15

ตอนที่ 14


              ห้องอาหารอันเป็นสถานที่รวมตัวที่บ่อยที่สุดของคนในบ้าน ตอนนี้มันกำลังถูกใช้เป็นสถานที่ต้อนรับแขก ซึ่งถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่าเป็นแขกที่กลายมาเป็นสมาชิกในครอบครัวอย่างสมบูรณ์แบบแล้วต่างหาก มื้อเย็นมื้อแรกของการต้อนรับสมาชิกใหม่ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน สะใภ้ใหญ่ของบ้านที่เพิ่งแต่งเข้ามาหยกๆ เมื่อวานนี้นี่เอง และเพราะวันนี้สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันมาร่วมโต๊ะด้วย ตำแหน่งที่นั่งประจำบนโต๊ะอาหาร จึงถูกเปลี่ยนตามไปด้วย 

               หลานชายสองคนนั่งขนาบข้างคุณย่าพริ้มเพราผู้ซึ่งประจำนั่งอยู่หัวโต๊ะ โดยถัดจากหมอธัชคือเกล็ดดาว ภรรยาหมาดๆ ของเขา ช่อผกาที่ปกติจะนั่งอยู่ในตำแหน่งนั้น จึงถูกเปลี่ยนให้มานั่งข้าง...พี่ธาม...อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

               “ที่จริงหลานย่ามีเจ้าธีร์อีกคนนะ แต่ตอนนี้ไปราชการต่างจังหวัด อีกไม่นานก็คงกลับ เดี๋ยวตอนนั้นน่าจะได้เจอกัน” 

            ธามหันไปกดยิ้มบางๆ ให้กับคุณย่าที่กำลังพูดถึงสมาชิกอีกคนที่ไม่อยู่บ้านให้สมาชิกใหม่ฟัง และแน่นอนว่าใบหน้าของคุณย่ายิ้มแย้ม มีความสุขมากกว่าหนุ่มสาวทั้งสี่คนบนโต๊ะอาหารเสียอีก

               สองคนที่เพิ่งจะแต่งงานโดยไม่มีคำว่ารัก กับอีกสองคนที่เพิ่งเกือบจะร่วมรักโดยไม่ได้แต่งงาน...ที่ผู้ใหญ่ชอบบอกว่า โลกของคนหนุ่มสาวช่างซับซ้อน...มันคงเป็นแบบนี้เองสินะ

               “หมอธัช ตักให้หนูดาวเขาด้วยสิ ให้ทานเยอะๆ หน่อย หนูดาวต้องมีน้ำมีนวลมากกว่านี้อีกนิดนึงนะ เตรียมตัวมีเหลนให้ย่าไง” 

               คำว่า ‘เหลน’ สั้นๆ แค่คำเดียว แต่ทำเอาทั้งสี่คนถึงกับสะดุ้งเฮือก ธามเหลือบตามองสีหน้าของแฝดพี่ที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม และแน่นอนว่า นอกจากอาการตกใจชั่ววินาทีเมื่อครู่นี้แล้ว เขาก็ไม่แสดงอาการใดๆ ทางสีหน้าให้เห็นอีก ชายหนุ่มจึงเบนสายตาไปหาพี่สะใภ้ที่กำลังนั่งส่งยิ้มแห้งๆ คืนให้กับคุณย่า อดคิดในใจไม่ได้ว่า ถ้าคุณหมอไร้อารมณ์กับนางแบบเหวี่ยงวีนต้องมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน มันคงเป็นครอบครัวที่พิลึกน่าดู ธามระบายยิ้มบางๆ ก่อนจะเลื่อนสายตามาหาใครอีกคนที่ร่วมโต๊ะอยู่

               ช่อผกาที่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จามาตั้งแต่เขาเดินเข้ามาในห้องอาหาร ดวงตาของเธอยังคงบวมปูดอยู่ และดูเหมือนว่าเธอจะบอกกับคุณย่าว่ามีสาเหตุมาจากอาการ...ลมพิษ ที่เธอเคยเป็นมาแล้วหลายครั้ง ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง

               ...ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงจริงๆ เหรอ

               ธามลำเลียงน้ำลายที่เคล้าความรู้สึกหนักอึ้งให้ลงคอไป สายตาของเขายังคงหยุดเอาไว้ที่มือบางของหญิงสาวคนข้างๆ ที่ขนาดว่าเธอถือช้อนส้อมอยู่ สายตาของเขายังจับความสั่นเทาได้อย่างชัดเจน

               ...เธอกลัวมากอย่างที่นีน่าบอกไม่มีผิด

               นี่ขนาดแค่นั่งข้างกัน ขนาดเขายังไม่ได้พูดอะไรกับเธอสักคำ ขนาดว่ามีคนอื่นนั่งอยู่ใกล้ตั้งหลายคนแบบนี้ เธอยังหวาดกลัวจนมือไม้สั่นไปหมด แล้วจะให้เขาทำให้เธอสบายใจที่ต้องเจอหน้ากันอย่างนั้นเหรอ...มันมีโอกาสไหนให้เขาทำอย่างนั้นได้บ้างล่ะ แค่เขาเอี้ยวตัวไปตักกับข้าวที่อยู่เยื้องไปทางเธอ คนตัวเล็กก็สะดุ้งโหยง หยุดการกระทำทุกอย่างลงฉับพลัน แล้วแอบเหลือบมองท่อนแขนของเขาอย่างไม่วางตาจนกว่าจะพ้นรัศมีรอบตัวเธอออกไป 

               “ผมขอตัวก่อนนะครับ” ธามตัดสินใจเอ่ยแทรกกลางวงสนทนา พร้อมกับทำท่าจะลุกออกจากโต๊ะ นมผันที่ยืนห่างไปไม่มากจึงเอ่ยท้วงขึ้น

               “อ้าว คุณธามอิ่มแล้วเหรอคะ เพิ่งทานได้ครึ่งจานเอง” 

               “ผมกินกับนีน่าที่โรงพยาบาลมาบ้างแล้วละครับ”

