16

ตอนที่ 15


                “อื้ม!

15


               “ตกลงว่านี่ฉันต้องไปส่งแกที่บ้านจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย” นักธุรกิจหนุ่มเดินหอบแฟ้มเอกสารมาก
มายมาถึงลานจอดรถพร้อมกับผู้ช่วยจำเป็นที่ถูกเรียกใช้งานเป็นประจำ ทนายชินคนเดิม เพิ่มเติมคือแฟ้มที่เต็มไม้เต็มมือเช่นเดียวกัน

               “อ้าว ไอ้นี่ ถามย้ำไปย้ำมาอยู่นั่นแหละ แกเป็นอะไรของแก แค่ไปส่งฉันที่บ้าน มันก็ไม่ได้ไกลขนาดนั้นสักหน่อย” ชินกฤตวางของในมือลงบนเบาะรถ แล้วเท้าสะเอวโวยวาย “ทำไม หมอนีน่าก็ไม่อยู่ไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นต้องรีบกลับเลย”

               “ไม่ได้รีบกลับ แต่อยากให้แกนั่งแท็กซี่ไป”

               “ไม่เว้ย! คิดว่าหมดประโยชน์แล้วจะไล่กลับดื้อๆ ได้เหรอ ไม่มีทาง! ฉันให้พ่อเอารถกลับไปก่อนแล้วด้วย ยังไงแกก็ต้องไปส่งฉัน นี่มันสามทุ่มแล้ว แกก็รู้ หมู่บ้านฉันมันเข้าไปลึก แท็กซี่ชอบเล่นตัวไม่ไป เบื่อจะต่อรอง”

               “แน่ใจนะ ว่าจะเอาอย่างงั้น” เจ้าของรถหันมองกอดอกถามเสียงเรียบ

               “ก็เออดิ! ไอ้นี่ถามแปลกๆ”

               “เค๊! งั้นก็ขึ้นรถ” 

               และเพียงไม่กี่รอบที่ล้อรถหมุน ทนายผู้มีความถนัดเรื่องการจับผิด ก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างจนได้ เขาหันมองรอบตัวอยู่หลายรอบ ก่อนจะเก็บความข้องใจเอาไว้ไม่อยู่

               “ไอ้ธาม เดี๋ยวนี้แกโดนปาปารัสซี่ตามถ่ายรูปอยู่รึเปล่าวะ ทำไมฉันรู้สึกแปลกๆ เหมือนถูกมองอยู่ตลอดเวลาเลยว่ะ” 

               “อืม ช่วงนี้ฉันโดนตามอยู่ แต่ไม่น่าใช่ปาปารัสซี่ว่ะ” 

                คนฟังขมวดคิ้ว ค่อยๆ หันไปมองคนที่ขับรถอยู่อย่างช้าๆ แกหมายความว่าไงวะ ไม่ใช่ปาปารัสซี่แล้วเป็นใคร 

                ธามยักไหล่ให้พร้อมกับใบหน้าอมยิ้ม ผีมั้ง

               “เฮ้ย! พูดอะไรของแก”

               “ผีที่บริษัทชอบตามไปส่งฉันถึงคอนโดฯ เลย”

               ชินกฤตกะพริบตาปริบๆ “ไอ้ธาม คนไทยเขาไม่พูดเล่นเรื่องอะไรแบบนี้กันนะครับ”

               “ฉันก็ไม่ได้พูดเล่น พูดจริงๆ ตามมาจริงๆ” 

               ทนายหนุ่มกลืนน้ำลายหนืดลงคอ เพราะคำตอบที่มาพร้อมกับใบหน้าเรียบนิ่งของคู่สนทนา ทำให้เขาชักไม่แน่ใจแล้วว่าไอ้นักธุรกิจตัวร้ายที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่

               “‘งั้นฉันว่า แกไปส่งฉันที่บ้านเลยนะ ไม่ต้องแวะกินข้าวแล้ว เดี๋ยวฉันให้แม่ทำให้” คนฟังชำเลืองมองยิ้มๆ “ว่าแต่...เขานั่งตรงไหนวะ ฉันคงไม่ได้นั่งทับเขาอยู่ใช่ไหม” 

               ธามหัวเราะในลำคอเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางเลิ่กลั่กของเพื่อน “ไม่รู้ว่ะ เคยพยายามมองหาหลายทีแล้ว แต่ไม่เห็นเลย” 

               “อ้าว! ตกลงแกอำฉันใช่ไหมไอ้ธาม” 

                เจ้าของรถชำเลืองมองกระจกมองข้าง ก่อนจะเปลี่ยนมาเหลือบขึ้นมองกระจกมามองหลัง 

               “แต่ฉันว่าวันนี้แกอาจจะได้เจอ”

               “เฮ้ย! ไม่เอาเว้ย”

               “ไม่ทันละครับ!” 

                สิ้นเสียง มือหนาตบปัดเพิ่มเกียร์ เร่งเครื่องให้แรงขึ้นกะทันหัน จนคนนั่งที่ไม่ทันได้ตั้งตัวรู้สึกเหมือนถูกความเร่งของรถกระชากจนหลังติดเบาะ ตกใจเสียจนลืมเรื่องสยองขวัญเมื่อครู่ฉับพลัน แล้วหันไปโวยใส่เพื่อนแทน

               “แกจะเร่งขนาดนี้ทำไมวะไอ้ธาม! ซอยเข้าบ้านฉันมันมืด ถ้าเกิดจู่ๆ มีคนโผล่มาก็เบรกไม่ทันก็พอดี!”

