู้จะไปไหนมากกว่า” เขายักไหล่
อัสมิฮานเลิกคิ้ว “ไม่รู้จะไปไหน?”
ชีคหนุ่มหัวเราะ “ผมไม่ค่อยชินกับเมืองที่เต็มไปด้วยตึกเหมือนอัลรีฟน่ะครับ”
“อ้อ” หญิงสาวพยักหน้า “ท่านชีคคงชอบทะเลทรายมากกว่า”
“อย่าเรียกผมว่าท่านชีคเลยครับ” เขาโบกมือ “เรียกผมว่าอัลมาร์เฉยๆ น่าจะดีกว่า ผมไม่อยากให้เอิกเกริก”
“อ๋อค่ะ คุณอัลมาร์” เธอยิ้มให้เขาอย่างเป็นกันเองมากขึ้น
อัลมาญิดยิ้มตอบอย่างพึงใจ ก่อนจะตอบคำถามเธอ “ใช่ครับ ผมชอบทะเลทรายมากกว่า ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตกหลุมรักจนถอนตัวไม่ขึ้น มาอยู่ที่นี่เลยเหมือนกับถูกล้อมด้วยตึกรามบ้านช่อง ก็เลยไม่อยากไปไหน”
“มิน่าล่ะ” เธอหัวเราะคิก
เขาเลิกคิ้ว “มิน่า...อะไรครับ?”
“คุณพ่อบอกว่าคุณเพิ่งมาถึงเมื่อวาน วันนี้บ่ายๆ ก็จะกลับแล้วใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ” อัลมาญิดยิ้ม รอยยิ้มของเขามีเสน่ห์ไม่แพ้ชีคซอลีลเลย ผิดก็ตรงที่มีความลุ่มลึกกว่ามาก ริ้วรอยที่หางตาทำให้รู้สึกว่าเขาผ่านเรื่องสมบุกสมบันมามากกว่ามากทีเดียว
“ผมมารับคนจากบริษัทยาเยอรมัน พวกเขามาศึกษาเส้นทางส่งยาและเวชภัณฑ์ที่จะมาบริจากให้เรา”
คำพูดของเขาทำให้เธอนึกถึงหญิงสาวชาวตะวันตกที่เห็นเมื่อคืนขึ้นมา เธอคนนั้นคงเป็นตัวแทนจากบริษัทยาที่เขาบอก
“ได้ยินมาว่าคุณปฏิเสธการขุดเจาะน้ำมัน”
“ครับ” เขาตอบเสียงเข้ม สายตาจ้องเธออย่างพินิจพิเคราะห์กว่าเดิม
“ทำไมล่ะคะ ไม่ดีกว่าหรือถ้าจะทำรายได้จากน้ำมันแล้วนำไปซื้อสิ่งของที่ต้องการ แทนที่จะต้องบากหน้าไปขอบริจากของพวกนี้จากพวกตะวันตก”
อัลมาญิดจ้องมองเธออย่างพิจารณาครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนใจเบาๆ “ชาวลิฮาซมีวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันยาวนานมากครับ มันฝังรากลึกอยู่ในผืนดินที่เราอยู่ การขุดเจาะน้ำมันอาจทำให้พลเมืองของผมเดือดร้อนมากกว่า คนเป็นแสนอาจไร้ที่อยู่ หรืออาจต้องกลับไปเร่ร่อนตามทะเลทรายอีก ประวัติศาสตร์จะถูกทำลายลง เราคงไม่เหลืออะไรไว้ภาคภูมิใจเลยหากให้ความโลภเข้ามาครอบงำ”
อัสมิฮานมองเขาอย่างชื่นชม นี่ล่ะนักปกครองในอุดมคติที่ประชาชนต้องการ เขาคิดถึงประโยชน์ของคนอื่นก่อนตัวเอง นับว่าเป็นคนที่น่านับถือจริงๆ
“พ่อของฉันพูดถูก”
เขาเลิกคิ้ว “พ่อของคุณพูดอะไรหรือครับ”
“ท่านว่าคุณไม่ใช่นักธุรกิจ”
คำตอบของเธอเรียกเสียงหัวเราะของเขาได้เป็นอย่างดี
