14

ตอนที่ 13


 

               “ก็มีอยู่สองอย่าง ถ้ายูทำให้เขาสบายใจที่ต้องเจอหน้ายูไม่ได้ มือเรียวบีบมือของคนฟังเบาๆ ก่อนลมหายใจจะถูกปล่อยออกช้าๆ สายตาแน่วแน่จ้องลึกลงไปในดวงตาคมที่สั่นไหวด้วยความรู้สึกผิดอยู่ภายใน ยูก็ต้อง...หายออกไปจากชีวิตเขาเลย ไม่ไปให้เขาเห็นหน้าอีกเลย...ยูทำได้ไหม

               หนุ่มร่างสูงพาตัวเองกลับมาถึงบ้านได้สักพักใหญ่ เขาไม่ได้เข้าบ้าน แต่กลับมานั่งทอดอารมณ์อยู่ใต้แสงสลัวจากหลอดไฟของทางเดินที่ส่องพาดมาถึงเตียงนอนริมสระว่ายน้ำ สายตาที่เริ่มหยาดเยิ้มของชายหนุ่มถูกปล่อยให้ล่องลอยไปยังแสงไฟที่กระทบผิวน้ำในสระจนส่องประกายวิบวับ 

               ที่ปรึกษาทางใจเจ้าประจำเพิ่งจะถูกเปิดขวดใหม่ และยกขึ้นจดริมฝีปากเป็นระยะๆ ก่อนมันจะถูกวางไว้ชั่วขณะ แล้วเปลี่ยนสลับให้เครื่องระบายความเครียดอย่างบุหรี่จากซองสีเขียวได้ทำหน้าที่ของมันแทน ธามมองแสงไฟจากปลายมวนบุหรี่ในมือเขา ควันของมันถูกพ่นออกจากปากช้าๆ หลายครั้งที่เขาคิดจะเลิกให้ขาด แต่พอมีความเครียดเข้ามาทีไร มันกลับเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยให้เขาผ่อนคลายได้...เหมือนอย่างเช่นครั้งนี้ 

               เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เมื่อเกือบสองชั่วโมงที่แล้ว เขาแยกตัวออกจากงานอาฟเตอร์ปาร์ตี้มาพร้อมกับสาวสวยสุดเซ็กซี่ ที่เรียกได้ว่าโดดเด่นและดึงดูดสายตาของผู้ชายในงานได้มากคนหนึ่ง แม้แต่ตัวเขาเองก็ยอมรับว่าเธอสวย สวยจนเขายากจะละสายตาจากเธอได้เลยทีเดียว 

               ถ้าเป็นเมื่อก่อน ป่านนี้เขาและเธอคงจูงมือกันเดินเล่นอยู่บนสวรรค์ชั้นสุดยอด ดื่มด่ำกับความสุขที่เข้ามาเติมเต็มความต้องการทางร่างกาย และอาจจะจบลงด้วยอาหารเช้าด้วยกันสักมื้อ ก่อนที่จะแยกย้ายไปตามเส้นทางของตัวเอง แต่ตอนนี้ มันกลับไม่ใช่...

               ความต้องการทางร่างกายของเขาไม่อาจต้านทานความรู้สึกต่อต้านลึกๆ ในใจได้ ธามไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้ว ที่เขาออกไปกับผู้หญิงคนอื่น แต่ก็ต้องจบลงด้วยที่เขาเป็นฝ่ายขอหยุดกลางคัน แล้วผละตัวออกจากสิ่งยั่วยวนนั้นเสียเอง 

               หลายครั้งอารมณ์ลุ่มหลงของเขาถูกสะกัดกั้นเอาไว้ได้ เพียงเพราะแค่หลับตาลง แล้วเห็นใบหน้าสวยหวานของสาวน้อยคนนั้น แล้วก็มีหลายครั้งอีกเหมือนกัน ที่เขาตั้งใจหยุดมันเอาไว้เสียเอง เพียงเพราะความคิดวูบหนึ่งที่ถามตัวเองว่า...เธอจะรู้สึกอย่างไร ถ้ารู้ว่าเขาทำแบบนี้ ทั้งๆ ที่เขากับเธอ ไม่ได้ความสัมพันธ์ใดๆ มากเกินไปกว่า...ผู้ร่วมชายคาเลย

               เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ

               นักธุรกิจหนุ่มที่ใครต่อใครก็มักจะพูดว่าเขาฉลาดนักหนา แต่พอถึงครานี้ เขากลับตอบตัวเองไม่ได้เลย ว่าความรู้สึกที่เขามีให้เธอคืออะไร มันเป็นความรู้สึกที่ก้ำกึ่งจนเริ่มจะอึดอัด จะว่าเกลียดก็ไม่ใช่ จะว่ารักก็ไม่เชิง ความไม่ชัดเจนหลายๆ อย่างในตัวเธอทำให้เขาสับสน ใจหนึ่งอยากจะปล่อยความรู้สึกให้โบยบินตามความต้องการ หากอีกใจหนึ่งกลับร้องห้ามและฉุดเอาไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี

               ผู้หญิงคนนั้น เข้ามาที่นี่ด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงหรือ 

               คนที่ยกแอลกอฮอล์ขึ้นดื่มถามกับตัวเองอีกครั้ง แล้วถ้าหากเธอไม่มีอะไรแอบแฝงอย่างที่พูดจริง เรื่องคีย์การ์ดที่โรงแรมวันนั้นล่ะ ไหนจะเรื่องที่เธอเปลี่ยนชื่อตัวใหม่ แถมปฏิเสธมรดกมหาศาลนั่นอีก ไม่ว่าจะคิดอีกกี่ตลบ เธอก็ยังดูน่าสงสัย จนเขาไม่อาจมองข้ามไปได้

               ธาม...กล้ายอมรับอย่างเต็มปากเต็มคำว่า เขาใจเต้นแรงทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้เธอ เขาไม่ใช่พวกที่ไม่ประสีประสาเรื่องความรัก จนไม่รู้ว่ามันคือความรู้สึกพิเศษ 

               ใช่! มันคือความความรู้สึกพิเศษที่เขามีให้กับเธอ แต่มั่นใจว่ามันยังไม่ใช่ความรัก และมันก็ไม่มีทางเป็นความรักไปได้แน่ หากเขายังไม่อาจก้าวข้ามเส้นบางๆ ที่ถูกขีดเอาไว้ด้วยคำถามมากมายเหล่านี้ไปได้

               หลายครั้งเขาเผลอปล่อยให้หัวใจล่องลอยไปตามความรู้สึก ก่อนจะได้รับรู้ว่าตัวเองมีความสุขมากแค่ไหน แต่พอมานั่งคิดทบทวนอีกที กลับมีความรู้สึก...เกลียด ลึกๆ ที่ต้องคอยตอกย้ำตัวเองถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอ

               หนุ่มร่างสูงกระดกเหล้าเพียวๆ ขึ้นดื่มเคล้าไปกับความคิด กว่าจะรู้ตัวอีกที แอลกอฮอล์ก็เริ่มเข้ายึดครองการสั่งงานของสมองไปได้เกือบจะทั้งหมด ธามตบท้ายทอยเบาเพื่อเรียกสติให้กลับคืน ก่อนจะสะบัดหน้าปลุกตัวเองซ้ำ ชายหนุ่มยันตัวขึ้นยืนเต็มความสูง เมื่อระลึกได้ว่าเขาควรจะพาตัวเองกลับเข้าบ้าน ก่อนที่จะเมาจนตกน้ำตกท่าตายคาสระไปเสียก่อน 

               คนตัวเล็กที่ความงัวเงียยังตกค้างอยู่กำลังเดินจากห้องน้ำกลับเข้าห้องนอน เธอทิ้งตัวลงบนเตียงนอนหมายจะเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง แต่แล้วความทรงจำวูบหนึ่งก็ปลุกให้สาวน้อยต้องตาสว่าง ช่อผกาเด้งตัวขึ้นจากเตียง ควานหาสมาร์ตโฟนของเธอในความมืด ก่อนจะกดดูเวลา

               “จะตีหนึ่งแล้วเหรอเนี่ย” มือบางยกขึ้นปิดปากเมื่อรับรู้ถึงความผิดของตัวเอง “ลืมบอกฝนเปิดประตูไว้ให้คุณธาม ตายแล้วไอ้ช่อ” ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นแหยเก เมื่อภาพตาหมีตอนโดนผีสิงฉายขึ้นชัดในสมอง

               คนตัวเล็กรีบกุลีกุจอลุกจากเตียงนอน ด้วยความหวังในใจอย่างเปี่ยมล้นว่าเธอจะไม่นึกได้ช้าเกินไป สาวร่างบางรีบลงมาจากชั้นสองของบ้านด้วยเสียงที่เงียบที่สุด เพราะถ้าอาการลนลานของเธอปลุกใครในบ้านให้ตื่นขึ้นในเวลานี้ล่ะก็ ได้บวกความผิดเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยเลย 

               ช่อผกาใช้แสงไฟจากโทรศัพท์มือถือของเธอส่องไปตามทางเดินแทนการเปิดไฟให้สว่างโร่ไปทั้งบ้าน เธอเดินตรงไปปลดล็อกประตูไม้บานใหญ่ ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกพ่นออกตาม ไม่ใช่เพราะความโล่งอก แต่เพราะอยากจะปลอบใจตัวเองมากกว่า

               “หวังว่าจะทันนะคะ คุณธาม” หญิงสาวเอ่ยบอกเจ้าของชื่อ แม้รู้ดีว่ามีแค่เธอเท่านั้นที่ได้ยิน 