               “จังหวะนี้ไม่น่าเบรกได้นะ ดูข้างหลังดิ” ชินกฤตขมวดคิ้วให้คำพูดแปลกๆ นั้น ก่อนจะหันมองตามที่ธามบอก “ผีมาของจริงแล้วทีนี้”

               “เฮ้ย!” ชายหนุ่มร้องเสียงหลง ตาเบิกกว้าง ปากอ้าค้างทันที เมื่อเห็น ‘ผี’ ที่เพื่อนว่า

               ชายฉกรรจ์ชุดดำสองคนกำลังขับมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ไล่ตามพวกเขามาติดๆ คงเพราะตอนนี้รถที่พวกเขานั่งอยู่ เคลื่อนที่เข้ามาในซอยก่อนถึงหมู่บ้าน ที่ค่อนข้างเปลี่ยวและมืดมากในเวลาเกือบสี่ทุ่มแบบนี้ จากที่พวกคนร้ายตามอยู่ห่างๆ มันจึงฉวยโอกาสนี้ เร่งเครื่องขึ้นมาประชิด และดูเหมือนว่าตอนนี้พวกมันพยายามจะขึ้นมาตีคู่ให้ได้

               “เอาไงดีวะธาม” คนที่เริ่มกลัวจนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเอ่ยถามผู้ร่วมชะตากรรม 

               ธามหันมองกระจกมองข้างจนแทบไม่ได้สนใจทางข้างหน้า แต่กลับเร่งเครื่องตีนผี ไม่กลัวว่าจะชนกับอะไรเลยแม้แต่น้อย 

               “แกบอกทางมา เดี๋ยวฉันจะเหยียบให้มิดเลย”

               “แล้วนี่มันยังไม่มิดอีกเหรอวะ ข้างหน้าเลี้ยวซ้าย” คนขับตบพวงมาลัยตามคนบอกทางหมายจะหลบหนี แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายไล่ตามก็จะรู้เส้นทางดีไม่แพ้กัน 

               “เราต้องออกถนนใหญ่ในเร็วที่สุด ถ้าอยู่ที่เปลี่ยวๆ แบบนี้ มันใส่พวกเราไม่ยั้งแน่”

               “ฉันไม่น่ามากับแกเลยว่ะไอ้ธาม” ชินกฤตที่จับสายเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แน่น ว่าด้วยเสียงโอดครวญอันมีความตระหนกเจืออยู่ไม่น้อย

               “ก็ถามย้ำแล้วตั้งหลายรอบ แกยืนยันเหมือนเดิมเองนี่”

               “แล้วทำไมแกไม่บอกแต่แรก ข้างหน้าๆ เลี้ยวขวาข้างหน้า”

               “อีกนานไหมกว่าจะออกถนนใหญ่” ธามเอ่ยถามเมื่อเลี้ยวเข้ามาตามทางแล้วกลับรู้สึกว่ามันมืดกว่าเดิม ดูจะไกลจากถนนใหญ่เข้าไปทุกทีเสียมากกว่า 

               ชินกฤตหายใจดังพรืดๆ แต่ไม่เอ่ยตอบ จนคนขับที่สีหน้าเริ่มเครียดต้องหันไปมอง แล้วก็ต้องพบว่า ที่ดูจะเครียดกว่าคนขับคงจะเป็นคนนั่งที่เหงื่อแตกพลั่กอยู่ข้างๆ มากกว่า

               “ไม่รุ้ว่ะไอ้ธาม ฉันก็บอกมั่วๆ มันงงไปหมดแล้ว”

               “อ้าว เฮ้ย!”

               “ไอ้ธามเร็วดิ๊ มันขับขึ้นมาข้างแกแล้ว!!” ธามรีบหันมองทางขวา แล้วก็ต้องกัดฟันแน่น คนร้ายเร่งเครื่องขึ้นมาขนาบข้างอย่างที่เพื่อนบอกจริงๆ 

               “ยังหาเมียไม่ได้เลย จะตายไหมวะเนี่ยไอ้ชิน”

               ในขณะที่คนหนึ่งกำลังคร่ำครวญ อีกคนก็หัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ สมองคิดประมวลผลไปไม่รู้กี่ตลบว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ดี แล้วในตอนนั้นเอง...

               “เฮ้ย…ย ไอ้ธาม มันมีปืนด้วย!” คนถูกเรียกหันขวับไปหาต้นเสียง ที่จู่ๆ ก็ตะโกนลั่นออกมา ก่อนคำว่า ‘ปืน’ ที่วิ่งไปถึงสมองจะทำให้เขารีบไปหาเป้าหมายที่เพื่อนชี้อยู่ทันที

               “เอางี้เลยเหรอ! นี่เล่นปืนเลยเหรอวะ ของจริงปะเนี่ย”

               “มันใช่เวลามาถามไหมว่าของจริงของปลอม จะโดนมันยิงกะบาลอยู่แล้ว”

               “อ้าว ก็เผื่อมันไม่ใช่ของจริง เมื่อกี้มองไม่ทัน มันมืด” 

               ชายหนุ่มสองคนเถียงกันโดยไม่ละลายตาไปจากปืนที่ชายฉกรรจ์คนซ้อนหันปากกระบอกชี้เข้ามาในรถ ความตกใจทำให้ทั้งสองคนทำอะไรไม่ถูก คนร้ายอีกคนจึงอาศัยจังหวะที่คนในรถกำลังตื่นตระหนกอยู่นี้ เร่งความเร็วขึ้น แล้วปาดหน้าดักเป้าหมายเอาไว้ทันที

               “ไอ้ธาม ข้างหน้า จะชนแล้ว หักดิ!” 

              เอี๊ยดดดด 

               โครม!

               “ช่อ! คุณย่าล่ะ” เสียงมาลีที่วิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามาในครัวโพล่งถามขึ้น 

               ช่อผกาลดแก้วน้ำที่กำลังดื่มลง คิ้วขมวดเล็กน้อยเพราะสีหน้าของคนถาม “คุณย่าขึ้นนอนแล้ว มีอะไรรึเปล่ามาลี หน้าตาตื่นเชียว”

                สาวใช้ตัวน้อยผู้แบกรับความกังวลรีบตรงเข้าไปหาเพื่อน มือบางของเธอกุมกันไว้ที่หน้าอกอย่างกระวนกระวายใจ

               “ทำยังไงดีช่อ ลุงชรัณโทร. มาบอกว่าคุณธามรถชน!”

