แม้ว่าตอนนี้จะเลยเวลาเลิกงานแล้ว
แต่ท่านรองประธานก็ยังคงนั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ทำงาน เพราะนัดสุดท้ายของวันนี้กำลังอยู่ในระหว่างเดินทางมาพบเขา ถ้าไม่ติดว่ามีนัด ป่านนี้คงบึ่งรถกลับบ้านเตรียมตัวทานมื้อเย็นพร้อม...คุณย่าไปแล้ว
แต่ไม่เป็นไร ถึงจะไม่ได้อยู่บ้าน
ก็ใช่ว่าเขาจะไม่ได้เห็นในสิ่งที่ใจอยากจะเห็นเสียหน่อย มือหนาเอื้อมไปหยิบเอาสมาร์ตโฟนที่วางอยู่ใกล้ๆ
ขึ้นมาพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะกดเข้าแอพลิเคชั่นที่มีอยู่ในโทรศัพท์มาหลายปี
แต่ก็เพิ่งจะได้ขึ้นแท่นเป็นเครื่องมือตัวโปรดเมื่อไม่นานมานี้นี่เอง
“กล้องไหนวะ เวลานี้...น่าจะอยู่ที่สวน
กล้องเบอร์สามตัวข้างบ้านก็ไม่มี กล้องเบอร์สี่ตัวระเบียงก็ไม่เห็นมี” ธามหรี่ตาเพ่งพินิจภาพจากกล้องวงจรปิดของบ้านที่ถ่ายทอดผ่านจอมือถือ
มองหาคนตัวเล็กน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในบ้านหลังใหญ่ของเขา
“หรือว่าจะเป็นตัวที่ครัว ตัดภาพไปที่กล้องเบอร์เจ็ด ห้องครัวด่วนๆ
อ้าวเฮ้ย ไม่มีอีก ไปไหนเนี่ย
อุตส่าห์ติดกล้องทั่วบ้านแล้วยังหาไม่เจอ อย่าบอกนะว่า แอบนัดผู้ชายอีก” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน
ก่อนเสียงจิ๊จ๊ะจะตามมาอย่างไม่สบอารมณ์ “อย่าให้พี่โกรธๆ”
“เฮ้ย นี่ไง เจอแล้ว” เมื่อกี้ทำจะโกรธ ตอนนี้ล่ะยิ้มแป้น
“จะเดินไปไหนๆ เลี้ยวซ้ายห้องน้ำ เลี้ยวขวาไปห้องนั่งเล่น
อ่า...เลี้ยวขวา ตัดไปกล้องห้องนั่งเล่นด่วนๆ” ปากว่ามือก็รีบกดทำตาม ทว่า...
“เวร คุณย่าบัง”
ฝ่ามือหนายกขึ้นฟาดหน้าผากด้วยความผิดหวัง
“ไม่ได้ๆ ต้องติดกล้องมุมขวาห้องนั่งเล่นเพิ่มอีกตัว
เวลาโดนบังจะได้เปลี่ยนมุม โฮะๆ ฉลาดที่สุดเลยครับไอ้ธาม พรุ่งนี้สั่งติดเลย”
“อะไรของแกวะไอ้ธาม
เดี๋ยวนี้แกบ้าถึงขั้นหัวเราะคิกคักคนเดียวแล้วเหรอ”
เพราะคนบางคนมัวแต่ก้มหน้าก้มตาสนใจโทรศัพท์มือถือ
เลยไม่ทันรู้ว่าแขกที่เขารอเปิดประตูเข้ามาในห้องแล้ว
จนคนมาใหม่ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยทักเอง ธามเงยหน้าที่ยังเปื้อนความสุขขึ้นมองตามเสียง
“บ้าที่ไหน
นี่เล่นเกมส์โปรดอยู่” แล้วคำตอบที่เขาใช้บอกกับทุกคนที่เห็นอาการนี้ของเขาก็ถูกดึงออกมาใช้ซ้ำอีกครั้ง
“โซฟาๆ นั่งโซฟาเลย” คนตัวสูงบอกเพื่อนพร้อมกับหยุด
‘เกมส์โปรด’ ที่เขาว่าเอาไว้ชั่วคราว
