๘.
“มีรายงานข่าวว่าเกิดเหตุระเบิดและเหตุป่วนขึ้นหลายจุดในหลายพื้นที่ภายในเขตการปกครองที่สามของเมืองดุนยา...”
เสียงจากผู้ประกาศข่าวทางโทรทัศน์ดึงความสนใจของอัสมิฮานแทบจะทันที หญิงสาวดันร่างของช่างเสื้อที่กำลังช่วยเธอลองชุดเจ้าสาวออกเบาๆ แล้วหันไปมองภาพเหตุการณ์วุ่นวายบนจอโทรทัศน์ด้วยหัวใจเต้นระรัว
“...โดยเมื่อเวลาประมาณสิบสองนาฬิกาสิบห้านาทีของวันนี้ ได้เกิดเหตุรุนแรงขึ้นหลายจุดในเขตการปกครองที่สามของดุนยา มีรายงานว่ามีการเผาสวนอินทผลัมหลายแห่งในโอเอซิสซับฮ์ ซึ่งเป็นแหล่งส่งออกอินทผลัมหลักของเขต ทั้งยังมีรายงานด้วยว่า เกิดระเบิดขึ้นที่โรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์อินทผลัมที่มีชื่อเสียงของเขตอีกด้วย ขณะนี้ยังไม่มีกลุ่มใดออกมายอมรับว่าเป็นผู้ก่อเหตุ รายละเอียดเพิ่่มเติมจะรายงานให้ทราบต่อไป ตอนนี้กลับไปพบกับรายการปรกติของสถานีกันก่อนครับ”
“ตายจริง โหดร้ายมากเลยนะคะ” ช่างเสื้อเอ่ยเสียงแหลม
“นั่นสิ” อัสมิฮานเห็นด้วย พลางนึกเป็นห่วงคนที่เพิ่งจะพบและจากกันหมาดๆ เมื่อเช้านี้ขึ้นมา แต่เมื่อคิดได้ว่าเวลาที่ผู้สื่อข่าวรายงานนั้น เป็นเวลาที่เขาอยู่บนเครื่องบินก็ค่อยโล่งใจ
“มาแต่งตัวต่อเถอะค่ะ เดี๋ยวว่าที่เจ้าบ่าวจะรอนาน” ช่างเสื้อหัวเราะคิกคัก ทำให้อัสมิฮานอดรู้สึกไม่ได้ว่า ท่าทีแสดงความเห็นใจต่อผู้ประสบเหตุเมื่อครู่นั้น มาจากความจริงใจหรือไม่
“คุณอัสมิฮานนี่หุ่นดีมากเลยนะคะ อกเป็นอก เอวเป็นเอว นี่แทบไม่ต้องแก้อะไรเลยนะคะเนี่ย”
“ขอบคุณค่ะ” คนถูกชมฝืนยิ้ม
“เอาล่ะค่ะ เสร็จแล้ว” ช่างเสื้อบอก ก่อนจะถอยไปสองสามก้าวเพื่อดูผลงานตัวเองพร้อมตบมือชมเธอไม่ขาดปาก
อัสมิฮานหันไปมองตัวเองในกระจกพลางลูบกระโปรงฟูฟ่องสีขาวงาช้างซึ่งประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กๆ ด้วยความรู้สึกจุกแน่นในอก เพราะครั้งหนึ่งเธอเคยเห็นตัวเองอยู่ในชุดเจ้าสาวแบบนี้มาแล้ว จะต่างกันก็ตรงที่มันเป็นชุดสีขาวออฟไวท์ที่ปูทับด้วยลูกไม้ลวดลายละเอียดยิบและประดับด้วยมุกเม็ดเล็กๆ ทั้งลำตัวซึ่งถูกออกแบบและตัดเย็บมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ ด้วยห้องเสื้อที่มีชื่อเสียงที่สุดในกรุงปารีส คราวนั้นเธอรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้สวมมันในวันวิวาห์กับผู้ชายที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่แล้วงานมงคลนั้นก็ไม่มีวันเกิดขึ้น และชุดนั้นก็ถูกขายไปเพราะเธอไม่ต้องการเห็นและใส่มันอีก
“คุณสวยมากเลยค่ะ” ช่างเสื้อยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับผลงานตัวเอง
ว่าที่เจ้าสาวฝืนยิ้มอีกครั้งอย่างไม่รู้สึกชื่นชมยินดีไปด้วย อาจเป็นเพราะความผิดหวังครั้งนั้นทำให้หัวใจเธอด้านชา จนไม่รู้สึกตื่นเต้นกับการได้สวมชุดเจ้าสาวอีกแล้ว