               หัวใจที่ทั้งสั่นทั้งหวิวหอบเอาความกังวลใจ ความรู้สึกมากมายที่ไม่รู้จะบอกอันไหนก่อนดีนี้ให้เดินทางมาพร้อมกับเจ้าของขาเรียวที่วิ่งทั่กๆ หน้าตั้งไปขึ้นรถที่จอดรออยู่หน้าบ้าน คำว่า ‘รถชน’ แค่คำเดียว หัวใจของสาวน้อยก็หล่นวูบไปถึงตาตุ่ม ภาพผู้ป่วยจากอุบัติเหตุรถชนที่เธอเคยเห็นครั้งยังทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลไหลเข้ามาฉายในหัวซ้ำๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยิ่งคิดเหมือนยิ่งกระตุ้นหัวใจตัวเองให้แกว่งไกวราวกับจะหลุดออกจากขั้วให้ได้

               เพราะว่าคุณย่ากับนมผันขึ้นนอนแล้ว แถมพอไปหาพี่หมอธัชกับพี่ดาวที่ตึกเล็ก ฝนก็ดันบอกว่า คุณย่าให้ทั้งคู่ออกไปทานข้าวนอกบ้านด้วยกันอีก เท่านั้นแหละ อำนาจการตัดสินใจสูงสุดในบ้านหลังมหึมาหลังนี้ เลยตกมาเป็นของช่อผกาอย่างหาทางบิดพริ้วไม่ได้

               เพราะลุงชรัณไม่ได้บอกว่าเจ็บมากน้อยแค่ไหน การไปปลุกคุณย่าให้ตื่นมารับรู้เรื่องน่าตกใจนี้ ดูจะไม่ใช่การกระทำที่ดีเท่าไรนัก ดีไม่ดีจะยิ่งมีคนป่วยเพิ่มขึ้นอีกคน หรืออาจจะสองคนรวมนมผันเข้าไปด้วย

               ผู้ช่วยพยาบาลสาวเลยตัดสินใจแล้วว่า เธอนี่แหละ จะไปดูให้เห็นกับตาที่โรงพยาบาลเองว่าหลานชายที่หายหน้าหายตาไปเสวยสุขเกือบเดือน แล้วส่งข่าวกลับมาด้วยคำว่า ‘รถชน’ เนี่ย เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง

               แน่นอนว่าลุงมิ่งยังคงรับหน้าที่ขับรถมาส่งเธอที่โรงพยาบาล ด้วยความเร็วที่มาถึงจุดหมายเร็วกว่าปกติ ทำให้สาวน้อยรับรู้ความเป็นห่วงของคนขับรถประจำบ้านได้โดยที่เขาไม่ต้องเอ่ยปากบอกเธอเลยสักคำ แม้แต่ตัวเธอเอง ที่ตอนแรกคิดว่าก็แค่ตกใจ หัวใจมันเลยรู้สึกหวิวๆ ไปเท่านั้น แต่ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ยิ่งได้นั่งเงียบๆ ในรถมาตลอดทาง หัวใจกับยิ่งควบคุมไม่ได้มากขึ้นทุกที

               “ห้องฉุกเฉิน ห้องฉุกเฉิน ห้องฉุกเฉิน” คนตัวเล็กที่เริ่มลดความเร็วของการวิ่งให้เริ่มช้าลง เพื่อให้สมองได้ประมวลความคิดในหัว ทั้งที่เธอก็ทำงานที่นี่อยู่ตั้งหลายเดือน แต่พอถึงเวลาฉุกเฉินแบบนี้ สมองกลับบอกไม่ค่อยจะได้ว่าห้องฉุกเฉินต้องไปทาง จนกระทั่งแสงสว่างจากป้ายไฟมีแดงพุ่งเข้ากระทบตา ก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าทำไมป้ายห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลต้องทั้งใหญ่ และเป็นป้ายไฟสีแดงเด่นสะดุดตาขนาดนั้น

               คนตัวเล็กสาวเท้าตรงไปยังเป้าหมายของเธออย่างไม่รอช้า และทันทีที่ขาเรียวพาเธอมาถึงที่หมาย ประตูห้องฉุกเฉินก็ถูกผลักให้เปิดออกพอดิบพอดี

               ภาพหมอหนุ่มตัวสูงที่เธอคุ้นหน้าคุ้นตาดี อาจไม่แปลกอะไรหากเธอจะเจอเขาที่นี่ หากแต่ตอนนี้เขาไม่ได้ใส่เสื้อกาวน์เหมือนอย่างทุกครั้ง ความรู้สึกชาวาบเข้ายึดครองร่างกายทุกส่วนอย่างไม่มีสาเหตุ ภาพที่เธอเห็นมันกำลังบอกเป็นนัยๆ ว่านี่ไม่ใช่เวลางานของเขา การที่เขามาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ กับเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดนั้น... 

               มือบางที่เริ่มสั่นยกขึ้นปิดปาก แววตาสั่นระรัวถูกส่งไปให้คนตรงหน้า ความหวาดหวั่นเริ่มทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นแรงขึ้น และในตอนที่สาวเจ้าพยายามเค้นเสียงออกมาเพื่อจะเอ่ยถาม ประตูห้องฉุกเฉินก็ถูกผลักออกอีกครั้ง พร้อมกับการปรากฏตัวของ...

               “พี่ธาม!”