แล้วเดินตรงไปหาผู้มาเยือน
“ไง คราวนี้มากี่วันวะ” ธามเอ่ยถามโจ
เพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่การไปเยือนสิงคโปร์รอบนั้นของเขา
“สองอาทิตย์”
“แพลนแน่นเลยอ่ะดิ”
“ก็แน่นใช้ได้ แต่กลางคืนยังว่างเสมอนะครับเพื่อน”
“เฮอะ...เอาคืนนี้ให้รอดก่อนเหอะ” สองหนุ่มเจ้าสำราญพ่นหัวเราะออกมาอย่างรู้กัน
ก่อนเจ้าบ้านจะฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“เออ โจ พูดไปแล้วก็คิดถึงร้านวันนั้นที่โรงแรมว่ะ
แกยังได้ไปอยู่ไหมวะ”
“อั้นแหนะ จะถามถึงหญิงก็ว่ามาตรงๆ เหอะ ไม่ต้องอ้อมค้อม”
คนถูกแซ็วยิ้มกลับพร้อมกับยักคิ้วให้ ยอมรับเอาง่ายๆ
อย่างไม่มีตุกติก
“เสียใจด้วยครับ เอสเธอร์ ลี ไม่ได้ร้องเพลงที่นั่นแล้ว
ฉันบอกให้แกสอยตั้งแต่วันนั้นแล้วก็ไม่เชื่อ ปลาหลุดมือแล้วครับเพื่อน”
“แล้วแกรู้ไหมว่าเขาไปไหน” ธามลองหยั่งเชิงถามดู
อยากรู้ว่าคนที่โน่นจะรู้หรือเปล่าว่าผู้หญิงคนนั้นย้ายมาอยู่เมืองไทย
แถมยังเปลี่ยนชื่อให้เป็นคนใหม่ราวกับไม่อยากให้ใครรู้จักตัวตนเดิม
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าเธอไปไหน เขาพลิกเกาะตามหาตัวกับหลายตลบแล้ว”
คำตอบที่ไม่คาดคิดของเพื่อน ผูกคิ้วคนฟังเข้าหากันแน่น
“ตามหาตัว? ตามทำไมว่า มีคดีอะไรรึเปล่า”
คนถูกถามส่ายหน้า “กลับกันเลย
จู่ๆ หนังสือพิมพ์ก็ประกาศตามหาตัวเอสเธอร์ ลี
ในฐานะทายาทคนเดียวที่ได้รับมรดกของปีเตอร์ ลี เศรษฐีอันดับต้นๆ ของประเทศเลยนะเว้ย
แถมที่พีคไปกว่านั้นนะ ปีเตอร์ ลี
เคยเจอหลานสาวคนนี้แค่ครั้งเดียวตอนเธอคลอดได้ไม่ถึงเดือน
ไม่มีใครเคยรู้เรื่องนี้เลยนอกจากเลขาฯ คนสนิท”
“ปีเตอร์ ลีเหรอ ทำธุรกิจอะไรวะ”
“เรือส่งสินค้าทางทะเล เจ้าใหญ่เลยด้วยนะ รวยมาก
เรียกว่าพลิกชีวิตจากนักร้องร้านอาหารให้กลายเป็นคุณหนูลีผู้เฉิดฉายในพริบตาเดียวเลย”
พลิกชีวิตกลายเป็นคุณหนูลีในพริบตาเดียวอย่างนั้นเหรอ...ธามคิดซ้ำคำที่เพื่อนพูด
ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ช่อผกามีเหตุผลอะไรที่ต้องหนีการรับมรดกมหาศาลที่กำลังจะทำให้เธอสบายไปทั้งชาติ
แล้วมารับจ้างเป็นผู้ช่วยพยาบาลทำงานงกๆ แบบนี้
มันต้องมีตื้นลึกหนาบางมากกว่านี้แน่ๆ
“แกแน่ใจนะว่านักร้องคนนี้ชื่อเอสเธอร์ ลีจริงๆ” ผู้บริหารหนุ่มเริ่มตั้งข้อสังเกต
“แน่ใจสิวะ ไม่เชื่อแกเสิร์ชอินเตอร์เน็ตดูก็ได้