“เราออกไปให้ว่าที่เจ้าบ่าวดูสักหน่อยดีไหมคะ”
“อย่าดีกว่าค่ะ” อัสมิฮานยกมือขึ้นปราม
“อะ...อ้าว ทำไมละคะ” อีกฝ่ายทำหน้าเหลอหลา
“คือ...ฉันถือน่ะค่ะ” อัสมิฮานตอบ “มีความเชื่อโบราณบอกไว้ว่าไม่ให้เจ้าบ่าวเห็นชุดเจ้าสาวก่อนวันงาน ไม่งั้นอาจไม่ได้แต่ง”
อีกฝ่ายชะงักอ้าปากค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยยิ้มเจื่อน “เข้าใจแล้วค่ะ แต่แหม...ไม่คิดว่าคนทันสมัยอย่างคุณอัสมิฮานจะเชื่อเรื่องโบร่ำโบราณแบบนี้ด้วยนะคะ”
ว่าที่เจ้าสาวฝืนยิ้ม ก่อนจะลอบถอนใจอย่างรู้สึกใจหายเล็กน้อย เพราะความเชื่อนี้เตือนให้เธอนึกถึงเมื่อคราวเตรียมชุดเจ้าสาวสำหรับเข้าพิธีวิวาห์กับร็อชดาน เธอเองก็ไม่ยอมให้เขาเห็นชุดเจ้าสาวก่อนเช่นกัน ถึงกับบินไปฝรั่งเศสเพื่อตัดชุดวิวาห์กับห้องเสื้อชื่อดัง เพราะกลัวว่าพิธีจะล่ม แต่จนแล้วจนรอด ไม่ว่าจะปกปิดไม่ให้เขาเห็นอย่างไร พิธีวิวาห์ของเธอก็ไม่เกิดขึ้นอยู่ดี
บางที ถ้าความเชื่อของคนโบราณมันพลิกผันกับความเป็นจริง นี่อาจเป็นหนทางที่ทำให้เธอหลุดจากพันธนาการในครั้งนี้ก็ได้
“เสียดายจริงที่อดเห็นคุณสวมชุดเจ้าสาว” ชีคซอลีลบ่นอุบหลังจากขับรถสปอร์ตคันหรูของเขาออกจากห้องเสื้อชื่อดังกลางใจเมืองอัลรีฟ
อัสมิฮานถอนใจเบาๆ “ฉันถือตามคำโบราณน่ะค่ะ”
ชีคหนุ่มหันมามองเธอ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี
“หัวเราะอะไรคะ ตลกนักหรือไงที่เชื่อผู้หลักผู้ใหญ่” หญิงสาวมองค้อน
“ผมไม่ได้หัวเราะเยาะคุณเสียหน่อย”
“แล้วหัวเราะทำไมคะ” เธอถามหน้ามุ้ย
“ก็ผมดีใจนี่นา”
คิ้วเรียวดั่งคันศรขมวดมุ่น “ดีใจอะไรคะ”
“โบราณว่า ถ้าเจ้าบ่าวเห็นชุดเจ้าสาวก่อนวันงาน สองคนจะไม่ได้แต่งงานกันใช่ไหมล่ะ”
“ใช่ค่ะ” อัสมิฮานพยักหน้า
“คุณไม่ยอมให้ผมเห็นชุดเจ้าสาวก่อน แสดงว่าคุณไม่อยากให้งานแต่งงานของเราล่ม ผมพูดถูกไหม”
หญิงสาวชะงัก รู้สึกเหมือนเลือดทั่วร่างถูกสูบฉีดขึ้นมาอยู่บนใบหน้าจนร้อนวูบจนต้องรีบก้มหน้าลงด้วยความขวยเขินและไม่ตอบอะไรเขา ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยในแทบจะทันที
“เมื่อครู่ ตอนอยู่ในห้องลองชุด ฉันเห็นข่าวระเบิดในดุนยาจากโทรทัศน์ คุณไม่ต้องไปจัดการอะไรหรือคะ”
คราวนี้เป็นเขาที่ต้องชะงักบ้าง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ความจริงผมรู้เรื่องนี้ตั้งแต่หลังเกิดเหตุไม่นานแล้ว แต่ผมไม่อยากผิดนัดคุณอีก ก็เลยพาคุณมาเลือกชุดเจ้าสาวก่อน เสร็จแล้วค่อยไปส่งคุณแล้วดิ่งตรงไปสนามบิน”
“คุณจะกลับดุนยาเลยหรือคะ”
“ครับ” ชีคซอลีลพยักหน้าขรึมๆ “มีอะไรหลายอย่างที่ลึกกว่าที่เห็นในข่าว ผมต้องกลับไปจัดการอย่างเร่งด่วน คุณคงไม่ว่าอะไรที่ผมไม่ทำตามที่สัญญากับคุณไว้”
“สัญญา?”