               “ช่อ...” หนุ่งร่างสูงนิ่งมองสาวน้อยที่เขาไม่คิดว่าจะเจอเธอที่นี่ ในเวลานี้ “มาได้ไงเนี่ย”

               ช่อผกามองสลับไปมาระหว่างคุณหมอเสื้อเปื้อนเลือดกับชายหนุ่มที่กำลังยกมือซ้ายขึ้นทุบบ่าข้างขวา เอียงศีรษะไปมา คล้ายจะคลายความปวดเมื่อย เปลือกตาของหญิงสาวกะพริบปริบๆ ผู้ชายที่เขาให้เธอเป็นกังวลจนใจเต้นไม่เป็นจังหวะ นอกจากเสื้อผ้าของเขาจะไม่เปื้อนเลือดแม้สักหยดเดียวแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะไม่บาดเจ็บอะไรเลยแม้แต่น้อย นอกจากความปวดเมื่อยที่กำลังทุบไล่ให้ออกไปอยู่นั้น

               “แล้วทำไม...เสื้อพี่หมอธัชถึง...” คนตัวเล็กชี้ไปที่ตัวการใหญ่ที่ทำให้เธอเข้าใจผิด

               “อ๋อ นี่เลือดของคนไข้ที่พี่พามาน่ะครับ มีอุบัติเหตุรถชนแถวใกล้ๆ ร้านอาหารที่พี่ไปพอดี”  

                ช่อผกายิ้มแห้งๆ ตอบกลับคุณหมอ ใจอยากจะโกรธ แต่ก็ไม่รู้จะโกรธใครดี ทุกอย่างมันช่างลงล็อกให้เธอคิดไปไกลอะไรขนาดนี้ พระเจ้าแกล้งกันอีกแล้วใช่ไหม

               “เอ่อ งั้นฉันไปก่อนนะ ทิ้งคุณดาวให้รออยู่ที่ร้านอาหาร ป่านนี้หนีกลับไปแล้วรึเปล่าก็ไม่รู้ อย่าลืมไปรับยาด้วยล่ะ”

               “เออๆ รู้แล้วน่ะ ไว้เจอกัน”

               “พี่ไปนะครับ น้องช่อ”

               “ค่ะ พี่หมอธัช” หญิงสาวส่งยิ้มทิ้งทายให้กับแฝดคนพี่ที่ขอแยกตัวออกไปก่อน แล้วพอหันกลับมา สายตาก็ดันไปประสานกับแฝดคนน้องที่ยืนนิ่งมองเธออยู่พอดี 

               เพิ่งโล่งอกไปแท้ๆ อยู่ดีๆ ใจก็เต้นแรงขึ้นมาอีกเสียนี่ หญิงสาวทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนแน่นิ่ง มองตากับเขาอยู่อย่างนั้นนานร่วมนาที ในที่สุด เขาก็เป็นฝ่ายเริ่มเปิดบทสนทนาทำลายความรู้สึกเงียบ ที่จริงๆ แล้วบรรยากาศรอบข้างไม่ได้เงียบนี้ลงเสียที

               “มาได้ยังไง” ธามเอ่ยถามพร้อมกับก้าวเข้าหาสาวร่างบางด้วยความเร็วที่ช้ากว่าปกติเล็กน้อย คล้ายจะหยั่งเชิงว่าเธอจะกลัวไหม หากเขาเดินเข้าไปใกล้

               “มากับลุงมิ่งค่ะ คุณลุงชรัณโทร. ไปบอกที่บ้านว่าคุณธามรถชน ก็เลยรีบมา” 

                คนฟังกดยิ้มมุมปากให้เบาๆ ดูจากท่าทีแล้ว แม้ว่าคนตัวเล็กจะยังรักษาระยะห่างระหว่างเขากับเธออยู่บ้าง แต่ก็นับว่าความหวาดกลัวในใจของเธอลดลงไปมาก มากจนเกือบจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว

               “แล้วลุงมิ่งล่ะ ไปไหนแล้ว”

               “ลุงมิ่งไปจัดการเรื่องรถค่ะ บอกว่าถ้าเสร็จแล้วให้รอที่นี่ก่อน” 

               สองคนที่ไม่ได้เจอกันนานเกือบเดือนเดินไปคุยไปจนมาหยุดที่โซฟาสำหรับนั่งรอด้านหนึ่งของโรงพยาบาล  

               “คุณธามนั่งรอตรงนี้ก็แล้วกันนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปรับยาแล้วก็จ่ายเงินให้ค่ะ” 

                หนุ่มร่างสูงพยักหน้าอย่างว่าง่าย เพราะความเหนื่อยล้าจากการทำงาน แถมยังมาโดนดูดพลังงานจากเรื่องเมื่อตะกี้นี้อีก มื้อเย็นก็ยังไม่ตกถึงท้อง นั่งพักเอาแรงหน่อยก็คงจะดี

               “ขอตังค์ด้วยค่ะ” มือบางแบออกตรงหน้า จนคนที่นั่งอยู่ถึงกับหลุดขำ

               “อะไร ไหนบอกจะจ่ายให้ไง”

               “ฉันจะเอาตังค์ของคุณไปจ่ายให้ค่ะ” ช่อผกาเอ่ยตอบหน้านิ่ง ใครจะให้รู้ได้ล่ะ ว่าเธอรีบออกจากบ้านจนลืมหยิบกระเป๋าเงินมา

               “ออกให้ก่อนดิ ไหล่เจ็บ มือก็เคล็ดเห็นมั้ยเนี่ย มันขยับตัวยาก” หนุ่มเจ้าเล่ห์แกล้งกวนกลับ

               “ไม่ค่ะ เดี๋ยวคุณธามไม่คืน”

               “งั้นก็มาล้วงเอา” เขาสวนกลับทันควัน แถมยังเป็นคำตอบที่คนตัวเล็กต้องเบิกตาโต

               “ล้วง?...ตรงไหนคะ”

               “เนี่ย ในกระเป๋าเสื้อ เพิ่งกดเงินสดออกมา”