หลายเดือนก่อนเป็นทอร์กออฟเดอะทาวน์ของเกาะเลยนะเว้ย มีคนให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเธอเต็มไปหมด
ทั้งโรงเรียนมัธยมที่เคยเรียน รูปถ่าย
ขนาดโรงแรมที่แกไปพักยังเคยตอบสัมภาษณ์นักข่าวเลยนะ ว่าเอสเธอร์
ลีเคยทำงานที่นั่นจริง แต่ออกไปหนึ่งวันหลังจากหนังสือพิมพ์ลงข่าว
ถึงตอนนี้เรื่องจะเริ่มซาไปแล้ว แต่ก็ยังมีพวกที่อยากจะได้ค่าหัวที่คริส
ลีตั้งเอาไว้ พยายามตามหาตัวเธออยู่ดี”
“ถึงกับตั้งค่าหัวเลยเหรอวะ” ธามเงยหน้าขึ้นจากสมาร์ตโฟนที่กำลังหาข้อมูลอยู่
“ใช่ ดูท่าคริส ลีจะอยากเจอตัวหลานสาวคนนี้มาก
แล้วที่น่าสงสัยพอๆ กับการหายตัวไปของทายาทปริศนาก็คือ เหตุผลที่ปีเตอร์ ลี
ไม่ยกอะไรให้ลูกชายคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างคริส ลี เลย
แต่กลับมอบทุกอย่างให้ทายาทปริศนาที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาแทน บ้างก็บอกว่าคริส
ลีรวยอยู่แล้ว พ่อก็เลยไม่ยกให้ แต่บ้างก็บอกว่า ไอ้คริส ลีนี่แหละ
อาจจะเป็นต้นเหตุของการหัวใจวายที่มีเงื่อนงำของปีเตอร์ ลี ที่ตอนนี้ ตำรวจก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้”
“แกไปสืบมาให้หน่อยสิ” คำพูดน้ำเสียงจริงจังกับสีหน้าที่เริ่มมีความเครียดเจือปนอยู่จนคนตรงหน้าจับความรู้สึกได้อย่างชัดเจน
“สืบ? จะสืบยังไง
ฉันก็รู้ได้มากที่สุดก็แค่ที่ข่าวลงนั่นแหละ”
“จ้างนักสืบให้ที เอาแบบเก่งๆ เลยนะ ฉันทุ่มไม่อั้น”
“เฮ้ย ต้องจริงจังขนาดนั้นเลยเหรอวะ
แกจะอยากรู้ไปทำไม”
“ก็...เผื่อฉันจะไปซื้อกิจการเขาไง
แย่งกันไปแย่งกันมาแบบนี้แหละดี ขายมาเลยจะได้จบๆ”
โจกดคิ้วลงพลางหรี่ตามองเพื่อน “เอาจริงเหรอวะ”
“หน้าฉันเหมือนพูดเล่นหรือไง”
“โอเคๆ เดี๋ยวดูให้ ว่าแต่วันนี้...ร้านไหนครับเพื่อน” เมื่อบรรยากาศเริ่มตึงเครียด
ผู้มาเยือนจึงรีบตัดบทเข้าประเด็นหลักของการพบปะครั้งนี้
แล้วมีหรือที่คนรออยู่จะไม่คล้อยตาม
“ร้านเดิมสิครับ พลาดได้เหรอ”
“งั้นก็ไปดิ รออะไร สองเสือกลับมาทวงบัลลังก์แล้วโว้ย...ย”
โจตะโกนลั่นปิดท้าย ก่อนคู่เพื่อนซี้จะระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกัน....ถึงเวลาได้ออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันสักที
ถ้าเป็นเมื่อก่อนหากธามและคู่หูคู่ซี้ของเขาอย่างโจได้ออกชมผีเสื้อราตรีด้วยกันแบบนี้ละก็