“ผมคงห่างไกลจากคำคำนั้นมาก” อัลมาญิดยอมรับอย่างอารมณ์ดี “หากวันนี้ผมไม่ได้เป็นผู้ปกครองเขต ก็คงเป็นแพทย์อาสาที่เร่ร่อนไปตามทะเลทราย ไม่มีวันใส่สูท นั่งทำงานในห้องแอร์เย็นๆ เหมือนพวกนักธุรกิจหรอก”
“ดูจะเป็นชีวิตที่อิสระมากนะคะ”
“ผมรักอิสระ” อัลมาญิดเอ่ยเสียงเข้ม ดวงตาลุ่มลึกของเขาทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหว
“น่าอิจฉานะคะ” เธอฝืนหัวเราะ
เขาขมวดคิ้วมุ่น “คุณพูดเหมือนตัวเองไม่มีอิสระ”
“ผู้หญิงอัซดิฮารที่ไหนจะมีอิสระล่ะคะ”
“คุณน่าจะเป็นข้อยกเว้น” อัลมาญิดเอ่ยอย่างพิศวง “มีผู้หญิงไม่มากนักที่ได้ไปร่ำเรียนถึงอังกฤษ ได้ทำงานในบริษัทใหญ่โต และมีตำแหน่งหน้าที่การงานเหนือผู้ชายอีกหลายคนแบบคุณ”
“แต่ก็หนีไม่พ้นเรื่อ...” อัสมิฮานชะงัก เพราะนึกขึ้นได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรป่าวประกาศออกไป เธอถอนใจ ก่อนจะโบกมือ “ช่างเถอะค่ะ”
“กลัวชีคซอลีลจะปฏิบัติต่อคุณแตกต่างออกไปจากพ่อของคุณหรือครับ”
คำถามนั้นเหมือนเข็มแหลมทิ่มแทงหัวใจเธอ อัสมิฮานกัดฟันแน่น ก่อนจะฝืนยิ้มออกไป “คงงั้นมั้งคะ”
“แต่ผมได้ยินมาว่า เขาถึงกับยกเลิกฮาเร็มเพื่อแต่งงานกับคุณ ผู้ชายที่ทุ่มเทขนาดนั้น อาจเป็นเพราะเขารักและเทิดทูนคุณมาก”
“ค่ะ” หญิงสาวตอบสั้นๆ เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี สิ่งที่เธอเห็นและสัมผัสระหว่างที่อยู่ที่ดุนยามันทำให้เธอไม่อาจโต้เถียงใครในข้อนี้ได้
“หนำซ้ำเขายังเป็นนักธุรกิจเต็มตัวอีกต่างหาก”
“นั่นล่ะค่ะที่ฉันกลัว” อัสมิฮานบอก ก่อนจะเหลือบไปเห็นหญิงสาวพราวเสน่ห์ที่อยู่กับเขาเมื่อคืน เดินเข้ามาในร้าน จึงพยักพเยิดหน้าไปทางเธอคนนั้น
“ดูเหมือนแขกของคุณจะมาแล้วนะคะ”
อัลมาญิดหันไปมอง ก่อนจะหันกลับมามองเธอด้วยความแปลกใจ “รู้ได้ยังไงครับว่าเธอเป็นแขกของผม”
“ผู้หญิงตะวันตกผมทองแบบนั้น คงไม่ใช่คนอัซดิฮารละมั้งคะ”
“อ้อ” เขาหัวเราะ “แหม...เสียดายจัง กำลังคุยสนุกเลย”
“ฉันก็เหมือนกันค่ะ” เธอยิ้มให้เขาอย่างมีไมตรี “ยินดีที่ได้คุยกันนะคะ ขออัลลอฮ์คุ้มครองคุณ”
“ขออัลลอฮ์คุ้มครองคุณเช่นกันครับ” เขายิ้มตอบ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วค้อมศีรษะให้อย่างสุภาพ
อัสมิฮานมองตามเขาไปจนกระทั่งถึงตัวผู้หญิงคนนั้น ทั้งคู่ดูจะสนิทสนมกันเกินกว่าคนรู้จักกันธรรมดา หญิงสาวถอนใจออกมาเบาๆ เมื่อคิดได้ว่า...