            ...เขาโกหก ตอนอยู่ที่โรงพยาบาล ทั้งความเครียด ความกังวลใจ ความรู้สึกมากมายทำให้เขาไม่มีอารมณ์จะกินอะไรทั้งนั้น 

               เช่นเดียวกับตอนนี้ ยิ่งนั่งอยู่ก็เหมือนยิ่งทำร้ายคนเสียขวัญที่นั่งข้างๆ ซ้ำๆ ด้วยทุกการเคลื่อนไหวของเขาที่ทำให้เธอต้องหวาดผวา แล้วอย่างนี้ ใครมันจะไปกินต่อได้ลงกัน

               “งั้นก็แล้วแต่ละกัน” คุณย่าที่กำลังเห่อสะใภ้คนใหม่หันมาตอบหลานชายคนเล็ก ชายหนุ่มส่งรอยยิ้มที่กลบเกลื่อนความรู้สึกกลับไปให้ โชคดีที่วันนี้แฝดพี่กับพี่สะใภ้ของเขามาร่าวมโต๊ะอาหารด้วย จึงช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของคุณย่าไปได้เยอะทีเดียว

               หนุ่มร่างสูงเดินแยกออกจากโต๊ะอาหาร เขาไม่ชายตามองสาวร่างเล็กคนข้างๆ เลยแม้แต่น้อย ด้วยเขาเกรงว่า เพียงสายตาที่เขามองเธอ ก็อาจทำให้สาวน้อยกลัวจนตัวแข็งทื่อไปเลยก็ได้ 

               ทำให้เธอเจ็บน้อยที่สุด คือสิ่งที่เขาควรทำ

               ธามเดินไปออกมาจากห้องอาหารด้วยสมองที่ยังคงติดอยู่กับความคิดที่ว่าเขาควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี  และในตอนนั้นเองมาลีที่เดินกลับไปเติมน้ำเย็นมาจากในห้องครัว ก็กลับมาพอดี มือหนายกขึ้นส่งสัญญาณให้เด็กรับใช้สาวหยุด แล้วเอ่ยกับเธอ

               “ถ้าคุณย่าขึ้นนอนแล้ว บอกช่อผกาไปหาฉันที่ห้องทีวีด้วยนะ”

               “ค่ะ คุณธาม”

               ‘ช่อ คุณธามบอกว่าถ้าคุณย่าขึ้นนอนแล้วให้ช่อไปหาคุณธามที่ห้องทีวีด้วย’ 

               ประโยคธรรมดาที่มาลีถ่ายทอดให้เธอฟัง ทว่ากลับเป็นเหมือนไม้ที่เข้าตีระฆังในใจของเธอให้สั่นไหว และก้องกังวานไปด้วยเสียงร้องราวกับจะภาวนา 

               ภาวนา...ให้มันไม่เป็นความจริง

               ขาเรียวค่อยๆ ก้าวอย่างช้าๆ ทุกย่างก้าวของเธอคือความกังวลใจที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มากขึ้นพอๆ กับคำถามมากมายในหัว

               เขาต้องการอะไรอีก เมื่อคืนยังทำร้ายจิตใจเธอไม่พอใช่ไหม นี่หรือเปล่าที่เขาเคยขู่ว่าจะทำทุกทางให้เธอออกไปจากบ้านหลังนี้ นี่คือหนึ่งในวิธีของเขาใช่ไหม ที่เข้ามาทำดีกับเธอ ก็คงแค่อยากให้เธอไว้ใจ นิ่งนอนใจ พอเธอเผลอ เสือร้ายก็ตะปบเธออย่างไม่ปรานี 

               “ที่คุณบอกว่า คนอื่นบอกว่าคุณเป็นเสือ...ฉันน่าจะเชื่อตั้งแต่ตอนนั้น” ช่อผกาเอ่ยลอยๆ เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้องทีวี 

               แววตาของหญิงสาวสั่นระริก ถ้าเธอยอมก้าวเข้าไปในนั้น มันจะเป็นเหมือนเหยื่อที่กำลังเดินเข้าไปหาเสือร้ายเองรึเปล่านะ ห้องทีวีที่แน่นอนว่าเก็บเสียงได้ดีกว่าห้องอื่นๆ แถมตอนนี้ทุกคนในบ้าน ก็แยกย้ายกันเข้าห้องของตัวเองไปหมดแล้ว หากถึงเวลาคับขับแล้วเธอกรี๊ดจนสุดเสียง จะมีใครได้ยินเสียงร่ำร้องขอให้ช่วยชีวิตจากเธอหรือเปล่า 

              หญิงสาวปิดเปลือกตาลง พร้อมกับกลืนน้ำลาย ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับยืนอยู่ปากเหว เหวลึกที่เธอมีสิทธิ์แค่...เดินไปข้างหน้าเท่านั้น

               มือเรียวเล็กที่เริ่มสั่นไหว ออกแรงดันประตูบานใหญ่ที่ตอนนี้เธอรู้สึกว่ามันหนังอึ้งกว่าเดิมหลายเท่า คงเป็นเพราะเธอถูกความรู้สึกมากมายที่ถาโถมใส่ดูดกลืนเรี่ยวแรงไปเสียหมดล่ะมั้ง แสงสว่างจ้าภายในห้องพุ่งเข้ากระทบใบหน้าของเธอจนคนตัวเล็กที่สายตาไม่ชินเพราะเพิ่งเดินผ่านทางเดินมืดถึงกับต้องหรี่ตาลงชั่วขณะ ก่อนจะหันไปเห็นหนุ่มร่างสูงที่นั่งอยู่กับที่เท้าแขนของโซฟา ตำแหน่งเดิมที่เธอเข้ามาเห็นเขาในวันนั้น วันที่เขาเข้ามาช่วยเธอจนได้เลือด 

               หญิงสาวพลันคิดถึงเหตุการณ์วันเก่าชั่ววูบหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจปัดความคิดนั้นให้ออกไป...ต่อให้เขาเคยทำดีแค่ไหน มันก็คงชดใช้กับเรื่องที่เขาทำกับเธอเมื่อคืนไม่ได้!