“ดินเนอร์ตลอดสัปดาห์นี้ไงครับ”
“โธ่...เรื่องนั้นช่างมันเถอะค่ะ ยังไงประชาชนของคุณก็สำคัญกว่า”
“ผมดีใจที่คุณเข้าใจ” เขาหันมายิ้มให้เธอ ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือเธอ
น่าแปลกที่เธอไม่รู้สึกรังเกียจเขา และยอมปล่อยให้มือตัวเองซุกอยู่ในอุ้งมืออันอบอุ่นของเขาอย่างไม่มีท่าทีอิดออดอีกแล้ว
“แต่อย่างไร คุณก็สำคัญสำหรับผมที่สุด”
“ขอบคุณค่ะ ที่ให้ความสำคัญกับฉัน” หญิงสาวอมยิ้ม
ชีคซอลีลบีบมือเธอเบาๆ ก่อนจะดึงกลับไปจับพวงมาลัย จากนั้นก็เร่งความเร็วพาเธอกลับสู่อาคารบุรจญ์ อัล ชุรูก
เมื่อทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งในห้องทำงาน จิตใจของอัสมิฮานก็หวนกลับไปคิดถึงข่าวน่าสะพรึงกลัวที่ได้เห็นในห้องแต่งตัว จนอดคิดไปถึงชายผู้เป็นชีคปกครองดินแดนแห่งนั้นขึ้นมาไม่ได้
หากชีคที่ว่านั้นไม่ใช่ชีคผู้เป็นว่าที่เจ้าบ่าวของเธอ แต่เป็นชีคผู้มีนามว่า...อัลมาญิด...ต่างหาก
มือบางจึงเอื้อมไปคว้ารีโมทโทรทัศน์ขึ้นมา และกดปุ่มเปิดมัน ชั่วครู่หนึ่งภาพเคลื่อนไหวก็ปรากฏขึ้นแทนสีดำสนิทของจอพลาสม่าขนาดยักษ์ อัสมิฮานกดปุ่มเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ เพื่อหาช่องที่มีข่าวความเคลื่อนไหวของเหตุร้ายที่โอเอซิสซับฮ์ แต่กว่าจะพบก็เล่นเอามือหงิก เพราะทุกช่องมีแต่รายการทำอาหาร พาเที่ยว หรือไม่ก็ประกวดร้องเพลงกันเต็มไปหมด
ภาพของความเสียหายปรากฏขึ้นในช่องข่าวช่องหนึ่ง เป็นภาพโรงงานที่ถูกทำลายด้วยระเบิดและยังคงมีเพลิงลุกไหม้อยู่ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงต้องทำหน้าที่กันอย่างขะมักเขม้น แต่ละคนล้วนหน้าดำไปด้วยเขม่าและคร่ำเครียดกันไปหมด สักครู่ภาพก็ตัดไปยังสวนอินทผลัมที่มีเพลิงโหมกระหน่ำราวกับเกิดไฟป่าที่ยากจะดับได้
เพลิงที่ลุกโชนทำให้หัวใจของอัสมิฮานสั่นระรัว แม้จะอยู่ห่างไกลเป็นร้อยๆ ไมล์ แต่เธอก็ยังรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวและความสะเทือนใจอันเนื่องมาจากหายนะอันใหญ่หลวงนี้ได้เป็นอย่างดี
“อัลมาร์” หญิงสาวครางแผ่วเบา “คุณจะเป็นยังไงบ้างนะ”