ไม่ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเป็นแบบไหน มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอสักนิด เพราะเธอมีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว เธอกำลังจะแต่งงานกับเขาในอีกไม่ช้า
อีกไม่ถึงเดือน เธอก็จะได้ชื่อว่าเป็นเจ้าสาวของชีคซอลีลอย่างเต็มตัว
ระหว่างที่ล่องลอยอยู่เหนือน่านฟ้าเมืองอัลรีฟ ชีคอัลมาญิดกลับอดหยุดคิดถึงเจ้าสาวของชีคซอลีลไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว มีอะไรบางอย่างในตัวเธอที่เขาชื่นชมและอยากจะไขว่คว้าเอามาครอบครองเสียเอง แต่เขาก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้น ลิฮาซคงได้รับผลกระทบมากกว่าการที่เขาปฏิเสธการขุดเจาะน้ำมันตามข้อเสนอของชีคซอลีลแน่ๆ
เมื่อสัญญาณให้รัดเข็มขัดดับลง โทมัสที่ดูท่าทางจะอึดอัดกับความคับแคบของที่นั่งก็ขยับลุกขึ้นพร้อมบิดตัวไปมา
“ผมขอไปห้องน้ำก่อนนะครับ...ท่านชีค”
เขาค้อมศีรษะพร้อมกับผายมือ “เชิญครับ”
โทมัสเดินอุ้ยอ้ายไปตามทางเดินแคบๆ ก่อนจะหายลับเข้าไปในห้องน้ำ ไม่นานหลังจากนั้น ผู้ร่วมงานสาวของเขาก็เดินมาทรุดตัวลงนั่งแทนที่
“อีกนานไหมคะ กว่าจะถึงดุนยา”
“ราวสี่สิบห้านาทีครับ”
“ตื่นเต้นจัง จะได้เห็นทะเลทรายเต็มๆ ตาเป็นครั้งแรก”
“อาจเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้นะครับ”
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะคะ” หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น “ยังไงฉันก็ต้องมาอีกอยู่แล้วตอนที่นำของจากบริษัทมาให้คุณ”
“ก็เพราะทะเลทรายมันไม่ได้สวยงามไปเสียทุกอย่าง อย่างที่เห็นในรูปหรือภาพยนตร์ไงล่ะครับ” อัลมาญิดบอกตามตรง ก่อนจะเหลือบมองผ่านหน้าต่างลงไปยังผืนดินสีทองเบื้องล่าง “ทะเลทรายทั้งร้อน ทั้งทุรกันดาร มีแต่ฝุ่น ไม่มีร่มเงาปกป้องผิวสวยๆ ของคุณให้พ้นจากการทำลายของแดด บางทีหลังจากการเดินทางวันนี้ คุณอาจไม่อยากกลับมาอีกแล้วก็ได้”
“พูดเสียน่ากลัวเชียว”
เขายิ้ม “ผมพูดเรื่องจริงครับ อยากให้คุณเตรียมพร้อม หรือไม่ก็เปลี่ยนใจไปนั่งรถกับมิสเตอร์ไมเออร์และเพื่อนๆ”
“อย่ามาขู่กันเสียให้ยากเลยค่ะ ถ้ามันน่ากลัวขนาดนั้น คุณกับคนของคุณจะอยู่กันได้ยังไงคะ” อันนาเบ้ปาก
“พวกเราอยู่กันจนชินแล้วครับ” อัลมาญิดหัวเราะเบาๆ “ในทางกลับกัน หากผมเดินทางไปเยอรมันในฤดูหนาวบ้าง ผมอาจหนาวตายเพราะทนอุณหภูมิที่ต่ำแบบนั้นไม่ได้”