ฟ้าไม่สว่าง ตะวันไม่โผล่ขึ้นฟ้า ไม่มีทางที่คำว่า ‘กลับบ้าน’
จะกล้าเยี่ยมกรายเข้าในสมอง ทว่าวันนี้มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น
มันเป็นวันที่เขารู้สึกเกลียดตัวเองมากวันหนึ่งอย่างบอกไม่ถูก เพราะทั้งๆ
ที่เขากำลังนั่งอยู่ท่ามกลางสาวสวยมากมายที่กำลังโบยบินอยู่ในห้วงทำนองบทเพลงแห่งความสุขของพวกเธอ
ความผ่อนคลายสบายตาระดับพรีเมี่ยมที่เขาโปรดปรานนักหนา แต่ตอนนี้มันกลับไม่สามารถล้างภาพน่ารำคาญใจที่วิ่งวนอยู่ในหัวเขาตอนนี้ได้เลย
ภาพชายแปลกหน้าที่เข้ามาหาเด็กสาวคนนั้นในบ้านของเขา
ที่เขาเห็นผ่านแอพลิเคชั่นกล้องวงจรปิดเมื่อตอนที่นั่งรอรถติดขณะมุ่งหน้ามาที่นี่
และตั้งแต่วินาทีนั้น คำถามมากมายก็ถูกสร้างขึ้นในหัวอย่างไม่หยุดหย่อน จนเขาไม่กะจิตกะใจจะสนใจเรื่องที่อยู่ตรงหน้าได้อีก
แม้จะพยายามนั่งข่มใจตัวเองและชะล้างความฟุ้งซ่านด้วยแอลกอฮอล์แล้วแท้ๆ
แต่มันกลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย
สุดท้าย...การสั่งงานของสมองก็ถูกครอบครองเอาไว้ให้อยู่ใต้อำนาจของหัวใจอีกครั้ง
ธามพาตัวเองกลับมาบ้านตั้งแต่สี่ทุ่ม ด้วยเหตุผลที่บอกกับเพื่อนว่า
‘งานด่วนเข้า’
ต้องรีบกลับไปเตรียมงานคืนนี้ คิดแล้วมันก็อยากจะต่อยตัวเองสักหมัดจริงๆ
เขากลายเป็นคนแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ชายหนุ่มพาตัวเองเดินเข้าบ้านที่มืดสลัว
เพราะไฟเกือบทุกดวงในบ้านถูกดับลงหมดแล้ว นี่เป็นเวลาที่ทุกคนแยกย้ายกันเข้าห้อง
ใช้เวลาส่วนตัวก่อนเข้านอนกันหมด
“กลับมาตอนนี้จะได้อะไรวะ ใครมันจะตื่นให้แกถามวะไอ้ธาม”
หมีขี้บ่นเริ่มออกอาการ
แต่ในระหว่างที่เขากำลังจะพาตัวเองขึ้นชั้นสอง
เสียงกุกกักที่ดังแว่วมาจากห้องครัวก็หยุดสองขาของชายหนุ่มเอาไว้เสียก่อน ร่างสูงชะโงกมองไปทางต้นเสียง
ก่อนจะเห็นแสงไฟจากห้องครัวที่สว่างลอดออกมาทักทาย ยิ้มบางๆ แอบระบายขึ้นบนใบหน้า
ด้วยหัวใจที่มีความหวัง เพราะถ้าหากไขข้อข้องใจนี้ไม่ได้ คืนนี้คงไม่ได้นอนแน่ๆ
คนตัวสูงจ้ำอ้าว แล้วโผล่หน้าเข้าไปในห้องครัวอย่างรวดเร็ว
ยิ้มบางๆ ที่ถูกระบายเอาไว้ กลายเป็นยิ้มกว้างเมื่อความคาดหวังของเขาถูกภาพที่เห็นช่วยย้ำชัดว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นเป็นจริง
คนตัวเล็กกำลังง่วนอยู่กับอะไรบางอย่างอยู่ที่เคาน์เตอร์ด้านหนึ่งของครัว