ไม่ทันขาดคำของเธอ ภาพของชีคอัลมาญิดก็ปรากฏขึ้นบนโทรทัศน์ในวินาทีนั้น หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อเห็นชายหนุ่มยืนควบคุมการดับเพลิงอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ชุดกันดูราของเขาเปรอะเลอะไปด้วยเขม่าและคราบสกปรก อัสมิฮานถึงกับยกมือขึ้นปิดปากเมื่อเห็นที่แขนของเขามีรอยเลือดเกรอะกรังติดอยู่
ไม่รู้ทำไมภาพนั้นถึงทำให้เธอน้ำตารื้นขึ้นมา ทั้งรู้สึกดีใจที่เห็นเขาปลอดภัย แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเห็นใจเขาที่ต้องมาพบกับสิ่งเลวร้ายแบบนี้ ทั้งที่เพิ่งขึ้นเป็นเจ้าเมืองได้ไม่นาน
เมื่อภาพนั้นถูกตัดไปและฉายภาพในห้องส่งขึ้นมาแทน หัวใจของอัสมิฮานก็กระตุกวูบ ฉับพลันนั้นหัวข้อข่าวก็เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น ทำให้เธอต้องรีบใช้รีโมทกดหาสถานีอื่นที่อาจยังมีข่าวนี้อยู่ แต่จนแล้วจนรอด เธอก็เจอแต่รายการซ้ำๆ กันจนแทบจะอยากปิดโทรทัศน์ทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด
อัสมิฮานถึงกับนั่งไม่ติด เธอลุกขึ้นเดินไปที่ผนังกระจก มองลงไปยังความวุ่นวายของเมืองใหญ่ที่อยู่เบื้องล่างอย่างว้าวุ่น ก่อนจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากนั้นก็ต่อสายหาคนที่อาจช่วยคลายความกังวลใจให้เธอได้ไ่ม่มากก็น้อย เพราะเขาทำอย่างนั้นมาตลอดหนึ่งปีที่มาเป็นผู้ช่วยเธอ
“ฮัซซาน” เธอร้องเรียกเมื่อเขารับสาย “ฉันต้องการรู้ความคืบหน้าของเหตุระเบิดที่โอเอซิสซับฮ์อย่างละเอียด เธอจัดการให้ฉันได้ไหม”
“ได้ครับ ไม่มีปัญหา” ปลายสายตอบรับทันทีเช่นเคย บางครั้งเธอก็นึกสงสัยว่า มีอะไรบ้างไหมที่คนอย่างฮัซซานทำไม่ได้
“ขอบใจจ้ะ”
หลังจากวางสาย อัสมิฮานก็แทบไม่เป็นอันทำอะไร ได้แต่เดินวนไปวนมาอยู่ในห้องทำงานอันกว้างขวางเป็นหนูติดจั่น จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอก็รีบโผไปหามันแล้วหยิบขึ้นมากดรับสายโดยไม่ทันได้ดูว่าเป็นใครโทร.มา
“ว่าไงฮัซซาน?”
“อืม…” เสียงครางอย่างผิดหวังจากปลายสายทำให้เธอรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่กำลังรอ
“ชีคซอลีล!”