               ช่อผกากัดฟันเดินตรงไหข้างหน้า และในจังหวะที่เธอกำลังหันหลังเพื่อจะปิดประตู เสียงของใครอีกคนในห้องก็ทำให้มือของเธอหยุดชะงัก

               “ถ้ากลัว...ไม่ต้องปิดประตูก็ได้” คนฟังแน่นิ่งไปชั่วชณะ คิ้วเรียวของเธอผูกเข้าหากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ 

               นี่เขาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่... 

               ช่อผกาเปิดประตูทิ้งเอาไว้ แล้วหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขา มือเล็กของเธอขยำชายเสื้อด้านข้างเอาไว้แน่ ราวกับต้องการจะหาเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เพื่อไม่ให้ตัวเองแสดงความหวาดกลัวให้คนตรงหน้าเห็น โดยหารู้ไม่ว่า แท้จริงแล้ว เธอไม่อาจซ่อนมันจากดวงตาที่สั่นไหวของเธอได้เลย 

               “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น หลังจากที่เธอก้าวเข้าไปในห้องได้เพียงไม่กี่ก้าว

            อีกครั้งที่คำพูดของเขา ทำให้เธอประหลาดใจ เขาทำเหมือนต้องการจะรักษาระยะห่างระหว่างเขากับเธอให้มากพอสมควร และก็เป็นตอนนั้นเองที่หญิงสาวสังเกตเห็นว่า ไฟทุกดวงในห้องถูกเปิดเอาไว้ทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่แชนเดอเลียที่ปกติจะใช้เป็นแค่เครื่องประดับตกแต่งห้องเท่านั้น 

               ไม่มีห้องมืด ไม่มีบรรยากาศน่ากลัว และดูเหมือนว่าจะไม่มี...เสือร้ายตัวนั้นด้วย

               นัยน์ตาดุดันไม่เคยเปลี่ยนคู่นั้นกำลังมองมาที่เธอ หากแต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ครานี้เธอถึงรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ที่เคลื่อนไหวอยู่ในนั้น

               มันคือความเศร้า 

               ใช่...มันคือความเศร้าที่เธอไม่แม้แต่จากมองเห็นได้จากสีหน้า แต่มันกลับตะโกนบอกเธออย่างชัดเจน ผ่านดวงตาคู่นั้นของเขา 

               ธามหลบสายตาของหญิงสาว ก่อนจะพ่นลมหายใจห้วนๆ ออกจากปาก

               “เรื่องเมื่อคืน...ฉันไม่ได้ตั้งใจ เธอจะไม่เชื่อก็ได้นะ” เขาขบริมฝีปากล่างเบาๆ ราวกับจะควบคุมความรู้สึก ดวงตาดำสนิทเหลือบขึ้นสบตากับคู่สนทนาอีกครั้ง “ฉันแค่อยากบอกให้เธอรู้เอาไว้ ว่าฉันไม่ได้ตั้งใจ”

               ช่อผกานิ่งฟังคนตรงหน้า น้ำเสียงและจังหวะการพูดที่เธอไม่เคยได้ยินจากเขา แม้ว่าใจเธอเองไม่อยากจะยอมรับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอสัมผัสถึงความรู้สึกผิดที่เจืออยู่ในนั้นได้...ชัดเจนมาก

               “ฉันไม่เคยขืนใจผู้หญิงคนไหน ไม่เคย ไม่เคยแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ แต่มันเป็นเพราะเมื่อคืนฉันเมามาก ตอนนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันอยู่ที่ไหน” คนตัวสูงก้มลงมองมือหนาของเขาที่ประสานกันอยู่ตรงหน้า “ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอกลัว มันจริง ที่ฉันเคยบอก ว่าจะทำทุกอย่างให้เธอออกไปจากบ้านหลังนี้ แต่มั่นใจได้เลยนะช่อผกา ฉันไม่เคยคิดจะใช้วิธีนั้น ไม่เคยคิดจะข่มเหงเธอ...รุนแรงขนาดนั้น”เ ขาหยุดคำพูดเพื่อพ่นความหนักอกออกมาด้วยลมหายใจ

               “กลัวมาก...เลยใช่ไหม” 

            คนตัวลีบที่ยืนก้มหน้าอยู่ เงยหน้าขึ้นมองคนถามผ่านม่านน้ำตาที่รื้นขึ้นปกคลุมดวงตาอย่างไม่จะต้านไหว หญิงสาวพยักหน้า บอกความรู้สึกในใจกับเขาอย่างไม่ปกปิด

               ธามมองหญิงสาวที่ยืนห่างออกไป ยิ่งมอง...เธอยิ่งดูน่าสงสาร ยิ่งได้เห็น...ยิ่งเจ็บหนักๆ เหมือนถูกต่อยที่หัวใจซ้ำๆ เจ็บ...จนจุก ใจอยากจะโผเข้ากอดปลอบร่างบางที่สั่นเทาเอาไว้ให้แน่น แต่คำตอบจากปากเธอเมื่อครู่ ก็บอกให้รู้อย่างชัดเจนแล้วว่า...ยิ่งเขาเข้าใกล้เธอมากเท่าไร ก็ไม่ต่างอะไรกับยิ่งทำร้ายเธอมากเท่านั้น 

               “ฉันขอโทษ...ฉันขอโทษจริงๆ ฉันเสียใจ...จริงๆ” เสียงสำนึกผิดที่เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา แต่น้ำหนักของมันกลับทำให้หยดน้ำตาของคนฟังร่วงลงกระทบมือเรียวเล็กที่เธอเลื่อนมาจับกันเอาไว้ข้างหน้า