               คนตัวเล็กเดินกลับขึ้นไปยังชั้นสอง แต่ก็ขึ้นไปได้แค่พ้นช่วงที่พักบันได เสียงกุกๆ กักๆ ที่หน้าประตูก็หยุดเรียวขาของเธอเอาไว้เสียก่อน คิ้วคู่สวยขมวดเข้าหากันอย่างมีคำถาม 

               ใครกัน คงไม่ใช่โจรหรอกใช่ไหม คนเดียวที่จะเข้าบ้านในเวลานี้ ก็มีแค่คุณธามเท่านั้น แต่ถ้าเป็นเขา ทำไมเธอถึงไม่ได้ยินเสียงรถของเขาเลยล่ะ 

               คนที่มีคำถามอยู่ใจในแอบชะโงกหน้าจากบันไดลงไปมองหาต้นเสียง แสงไฟจากชั้นสองที่ส่องรำไรลงไปยังชั้นล่าง ทำให้เธอเห็นชายร่างสูงกำลังพาตัวเองเดินเข้าบ้านในสภาพที่เธอไม่แน่ใจว่านั่นคนหรือวิญญาณกันแน่ และก็ไม่ใช่โจรที่ไหน หลานชายคนเล็กของเจ้าของบ้านนั่นเอง 

               ช่อผกาส่ายหน้าเบาๆ อย่างเหนื่อยใจให้กับภาพที่เธอเห็น หญิงสาวตัดสินใจจดปลายเท้ากลับขึ้นชั้นสอง ไม่ยุ่งกับคนเมาน่าจะดีกว่า 

               แต่ก็เพียงไม่กี่ก้าวที่เธอเดินขึ้นบันไดไป เสียงคนเมาที่ร่วงลงไปกองกับพื้น ก็ทำให้หญิงสาวต้องหันความสนใจกลับไปหาเขาอีกจนได้ ช่อผกาชะโงกหน้ากลับไปดู แล้วสิ่งที่เธอเห็นก็บอกว่าตัวเธอเองคิดไม่ผิด ชายหนุ่มคนเมื่อตะกี้นี้ ลงไปนอนอยู่กันพื้นของห้องโถงเสียแล้ว

               “คุณธามคะ คุณธาม” คนที่เพิ่งพาตัวเองลงมาจากบันไดเขย่าหัวไหล่ให้เจ้าของร่างกำยำได้สติ แต่เขาก็ไม่มีท่าทีตอบสนอง

               “คุณธามคะ นอนตรงนี้ไม่ได้นะคะ” ช่อผกาว่า พร้อมกับพยายามพลิกตัวเขาหมายจะปลุกให้ตื่น มือบางตีที่ใบหน้าของชายหนุ่มเบาๆ 

               และก็ดูเหมือนจะได้ผล เปลือกตาของเขาค่อยๆ เปิดขึ้น หากแต่ยังคงเลื่อนลอยจนคนปลุกไม่แน่ใจว่าเขามีสติรับรู้เหตุการณ์ตอนนี้อยู่หรือเปล่า

               “คุณธามคะ ฉันช่วยนะคะ เดี๋ยวฉันพาคุณขึ้นห้องค่ะ” 

               แม้จะทุลักทุเลมากขนาดไหน แต่สุดท้าย เธอก็พยุงเขาให้ลุกขึ้นยืนได้สำเร็จ ถึงจะไม่สามารถยืนได้เต็มความสูงก็เถอะ สองร่างโงนเงนไปมา จะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ ไหนจะเพราะความสูงที่ต่างกันมาก แถมคนตัวโตกว่ายังไม่ค่อยจะประคองสติตัวเองได้อีก คนตัวเล็กจึงต้องแบกรับน้ำหนักของเขาแทบจะทั้งหมดเอาไว้คนเดียว แต่ก็นับว่าโชคดีที่เธอเคยพยุงผู้ป่วยชายมาแล้วหลายครั้ง ช่อผกาจึงพาขี้เมามาส่งถึงห้องได้ โดยไม่พลัดร่วงตกบันไดหัวแตกไปเสียก่อน

               เธอปล่อยร่างสูงให้ทิ้งตัวลงบนเตียง ก่อนจะจัดท่านอนให้เขา พรุ่งนี้เช้าหมีกินผึ้งจะได้ไม่อาละวาดว่าปวดเมื่อยเพราะนอนผิดท่า คนตัวเล็กยืนกอดอกมองคนเมาที่เหมือนว่ากำลังมองเธอกลับมา เปลือกตาของเขากะพริบขึ้นลงช้าๆ ช่อผกาเลยไม่แน่ใจว่า เขาได้มองเธออยู่จริงไหม

               “เป็นหมีอยู่ดีๆ พอเหล้าเข้าปากเท่านั้นล่ะ เป็นหมาอย่างที่คุณย่าว่าจริงๆ ด้วย” สาวร่างบางว่า ก่อนจะก้มตัวลง ตั้งใจจะกระชับผ้าห่มให้กับเขาเป็นอย่างสุดท้าย ก่อนออกจากห้อง โดยหารู้ไม่ว่า การโน้มตัวเข้าใกล้ชิดเขาในครั้งนี้ จะทำให้คนขาดสติทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่คาดฝันกับเธอ