“ดูเหมือนคุณกำลังรอสายฮัซซานอยู่ ผมควรจะโทร.มาใหม่เมื่อถึงดุนยาแล้วดีกว่าไหมครับ”
“เอ่อ...มะ...ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร เป็นเรื่องที่ไม่สำคัญมากหรอกค่ะ คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“จริงๆ เรื่องของผมมันก็ไม่สำคัญเท่าไรหรอก” ชีคซอลีลย้อนด้วยน้ำเสียงกึ่งน้อยใจ
“ฉันขอโทษค่ะที่โพล่งออกไปแบบนั้นโดยไม่ดูให้ดีเสียก่อนว่าเป็นคุณ”
“ผมยังไม่ได้ว่าอะไรคุณเลย” เขาหัวเราะเบาๆ เสียงคล้ายอยู่ในลำคอ “พอดีผมกำลังรอเครื่องบินพร้อมน่ะ เลยว่าจะโทร.มากู๊ดบายคุณสักหน่อย”
“อ๋อค่ะ” อัสมิฮานพยักหน้า รู้สึกผิดเล็กน้อยที่มัวแต่ห่วงผู้ชายอีกคนจนลืมไปว่า คู่หมั้นของเธอก็กำลังจะบินไปสู่ดินแดนที่กำลังวุ่นวายอยู่กับเหตุการณ์ร้ายนั้นเช่นเดียวกัน
“ขออัลลอฮ์คุ้มครองคุณนะคะ ขอให้คุณเดินทางปลอดภัยและจัดการเรื่องต่างๆ ได้ด้วยดีนะ”
“ขอบคุณครับ” ชีคหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงแจ่มใส ก่อนจะชวนเธอพูดคุยเรื่องสัพเพเหระอยู่ครู่หนึ่ง เธอเองฟังบ้าง ไม่ได้ฟังบ้าง เพราะบางครั้งก็อดห่วงไม่ได้ว่า ระหว่างที่ใช้สาย ฮัซซานอาจกำลังโทร.หาเธออยู่
“ดูเหมือนคุณจะไม่มีสมาธิคุยเลย เอาไว้ผมถึงดุนยาแล้ว ค่อยโทร.มาใหม่ดีกว่า”
“อย่าพูดให้ฉันรู้สึกผิดสิคะ ฉันแค่เป็นห่วง...งาน” เธอโกหก
“ผมขอโทษ” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว “แต่ผมคงต้องไปแล้ว เจ้าหน้าที่มาตามแล้ว”
“ค่ะ...งั้นถ้าถึงดุนยาแล้วโทร.บอกฉันหน่อยนะคะ ฉันจะได้รู้ว่าคุณปลอดภัย”
“ครับผม” ชีคซอลีลเอ่ยทีเล่นทีจริง
“ฉันจะรอนะคะ” อัสมิฮานย้ำ ก่อนจะวางสายไปด้วยหัวใจหวิวหวั่น รู้สึกแปลกๆ ที่ตัวเองพูดคุยอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง แต่กลับไปห่วงและคิดถึงผู้ชายอีกคนหนึ่งในเวลาเดียวกันได้
หญิงสาวถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ให้กับความคิดว้าวุ่นสับสนนั้น ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา แล้วกลับออกมารอให้เลขานุการที่รู้ใจโทร.กลับมารายงานสถานการณ์ในเขตการปกครองที่สามของดุนยาให้เธอฟัง
ฮัซซานเงียบหายไปร่วมสองชั่วโมง กว่าจะมาหาเธอที่ห้องทำงานด้วยตัวเอง การปรากฏตัวของผู้ช่วยหนุ่มทำให้เธอรู้สึกหวั่นใจว่า หายนะครั้งนี้อาจมีอะไรมากกว่าที่ข่าวออกมาอย่างที่ชีคซอลีลได้กล่าวไว้ก่อนจะบินกลับไปดุนยาจริงๆ