               ช่อผกาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำตาที่กำลังไหลอยู่นี้ มันมาจากความรู้สึกไหน มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายออกมาได้ยาก ความรู้สึกที่อัดอั้นจนหายใจได้ลำบากกำลังถูกปลดปล่อยด้วยคำขอโทษของเขา หากแต่มันไม่ใช่ทั้งหมด การให้อภัย...อาจเป็นไปได้ ทว่า...ความไว้ใจ มันไม่ได้ซื้อกลับคืนมาได้...ด้วยคำขอโทษแค่คำเดียว

               “ต่อไปนี้ ถ้าเธอบังเอิญเจอไอ้ธามคนนี้ มันกำลังเมาจนจะนอนตายอยู่หน้าบ้าน ก็ปล่อยให้ฉันตายอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องสนใจฉัน อย่าให้ความหวังดีของเธอ กลับไปทำร้ายตัวเธอเอง แล้วก็ใช่แค่กับฉันนะ แต่ฉันหมายถึงกับผู้ชายทุกคน ไม่ว่าเธอจะไว้ใจเขามากแค่ไหนก็ตาม อย่าพาตัวเองไปอยู่ในภาวะเสี่ยงอีก ฉันไม่ได้จะบอกว่ามันเป็นความผิดของเธอนะ เรื่องเมื่อคืน...มันเป็นความผิดของฉันคนเดียว แต่ที่ฉันพูดกับเธอแบบนี้ ฉันแค่ห่วง ห่วงว่า ถ้าเกิดพลาดพลั้งขึ้นมา มันจะเป็นแผลในใจเธอไปตลอด...แผลที่รักษาไม่หาย เข้าใจไหม”

               ช่อผกาปาดน้ำตาที่อาบแก้มอย่างลวกๆ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา “เข้าใจค่ะ”

               “อืม งั้นก็ไปได้แล้ว” 

            ช่อผกานิ่งมองแววตาของเขาอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับอยากจะซึมซับเอาความรู้สึกที่ชายหนุ่มพยายามถ่ายทอดออกมานี้ให้ได้มากที่สุด และในจังหวะที่เธอละสายตาจากเขา เพื่อจะหันหลังออกไป...

               “แล้วก็ไม่ต้องกังวลนะ ว่าจะต้องอยู่อย่างหวาดระแวงฉันในบ้านนี้ เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้ไป...ฉันจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว” 

            หญิงสาวเบิกตากว้างเสี้ยววินาทีด้วยความรู้สึกวาบที่หัวใจ ก่อนชายหนุ่มจะกดยิ้มมุมปากอันตรงข้ามกับความรู้สึกตามไปให้ 

               “สบายใจได้แล้วนะ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว”ธามมองคนตัวเล็กที่พยายามเช็ดน้ำตาของเธอที่ไหลทะลักออกมาอีกครั้ง เขาผ่อนลมหายใจออกช้าๆ แล้วเอ่ยกับตัวเองด้วยเสียงแผ่วเบา... “ไม่ต้องร้องแล้วนะ...ผมจะตายอยู่แล้ว”


               ผู้บริหารหนุ่มที่ถูกห้อมล้อมด้วยกองแฟ้มเอกสารมากมาย ตั้งสูงแทบจะท่วมหัว งานล้นมือชนิดที่ว่าหาเวลาจะเงยหน้าขึ้นหายใจยังลำบาก มือซ้ายของเขาลูบคิ้วหนาไปมาอย่างใช้ความคิด เรียวปากสีหม่นอมยิ้มน้อยๆ ให้กับแฟ้มเอกสารที่เปิดกางอยู่ตรงหน้า อย่างไม่มีใครรู้สาเหตุ

               ภาพนี้คือสิ่งที่คนอื่นจะเห็น หากมีใครสักคนเข้ามาในห้องทำงานของเขาในเวลานี้ ทว่า...แท้จริงแล้ว สิ่งที่เป็นต้นเหตุของความสุขเล็กๆ ที่มุมปากของเขา กลับไม่ใช่เนื้อหาบนแผ่นเอกสารแต่อย่างใด หากแต่เป็นภาพสาวตัวเล็กที่วิ่งดุ๊กดิ๊กอยู่บนจอสมาร์ตโฟนของเขา ที่ถูกวางซ้อนเอาไว้บนแผ่นเอกสารนั่นต่างหาก

               สองอาทิตย์กว่าแล้ว ที่เขารับรู้เรื่องราวของหญิงสาวคนนี้ ผ่านกล้องวงจรปิดในบ้าน เธอยังคงใช้ชีวิตปกติ ทำงานได้อย่างกระฉับกระเฉง ไม่เหมือนวันนั้น ที่มีเขาอยู่ในบ้านด้วย เขาตัดสินใจไม่ผิดจริงๆ ที่ยอมย้ายออกจากบ้านมา 

               เธอดูมีความสุข...เวลาไม่มีเขา

               นั่งคิดย้อนกลับไปถึงเรื่องราววันนั้น ถ้าไม่ติดที่สัญญาหนึ่งปีของคุณย่า ป่านนี้ช่อผกาคงลาออก หนีไปทำงานที่ไหนสักแห่ง เธอคงหายไปจากชีวิตของเขาแล้ว ทั้งที่นั่นเป็นสิ่งที่เขาบอกว่าต้องการมันมาตลอด แต่พอมาตอนนี้ กลับนึกขอบคุณสัญญาหนึ่งปีของคุณย่าขึ้นเสียอย่างนั้น แม้เขาเองจะรู้สึกว่ามันดูเห็นแก่ตัว ที่เหมือนกักขังเธอเอาไว้ก็ตาม แต่แค่ได้มองเธอผ่านภาพจากกล้องที่ไม่ได้มีความคมชัดอะไรมาก ยังทำให้เขายิ้มได้ ถ้าจะให้เขาปล่อยเธอให้หายไปจากชีวิต...ขอเวลาทำใจอีกสักนิดก็แล้วกัน