               “ไม่แกล้งค่ะคุณธาม” ช่อผกากอดอกตอบเสียงแข็ง

               “ไม่ได้แกล้ง งั้นเดี๋ยวฉันเดินไปให้พนักงานเก็บเงินล้วงเองละกัน” ธามว่า พร้อมกับทำท่าจะลุกขึ้น หญิงสาวจึงต้องรีบห้ามเอาไว้

               “ก็ได้ค่ะ ฉันหยิบเอง นั่งดีๆ สิคะ” ช่อผกาโน้มตัวลงเพื่อหยิบของในกระเป๋าเสื้อของคนช่างแกล้งที่นั่งอยู่ ธามช้อนสายตาขึ้นมองสาวน้อยในระยะประชิดด้วยใบหน้าอมยิ้ม ท่าทางของคนตัวเล็กที่พยายามจะหยิบธนบัตรในกระเป๋าเสื้อโดยให้สัมผัสร่างกายเขาน้อยที่สุด ทำให้คนตัวโตอดขำเบาๆ ให้กับความน่ารักของเธอไม่ได้

               “ไม่หัวเราะค่ะ” ...แผงอกมันกระเพื่อม

               “อืม พยายามอยู่ อย่าทำหน้าตลกสิ” 

                ช่อผกาค้อนสายตาใส่ ก่อนจะหยิบเอาธนบัตรในกระเป๋าเสื้อออกมาได้ในที่สุด หญิงสาวถอนหายใจพรืด ด้วยความโล่งใจสุดๆ ลุ้นยิ่งกว่ากู้ระเบิดอีกมั้งเนี่ย 

               “งั้นฉันไปจัดการก่อนนะคะ แล้วก็นั่งตรงนี้ อย่าหนีไปไหนล่ะ ฉันไม่ได้เอาโทรศัพท์มา”

               หนุ่มร่างสูงเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับคนพูด ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้กับเธอ “ไม่หนีไปไหนแล้วครับ” 

               ช่อผการีบหันหลังหลบสายตาของเขาทันที ก่อนจะรีบเดินหนีออกจากความรู้สึกวูบวาบที่เข้าจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวนี้ เสียงทุ้มที่เอ่ยกับเธอเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้า กำลังเข้าเขย่าหัวใจของสาวน้อยให้เต้นแรง 

               ตากลมกะพริบปริบๆ พยายามไม่แปลความหมายของประโยคอันตรายเมื่อครู่นี้ให้ลึกซึ้งมากไปกว่าการตอบรับธรรมดา แต่มันไม่ใช่แค่คำพูด มันคือน้ำเสียง สายตา แล้วก็รอยยิ้มนั้นด้วย มือบางกำเงินในมือเอาไว้แน่น ก่อนจะยกมือสองข้างขึ้นมากุมแนบเอาไว้ที่อกซ้าย แรงสะเทือนของมันบอกให้หญิงสาวรู้ว่ามันเต้นแรงมากกว่าที่เธอคิดเสียอีก

               “นี่ใจเต้น เพราะว่ากำเงินเยอะใช่ไหมช่อ ใช่ไหมช้อ...อ”

               แล้วก็เพียงไม่นานนักหลังจากที่ผู้ช่วยสาวแยกตัวไปจัดการธุระจนเสร็จ สาวน้อยร่างบางก็เดินกลับมาที่จุดนัดพบ และกำลังยืนกอดอกนิ่ง ถุงกระดาษที่มีโลโก้ของโรงพยาบาลติดอยู่ห้อยต่องแต่งอยู่ที่นิ้วเรียวของเธอ สายตาของหญิงสาวทอดตรงไปยังโซฟาตัวที่เธอบอกให้ใครบางคนนั่งรอ ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว ลมหายใจถูกเป่าออกจากปากอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะกลอกตาตามไปอย่างเซ็งๆ

               “ไม่หนีไปไหนแล้วครับ เหอะ...เชื่อเขาเลย” คนตัวเล็กเอ่ยย้ำคำพูดของเขา คำพูดที่ทำให้เธอเคลิ้มไปชั่วขณะ ก่อนจะกลับมาพบกับความจริงที่ว่า...ผู้ชายคนนั้นหายไปอย่างไร้ร่อยรอง เหลือแค่โซฟาเปล่าเด่นสง่าตรงหน้าเธอ เหอะ! ถ้ามันมีชีวิต ก็คงหัวเราะเยาะเธอจนฟันร่วงไปแล้ว

               ช่อผกาเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟา อดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจระบายอารมณ์อีกครั้ง อยากจะหมดแรงให้ตายไปตรงนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด เชื่ออะไรเขาไม่ได้เลยจริงๆ ในขณะที่หญิงสาวกำลังหงุดหงิด และเริ่มใช้ความคิดว่าเธอจะไปตามหาหลานชายตัวแสบของคุณย่าได้ที่ไหน พลันสายตาของเธอก็เลื่อนไปปะทะเข้ากับ...สิ่งมีชีวิตตัวสูงที่ยืนอยู่ที่จุดสูบบุหรี่ด้านนอกใกล้ประตูทางออกฝั่งหนึ่งของอาคาร 

               และเขากำลังฉีกยิ้มโบกยืนกลับมาให้เธอ

               “ทำมาเป็นโบกไม้โบกมือ มันน่าฟาดด้วยถุงนี่สักร้อยทีจริงๆ” ช่อผกาไม่รอช้า เด้งตัวขึ้นจากโซฟา แล้วตรงไปหาเป้าหมายทันที เฝ้าเอาไว้เลย ไม่งั้นเดี๋ยวก็หายไปอีก

               “มาทำไมเนี่ย ทำไมไม่นั่งรอตรงโน้น” ธามเอ่ยขึ้นก่อน เมื่อคนตัวเล็กเดินไปถึง

               “เดี๋ยวคุณก็หายไปอีก ไหนบอกจะไม่หนีไง”

               “ไม่ได้หนีสักหน่อย สูบบุหรี่เฉยๆ ฉันมองจากตรงนี้ไปก็เห็น”