“ผู้ชายที่มาหาเมื่อหัวค่ำเป็นใคร เหยื่อรายใหม่ของเธอเหรอ”
เจ้าของเสียงทุ้มชิงส่งคำถามไปหาคนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก่อน
แม้ว่าน้ำเสียงจะฟังดูเหมือนไม่ได้มีอารมณ์ใดๆ อยู่ข้างใน
หากแต่ถ้อยคำที่เขาส่งออกไปก็กวนโทสะของอีกฝ่ายได้ไม่น้อยเลย
หญิงสาวได้ยินคำถามแล้วถึงกับถอนหายใจ...ผีตัวนั้นมาอีกแล้วใช่ไหม
เหนื่อยใจกับเขาจริงๆ ช่อผกาตวัดสายตากลับไปหาคนพูด แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยอะไร
คนที่โดนแอลกอฮอล์ควบคุมการตัดสินใจก็ยิงใส่เธอต่อแบบไม่ยั้ง
“พอรู้ว่าไม่ได้ไอ้หมอแล้ว ก็หาเหยื่อรายใหม่ได้เร็วดีนี่
เก่งนะ นี่ขนาดอยู่บ้านทุกวันยังหาใหม่ได้
หรือว่าเขาตกหลุมพรางที่เธอวางเอาไว้ตั้งแต่ที่โรงพยาบาลแล้วล่ะ” ธามพูดทุกอย่างที่สมองคิด ทั้งที่ใจจริงตั้งใจจะลองคุยกับเธอดีๆ
ดูสักครั้ง แต่ปากมันดันไวกว่าใจไปทุกที
ช่อผกาพยายามสะกดอารมณ์ที่ถูกปั่นเอาไว้อย่างที่สุด “ผู้ชายคนนั้น
เขาเป็นญาติของฉันเองค่ะ”
“ไม่เชื่อ”
“ก็แล้วแต่คุณค่ะ” เขาสวนมา
เธอก็สวนกลับบ้าง “ฉันก็สงสัยเหมือนกันนะคะ ว่าเวลาคุณมาถามอะไรฉัน
ฉันตอบคุณ คุณก็ไม่เคยเชื่อฉันเลย ในเมื่อคุณไม่เชื่อฉัน แล้วคุณจะมาถามฉันทำไมคะ
คุณก็คิดเองเออเองไปเลยสิ คนอะไร มาถามแล้วก็ไม่เชื่อ บ้าจริง”
ธามมองคนที่เพิ่งสวดเขายาวเป็นชุดด้วยอาการอึ้งนิดๆ
สติเริ่มกลับเข้าร่างมากขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะแอบลำเลียงน้ำลายลงคอ เห็นตัวเล็กๆ
นี่ก็ดุเหมือนกันนะเนี่ย อันที่จริงที่เธอพูดมันก็ถูก
เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้าอะไร ใจอยากจะพูดกับเธอดีๆ
แต่ปากมันกลับไปแกว่งหาคำด่าทุกที ไม่รู้ทำไม
“ทำไมต้องพูดเสียงดังด้วย เชื่อก็ได้” ธามตอบกลับคนที่กำลังทำหน้าดุใส่
แต่ก็ยังไม่วาย “อย่าให้รู้ว่าเป็นอย่างอื่นทีหลังก็แล้วกัน
โดนแน่” ยังจะไปขู่เธอซ้ำอีก
สาวร่างบางไม่ตอบกลับ
เพราะรู้ดีกว่าพูดไปก็มีแต่จะอารมณ์เสียกันทั้งสองฝ่ายเปล่าๆ
ถ้าต้องนอนทั้งอารมณ์หงุดหงิด พรุ่งนี้ตื่นมาคงหน้าตาไม่สดชื่นแน่ๆ
ปล่อยตาหมีบ้าพร่ำเพ้อไปคนเดียวดูจะเป็นทางออกที่ดีกว่า
“นั่นอะไร ของกินเหรอ” คนตัวเล็กหันมองคนพูดที่เดินเข้ามาใกล้เธอพร้อมกับคำถาม
“ขนมปังสังขยาค่ะ วันนี้ตอนกลางวันทำสังขยากัน แล้วยังทานไม่หมด