               “ฉันว่านี่เธอมีเสื้อผ้าไม่กี่ชุดเองนะเนี้ย ใส่ซ้ำไปซ้ำมาจนฉันจำได้หมดแล้ว” ธามพูดกับช่อผกาตัวจิ๋วในโทรศัพท์มือถือ เจ้าของใบหน้าอมยิ้มหัวเราะออกมาเล็กน้อย เมื่อคนในจอเดินย้อนกลับไปกลับมาคล้ายว่าเธอจะลืมของ

               “เอาๆ เอาไง เดินไปเดินมาทั่วบ้านแบบนี้ ถึงว่า กินเท่าไหร่ก็ตัวไม่โตสักที” ชายหนุ่มจิ้มนิ้วลงบนสมาร์ตโฟน เพื่อเปลี่ยนกล้องตามการเคลื่อนที่ของคนตัวเล็ก ก่อนจะระลึกได้ว่าเขาใช้เวลาชาร์จกำลังใจในการทำงานมาร่วมชั่วโมงแล้ว “เฮ้อ...ไปทำงานต่อก่อนนะ เยอะจนจะทับหัวตายอยู่แล้วเนี่ย เดี๋ยวโดนคุณย่าถีบลงเก้าอี้รองประธาน เป็นไอ้ธามตกงาน ไม่เท่เลย...เนอะ” ว่าแล้วก็กดออกแอพลิเคชั่น ตั้งใจจะทำงานต่อ แต่ก็ดูเหมือนว่า อีกหนึ่งอุปสรรคจะเข้ามาถึงพอดี

               “ไอ้ธาม แกย้ายออกมาอยู่คอนโดทำไมวะ” คำถามที่มาพร้อมกับประตูที่เปิดออก และแน่นอนว่าเข้ามาแบบไม่มีการเคาะก่อนแบบนี้ มีคนเดียวเท่านั้นแหละ...ทนายชิน

               “ไกลบริษัทมากกว่า แถมไม่มีคนดูแลเรื่องอยู่เรื่องกินให้อีก แกย้ายออกจากบ้านทำไม บอกมา!” เพื่อนรักเดินตรงเข้ามาหาเขาที่โต๊ะ และดูเหมือนว่ากำลังยัดเยียดตำแหน่งจำเลยของคดีหนีออกจากบ้านนี้ให้เขาด้วย

               “ก็...โตแล้ว อย่างอยู่คนเดียวบ้าง อยากได้ความเป็นส่วนตัว”

               “เพิ่งรู้สึกว่าโตจนต้องแยกบ้าน ตอนจะอายุสามสิบเนี่ยนะ อยากได้ความเป็นส่วนตัวตอนจะสามสิบเนี่ยนะ” คนขี้สงสัยหรี่ตาถาม

               “อือ”

               “ความเป็นส่วนตัวที่ต้องแลกกับความยุ่งยากในชีวิต?”

               “ยุ่งยากตรงไหนวะ ฉันอยู่คอนโดก็สบายดี มีคนมาทำความสะอาดให้ เสื้อผ้าก็ส่งซัก”

               “แล้วของกินล่ะ”

               “ก็ไปกินกับนีน่าไง แกก็รู้ว่าห้องเราติดกัน ถ้าวันไหนนีน่าไม่อยู่ ฉันก็กินข้างนอก ไม่เห็นจะยากเลย” นักธุรกิจหนุ่มบอกเล่าชีวิตสองสัปดาห์เศษของเขาให้เพื่อนฟัง แต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะเริ่มสะดุดกับประเด็นใหม่มากกว่า

               “ถามจริงเหอะธาม แกกับหมอนีน่าเนี่ยตกลงใช่...ใช่ไหม แกชอบเขาถึงขั้นต้องย้ายไปอยู่ข้างกัน นี่ตั้งใจจะรุกแล้วใช่ไหม” ธามเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนราวกับกำลังมองตัวประหลาด ก่อนจะก้มหน้าลงเซ็นเอกสารตรงหน้าเขาต่อ

               “รุกบ้ารุกบออะไรของแก ถ้าฉันคิดกับนีน่าแบบนั้น ฉันจะรอมาถึงตอนนี้ทำไมวะ ป่านนี้แต่งงานมีลูกวิ่งเต็มบ้านไปนานแล้ว”

               “เออ นั่นดิวะ ทำไมแกไม่แต่ง” ธามเหลือบตาขึ้นมองคนที่ยังไม่ยอมจบเรื่องนี้ “หมอนีน่าก็น่ารักดี เก่งด้วย เวลาแกมีอะไร ก็เห็นแกวิ่งไปซบอกเขาตลอด แกลองถามใจตัวเองดูดีๆ ดิวะ มันใช่แค่เพื่อนจริงเหรอ”

               “เพื่อนโว้ย!”

               “ไม่เอาหน่าธาม แกไม่ต้องกันที่ เผื่อเลือกไว้ให้สาวหน้าไหนเลย ผู้หญิงคนไหนก็เข้าหาแกเพราะเงินทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องคิดจะมีคนอื่นหรอก แต่งงานกับหมอนีน่านี่แหละ เชื่อฉัน” 

               คู่สนทนาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองชินกฤต คุณย่าก็ทีหนึ่งแล้วจะให้แต่งงาน แล้วนี่ไอ้เพื่อนรักยังจะเจ้ากี้เจ้าการเลือกเจ้าสาวให้เขาอีก คนรอบตัวเป็นอะไรกับไปหมดละเนี้ย

               “ฉันพูดจริงนะเว้ยไอ้ธาม แกกับหมอนีน่า เหมาะสมกันมาก แม้มันอาจจะเป็นฝันร้ายสำหรับหมอนีน่าก็ตาม” 

            ในที่สุดธามก็ยอมเงยหน้าขึ้นจากเอกสาร แล้วขมวดคิ้วใส่เพื่อน หากแต่ต้นเหตุไม่ใช่ประโยคที่ทนายชินพูด แต่กลับเป็นความผิดปกติบางอย่างที่เขาเริ่มรู้สึกได้ต่างหาก

               “เท่าไหร่” ธามเอ่ยถามห้วนๆ

               “อะไร”