               “แล้วฉันเห็นคุณไหมละ”

               “ไม่เห็น” เขาตอบเอาง่ายๆ แล้วส่งยิ้มประจบกลับมาให้ “เมื่อกี้ถึงได้กอดอกฟึดฟัด ฉันเห็นนะ ควันนี่ออกหูเลย วิ้งๆ” 

               “คุณธาม!” ช่อผกาขึ้นเสียงใส่ตัวร้ายที่ทำกำลังหมุนนิ้วอยู่ข้างหู ล้อเลียนอาการของหงุดหงิดของเธอเมื่อครู่ 

               “โอ๋ๆ ล้อเล่น ไปนั่งตรงโน้นไป เดี๋ยวมันเหม็นติดเสื้อ จะเสร็จละ” 

                สาวน้อยแยกเขี้ยวใส่ทิ้งท้าย ก่อนจะเดินไปนั่งที่ม้านั่งในสวนหย่อมที่อยู่ห่างออกไป และถ้าเธอไม่ได้คิดไปเอง เธอว่าเขากำลัง...มองตามหลังมาจนส่งเธอถึงม้านั่งที่ว่านี้เลยด้วย

               “เอาไหม” แผงหมากฝรั่งรสมินต์ถูกยื่นมาตรงหน้า หลังจากคนตัวสูงทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เธอ

               “ไม่เป็นไรค่ะ” ช่อผกาเอ่ยตอบคนที่เคี้ยวหมากฝรั่งงำๆ “ฉันว่าคุณน่าจะลองตรวจปอดดูด้วยนะ ป่านนี้ดำเป็นก้นหม้อแล้วมั้ง”

               ธามเอียงใบหน้ามองคู่สนทนา ทั้งที่เธอพูดแกมตำหนิ แต่กลับรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้มีอาการเกร็งที่จะพูดคุยกับเขาเหมือนอย่างวันนั้น แม้ว่าเธอจะยังสะดุ้งหน่อยๆ ตอนที่เขาทิ้งตัวลงนั่งก็ตาม แต่เพียงเท่านี้ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีไม่น้อย

               “น่ะ! หลอกด่าอีกละ” หนุ่มร่างสูงที่พยายามจะทำตัวให้เหมือนเดิม จึงเริ่มหยอกเธอเล่นบ้าง

               “ไม่ได้หลอกด่า ฉัน...”

               “เป็นห่วง?” ชายหนุ่มสวนกลับแทบจะทันที จนประโยคพูดของหญิงสาวสะดุดกึก “ใช่ไหม หืม?”...ยังจะเลิกคิ้วตามมาถามย้ำกับเธออีก

               “เป็นห่วงอะไรล่ะ ฉันแค่จะบอกว่า ฉันไม่ได้หลอกด่า ฉันแค่อยากเตือน...ตามหน้าที่ผู้ช่วยพยาบาลเท่านั้นแหละ”

               “หึ! ไม่เชื่อหรอก” ช่อผกาหันมองคนหลงตัวเองที่กอดอกอมยิ้ม ลอยหน้าลอยตาอยู่ “เธอห่วงฉันจะตาย เมื่อกี้ตอนอยู่หน้าห้องฉุกเฉินเรียกฉันว่าอะไรน้า...า” หนุ่มร่างสูงลากเสียงยาว พลางเอียงศีรษะไปหาสาวน้อย “พี่ธาม...ใช่ปะ” 

               คนถูกแกล้งสะบัดสายตาไปหาคนตัวโตที่เพิ่งจะบีบเสียงล้อเลียนคำพูดของเธอ มันเป็นเพราะว่าตลอดเวลาที่เขาไม่อยู่ที่บ้าน เวลาเธอพูดเรื่องเขากับคุณย่า เธอก็ต้องเรียกเขาว่า ‘พี่ธาม’ ตลอด พอมาเจอสถานการณ์ไม่คาดฝัน สมองมันก็เลยสั่งให้โพล่งออกไปแบบนั้นโดยไม่รู้ตัว

               ตีเนียนได้โล่...ไม่ผิดคำพูดเลยจริงๆ คนอะไร ตั้งแต่ตอนให้ล้วงเงินจาในกระเป๋าเสื้อแล้ว ออกไปจากบ้านก็เท่านั้น กลับมาเจอกันอีกที พูดคุยได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนแรกก็รู้สึกว่าดีอยู่หรอกนะ เพราะถ้าหากทั้งเงียบทั้งเกร็งกันทั้งคู่เหมือนในห้องทีวีเมื่อตอนนั้น แล้วต้องมานั่งรอด้วยกันแบบนี้ มันคงเป็นบรรยากาศที่อึดอัดจนอยากจะผูกคอตายตรงนี้แน่ๆ ทว่าตอนนี้ เธอกลับเริ่มรู้สึกว่า คุณพี่ท่านนอกจากทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ยังชักจะเข้าใกล้มากเกินไป แถมตอดนิดหยอดหน่อย สารพัดจะแกล้งอีก ที่คิดว่าจะให้กลับไปอยู่ที่บ้าน คงต้องคิดใหม่แล้วละมั้งเนี่ย

               “เลิกล้อได้แล้วคุณธาม แล้วก็เลิกทุบๆ ไหล่แบบนั้นด้วย ไม่รู้เหรอว่า ถ้าทำไม่ถูกวิธี มันจะยิ่งเคล็ดไปกว่าเดิมนะ” ช่อผกาห้ามปรามคนเจ็บที่กำลังจะทำให้ตัวเองเจ็บมากขึ้น

               “งั้นคนที่รู้ว่าถูกวิธีต้องทำยังไง ก็ช่วยทำให้หน่อยสิ”

               “ไม่เอาหรอก แล้วก็ออกไปห่างๆ ด้วย” คนตัวเล็กออกแรงดันท่อนแขนของธามเบาๆ เพื่อให้เขาเอนตัวกลับไป

                ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเบาๆ และยอมทำตามอย่างว่าง่าย ถ้าเธอบอกไม่ให้เข้าใกล้ เพื่อให้เธอสบายใจ ชายผู้สำนึกผิดอย่างเขา ก็ยอมทำตามทุกอย่างแต่โดยดี แต่...