               ท่อนแขนหนาตวัดรอบร่างอรชร ที่ก้มลงจนลมหายใจของเธอรดลงที่ใบหน้าของเขา ก่อนจะพลิกกลับขึ้นมาคร่อมกายเธอเอาไว้ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที ความตกใจสุดขีดที่พุ่งเข้ากระแทกหัวใจ ทำให้คนใต้บัญชาการไม่อาจปล่อยให้เสียงใดให้เล็ดลอดออกมาจากกล่องเสียงของเธอได้ 

               ดวงตาคู่สวยเบิกโตเพียงชั่วลมหายใจ ก่อนมันจะถูกปกคลุมด้วยม่านน้ำใสๆ ที่หลั่งไหลออกมาโดยไม่ต้องรอให้ใครสั่ง หัวใจดวงน้อยถูกบีบอัดด้วยความกลัวจนเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมาจากอก แขนบางยกขึ้นปกป้องร่างกายไปพร้อมๆ กับออกแรงปัดการคุกคามใต้เงามืดที่เธอมองไม่เห็น หากแต่มันก็ไม่อาจต้านทานแรงมหาศาลของร่างกายกำยำที่เป็นเหมือนปีศาจร้าย และต้องการจะกลืนกินเธอทั้งเป็นไปได้

               ใบหน้าของชายหนุ่มเลื่อนไปตามเรือนร่างของเธอ กลิ่นหอมยั่วยวนใจของหญิงสาว ยิ่งเป็นเหมือนตัวเร้าให้ความต้องการของเขาลุกโชนมากขึ้น แม้สาวร่างเล็กจะพยายามดิ้นอย่างสุดชีวิตเพื่อหลีกหนี หากแต่มือหนาของเขากลับสอดเข้าใต้เสื้อนอนของเธออย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ความหวาดผวาทำให้น้ำหูน้ำตาของเธอไหลทะลัก ร่างบางเริ่มหอบจนตัวโยนด้วยแรงสะอื้น

               “คุณธาม...คุณธาม อย่า...อย่าทำอย่างนี้เลยค่ะ” ช่อผกาเค้นเสียงผ่านลำคอของเธอออกมาได้ในที่สุด

               “คุณกำลังเมานะคะ อย่าทำอย่างนี้เลยค่ะ ฉันขอร้อง...ฉันกลัว” คำพูดระคนเสียงร้องไห้ที่แทบจะฟังไม่ได้ศัพท์ หากแต่มันคือกำลังเฮือกสุดท้ายของคนที่หวาดผวาจนแทบจะขาดใจ 

               ช่างโชคร้าย...ที่ดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถเข้าถึงโสตประสาทของเขาได้เลย

               “ฮึ ฮึ ฮือ...” 

               น้ำตาที่ไหลอาบไปทั้งหน้า เสียงร้องไห้ที่ขาดหายเป็นช่วงๆ เพราะแรงสะอื้น บอกเล่าความหวาดกลัวจนแทบจะขาดใจของหญิงสาวได้เป็นอย่างดี แต่ในเวลานี้...คงมีแค่พระเจ้าเท่านั้นที่รับรู้

               ร่างกายของลูกกวางน้อยที่สั่นเทากับน้ำตาที่ไหลจนมาเปรอะเปื้อนใบหน้าของเขา ทำให้เสือร้ายที่สติชุ่มไปด้วยแอลกอฮอล์หยุดการเคลื่อนไหวของร่างกายลงชั่วขณะ เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของใครอีกคนในความมืดเข้าเรียบเรียงสติของเขาอย่างช้าๆ 

               สาวร่างบางรีบฉวยโอกาสนี้ใช้แรงที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดผลักแผงอกของเขาให้ห่างออก ก่อนจะถอยกรูดหนีไปจนหลังของเธอชนเข้ากับหัวเตียง 

               ธามเริ่มแน่ชัดว่าเขาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ปกติ ชายหนุ่มรีบเอื้อมมือไปเปิดสวิตซ์ของโคมไฟที่หัวเตียง ก่อนภาพสาวร่างเล็กที่กำลังนั่งกอดเข่า ตัวสั่นเทาอยู่ใต้เงาสลัวนั้นจะตรงเข้าฉีกหัวใจของเขาเป็นชิ้นๆ

               “อย่าทำฉันเลยนะคะ อย่าทำฉันเลย ฉันกลัวจริงๆ” คนตัวเล็กยกมือขึ้นไหว้เขาทั้งน้ำตา ราวกับต้องการจะร้องขอการไว้ชีวิต

               “ช่อ...” เสียงแผ่วเบาเอ่ยออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ก่อนเขาจะพยายามดึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาให้กลับเข้าสู่สมองอีกครั้ง 