               “เท่าไหร่” เสียงคนถามเริ่มสูงขึ้น 

               “อะไรเท่าไหร่ล่ะ”

               “ที่ย่าฉันจ้างแกน่ะ เท่าไหร่ หื้อ?” ยิ้มมุมปากกระตุกให้กับคนถูกถาม พยายามโน้วน้าวจนออกนอกหน้าขนาดนี้ ไม่พ้นแผนการของคุณย่าแน่

               “ก็ไม่ได้จ้างหรอก”

               “เท่าไหร่”

               “ยังไม่ได้บอกโว้ย...ย ว่าเท่าไหร่” 

            คนฟังแค่นเสียงหัวเราะ หึ! เหมือนที่คิดไว้ไม่มีผิด

               “เดี๋ยวนี้แกหัดทำตามคำสั่งย่าฉันแล้วเหรอ คิดจะหักหลังเพื่อนเลยเหรอวะ”

               “อ้าว ไม่ได้นะครับ แกต้องเข้าใจ ว่าฉันทำตามคำสั่งแก เพราะว่าแกเป็นนายจ้างฉัน แต่แกก็ย่าลืมนะเว้ย ว่าแกเป็นรองประธาน แต่ท่านประธานน่ะ...ย่าแก ถ้าฉันต้องเลือกข้าง แกก็น่าจะรู้ ว่าต้องเลือกข้างไหน” 

            “แล้วความเป็นเพื่อนของเราล่ะ”

            “มันถูกซื้อได้ด้วยเงินว่ะ”

               “เหอะ ไอ้ชิน ไอ้เพื่อนทรยศ” ธามว่าเสียงขึ้นจมูก “งั้นแกฟังฉัน...ไม่! แต่ง! โว้ย! ชัดไหม!” 

               “ทำไมวะ! หมอนีน่าไม่ดีตรงไหน แต่งให้ย่าแกสบายใจไม่ได้รึไง ยังไงแกก็ไม่ได้ชอบใครอยู่แล้วนี่”

               “แกรู้ได้ไง” น้ำเสียงเรียบเฉยที่สวนกลับทันควัน เบิกตาของชินกฤตให้เปิดกว้าง ก่อนมือหนาจะยกขึ้นปั่นหูราวกับไม่แน่ใจในสิ่งที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่

               “มะ...เมื่อกี้แกว่าอะไรนะไอ้ธาม แกกำลังจะบอกฉันว่า แกมีคนที่ชอบแล้ว...เหรอวะ” 

            คนถูกถามเงยหน้าขึ้นสบตา แต่ไม่เอ่ยตอบ คนถามจึงเริ่มหรี่ตามองอย่างจับผิดอีกครั้ง

               “อย่ามาอำน่ะ อย่าคิดจะเบี่ยงประเด็น ทั้งชีวิตที่ฉันรู้จักแกมา ไม่มีผู้หญิงคนไหนเข้าถึงใจแกได้...นอกจากหมอนีน่า”

               “ก็แล้วแต่จะคิด”

               “อะไรวะ! ไม่คิดจะบอกฉันหน่อยเหรอ”

               “ก็บอกอยู่ไง แกไม่เชื่อเอง” 

               “เฮ้ย! เรื่องจริงเหรอเนี่ย” ชินกฤตใช้ท่อนแขนกวาดแฟ้มเอกสารมากมายที่กองตรงหน้าท่านรองประธานให้เลื่อนไปข้างๆ ประเด็นใหญ่แบบนี้ ไม่ควรมีสิ่งใดมาเบี่ยงเบนความสนใจ “งั้นใคร บอกมาเลย บอกมา เร็วๆ” 

               “ไม่บอกแล้วเว้ย”

               “อ้าว! อะไรวะ!” คนรอฟังถึงกับคอตก “งั้นก็แปลว่า...ข่าวนี้ของแกไม่จริงอ่ะดิ” ทนายความหนุ่มว่าพร้อมกับยกสมาร์ตโฟนขึ้นตรงหน้าเพื่อน 

               “โอ๊ย...ย ข่าวไหนอีกวะเนี้ย!”

               “สบายใจเรื่องนึง แล้วก็ไปกังวลใจอีกเรื่องนึงแทน...เฮ้อ ให้มันได้อย่างงี้สิ ช่อผกา” สาวน้อยที่กำลังใช้เวลาส่วนตัวก่อนเข้านอนคิดวกไปวนมากับเรื่องเดิมซ้ำๆ ทั้งๆ ที่รู้ดี ว่าต่อให้คิดจนหัวระเบิดก็คงไม่ได้คำตอบ 

               เขาไปอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร กินยังไง นอนยังไง คิดวนอยู่ลูปเดิมๆ ทุกคืนตั้งแต่ตอนที่เธอแน่ใจว่าเขาย้ายออกจากบ้านอย่างที่ว่าแล้วจริงๆ

               “นั่นมันหลานเจ้าของบ้านเลยนะช่อ นี่เราเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องออกจากบ้านไปรึเปล่านะ” คำถามเดิมรอบที่พันสองร้อยสามสิบหก “แต่เขาทำเราก่อน การรับผิดชอบความผิดแบบนั้น มันก็ถูกต้องแล้ว” คำตอบเดิมรอบที่สองร้อยสามสิบหกอีกเช่นกัน

               “อยู่สบาย เป็นคุณชายมาทั้งชีวิต ออกไปอยู่คนเดียวแบบนั้น เงินก็เยอะ คงไม่แห้งตายหรอกเนาะ ใช่ๆ โตแล้วด้วย เป็นถึงผู้บริหารบริษัทใหญ่ ถ้าบริหารชีวิตตัวเองไม่ได้ ก็เจ๊งเหอะ” ช่อผกาว่า พลางพยักหน้าคล้ายจะยืนยันคำพูดของตัวเอง “แต่ที่จริง...เขาก็ไม่ได้ตั้งใจนะ ดูเหมือนเขาจะรู้สึกผิดด้วย โดนเนรเทศออกไปแบบนั้น ร้ายแรงไปหน่อยไหมนะ”