               ...ตุนความอยากไว้แผงฤทธิ์ตอนได้กลับบ้านแทน หึ หึ

               “ว่าแต่คุณไปชนอีท่าไหนเนี่ย ชนข้างๆ เหรอ ถึงได้เจ็บไหล่ได้”

               “เปล่าหรอก ที่เจ็บตรงนี้เพราะเข็มขัดนิรภัยมันกระชากกลับตอนกระแทก นี่ขนาดชนไม่แรงนะ เพื่อนฉันอีกคน หัวปูดเป็นลูกมะนาวเลย ขำมาก”

               ช่อผกามองคนเล่าพลางผูกคิ้ว เพิ่งจะเฉียดตายมาหยกๆ ยังมีน่ามาบอกว่าขำมาก แถมยังเล่าไปหัวเราะไป ราวกับว่ามันเป็นเรื่องตลก ที่เธอเห็นเขาเครียดวันนั้น รู้สึกเป็นบุญตาขึ้นมาเลย

               “ตอนแรกฉันกะจะชนมันให้เละไปเลย แต่ไอ้ชินนั่นแหละ ดันดึงพวงมาลัยหักหลบ เลยไปชนต้นไม้ข้างทางแทน แหมะ! เสียภาพเสือธามนักซิ่งหมด ขับรถชนต้นไม้ ไม่เท่เลย” 

                ช่อผกาฟังแล้วก็อยากจะตบหน้าผากตัวเองสักฉาด ที่คุณย่าบอกว่าบ้าๆ บอๆ ไม่บิดเบี้ยวไปจากนั้นเลยแม้แต่มิลเดียว

               “ถ้าไม่ชนต้นไม้ แล้วไอ้ชนมันให้เละที่คุณว่าเนี่ย ชนอะไรเหรอคะ”

               “ก็ชน...” คำพูดของชายหนุ่มขาดช่วง เมื่อคิดได้ว่าเขากำลังจะหลุดเรื่องที่ไม่ควรให้ใครรู้ออกไป “ชน...หมา อยู่ๆ ก็วิ่งตัดหน้า” 

               “หา! ชนหมา! ให้เละเลยเนี่ยนะ! คุณใจร้ายมาก นี่ดีนะที่เพื่อนคุณ เขายังเป็นคนจิตใจดี ไม่ได้โหดเหี้ยมแบบคุณ ชื่อคุณชิน...ใช่ไหม แค่ฟังนะ ยังไม่เคยเห็นตัวจริงก็หล่อขึ้นมาเลย”

               “ใช่ ชื่อชิน ไม่ต้องไปหว่านเสน่ห์นะ เป็นเกย์ เกย์รับด้วย อย่าไปยุ่งกับมัน” 

               ธามใช้ฟันบดหมากฝรั่งในปากราวกับจะขบเคี้ยวความขัดใจ ที่จู่ๆ สาวตัวเล็กข้างกายก็มาพูดว่าผู้ชายคนนั้นคนนี้หล่อ คราวก่อนไอ้ชินก็บอกว่าเธอน่ารักทีหนึ่งแล้ว ตอนนี้เธอยังชมกลับว่าหล่ออีก 

               อย่าให้เจอกันเชียว อย่าให้เจอกันเชียว...

               ช่อผกามองใบหน้าบึ้งตึงของชายหนุ่ม เธอผ่อนลมหายใจออกเบาๆ ก่อนจะรับเอาสายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดของคนข้างๆ

               เอาอีกแล้ว อยู่ดีๆ ก็อารมณ์เสีย ผีเข้าผีออก ตามคอนเซ็ปท์เดิมเลย แค่บอกว่าเพื่อนดีกว่าก็เอามาเคืองได้...เชื่อเขาเลย

               “นี่คุณ จะกลับไปอยู่ที่บ้านก็ได้นะ” ช่อผกาตัดสินใจตัดบทสนทนาก่อนที่ใครบางคนจะหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปมากกว่านี้ ดึงหัวเรือเข้าเรื่องที่เธอตั้งใจจะบอกเขาตั้งแต่เจอหน้า แต่ก็หาโอกาสไม่ได้สักที 

               คำพูดสั้นๆ กับเสียงหวานของเธอทำให้เขารู้สึกเหมือนได้รับสัมผัสนุ่มละมุนที่หัวใจ อารมณ์หม่นเมื่อครู่ ถูกล้างให้หายไปด้วยประโยคสั้นๆ จากปากเธอ ธามหันสบตาคนตัวเล็กที่กำลังกดยิ้มมุมปากให้กับเขา นัยน์ตาแวววาวของเธอช่วยระบายยิ้มบนใบหน้าให้กับเขา หากอีกหนึ่งคำถามในใจยังคงทำให้เขายิ้มได้ไม่เต็มแก้ม

               “แล้ว...ไม่กลัวฉันแล้วเหรอ”

               ช่อผกาจ้องลึกลงไปในดวงตาของคนถาม เธอตอบเขาไม่ได้ว่ายังกลัวเขาอยู่รึเปล่า มันเป็นความรู้สึกที่เธอก็ไม่แน่ใจ เขาเคยทำผิด ทำร้ายจนหัวใจดวงน้อยของเธอจนเกิดรอยขีดข่วน แม้เวลาและการไม่พบหน้า จะทำให้แผลของเธอค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่มันก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ ว่าเขาจะไม่ทำอย่างนั้นอีก 

               หากแต่การรับผิดชอบความผิด ด้วยการผลักไสให้เขาย้ายออกไปอยู่ที่อื่นอย่างไม่มีกำหนด มันก็ดูจะใจร้ายไปหน่อย ถ้าหาก...คำขอโทษของเขา คือคำขอโทษที่ออกมาจากหัวใจ