“ถึงกับต้องมาด้วยตัวเองเลยหรือ” เธอทัก
“มีหลายเรื่องที่ไม่ควรพูดกันทางโทรศัพท์ครับ” ชายหนุ่มบอก ก่อนจะวางแฟ้มฉบับหนึ่งลงบนโต๊ะทำงานของเธอ “ทุกอย่างอยู่ในรายงานที่ผมรวบรวมมาให้ครับ”
อัสมิฮานหยิบขึ้นมาพลิกดูคร่าวๆ รายงานฉบับแรกๆ กล่าวถึงการควบคุมสถานการณ์ ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปได้ด้วยดี ถึงแม้จะเสียพื้นที่ของสวนอินทผลัมไปส่วนหนึ่ง และต้องปิดโรงงานแปรรูปอินทผลัมลงชั่วคราวเพื่อตรวจสอบโครงสร้างที่เสียหาย ก่อนที่เธอจะพลิกมาเจอเอกสารอีกชุดที่แนบอยู่ด้านหลัง จึงเงยหน้ามองผู้ช่วยส่วนตัวด้วยความแปลกใจ
“นี่มันรายงานการสำรวจแหล่งน้ำมันนี่”
“ใช่ครับ” ฮัซซานพยักหน้า “รายงานบอกว่ามีน้ำมันอยู่ใต้โอเอซิสลิฮาซในเขตการปกครองที่สามของดุนยาอย่างมากมายมหาศาล มากพอที่อัซดิฮารจะไม่ต้องวิตกเรื่องบ่อน้ำมันดิบจะแห้งไปอีกนานแสนนาน และตรงนั้นดันบังเอิญเป็นหัวใจของพวกลิฮาซ”
“เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว ชีคซอลีลเคยบอกฉัน แต่ที่ฉันไม่เข้าใจคือ มันเกี่ยวอะไรกับเหตุระเบิดที่โอเอซิสซับฮ์ล่ะ มันห่างกันตั้งหลายไมล์ไม่ใช่หรือ”
“มันคงไม่เกี่ยว หากข้อมูลพวกนี้ไม่ได้มาจาก โอเชียนออยล์ บริษัทที่เป็นที่ปรึกษาด้านน้ำมันให้กับชีคซอลีล และก็คงไม่เกี่ยวหากเมื่อไม่นานมานี้ เขาจะไม่ส่งที่ปรึกษาสูงสุดของเขาไปเจรจาขอใช้พื้นที่ของพวกลิฮาซมาทำแท่นขุดเจาะน้ำมันและโรงกลั่นขนาดใหญ่”
“แต่ชีคอัลมาญิดปฏิเสธเขา” เธอเอ่ยอย่างพยายามจับต้นชนปลายให้ถูก
“ครับ...เพราะหากทำแท่นขุดเจาะตรงนั้น พวกเขาต้องอพยพผู้คนมากมายออกออกจากโอเอซิสที่มีผู้คนหนาแน่นที่สุดในเขตการปกครองที่สาม รวมทั้งต้องทำลายป้อมปราการหลังใหญ่อายุหลายร้อยปีลงด้วย”
“พื้นที่ส่วนใหญ่ของเขตการปกครองที่สามมีแต่ทะเลทราย” อัสมิฮานหันไปมองแผนที่ผืนใหญ่ที่ประดับอยู่บนผนัง “ส่วนที่เหลือเป็นโอเอซิส ซึ่งก็มีหมู่บ้านที่มีผู้คนหนาแน่นอยู่แล้ว หากจะอพยพคนออกจากโอเอซิสลิฮาซที่มีคนหนาแน่นที่สุดในเขต คงเป็นเรื่องยากที่จะหาพื้นที่ใหม่ทดแทนได้ ถ้าไม่ทำลายสวนอินทผลัมกับสวนปาล์ม ซึ่งทำรายได้หลักให้พวกลิฮาซ มาทำที่เป็นอยู่อาศัยใหม่ คนพวกนั้นก็อาจต้องไปเร่ร่อนอยู่กลางทะเลทราย”
“ถูกต้องครับ” ฮัซซานยิ้ม
“เธอกำลังบอกฉันใช่ไหมว่า เหตุร้ายเมื่อวาน อาจเป็นชีคซอลีลที่อยู่เบื้องหลัง”
“ผมไม่ได้พูดอย่างนั้น”
“แต่หลักฐานทั้งหมดนี่...”