คุณย่าเลยให้ฉันยกไปให้ลุงยามที่หน้าบ้าน เผื่อว่าลุงจะหิวตอนดึกๆ น่ะค่ะ”
“ขอกินมั่งสิ”
“สังขยาเหรอคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้า ที่จริงไม่ได้อยากกินแค่สังขยา
แต่อยากกินทุกอย่างที่เธอทำนั่นแหละ
“แต่ฉันต้องยกอันนี้ไปให้ลุงยามก่อน คุณรอได้ไหมคะ”
“เอาไปให้ที่ห้องละกัน จะไปอาบน้ำก่อน เหม็นเหงื่อจะตายละเนี่ย
ไม่ได้กลิ่นเหรอ” ไม่ว่าเปล่า ร่างสูงแกล้งโน้มตัวเข้าใกล้
จนคนตัวเล็กต้องถอยหนี พร้อมกับดันอกเขาให้ห่างออก
“แหวะ เหม็นกลิ่นเหล้ามากกว่า ไปทำงานที่โรงกลั่นมารึไง
ออกไปห่างๆ เลยค่ะคุณธาม”
คนชอบแกล้งหัวเราะชอบใจ
ซึ่งก็ไม่ต่างจากคนถูกแกล้งที่เผลอหัวเราะเคล้าตามไปด้วยเช่นกัน
ช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาทีที่ทั้งคู่ปลดปล่อยความเป็นตัวเองให้ทะลุผ่านกำแพงที่คั่นกลางระหว่างความสัมพันธ์ให้เอื้อมมาแตะกัน
ความสุขใจเล็กๆ ก่อตัวขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ก่อนการประสานสายตาจะเรียกสติให้ความเผลอไผลนั้นถูกหยุดลง
“งั้น...ฉันขึ้นข้างบนก่อนนะ อย่าลืมปิดไฟด้วย”
“ค่ะ” ช่อผกาตอนกลับสั้นๆ โดนไม่หันไปสบตาเขา
ให้ตายเหอะ จู่ๆ ก็รู้สึกเขินขึ้นมาเสียอย่างนั้น
แถมเขินใครไม่เขิน ดันมาเขินอีตาหมีผีสิงนี่ได้ไง เธอต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ
คนตัวเล็กส่ายหน้าไล่ความคิด
ก่อนจะหันมองไปทางประตูเมื่อแน่ใจว่าอีกคนออกไปจนพ้นทางเดินหน้าห้องครัวแล้ว
“นี่เราไม่ได้ติดเชื้อบ้ามาจากเขาหรอกใช่ไหมเนี่ย...ไม่เอาน้า”
คนตัวโตที่เพิ่งกลับขึ้นห้องนอนพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
อยู่ดีๆ ตัวก็เบาหวิวแปลกๆ ขึ้นมาเสียนี่ ยิ่งคิดถึงเสียงหัวเราะเมื่อตะกี้นี้
ยิ่งหน้าบานหุบยิ้มไมได้ไปกันใหญ่
หยอกเล่นกับเด็กนี่มันกระชุ่มกระชวยหัวใจได้ขนาดนี้เลยเหรอ
เขาก็ยังไม่แก่ขนาดนั้นเสียหน่อย
คนมีความสุขในชุดนอนเดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ทำงาน
ก่อนอียงเสียศีรษะไปมาคล้ายจะไล่ความเมื่อยล้าล็อตสุดท้ายให้ออกไป
แค่ยิ้มเดียวก็สยบฤทธิ์แอลกอฮอล์ในร่างกายเขาได้เสียอยู่หมัด
นี่มันมีอำนาจทำลายล้างได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
ถ้าได้อีกสักยิ้มก่อนนอนคงจะนอนฝันหวานเบิกบานไปถึงพรุ่งนี้แน่ๆ
มือหนาเลื่อนขึ้นโน๊ตบุ๊กให้เข้ามาใกล้ตัว