               ชายหนุ่มต้องการจะย้ำให้ตัวเองรู้อย่างแน่ชัด ว่าเขาทำเรื่องเลวร้ายอะไรกับเธอไปบ้าง น้ำลายเคล้าความรู้สึกเจ็บหนึบที่สุดเท่าที่เขาจำได้ถูกดันให้ไหลลงคอ ความตกใจทำให้ฤทธิ์แอลกอฮอล์ค่อยๆ จางลง และแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเจ็บจี๊ดที่อกให้เข้ามาแทนที่ ดวงตาคมของเขาอ่อนลง ก่อนชายร่างหนาจะค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าโอบกอดคนตัวเล็กที่ร้องไห้ราวกับจะขาดใจตายเอาไว้

               คนที่หัวใจถูกขย้ำด้วยความหวาดผวา เงยหน้าที่เปรอะไปด้วยน้ำตาขึ้นมองเจ้าของอ้อมกอด ดวงตาสั่นไหวของเธอเบิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนหญิงสาวจะใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่มีผลักอ้อมแขนของเขาให้ห่างออก แล้วรีบพุ่งตัวลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว 

               เพราะความหวาดกลัวกลืนกินเรี่ยวแรงของเธอไปจนหมดสิ้น ทันทีที่ขาเรียวก้าวลงแตะพื้นห้อง ร่างบางของเธอก็ทรุดตัวลงไปกองกับพื้นอย่างไม่ทันได้ทั้งตัว คนบนเตียงรีบตรงเข้ามาหา แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ช่วยพยุงเธอขึ้นมา ช่อผกาก็ยกท่อนแขนขึ้นปาดน้ำตา ยันตัวลุกขึ้น แล้วพรวดออกจากห้องไปในไม่กี่วินาที 

               ธามที่แม้สติของเขาจะยังไม่ครบถ้วนดี แต่ในเวลานี้ มันก็มากเพียงพอที่เขาจะปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ ชายหนุ่มพาตัวเองมายืนอยู่หน้าประตูห้องของหญิงสาวที่เขาเพิ่งจะทำร้ายหัวใจเธอไป พร้อมกับความลังเลอย่างสุดใจว่าเขาควรจะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ดี

               เพราะแอลกอฮอล์ที่ทำให้เขาขาดสติ ก่อนการถูกสะกิดด้วยลมหายใจอุ่นๆ เพียงเล็กน้อยจะทำให้เขาปล่อยให้ความต้องการทางร่างกายเข้าครอบงำทุกอย่าง แม้กระทั่งสติ สติที่จะรับรู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่เขาพาออกจากงานมาด้วยคนนั้น แต่เธอเป็นสาวน้อย ที่ไม่รู้ว่าเธอได้วิงวอน ร้องขอด้วยใจจะขาดรอนๆ ให้เขาหยุดการกระทำเลวทรามนั้นไปกี่ครั้งแล้ว 

               คนตัวเล็กที่เพิ่งหนีรอดจากกรงเล็บเสือมาได้ นอนคลุมโปงตัวสั่นไหวอยู่บนเตียง มือเล็กของเธอยกขึ้นปิดปาก ป้องกันไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกไป แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะห้ามไว้ได้ยากเหลือเกิน 

               ผู้ชายที่เพิ่งจะทำให้เธอหัวใจพองโตเมื่อตอนค่ำ ทว่าเมื่อครู่นี้เขาเกือบจะขย้ำเธอให้ตายทั้งเป็น ความข่มเหงที่เขาทำ กรีดหัวใจของเธออย่างไม่ปรานี จนตอนนี้เธอไม่รู้แล้วว่า ลมหายใจกับน้ำตา อันไหนมันหลั่งไหลออกมามากกว่ากัน

               หนุ่มร่างสูงพิงกำแพงข้างขอบประตู กำปั้นของเขายกขึ้นทุบศีรษะซ้ำๆ คล้ายอยากจะลงโทษตัวเอง เสียงสะอื้นไห้ของคนในห้องที่แว่วลอดออกมา แม้จะเพียงแผ่วเบา หากแต่ทำให้ขาเจ็บเหมือนถูกกำแพงรอบด้านบีบอัดเข้ามาที่หัวใจ ยิ่งคิดว่าเธอต้องหวาดกลัวมากเท่าไร หัวใจยิ่งเจ็บเหมือนถูกมีดแทงมากเท่านั้น 

               ในวันแรกที่เขาได้พบกับเธอ เขาทำทุกวิถีทางที่จะปกป้องเธอจากการถูกทำร้ายทางร่างกายและจิตใจโดยชายฉกรรจ์สองคนนั้น หากแต่ตอนนี้ เขากลับทำร้ายจิตใจเธอเสียเอง นี่ขนาดว่าเขาได้สติก่อนที่จะทำอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้ เธอยังหวาดผวาเสียจนสั่นเทาไปทั้งร่าง ไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่า ถ้าเลยเถิดไปถึงขั้นนั้น เธอจะกลัวสุดขั้วหัวใจขนาดไหน 