               หญิงสาวสะบัดหน้าไล่ความคิด ก่อนจะยกสมาร์ตโฟนขึ้น ตัดสินใจออกท่องโลกโซเซียลเพื่อเบนความสนใจของตัวเองแทน 

               แอพลิเคชั่นสีน้ำเงินยอดฮิตถูกเปิดขึ้นเป็นอันแรก นิ้วเรียวเลื่อนหน้าจอเพื่อรับรู้ความเป็นไปของเพื่อนๆ ที่ถูกแชร์ลงในนั้น อันที่จริง เธอมีเพื่อนอยู่ไม่มากนักหรอก เพราะตั้งแต่หนีมาอยู่ที่เมืองไทย ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอก็ถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ทั้งชื่อ นามสกุล ที่อยู่ และแน่นอนว่ารวมไปถึงชื่อบัญชีทุกอย่างบนโลกออนไลน์ด้วย 

               ก็อย่างที่เจ๊ไหมบอก...ปล่อยให้ เอสเธอร์ ลี หายสาบสูญไปตลอดกาล เธอก็เลยต้องตัดขาดจากเพื่อนทุกคนบนเกาะสิงคโปร์ ส่วนเพื่อนที่มีอยู่ตอนนี้ ก็มีแค่ เพื่อนที่เจอกันตอนเรียนผู้ช่วยพยาบาล เพื่อนๆ พี่ๆ ที่โรงพยาบาล แล้วถ้าจะถามว่าสนิทกับใครที่สุดน่ะเหรอ ก็คงไม่พ้น มาลีกับฝนนี่แหละ เจอหน้ากันทุกวัน แต่ว่าตอนนี้ ฝนดันโดนย้ายให้ไปอยู่บ้านใหม่ที่เป็นเรือนหอของพี่หมอธัชกับพี่ดาว โลกทั้งใบของช่อผกาเลยเหลือแค่มาลีเป็นเพื่อนสนิทข้างกายคนเดียว คิดแล้วอยากจะถอนหายใจทิ้งสักร้อยครั้ง

               แต่ก็ยังนับว่าโชคดี ที่แม้ว่าตอนนี้เธอจะไม่ได้เจอฝนทุกวันเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ยังรับรู้ความเป็นไปของฝนได้ดีจากเจ้าแอพลิเคชั่นสีฟ้าแสนฉลาดตัวนี้นี่แหละ เรียวปากบางผลิยิ้ม หัวเราะเคล้าตามไปอีกหน่อย เมื่อเห็นภาพถ่ายน่ารักของฝนกับเพื่อนใหม่ที่ชื่อ...น้อย เด็กรับใช้วัยไล่เลี่ยกันที่ตามอยู่กับพี่ดาว ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีซะด้วย สาวร่างบางยิ้มให้กับโทรศัพท์มือถือของเธออีกครั้ง ก่อนจะฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้…

               ที่จริง...เธอก็สามารถรับรู้ความเป็นไปของใครอีกคนผ่านเจ้าสมุดโซเซียลเล่มนี้ได้เหมือนกันนี่นา ใบหน้าจิ้มลิ้มอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะลงมือเสิร์ชหาสิ่งที่เธออยากได้ทันที

               “อยากเกิดเป็นคนดังเองนะคุณธาม หาเฟสบุ๊กได้แค่ปลายนิ้วจริงๆ”

               เพียงไม่กี่ครั้งที่นิ้วของเธอแตะลงบนหน้าจอ หญิงสาวก็ได้ในสิ่งที่เธอตามหา หน้าเฟสบุ๊กของนักธุรกิจหนุ่มผู้หายสาบสูญถูกเปิดขึ้นมาทันที

               “ขอดูหน่อยนะค้า...า” คนแอบดูว่าพร้อมกับเริ่มลากนิ้วไปสำรวจ แล้วสายตาของเธอก็สะดุดกับภาพล่าสุดที่เขาโพสเอาไว้

               ภาพแสงไฟของตึกสูงมากมายที่ดูเหมือนจะถูกถ่ายจากที่สูงที่ไหนสักแห่งของเมืองหลวงแห่งนี้ ภาพถ่ายที่ไม่มีคำบรรยายใต้ภาพใดๆ หากแต่ทำให้คนที่ดูอยู่สัมผัสได้ถึงความเหงาและความโดดเดี่ยวที่แฝงอยู่ในเหลือบเล็กๆ ของความศิวิไลซ์ที่เห็นนี้ มันจะเป็นความรู้สึกของคนถ่ายที่ถูกสะท้อนออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจรึเปล่านะ

               “นี่คุณอยู่ไหนของคุณกัน ฉันทำให้คุณต้องอยู่คนเดียว แต่ตัวเองกลับถูกห้อมล้อมด้วยผู้คนใจดีในบ้านหลังนี้...มีความสุขอยู่ในบ้านของคุณแทน ใช้ชีวิตอยู่บนความสุขที่ควรจะเป็นของคุณ ฉันกำลังทำแบบนั้นอยู่รึเปล่าคะ คุณธาม” หญิงสาวเอ่ยความคิดที่เป็นความกังวลใจของเธอมาตลอดตั้งแต่เขาก้าวออกจากบ้านไป 

               ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะคุณย่าบ่นถึงหลานชายคนเล็กที่หายหน้าหายตาไปเลย ไม่โผล่มาที่บ้านไม่พอ ยังไม่ติดต่อกลับมาด้วย ไม่รู้ว่าตายไปแล้ว หรือสุขสบายจนลืมคนที่บ้านไปแล้วกันแน่