“คุณใส่เสื้อหนาวได้นี่คะ” เธอไม่ยอมแพ้ ก่อนจะจับเสื้อหนาๆ ของเธอกระพือเบาๆ “ฉันเองก็เตรียมพร้อมมาเหมือนกัน คนขายชุดอะบายะฮ์ให้ฉันบอกว่า มันสามารถกันแดดและซับเหงื่อได้ดี ผ้าโพกหัวที่ฉันพันคออยู่นี่ก็ใช้กันลมกันฝุ่นได้ด้วยนะคะ”
อัลมาญิดยิ้มด้วยความรู้สึกชื่นชมในความแน่วแน่ของเธอ แต่คำพูดมันก็พิสูจน์อะไรไม่ได้มาก อย่างไรเสียก็คงต้องมาดูกันล่ะว่า เมื่อถึงเวลาจริงๆ แล้ว หญิงสาวสะคราญคนนี้จะโอดครวญกับสภาพอากาศอันร้อนระอุกลางทะเลทรายหรือไม่
หลังจากเครื่องบินลงจอดที่สนามบินดุนยา ชีคอัลมาญิดก็พาอาคันตุกะจากเยอรมันออกจากสนามบินมาพบคนของเขาที่จอดรถรออยู่ที่หน้าอาคาร คนของเขาหลายคนนำกระเป๋าไปเก็บในรถจี๊ปกลางเก่ากลางใหม่หลายคันที่จอดอยู่ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่กลับเดินเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะชะโงกหน้ามาใกล้หูเขาแล้วกระซิบเบาๆ ให้ได้ยินกันสองคน
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับท่านชีค”
อัลมาญิดเลิกคิ้ว “เกิดอะไรขึ้นหรือ...ผู้พันซาอิด”
“ขอเชิญท่านชีคที่ห้องรับรองดีกว่าครับ ท่านมาฮัดกำลังรออยู่” นายทหารหัวหน้าหน่วยองครักษ์เอ่ยเสียงเครียด
ชีคหนุ่มจึงหันไปเอ่ยกับผู้มาเยือนของเขาอย่างสุภาพ “คุณสองคนขึ้นรถไปรอที่ซัลมูนก่อนนะครับ ที่นั่นเป็นเมืองรอยต่อระหว่างทะเลทรายเขตนอกกับเขตของผม”
“แล้วท่านชีคล่ะคะ” อันนาเอ่ยถามด้วยสีหน้าผิดหวัง
“ผมขอคุยธุระกับคนของผมสักครู่ อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงจะตามไปครับ”
หญิงสาวทำหน้ามุ่ย แต่ก็ยอมขึ้นรถไปกับโทมัสและเพื่อนๆ ของเธอ เมื่อรถแล่นจากไปจนลับตา อัลมาญิดก็หันไปหา พันเอก ซาอิด ที่ยืนรออยู่แล้วพยักหน้าให้ นายทหารหนุ่มใหญ่จึงพาเขาไปที่ห้องรับรองของสนามบิน ซึ่งที่นั่น มาฮัด กับนักรบของเขาอีกสองสามคนได้มาคอยอยู่แล้ว แต่ละคนมีสีหน้าเครียดไม่น้อย
“อัสลามมุ อะลัยกุม” ที่ปรึกษาสูงสุดของเขาเอ่ยพร้อมกับเหล่านักรบ
“วะอะลัยกุมุสสะลาม” อัลมาญิดตอบสลาม ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “เกิดอะไรขึ้นหรือท่านมาฮัด”
“ระเบิดครับ” มาฮัดตอบเสียงเครียด ในตาเต็มไปด้วยความกังวลใจ “เกิดระเบิดขึ้นที่โรงงานอินทผลัม และมีการวางเพลิงสวนอินทผลัมที่โอเอซิสซับฮ์ครับ”
“อะไรนะ!” ชีคอัลมาญิดคำรามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
ความคิดเห็น |
---|