ฮัซซานยักไหล่ “มันก็แค่เอกสารครับ ที่เหลือคือการวิเคราะห์ของคุณ และถ้าคุณต้องการรู้ความจริง มันก็ไม่ยากใช่ไหมล่ะครับ”
หญิงสาวทำปากเบ้ “ไปถามชีคซอลีลน่ะเหรอ ถ้าเขาอยู่เบื้องหลังเหตุร้ายนั่น เขาคงบอกฉันหรอกย่ะ”
ชายหนุ่มหัวเราะ “ที่คุณร้อนใจอยากจะรู้เรื่องการก่อการร้ายนี้ คงไม่ใช่เพราะจะหาเรื่องจับผิดชีคซอลีลอีกใช่ไหมครับ”
เป็นครั้งแรกที่ฮัซซานเดาผิดทาง เพราะที่อัสมิฮานสนใจเหตุการณ์ร้ายนี้ เป็นเพราะห่วงผู้ชายอีกคนที่อยู่อีกฟากของประเทศนั่นต่างหาก ไม่ได้จะต้องการจับผิดชีคซอลีลเหมือนที่เคยเป็นมา แต่นั่นก็โทษเขาไม่ได้ เพราะเขายังไม่รู้ว่าเธอได้พบชีคอัลมาญิด และรู้สึกหวั่นไหวต่อผู้ชายคนนั้นมากเพียงไร
“ก็ถ้าเขาอยู่เบื้องหลังจริง ฉันก็มีเหตุผลเพียงพอจะไปบอกคุณพ่อให้ยกเลิกการแต่งงานไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวรับสมอ้าง เพราะคงไม่ดีแน่ หากให้ใครรู้ว่าเธอกำลังห่วงและคิดถึงชีคอัลมาญิดอยู่
ชีคอัลมาญิดทรุดตัวลงนั่งบนเบาะนุ่มกลางกระโจมใหญ่ด้วยอาการเหนื่อยอ่อน ความรู้สึกตึงเครียดเกาะกุมไปหมดทั้งตัว โดยเฉพาะบ่าที่ช่วยหน่วยกู้ภัยแบกหามสิ่งต่างๆ ออกจากที่เกิดเหตุตลอดบ่าย ตั้งแต่ลงจากเครื่องบินและเดินทางมาถึงที่นี่
ครู่หนึ่งมาฮัดก็ตามเข้ามาพร้อมกับพันเอกซาอิด ทั้งคู่ทำความเคารพเขา ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเบาะข้างๆ ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านชีคน่าจะกลับไปพักผ่อนที่ป้อมลิฮาซ” มาฮัดเสนอด้วยความเป็นห่วง
“อยู่ที่นี่น่ะดีแล้ว ใกล้ชิดคนเจ็บ มีอะไรจะได้ช่วยเหลือได้ทัน” เขาบอกพลางบิดคอไปมาจนเกิดเสียงกระดูกลั่นกรอบแกรบ
มาฮัดถอนใจ เพราะรู้ดีว่าไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาก็คงไม่มีทางกลับไปนอนสบายๆ ที่ป้อมปราการแห่งลิฮาซแน่ ถ้าประชาชนของเขายังเดือดร้อนกันอยู่อย่างนี้
“ท่านคิดว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของใคร” อัลมาญิดเอ่ยถาม
ที่ปรึกษาอาวุโสดูจะนิ่งงันไป ชายหนุ่มหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างพินิจ ก่อนจะถอนใจเบาๆ อย่างรู้ดีว่าชายสูงวัยผู้นี้น่าจะรู้ทุกอย่างเหมือนที่เขารู้
“ไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นพวกดุนยางั้นสิ”
“ครับ” มาฮัดยอมรับ ก่อนจะถอนใจออกมาบ้าง “เห็นได้ชัดว่าพวกที่ก่อเรื่องทั้งหมดนี้ ต้องการทำลายระบบเศรษฐกิจหลักของเรา”
“เมื่อสวนและโรงงานแปรรูปอินทผลัมของเราถูกทำลาย นั่นเท่ากับว่าเราจะขาดรายได้หลักไปส่วนหนึ่ง และอาจจำเป็นต้องหันไปหาข้อเสนอเกี่ยวกับน้ำมันของพวกเขา” อัลมาญิดวิเคราะห์
“ทุกเหตุผลพุ่งไปหาพวกดุนยา”