               ธามกัดฟันแน่น มันคือความผิดของเขาทั้งหมด 

               ความผิดที่ทำร้ายจิตใจเธออย่างโหดร้าย ความผิดที่ไม่กล้าแม้แต่จะขอการให้อภัย ความผิดที่ไม่รู้ว่าทั้งชีวิตนี้ จะชดใช้อย่างไร ถึงจะสาสมกับความเลวร้ายที่เขาทำไว้กับเธอ

               “ช่อ...ผมขอโทษ”

 

               “ไอ้เพื่อนธามครับ นักสืบของคุณย่าที่แกให้ฉันตาม ฉันหาเจอแล้วนะเว้ย จะให้นัดวันไหนว่ามาเลย

               “เออ เอาไว้ก่อน เจ้าของห้องเอ่ยตอบแขกโดยไม่เงยหน้าจากกิจกรรมที่ง่วนอยู่ จนอีกคนต้องแทรกขึ้นเบรกแทน

               “เดี๋ยวๆ นี่เพิ่งจะบ่ายสองกว่า เก็บข้าวเก็บของ หมายความว่าไงครับไอ้ท่านรอง จะกลับแล้วเหรอ ชินกฤตอดถามไม่ได้ เมื่อเห็นคู่สนทนาทำท่าเหมือนกำลังเตรียมตัวจะกลับบ้าน

               “อืม ว่าจะไปโรงพยาบาลหน่อย

               “ไปโรงพยาบาล? ไปหาหมอนีน่าเหรอ 

            คนถูกถามพยักหน้า และนั่นก็ทำให้คนถามนิ่วหน้า มองกลับเพื่อนอย่างจับผิด แกมีเรื่องอะไรรึเปล่าวะธาม ดูหน้าเครียดๆ แถมจะไปซบอกหมอนีน่าอีก

               “ไม่มี คิดถึงเฉยๆ เลยจะไปหา เขาตอบเสียงเรียบ

               “ไม่ ฉันว่ามี หน้าอย่างนี้มีแน่ๆ พ่อทนายจอมละเอียดเริ่มจับสังเกตได้ ทำไมวะ ทั้งขาวทั้งสวย เดินโอบเอวคอดกิ่วเขาออกไปขนาดนั้น ไหงวันนี้หน้าหงิกได้ ผิดวิสัยเสือธามจริงๆ เลยว่ะ เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น 

            ผู้บริหารหนุ่มสะดุ้ง เมื่อถูกถามถึงเรื่อง เมื่อคืน

               คนหน้าเครียดหลบสายตาคนถาม ก่อนจะถอนหายใจทิ้งเพื่อระบายความหนักอก “พรากผู้เยาว์นี่มีโทษยังไงมั่งวะ”

               คำถามที่ทนายชินเบิกตาให้แทนคำตอบ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะทำงาน เมื่อเริ่มได้กลิ่นตุๆ ของเรื่องที่เพื่อนกำลังจะพูด 

               “เดี๋ยวนะไอ้ธาม ผู้หญิงคนเมื่อวานนี่ไม่น่าจะเป็นผู้เยาว์ได้แล้วนะ แถมเขายังหน้าระรื่น เต็มใจไปกับแกขนาดนั้น เข้าใจอะไรผิดรึเปล่า

               “ไม่ใช่คนนั้นเว้ย คนนั้นเราสะดุดกลางคัน ฉันเลยแยกกันเขา

               “อ้าว! แล้วนี่แกไปปลั้าเด็กที่ไหนได้วะไอ้ธาม แล้วเด็กแค่ไหน อายุเท่าไหร่ ทนายความส่วนตัวซักชุดใหญ่ เปลี่ยนมาเป็นฝ่ายหน้าเครียดกว่าแทน ก่อนจะหันไปมองประตูด้วยความระแวงหน่อยๆ เมื่ออีกคนส่งสัญญาณว่าเสียงของเขาชักจะดังมากเกินไปแล้ว

               “เด็กยี่สิบว่ะ

               “ยี่สิบ!?” เสียงคนฟังโพล่ง เฮ้ย! ยี่สิบก็ไม่ใช่ฐานพรากผู้เยาว์แล้ว อายุยี่สิบถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว ก็ไม่ใช่ผู้เยาว์ คนตรงหน้านิ่งฟังอย่างตั้งใจ ก่อนทนายชินจะว่าเสริม แต่ก็โดนฐานกระทำชำเราอยู่ดีว่ะ ไอ้ธาม แกนี่มัน....” 

               “วอนนอนคุก

               “เออ! รู้ตัวด้วย!” 