               “ถ้าคุณทำฉันอีกที คราวนี้ฉันฟ้องคุณย่าแน่” คนรอคำตอบ ฉีกยิ้มระคนหัวเราะ “คุณไม่รู้อะไร ตอนคุณไม่อยู่ ฉันเร่งทำคะแนน ขึ้นแท่นได้เป็นหลานรักของคุณย่าเรียบร้อย” ใบหน้าจิ้มลิ้มอมยิ้ม ยักคิ้วให้เขากลับ

               “อ๋อ...นี่เลยจะเรียกให้ฉันกลับไปเป็นหมาหัวเน่าใช่ไหม”

               “อื้ม” 

               “เดี๋ยวเหอะเหม่ง โดนหนักแน่” คนตัวโตชี้นิ้วคาดโทษ

               “นี่! บอกไว้ก่อนเลยนะ ถึงจะให้ไปอยู่บ้านได้ ฉันก็ยังไม่ไว้ใจคุณร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้น อยู่ห่างๆ ฉันไว้ด้วย”

               “อยู่ห่างๆ? เฮ้ย! ไม่ได้หรอก บ้านเล็กแค่นั้น จะอยู่ห่างยังไง ไม่ได้หรอก ไม่ได้” รอเวลามานานจะเป็นเดือนขนาดนั้น ให้อยู่ห่างๆ ฝันไปสิเหม่ง ไม่เดินตามไปทุกที่ก็บุญแค่ไหนแล้ว

               “บ้านเล็ก...เหรอคะ”

               “ใช่ บ้านเล็ก ที่เธอเห็นว่าใหญ่นั่นสวนรอบบ้านต่างหาก” ตาหมีเฉไฉหน้าด้านๆ ที่เคยบ่นว่าบ้านคุณย่ากว้างมาตลอดนั่น...ลืมไปให้หมดนะทุกคน

               ธามเอนตัวพิงพนักม้านั่ง ตามด้วยการพาดแขนไปตามแนวพนัก ซึ่งแน่นอนว่ายาวไปจนถึงด้านหลังของหญิงสาวที่นั่งพิงพนักอยู่ ช่อผกาเหลือบมองท่อนแขนของชายหนุ่มด้วยสายตาหวาดระแวงเล็กน้อย แต่แล้วคำพูดต่อมาของเขาก็ดึงความสนใจจากเธอไปเสียก่อน

               “ฮ้า...ดีใจจัง คิดถึงจะแย่” 

                สาวน้อยถึงกับแข็งทื่อ เพราะดันเลื่อนสายตาไปประสานกับสายตาของเขาในจังหวะที่เขาพูดประโยคสุดท้ายพอดี หัวใจเต้นโครมครามภายใต้ความเงียบที่เกิดขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะ

               “ไม่ได้เจอคุณย่าตั้งนาน ว่าไหม” 

               ...ทำให้เธอกระจ่างว่าความคิดถึงที่เขาว่านั้น...ไม่ใช่ของเธอ

               ช่อผกาก้มหน้ามองมือเรียวของเธอที่จับกัน จู่ๆ ก็รู้สึกอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไปคิดว่าเขาจะบอกคิดถึงตัวเองได้ยังไงเนี่ย บ้าบอที่สุด คิดแล้วก็อยากจะตบหน้าเรียกสติตัวเองจริงๆ 

               ขี้อ่อย ขี้อ่อย ขี้อ่อย ท่องไว้สิช่อผกา

               อย่าหลง อย่าหลง อย่าหลง ท่องไว้สิ ท่องไว้

               ธามหันมองสาวน้อยที่จู่ๆ เธอก็เงียบไป เธอคงตกใจไม่น้อย หรือไม่ก็คงทำตัวไม่ถูก ที่อยู่ดีๆ เขาก็ไปบอกคิดถึงเธอขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนั้น ก็เพราะความดีใจที่มันล้นอยู่ในอก ทำให้เขาเผลอหลุดออกไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ

               มือหนาเอื้อมไปจับศีรษะของคนตัวเล็ก แล้วโยกเบาๆ ไปมา

               “ขอโทษน้า...า ทุกเรื่องเลย ถ้าลืมมันไปไม่ได้...ก็เอาไปเก็บไว้ไกลๆ หน่อยละกัน โอเคไหม” 

                คนตัวเล็กที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความอุ่นจากฝ่ามือของเขา หรือมันเป็นเพราะความอบอุ่นจากคำพูดและการกระทำของเขากันแน่ ที่ทำให้เธอวูบวาบ แล้วเริ่มร้อนไปทั้งร่างขึ้นมากะทันหัน

               แต่ไม่! เธอจะต้องไปติดบ่วงของอีตาแคซาโนวาขี้อ่อยเด็ดขาด  

               ช่อผกาสะบัดสายตากลับไปหาเจ้าของมือหนาบนศีรษะ แล้วตอบเขาอย่างฉะฉาน “ไม่!” 

             ธามขมวดคิ้วเล็กๆ ก่อนจะเปลี่ยนมันเป็นอมยิ้มที่มาพร้อมกับแววตาร้ายกาจ “ถ้าอย่างนั้นก็...เอามาฝากไว้ที่หัวใจฉัน ตกลงนะ” คนโตเล็กเบิกตากว้างกับปฏิกิริยาตอบกลับของเขา 

               และในจังหวะที่สมองของเธอกำลังประมวลผลประโยคเมื่อครู่อยู่นั้น ฝ่ามือบนศีรษะก็ออกแรงกดเบาๆ จนคนไม่ได้ตั้งตัวต้องก้มหัวตาม ก่อนจะรู้ตัวว่าเธอเพิ่งจะพยักหน้าพร้อมกับเสียงของคนข้างๆ ที่เอ่ยตอบคำถามนั้นแทนเธอ 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น