“ผมก็คิดอย่างนั้นนะ” อัลมาญิดหลับตาลง ก่อนจะส่ายหน้า “แต่ตราบใดที่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด และยังไม่มีฝ่ายไหนออกมาประกาศตัวว่าเป็นคนทำ พวกเขาก็ยังบริสุทธิ์”
“แล้วท่านชีคจะทำอย่างไรต่อครับ” พันเอกซาอิดเอ่ยถาม
“ตอนนี้ก็คงต้องช่วยเหลือชาวบ้านก่อน ส่วนเรื่องการสืบหาตัวกลุ่มที่ก่อเหตุก็คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สืบสวนไป” อัลมาญิดเอ่ยเสียงเครียด “ระหว่างนี้เราคงต้องหามาตรการป้องกันให้ดี ไม่อย่างนั้นอาจเกิดเหตุซ้ำซ้อน แล้วจะมีผลกระทบไปส่วนอื่นๆ ด้วย”
“ท่านชีคหมายถึงพวกเยอรมันด้วยใช่ไหมครับ”
“ใช่” ชีคหนุ่มพยักหน้า “ถ้าพวกเขายกเลิกการช่วยเหลือคงแย่แน่ ยิ่งเกิดเหตุแบบนี้ ยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ยิ่งจำเป็นมากขึ้นอีก”
“แต่เรื่องนี้คงเป็นข่าวดังไปทั่วแล้ว”
“เพราะแบบนี้แหละ เราถึงต้องเร่งมือหาผู้กระทำผิดมาให้ได้ อย่างน้อยก็คงเรียกความเชื่อมั่นของพวกเขาที่มีต่อเรากลับมาได้ในระดับหนึ่ง”
“ครับท่านชีค ผมจะกำชับฝ่ายสืบสวนให้ทำงานกันอย่างรวดเร็วและรัดกุมที่สุด”
อัลมาญิดพยักหน้า “แล้วนี่แขกของผมเป็นอย่างไรกันบ้างล่ะ”
“ผมจัดที่พักที่ดีที่สุดให้พวกเขาที่ป้อมของเราแล้วครับ”
“ก็ดี...ยังไงฝากท่านมาฮัดช่วยดูแลพวกเขาแทนผมก็แล้วกันนะ”
“ได้ครับ” ชายสูงวัยค้อมศีรษะรับ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยเสียงเครียด “แต่พวกเขาบางคนเหมือนจะอยากมาดูเหตุการณ์ที่นี่ด้วย โดยเฉพาะผู้หญิงที่ชื่อ...อันนา”
ใบหน้าสวยเด่น ผมยาวสลวยสีทองเป็นประกายระยิบระยับปรากฏขึ้นในสมองของอัลมาญิดทันที เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะทำสีหน้าเคร่งขรึมเช่นเดิมเมื่อที่ปรึกษาของเขาเงยหน้าขึ้นมา
“พวกเขาคงอยากมั่นใจในการจัดการปัญหาของเรา”
“ผมก็คิดว่าอย่างนั้นครับ”
“ถ้าอย่างนั้น ผมจะให้ผู้พันซาอิดกลับไปกับท่านพรุ่งนี้ แล้วพาพวกเขามาที่นี่ ผมคิดว่าเราน่าจะรับมือไหว หากไม่เกิดเหตุอะไรซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก”
“ครับ...ท่านชีค” มาฮัดกับซาอิดรับคำพร้อมกัน
ชายหนุ่มพยักหน้าช้าๆ “เอาล่ะ ผมเห็นทีจะต้องขอตัวอาบน้ำพักผ่อนสักหน่อย ยังมีอะไรอีกมากที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้ ขอบใจท่านมากนะ”
ชายต่างวัยทั้งสองค้อมศีรษะ ก่อนจะพากันลุกขึ้นแล้วเดินออกจากกระโจมไป
อัลมาญิดมองจนที่ปรึกษาและองครักษ์ของตนลับตาไป จึงลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในส่วนอาบน้ำซึ่งคนของเขาได้เตรียมน้ำผสมสมุนไพรเอาไว้ให้เขาแช่ผ่อนคลายร่างกายในอ่างไม้เรียบร้อยแล้ว
ความคิดเห็น |
---|