               คนแบกความผิดถอนหายใจ “แต่จริงๆ มันยังไม่ถึงขั้นนั้นเลยนะ แค่เกือบๆ”

               “เกือบๆ ก็ถือว่าพยายามกระทำผิด เล็งเห็นผลที่จะเกิด ยังไงก็โดนครับ

               “รู้แล้วน่ะ” 

               “แล้วนี่ทำไมอยู่ดีๆ แกไปทำอะไรอย่างนั้นได้วะ มีผู้หญิงอยากไปกับแกตั้งเยอะแยะ แกจะไปทำอย่างนั้นกับคนที่เขาไม่เต็มใจทำไม เป็นพวกซาดิสม์ อยากเปลี่ยนมาเป็นสายขืนใจหญิงหรือไง คุกนะเว้ยคุก ท่องไว้

               “ไม่ได้ตั้งใจโว้ย...ย เมา เข้าใจปะ เมามาก เมาเป็นหมาเลย หมาบ้าด้วย จำอะไรแทบไม่ได้เลย ไม่งั้นจะมานั่งเครียดอย่างงี้เหรอ 

            ชินกฤตมองคนที่เมื่อกี้นี้ปากยังบอกว่าไม่มีอะไร แต่สุดท้ายก็ทนเก็บความอัดอั้นที่แทบจะระเบิดหัวเขาเอาไว้ไม่ไหว จนนั่งกุมขมับ คิ้วขมวดอยู่

               “แล้วนี่เขาแจ้งความจับแกแล้วเหรอ

               “ฉันนี่แหละจะแจ้งจับตัวเอง

               “เฮ้ย! แกบ้ารึเปล่าวะไอ้ธาม ไปกันใหญ่แล้ว อยู่ดีๆ จะมาแจ้งความจับตัวเอง” 

               “ก็ไม่รู้แหละ ถ้ามันเป็นวิธีที่จะชดใช้ความผิดได้ ฉันก็ควรจะทำไม่ใช่เหรอวะ” 

               ทนายชินมองใบหน้าคนพูดที่แม้จะนิ่งเฉย หากแต่แววตาของเขากลับเศร้า เศร้าจนชินกฤตต้องถอนหายใจอีกครั้ง 

               “ไอ้ธาม ฉันจะบอกแกให้นะเว้ย ถ้าแกไปแจ้งความ แล้วมันเป็นคดีขึ้นมา ต้องมีการสอบปากคำโน่นนั่นนี่ มันก็เหมือนกับแกไปบังคับให้ผู้หญิงเขาต้องเล่าเรื่องนี้ซ้ำๆ เล่าให้คนอื่นฟัง ทั้งๆ ที่เขาอาจจะไม่ได้อยากให้ใครรู้เลยก็ได้ แกอาจจะรู้สึกว่าได้ชดใช้ความผิด แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่แกไปทำให้ความทรงจำเลวร้ายนั้น ตอกย้ำเขาซ้ำๆ นะเว้ย เพราะฉะนั้นถ้าเขาไม่แจ้งความ แกก็อยู่เฉยๆ ไว้นั่นแหละดีแล้ว อย่าทำให้เรื่องมันแย่ไปกว่านี้เลย

               ธามฟังคำบอกเล่าจากเพื่อนแล้วก็ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ภาพเหตุการณ์ที่เขาเปิดประตูห้องนอนออกมาเจอเธอโดยบังเอิญเมื่อตอนเช้าวิ่งกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง

               ตอนนั้นช่อผกาพลันสบตากับเขาเพียงเสี้ยววินาที แต่ใบหน้าของเธอกลับถอดสีอย่างรวดเร็ว คนตัวเล็กที่ยืนอยู่หน้าห้องของเธอจะรีบถอยเท้ากลับเข้าห้อง หนีหน้าเขาอย่างไม่รีรอ ทว่าเขาก็ยังทันสังเกตเห็นดวงตาที่บวมปูดของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีสาเหตุมาจากอะไร

               “แต่เขากลัวมาก เขาร้องไห้เหมือนจะตายให้ได้ ฉันต้องทำยังไงดีว่ะเนี่ย! ความรู้สึกโกรธตัวเองทำให้เขาขึ้นเสียง ก่อนจะทิ้งตัวพิงเก้าอี้ทำงาน พยายามควมคุมลมหายใจเพื่อลดความอึดอัดที่คับอก ฉัน...ฉันเกลียดความรู้สึกแบบนี้จริงๆ เลยว่ะ” ...‘ฉัน...เกลียดความรู้สึก...ที่รู้ว่าตัวเองทำให้คนที่อยากทะนุถนอม...ต้องเจ็บแบบนี้ จริงๆ เลยว่ะ

               “ธาม...ถ้ายูยังต้องเจอกับเขาอยู่ ยูต้องทำยังไงก็ได้ให้เขาสบายใจ ให้เขาแน่ใจว่ายูจะไม่ทำอย่างนั้นกับเขาอีก เสียงหวาน หากแต่ให้ความรู้สึกหนักแน่นอย่างบอกไม่ถูกเอ่ยกับคนหน้าเครียด มือบางของคุณหมอสาวเอื้อมไปสัมผัสท่อนแขนหนาที่เส้นเลือกปูดนูนเพราะแรงบีบเกร็ง หมายจะให้เจ้าของคลายความตึงเครียดลง