               “เฮ้อ...ตั้งแต่ออกจากบ้านไป ก็โพสอยู่รูปเดียว แถมไม่ได้ช่วยให้รู้อะไรมากขึ้นเลย นึกว่าจะเป็นพวกโซเซียลจ๋า ที่แท้ก็ไม่ใช่ เอ๊ะ! หรือว่าโพสมากกว่านี้ แต่ต้องเพิ่มเป็นเพื่อนก่อนถึงจะเห็น” คนตัวเล็กจิ้มคางตัวเองเบาๆ อย่างครุ่นคิด “อืม...ไม่เพิ่มดีกว่า เดี๋ยวจะหาว่าเราสนใจ เชื้อโรคหลงตัวเองยิ่งพร้อมจะเจริญเติบโตอยู่ด้วย” ช่อผกาเบ้ปากใส่ แล้วเลือกทีจะกดย้อนกลับไปที่หน้าเว็บไซต์ค้นหาแทน 

               ไม่ต้องเพิ่มเพื่อนหรอก เอาไว้อยากดูเมื่อไหร่ค่อยเสิร์ชแบบนี้แหละ ดีที่สุดแล้ว

               ช่อผกากวาดสายตาเรื่อยเปื่อยไล่ไปตามลิงค์เว็บไซต์อื่นๆ ที่แสดงบนหน้าผลการค้นหา ก่อนสายตาของเธอจะไปหยุดอยู่กับตัวหนังสือสีน้ำเงินตัวใหญ่ในอีกไม่ที่บรรทัดถัดมา

               ‘จับผิด! หมอสาวหน้าใส ขวัญใจคนใหม่ แคซาโนวาธาม อยู่ก่อนแต่งแล้ว จริงหรือ’

               นิ้วเรียวกดเข้าลิงค์คอนเทนต์ข่าวนั้นทันที แทบไม่ต้องรอให้สมองสั่งการ และเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากที่เนื้อหาของเว็บไซต์ปรากฏขึ้นบนจอสมาร์ตโฟน สิ่งที่ดึงเอาความสนใจของเธอไปได้เป็นอันดับแรกไม่ใช่เนื้อหาที่ถูกเขียนบรรยายเอาไว้หลายบรรทัด แต่กลับเป็นรูปถ่ายสามสี่รูปบนหน้าเว็บนั่นต่างหาก

               “นี่มัน...หมอนีน่านี่ มีรูปแอบถ่ายทั้งตอนเข้าตอนออกคอนโดฯ ขนาดนี้ แถมชุดไม่ซ้ำเลยด้วย” คนตัวเล็กพยักหน้า ดูเหมือนทุกคำตอบที่เธออยากรู้จะอยู่ในนี้หมดแล้วล่ะ

               รูปถ่ายในเฟสบุ๊คเมื่อกี้นี้ก็คงเป็นภาพที่ถ่ายจากคอนโดฯ เดียวกันกับในรูปนี้ เขาคงอยู่ที่นี่ กับหมอสาวในภาพนี้ และแน่นอนว่า...เขามีความสุขดี ความเหงาที่เธอรู้สึกได้จากภาพเมื่อตะกี้นี้...เธอมโนไปเองทั้งนั้น

               “คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วง ที่แท้ก็เริงร่า สบายใจ แถมมีข้ออ้างดีๆ ไปอยู่กับหมอนีน่า คนในดวงใจอีก ไม่น่าคิดกังวลเป็นอาทิตย์ๆ เลย เสียเวลาชะมัด” สาวน้อยย่นจมูกใส่ชายหนุ่มในรูปราวกับว่าเขายืนอยู่ตรงหน้า “แต่ก็ดีแล้วล่ะ ต่อไปนี้ฉันได้เลิกคิดเรื่องคุณสักที เดี๋ยวฉันจะช่วยบอกคุณย่าให้ก็แล้วกันนะคะ ว่าหลายชายคนเล็กอยู่ดีกินดี จะเรียกว่า...เสวยสุขจนลืมคนที่บ้านไปแล้วก็ยังได้ คุณย่าจะได้ไม่เป็นห่วง” 

               ที่จริงถ้าคุณย่ารู้ นอกจากจะหมดห่วงแล้ว อาจจะดีใจเสียด้วยซ้ำ เพราะว่าเท่าที่ฟังจากปากของท่านแล้ว ดูเหมือนว่าคุณย่าพริ้มเพราอยากจะให้หมอนีน่ามากำราบหลานชายสุดแสบเสียเหลือเกิน พูดอยู่เสมอว่าถ้าไม่ใช่หมอนีน่า ก็คงไม่มีใครสามารถถอดเขี้ยวเล็บเสือธามได้ ดูจากภาพแล้ว ที่คุณย่าพูด ก็คงไม่ผิด

                ไหนจะรูปถ่ายบนโต๊ะทำงานในห้องนอน ไหนจะที่บอกว่าไปทานข้าวกับหมอนีน่ามา เมื่อวันนั้นที่โต๊ะอาหาร แล้วนี่ก็ออกจากบ้านไปอยู่คอนโดฯ หมอนีน่าอีก

               “เหอะ! ผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เคยเป็นข่าวด้วย ตัวหลอกชัดๆ คุณนี่มันสุดยอดจริงๆ เลย” สาวร่างบางว่า ก่อนจะปิดหน้าเว็บไซต์ลง แต่แล้วภาพถ่ายของเธอที่ถูกใช้เป็นพื้นหลังของโทรศัพท์ ภาพที่ใครบางคนเป็นคนถ่ายให้ที่งานแต่งงานของหมอธัช ก็ทำให้เธอหวนคิดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะพ่นลมหายใจทางปากอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อคิดว่าเธอคือหนึ่งในตัวหลอกของเขา

               “เหอะ! หมาหยอกไก่ขั้นเทพ หว่านเสน่ห์ชั้นเซียน ตีเนียนได้โล่ สมชื่อแคซาโนวาธามจริงๆ อย่าไปหลงเชียวนะช่อ ให้ไปอยู่ห่างๆ นั่นแหละดีแล้ว ปลอดภัยที่สุด” หญิงสาวโยนโทรศัพท์ออกไปห่างตัว ก่อนจะจิ้มนิ้วเรียวเบาๆ ที่ศีรษะ คล้ายจะย้ำให้คำพูดของเธอซึมลึกเข้าสมอง

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น