ในระหว่างรอให้เจ้าของรอยยิ้มขึ้นมา หาข้อมูลเกี่ยวกับเธอที่ไอ้โจมันว่าหน่อยก็ดี
เห็นบอกว่ามีรูปตอนมัธยมด้วยนี่ ชักอยากจะเห็นขึ้นมาซะแล้ว
“ไหนดูซิ หน้าตาจะเปลี่ยนไปขนาดไหน”
ขณะที่คนหนึ่งกำลังง่วนอยู่ในลูกโป่งแห่งความสุขอยู่
อีกคนกลับกำลังตกที่นั่งลำบาก ปาดเหงื่ออยู่ในห้องครัว
เพราะปัญหาใหญ่หล่นทับเธอเข้าให้แล้ว
“ไอ้ช่อเอ๊ย
เมื่อกี้มัวแต่เขิน สติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ดันตักสังขยาไปให้ลุงยามหมดซะนี่
แล้วจะเอาสังขยาที่ไหนไปให้หมีกินละเนี่ย โอ๊ย...ย” ร่างเล็กเกาศีรษะตัวเอง
คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าจะจัดการกับปัญหาตรงหน้าอย่างไรดี
“ถ้าไปบอกเขาตามตรง มีหวังโดนด่าชุดใหญ่กลับมาแน่ๆ
แค่นี้ก็ทำไม่ได้เหรอ คุณย่าจ้างเธอมาได้ยังไง ยิ่งโมโหหิวด้วย โดนแน่ โดนแน่ไอ้ช่อเอ๊ย
หมีบ้ากระโดดงับหัวพอดี” แขนบางรวบขึ้นกอดอก
“แต่คิดแล้วมันก็มีน้ำโห เอะอะว่า เอะอะด่า ตะคอกๆๆๆ ฮึ่ย อย่าให้ถึงตาฉันบ้างก็แล้วกัน ชิ”
ทันใดนั้นเอง เมื่อประโยคล่าสุดแล่นเข้าหู
ดวงตาของหญิงสาวก็เบิกโต ก่อนมือบางจะรีบยกขึ้นปิดปากเพื่อไม่ให้เสียงหัวเราะคิกคักหลุดลอดออกมา
“จริงๆ นี่มันก็ถึงตาฉันแล้วนี่นา
เดี๋ยวรอกินขนมปังสังขยาฝีมือฉันนะคะคุณธาม ฉันจะทำให้คุณสุดฝีมือเลยค่ะ คิคิ”
“ถ้าเธอเป็นสิบแปดมงกุฎตัวเป้งที่สามารถปั่นหัวระดับมหาเศรษฐีของเกาะสิงคโปร์ได้
แปลว่าเธอก็ใช่ย่อยเหมือนกัน” คนใช้ความคิดลูบคางไปมาพลางมองภาพถ่ายเด็กสาวในชุดมัธยมปลาย
“แต่อายุแค่ยี่สิบเนี่ยนะ มันจะไม่เด็กไปหน่อยเหรอ”
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูเข้าสะกัดความคิดของชายหนุ่มกะทันหัน
จนเจ้าตัวถึงกับสะดุ้ง แถมยังออกอาการลนลานราวกับถูกจับได้
“เฮ้ยๆๆ ปิดๆๆ ไม่ๆๆ เซฟรูปก่อนๆ โอเคละ” ธามยืดตัวตรงก่อนจะปั้นหน้าขรึม
กระแอมเล็กน้อย “เข้ามา”
ประตูห้องนอนถูกเปิดออก
พร้อมกับการปรากฏภาพของสาวน้อยที่เขารอคอย
ในมือของเธอมีถาดพลาสติกที่รองรับจานเซรามิก กับน้ำเปล่าเย็นๆ หนึ่งขวด
คนตัวเล็กเดินตรงไปหาเขาที่โต๊ะทำงาน
ก่อนจะเอ่ยถามชายหนุ่มเจ้าของห้องด้วยเสียงที่พยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ให้ลึกที่สุด
“คุณธามจะให้วางตรงไหนคะ”
“มุมนั้นก็ได้” คนถูกถามเอ่ยตอบเสียงเข้มพลางพยักพเยิดหน้าไปที่มุมด้านหนึ่งของโต๊ะทำงาน