            “เขาเป็นใคร ยูบอกไอได้ไหม 

            ธามหันหน้ามองสาวร่างบางที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาบนโซฟาตัวยาวในห้องทำงานของเธอ

            “ยูไม่รู้จักหรอก เขาเอ่ยเสียงเบาแทบจะอยู่ในลำคอ

            “แต่ยูต้องเจอเขาอีกใช่ไหม เขาเป็นคนใกล้ตัวเหรอ

            “ก็ไม่เชิง” 

               นีน่ายิ้มบางๆ พลางพยักหน้ารับ เธอรู้ดีว่าถ้าคู่สนทนาตอบแบบนี้ แสดงว่าเขาไม่อยากบอก และเธอก็จะไม่เซ้าซี้ถามด้วย เพราะตามนิสัยแล้ว ถ้าเขาไม่บอก ถามให้ตาย ผู้ชายปากแข็งคนนี้ก็ไม่มีทางพูด แต่ถ้าผู้ชายชื่อธามคนนี้อยากเล่าเมื่อไหร่ เขาก็จะบอกเธอเอง โดยไม่ต้องเสียเวลาเอ่ยปากถามเลยสักคำ

            “โอเค ไม่บอกก็ไม่บอก แต่ไอดูออกนะ ว่าเขาสำคัญกับยู ประโยคที่ทำให้คนที่นั่งก้มหน้ากุมขมับอยู่ต้องหันไปมอง ไม่งั้นยูไม่มานั่งเครียดจนเส้นเลือดปูดไปหมดอย่างงี้หรอก ดูสิเนี่ย ที่ขมับ ที่หน้าผากปูดไปหมดแล้วเนี่ย หมอสาวว่าเสริม พร้อมกับจิ้มไปตามตำแหน่งต่างๆ ที่เธอว่า

           “คนเป็นหมอเขาวัดระดับการให้ความสำคัญกับคนอื่น จากเส้นเลือดที่ปูดรึไง

               “วิธีนี้มันใช้ได้กับยูคนเดียวต่างหาก แม้จะเป็นการกระเซ้ากันเล่น แต่รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่มได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น สุดท้ายเรื่องที่หนักคับใจเขาอยู่นั้น ก็พรากเอายิ้มนั้นให้หายไปอยู่ดี

            “เฮ้อ...ไอเข้าใจยูนะ แล้วก็เข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงคนนั้นด้วย มือเรียวของหมอสาวเอื้อมไปคว้าเอามือหนามากุมไว้ราวกับต้องการจะให้กำลังใจ 

               “ตอนนั้น...มันคงทั้งมืด ทั้งน่ากลัวแถมไม่รู้จะหาทางหนีเอาตัวรอดได้ยังไง ผู้หญิงน่ะ ถ้าถูกขืนใจ มันคงเป็นแผลที่ใหญ่ และเจ็บลึกมาก คุณหมอร่างบางหันสบตากับชายหนุ่ม แต่ยูยังไม่ได้ทำแบบนั้นนะธาม ยูยังไม่ได้ทำร้ายเขาถึงขั้นนั้น สิ่งที่ยูทำ มันคงทำให้เขาไม่ไว้ใจยู เขากลัว...กลัวว่ายูจะทำแบบนั้นอีกถ้ามีโอกาส แล้วถ้ายิ่งเป็นคนใกล้ตัวด้วย การที่ต้องเจอกันบ่อย อาจทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดผวาอยู่ตลอดเวลา เป็นเหมือนลูกแมวน้อยที่จะตกเป็นเหยื่อตอนไหนก็ไม่รู้ ใจหวิวอยู่ตลอด มันคงเป็นความรู้สึกที่ทุกข์มาก ทรมานมากอยู่ในใจ แต่ทำอะไรไม่ได้เลย

               “อืม หนุ่มร่างหนาเอ่ยรับในลำคอ 

               ฟังจากเสียงร้องไห้เมื่อคืน เสียงร้องไห้...เสียงสะอึกสะอื้นที่เหมือนยังดังก้องอยู่ในโสตประสาทของเขาตลอดเวลา ไม่อาจลบมันออกไปได้นั้น เขาก็พอจะรับรู้ได้ว่ามันคงเป็นความรู้สึกที่ทรมานมากอย่างที่นีน่าบอกจริงๆ 

               ยิ่งรู้ว่าเธอต้องเจ็บทรมานมากขนาดไหน เขาก็รู้สึกบีบคั้นที่หัวใจมากไม่แพ้กัน

               “แล้วไอต้องทำยังไงนีน่า ไอ...ไอ...เป็นห่วงเขา ไอปล่อยไปเฉยๆ แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ ปล่อยให้เขาต้องหวาดระแวง ต้องทรมานกับความทรงจำแบบนั้นคนเดียวไม่ได้ ไอทำไม่ได้...” เพราะมันรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังฆ่าเธอทั้งเป็น...ด้วยวิธีที่เขา...ก็ต้องตายไปพร้อมๆ กัน

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น