สาวร่างบางพยักหนัารับ
จานเซรามิคสีขาวอันบรรจุขนมปังที่อุ่นจนควันขึ้น ส่งกลิ่นหอมฉุยกับถ้วยเล็กๆ
ที่บรรจุสังขยาเอาไว้วางเคียงข้างกันอยู่นั้น ถูกยกไปวางตามคำสั่ง
ก่อนหญิงสาวจะเงยหน้าขึ้นมองสบตากับคนที่ทำทีว่ากำลังทำงานอยู่
“ทานเยอะๆ นะคะ คุณธาม” เธอเอ่ยบอกเสียงหวาน
ก่อนจะตบท้ายด้วยรอยยิ้มที่หวานยิ่งกว่าเสียง
ทำเอาคนที่รอยิ้มนั้นอยู่ถึงกับแน่นิ่งไป
ตึกตึก ตึกตึก ตึกตึก
เขาได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองชัดมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
มันเต้นแรงและเร็วเสียจนเขาเริ่มสงสัยแล้วว่าในร่างกายของเขามีหัวใจอยู่ที่กี่ดวงกันแน่
ทำไมมันถึงเต้นได้แรงจนสั่นสะท้านขนาดนี้
“อย่าลืมดื่มน้ำเยอะๆ ด้วยนะคะคุณธาม ฉันขอตัวไปนอนก่อนนะคะ”
แล้วเสียงเดิมก็เรียกสติให้เขากลับเข้าสู่บทสนทนาได้ก่อนที่จะหลุดอาการไปมากกว่านี้
“ขอบใจมาก”คนท่าเยอะว่าแล้วหลุบสายตาลง
หันไปจดจ่อกับงาน ทว่าทันทีที่สาวเจ้าคล้อยหลัง
เขาก็รีบเงยหน้าขึ้นแล้วมองร่างเล็กบางของเธอจากข้างหลังอย่างไม่วางตา
ก่อนจะแอบยิ้มออกมาเบาๆ
ช่อผกาเมื่อหลุดออกจากห้องของชายหนุ่มมาได้แล้ว
ก็รีบพุ่งตัวกลับเข้าห้องนอนของตัวเองก่อนที่ศัตรูจะรู้ทัน
แล้วหันมาตะบบเธอเสียก่อน
คนตัวเล็กรีบกระโดดขึ้นเตียงพร้อมกับหยิบผ้าห่มขึ้นคลุมโปง และในจังหวะนั้นเอง
“แหวะ อะไรวะเนี่ย” เสียงร้องตะโกนที่แว่วแทรกความเงียบสงัดของบ้านมาเข้าหูของเธอ
คนตัวเล็กรีบยกมือขึ้นปิดปาก แอบหัวเราะจนตัวสั่นอยู่ใต้ผ้าห่ม
“คุณธามคะ
ถือว่าชดใช้เรื่องลุงมิ่งเมื่อวันก่อนกับที่พูดจาหยาบคายกับฉันเมื่อตะกี้นี้
หึ...อย่าดื่มน้ำเยอะๆ นะคะ เพราะว่านั่นมันไม่ใช่สังขยา
แต่มันเป็น...มายองเนสผสมกับซอสพริก” ช่อผการะเบิดหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจใครอีกต่อไป...สาวน้อยมั่นใจว่า
คืนนี้ต้องเป็นคืนที่เธอนอนฝันดีที่สุดตั้งแต่เข้ามาอยู่ในบ้านนี้อย่างแน่นอน
คนในอีกห้องหนึ่งกระดกน้ำรวดเดียวจนหมดทั้งขวด
มือหนายกขึ้นปาดคราบน้ำที่เลอะปากออกลวกๆ ด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ “ฮึ่ย นี่มันนางมารในคราบนางฟ้าชัดๆ
โดนมนตร์ดำไปกี่รอบแล้วล่ะไอ้ธาม ยังไม่จำอีก ฝากไว้ก่อนเถอะยายตัวแสบ รอบหน้าตาฉันเอาคืนแน่ เตรียมรับศึกหนักไว้เลย โมโหๆ”
ความคิดเห็น |
---|